ในวันที่สอง ช่วงเช้าเราจะไปเที่ยว Yotoki Inari Shrine กัน ซึ่งละครไทยเรื่อง กลกิโมโน และ Stay in Saga เคยมาถ่ายทำที่นี่ (ไม่เคยดูหรอกนะ 5555) เราออกเดินทางจากสถานีนางาซากิ ไปยังสถานี Hizen-Kashima ซึ่งอยู่ขอบๆของเมือง Saga ก่อนที่จะกลับไปยังสถานี Hakata ที่มาเมื่อวันแรก ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 9 นาที
![](/f/33528/5f298ab12b48886a68bcd0bb.jpg)
![](https://img.youtube.com/vi/4zhDjgUyvgY/0.jpg)
![](/f/33528/5f298aad2b48886a68bcd0b1.jpg)
ลงจากสถานีรถไฟ ก้อต่อรถบัสอีกต่อ แล้วเดินตามทางไปอีกนิดก้อจะเจอโทริอิอันใหญ่ สถานที่ท่องเที่ยว วัดและศาลเจ้าของญี่ปุ่นนี่เหมือนกันหมด คือจะบังคับให้เดินผ่านถนนที่เต็มไปด้วยร้านของกินของฝากเยอะแยะมากมาย กว่าจะถึงสถานที่ท่องเที่ยวจริงๆเงินในกระเป๋าก้อเบาลงไปเยอะล่ะ
![](/f/33528/5f298ab32b48886a68bcd0be.jpg)
หน้าวัดจะมีโทริอิหินอันใหญ่ๆอยู่ เดินต่อไปอีกนิด ต้องร้องว๊าวววววเลย วัดสวยมาก แต่ก่อนเข้าวัดต้องเดินไปทางซ้ายก่อน เป็นธรรมเนียมของญี่ปุ่นก่อนเข้าวัดทุกครั้ง
![](/f/33528/5f298ab02b48886a68bcd0b6.jpg)
หากใครเคยไปเที่ยววัด หรือ ศาลเจ้าญี่ปุ่น จะเป็นที่สังเกตุได้ว่า หน้าทางเข้าทุกวัดจะมีบ่อน้ำ พร้อมกระบวยตักน้ำอยู่ ตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่น บ่อน้ำนี้มีไว้ให้สำหรับผู้ที่มาขอพรที่วัดได้ชำระล้างร่างกายให้สะอาดก่อนจะเข้าไปขอพร โดยให้ทำการล้างมือทั้งสองข้าง และบ้วน หรือกลั้วปาก แต่ห้ามใช้ปากสัมผัสกระบวยโดยตรง เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้คว่ำกระบวยตักน้ำไว้ที่เดิม ที่นี้เราก้อพร้อมที่จะเข้าไปในวัดกันแล้ว
![](/f/33528/5f298ab12b48886a68bcd0ba.jpg)
Yutoku Inari Shrine สร้างขึ้นในปี 1688 เป็นศาลเจ้านิกายชินโต ประจำตระกูลนาเบะชิมะ(Nabeshima clan) ผู้ปกครองเมืองซากะ ในสมัยเอโดะ หน้าศาลเจ้ามีสะพานสีแดงคู่กับแม่น้ำสายเล็กๆเป็นจุดถ่ายภาพที่สวยงามเลยทีเดียว
![](/f/33528/5f298ab12b48886a68bcd0b9.jpg)
ศาลเจ้า Inari ในญี่ปุ่นมีด้วยกันกว่า 4หมื่นแห่ง โดยศาลหลักจะอยู่ที่เกียวโตคือ Fushimi Inari Shrine ส่วนที่เมือง Saga ศาลเจ้า Yutoku Inari Shrine ที่เราอยู่กันนี้ ใหญ่เป็นอันดับสามของญี่ปุ่น แต่มองดูตัวศาลเจ้าจะคล้ายๆวัด Kiyomizudera หรือวัดน้ำใสที่เกียวโตอยู่เหมือนกันนะ ทีนี้เราต้องเดินขึ้นบันไดสูงๆด้านซ้ายมือขึ้นไป
![](/f/33528/5f298ab12b48886a68bcd0b8.jpg)
ดูความชันของบันไดหน่อย แต่นี่ยังแค่เริ่มต้น ใครเดินไม่ไหวเดินไปทางขวาจะมีลิฟท์ให้ขึ้นด้วย มาช่วงใบไม้แดงก้อจะสวยๆหน่อยแบบในรูปครับ
![](/f/33528/5f298ab52b48886a68bcd0c0.jpg)
เดินขึ้นมาถึงด้านบนก้อพอเหงื่อซึมๆจะถึงตัวศาลเจ้าจริงๆล่ะ ชื่อ Inari จากชื่อของศาลเจ้า คือชื่อของเทพอินาริ มาจากคำว่า อิเนะ และ นาริ ซึ่งแปลว่าการเพาะปลูกข้าว เทพอินาริจริงๆแล้วประกอบด้วยเทพ 3 องค์คือ เทพแห่งข้าว อุคะโนะมิทามะ, เทพแห่งน้ำ โอมิยะโนะเมะ และเทพแห่งผืนดิน ซะตะฮิโกะ
![](/f/33528/5f298ab22b48886a68bcd0bc.jpg)
ยังไม่หมดนะ ตางศาลเจ้ายังมีป้ายชี้ให้ขึ้นบันไดขึ้นไปอีก เขียนบอกไว้ว่าขึ้นไปอีก 300m ตรงนี้ไม่มีลิฟท์แล้ว ต้อเดินขึ้นไปอย่างเดียว ไหนๆก้อมาละ ลองเดินชึ้นไปดูกันครับ
![](/f/33528/5f298ab02b48886a68bcd0b4.jpg)
ในระหว่าง 300 เมตรที่เดินขึ้นไป เราจะพบเสาโทริอิ เรียงรายกันไป สวยงามมากๆ เป็นมุมให้ถ่ายรูปได้อย่างดี แต่แอบบอกนิดนึงว่า ศาลเจ้า Fushimi Inari ที่เกียวโตสวยกว่านะ 55555
![](/f/33528/5f298ab52b48886a68bcd0c1.jpg)
ศาลเจ้าจิ้งจอกที่อยู่ด้านบน แวดล้อมไปด้วยต้นไม้ร่มเย็นสวยงาม แต่เดี๋ยวก่อน ทีเด็ดของศาลเจ้านี้ยังไม่หมดแค่นี้ครับ
![](/f/33528/5f298ab82b48886a68bcd0c8.jpg)
หลังจากเดินขึ้นมา 300เมตร นึกว่าจะหมดแล้ว แต่ยังมีทางเดินขึ้นเขาไปเรื่อยอีก ดูความชันสิครับ แถมไม่ใช้แค่ 300เมตรแบบเมื่อกี๊ ไม่รู้ว่าเดินขึ้นไปเท่าไหร่ แต่บอกเลยว่าเหนื่อยมากจริงๆ ต้องมีพักเป็นระยะๆเลยทีเดียว ระหว่างทางก้อจะมีโทริอิเรียงๆกันไปอีก
![](/f/33528/5f298ab72b48886a68bcd0c6.jpg)
ระหว่างทางที่เดินขึ้นเขา เจอจุดใบไม้แดงสวยๆอยู่เหมือนกัน รูปprofile ก้อถ่ายจากตรงนี้แหละ แต่แนะนำว่าเดินรวดเดียวให้ถึงยอดก่อน แล้วค่อยแวะถ่ายรูปขากลับจะดีกว่า ไม่งั้นไม่ถึงยอดแน่ๆ
![](/f/33528/5f298abc2b48886a68bcd0d0.jpg)
![](/f/33528/5f298ab82b48886a68bcd0c7.jpg)
![](/f/33528/5f298ab62b48886a68bcd0c5.jpg)
![](/f/33528/5f298ab92b48886a68bcd0cc.jpg)
![](/f/33528/5f298abd2b48886a68bcd0d3.jpg)
สมควรแก่เวลาก้อได้เวลาเดินลงเขาล่ะ ขาลงเดินสบายหน่อย ระหว่างทางมีศาลเจ้าเล็กๆ มีจุดถ่ายรูปให้แวะเรื่อยๆ เพลินมากๆ
![](/f/33528/5f298ac52b48886a68bcd0e4.jpg)
ขากลับเห็นหนูน้อยชาวญี่ปุ่นใส่ชุดกิโมโนสวยงามสดใส เลยเดินเข้าไปขอคุณพ่อเค้าถ่ายรูปหน่อย ซึ่งเค้าก้อพยักหน้าแบบงงๆมา แบบว่ามาถ่ายรูปลูกเค้าทำไม 55555 เลยได้ภาพน่ารักๆภาพนี้มา
![](/f/33528/5f298abd2b48886a68bcd0d4.jpg)
ขากลับเจอขนมแปลกๆดี รูปร่างเป็นหลอดๆ ดันด้านในขึ้นมาได้ เลยซื้อมาลองชิมสักหน่อย ปรากฎว่าข้างในเป็นถั่วแดง มีโรยน้ำตาลไว้ด้านบน หวานมากๆเลย แต่ซื้อมาแล้วเลยจัดการจนหมด
![](/f/33528/5f298abc2b48886a68bcd0d2.jpg)
หลังจากช่วงเช้าเที่ยว Yotuku Inari Shrine ที่เมือง Saga เสร็จ เราก้อเดินทางกันต่อเข้าใจกลางเมือง Fukuoka จุดหมายปลายทางคือสถานี Hakata พระเอกของสองวันนี้คือ เจ้ารถด่วนสาย Kamome ที่พาเราเที่ยวทั้ง Nagasaki และ Saga
![](/f/33528/5f298abf2b48886a68bcd0d8.jpg)
หลังจากเที่ยว Yutoku Inari Shrine เสร็จ ก้อนั่งเจ้ารถด่วนสาย Kamome กลับเข้าตัวเมือง Fukuoka โดยจุดหมายของเราคือสถานี Hakata ที่มาเมื่อวานนั่นเอง นั่งกันไปอีกชั่วโมงครึ่ง
![](/f/33528/5f298abe2b48886a68bcd0d7.jpg)
หลังจากเก็บของเข้าที่พักเสร็จ นั่งรถจากสถานี Hakata ไปลงสถานี Gion ห่างกันแค่ 1 สถานีเอง จากนั้นเดินต่อเอาอีกหน่อย ก้อมาถีงศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง Fukuoka กันแล้ว นั่นคือ Kushida Shrine ที่นี่มีชื่อในเรื่องการขอพรเกี่ยวกับสุขภาพครับ เราจะไปขอพรกัน
![](/f/33528/5f298ac22b48886a68bcd0e0.jpg)
ก่อนเข้าไปขอพร เราก้อชำระล้างร่างกายให้สะอาดเหมือนเดิม บ่อน้ำที่ใช้ชำระล้างของแต่ละศาลเจ้าก้อจะมีรูปร่างหน้าตาแตกต่างกันออกไป ของที่นี่ทำเป็นเหมือนอ่างหินวางอยู่บนไม้ไผ่ แกะสลักไว้สวยงามเลย
![](/f/33528/5f298ac72b48886a68bcd0eb.jpg)
ก่อนจะถึงตัวอาคารหลักของศาลเจ้า ก้อมีประตูกั้นอีกชั้นนึง วิหารหลังแรกในศาลเจ้า Kushida แห่งนี้ มีอายุด้วยกันถึง 1,200 ปีเลย โดยถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 757 โน่นแหนะ สร้างขึ้นโดยจักรพรรดิโคเคน(Koken) ให้เป็นศาลเจ้าของเทพโอคุชิดะ ซามะ ในศาสนาชินโตซึ่งเชื่อกันว่าจะได้ขอพรเกี่ยวกับการมีอายุยืนยาว สุขภาพแข็งแรงและประสบความสำเร็จในธุรกิจ ตัวอาคารมีการออกแบบและตกแต่งที่ความสวยงามตามสถาปัตยกรรมแบบชินโต ถ้าเรามาที่ Kushida Shrine
![](/f/33528/5f298ac62b48886a68bcd0e9.jpg)
มาถึงอาคารหลักที่จะขอพรกันล่ะ การขอพรที่ศาลเจ้าในญี่ปุ่นนั้น นิยมโยนเหรียญลงไปในกล่องรับบริจาคด้วย โดยนิยมใช้เหรียญ 5 เยนกัน เนื่องจาก คำว่าเหรียญห้าเยน (五円) ในภาษาญี่ปุ่น พ้องเสียงกับคำว่า “โกะเอ็น” ที่ย่อมาจาก “โกะเอ็น กะ อาริมัส โยนิ” (ご縁がありますように) ซึ่งแปลง่ายๆได้ว่า “ขอให้โชคดีอยู่กับเรา” หลังจากโยนเหรียญเสร็จแล้ว ให้ดึงเชือกเพื่อสั่นกระดิ่ง แล้วโค้งคำนับ 2 ครั้ง หลังจากนั้นให้ปรบมือเสียงดังๆ 2 ครั้ง แล้วขอพร อธิษฐาน และคำนับอีก 1 ครั้ง เป็นอันเสร็จพิธี
![](/f/33528/5f298ac92b48886a68bcd0f0.jpg)
ในช่วงเดือนกรกฎาคม ศาลเจ้า Kushida นั้นเป็นศูนย์กลางของงานเทศกาล Hakata Yamakasa Gion ซึ่งเป็นงานเทศกาล (Matsuri) ที่เก่าแก่ และมีชื่อเสียงที่สุดในเกาะคิวชูเลยทีเดียว ในวันสุดท้ายของงานเทศกาล จะมีการแข่งขันกันแห่เสลี่ยงยักษ์ ที่มีชื่อเรียกว่า Oiyama โดยผู้เข้าแข่งขันจะเป็นตัวแทนจากเขตทั้ง 7 เขตของ Hakata คือ Daikoku, Higashi, Nakasu, Nishi, Chiyo, Ebisu, and Doi สำหรับเสลี่ยงในการแห่ แบ่งได้เป็นสองแบบคือ Kazariyama และ Kakiyama โดยเสลี่ยงทั้งสองแบบจะทำขึ้นมาใหม่ทุกปี โดยจะตกแต่งตามสไตล์ของแต่ละเขต ภายใต้ธีมที่เปลี่ยนไปของทุกปี เสลี่ยงแบบ Kazariyama ปัจจุบันเลิกใช้แล้ว และได้นำไปประดับไว้ตามจุดต่างๆของเมือง ซึ่งหนึ่งในนั้นอยู่ที่ศาลเจ้า Kushida นี่เอง
![](/f/33528/5f298acd2b48886a68bcd0f8.jpg)
สำหรับผู้ที่บริจาคเงินให้กับศาลเจ้า จะเขียนชื่อไว้ที่แผ่นไม้ และนำมาวางเรียงประดับไว้
![](/f/33528/5f298ace2b48886a68bcd0fa.jpg)
ช่วงเย็นต้องขอไปลองร้านราเม็งร้านดังที่มีแต่คนพูดถึงกันหน่อย นั่งคือ Ichiran Ramen หรือที่คนไทยเรียกกันว่า ราเม็งข้อสอบนั่นเอง โดยนั่งรถไฟใต้ดินไปลงที่สถานี Nakasu Kawabata ร้านที่ไปกินวันนี้ เป็นร้านต้นตำรับสาขาใหญ่เลยทีเดียว ซึงร้านนี้มีสาขากว่า 80 สาขาทั่วประเทศญี่ปุ่น และขายมาตั้งแต่ปี 60 ทีเดียว
![](/f/33528/5f298acb2b48886a68bcd0f4.jpg)
ร้านราเม็งข้อสอบจะมีเมนูหลักอยู่แค่เมนูเดียวคือ Tonkotsu Ramen หรือราเม็งหมูชาชู มีการเคี่ยวน้ำซุป ทงคัตสึสไตล์ญี่ปุ่น พร้อมกับหมูชาชู และ ใส่ด้วยซอสเผ็ดที่เป็นสูตรลับเฉพาะของ Ichiran Ramen ว่ากันว่า ซอสสูตรลับนั้นมีส่วนผสมกว่า 30 ชนิด ที่ทำการปรุงรสกันข้ามวันข้ามคืน แถมด้วยเส้นราเมงที่ทำให้ดูดลื่นกลืนง่าย พร้อมน้ำซุปหมูที่ผ่านการทดลองรสชาติกันเป็นแรมปี
![](/f/33528/5f298aca2b48886a68bcd0f3.jpg)
ที่ร้าน Ichiran Ramen มีชื่อเรียกว่า ราเม็งข้อสอบ เพราะว่าทางร้านจัดที่นั่งให้เป็นคอกๆเป็นที่นั่งเดี่ยว และมีกระดาษคำถามให้ลูกค้าเขียน ในการเลือก option ต่างๆ เข่น ความมันของน้ำซุป ความเผ็ด topping เสร็จต่างๆเช่นไข่ต้ม หรือเพิ่มเนื้อหมู โดยก่อนเดินเข้าไปในคอก เราต้องไปกดซื้อราเม็งก่อนที่ตู้อัตโนมัติด้านหน้า แล้วจึงค่อยไปนั่งทำข้อสอบ หลังจากเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้กดกริ่งเรียกพนักงาน ซึ่งพนักงานจะเปิดม่านด้านหน้าเรา และมารับตั๋วและข้อสอบไป
![](/f/33528/6191d34d2a5bfc1b28554d6b.png)
หลังจากรอไม่นานราเม็งก้อมาส่ง สิ่งแรกที่ติดใจคือน้ำซุปกระดูกหมู หอมอร่อย รสชาติดีมากๆ กลมกล่อมสุด แถมไม่มันเลี่ยนเหมือนราเม็งของที่อื่น เส้นบะหมี่หนึบๆ เคี้ยวอร่อย เพลินมากๆ แถมซอลเผ็ดซอสลับที่ว่า ก้อช่วยเพิ่มความเผ็ดนิดๆให้กับน้ำซุป ทำให้รสหวานเด่นขึ้นมาอย่างน่าอร่อย ใครยังไม่เคยไปแนะนำให้ไปลองเลยครับ แล้วจะไม่ผิดหวัง
![](/f/33528/6191d35e3e16f94c82a60796.png)
หลักฐานครับ อร่อยสุดๆจนหยดสุดท้าย แล้วก้อได้เจออะไรแปลกๆ เอ๊ะ ก้นชามราเม็งมีตัวอักษรอะไรเขียนไว้ด้วย แปลออกมาได้ประมาณว่า “หยดสุดท้ายนี้คือความสุขอันสูงสุดของเรา” แหม ญี่ปุ่นเค้ามีกิมมิคเล็กๆน้อยๆให้เรายิ้มได้ตลอดเลยนะ หลังจากอิ่มกันแล้ว คืนนี้นอนพักที่ Hakata นี่แหละครับ ค้าง 2 คืน ไม่ต้องเหนื่อยเปลี่ยนโรงแรม และแล้วก้อจบในส่วนของวันที่สอง
![](/f/33528/6191d3718800ce1b40745239.png)
ติดตามกันต่อได้ที่
https://www.facebook.com/TravelofSalaryMan/
https://www.facebook.com/voravuds
Voravud Santiraveewan
วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 เวลา 10.28 น.