มาถึงวันที่ 7 กันแล้ว ของทริปตะลุยคิวชูเหนือ วันนี้เราจะไปเที่ยวเมือง Yanagawa นั่งรถไฟจากสถานี Hakata ไปแค่ ชั่วโมงกว่าๆเอง เมืองนี้คนยังไม่ค่อยรู้จักนะ เรียกได้ว่าเป็นเมืองนอกสายตาเมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆใน Fukuoka เดี๋ยวมาดูกันครับ ว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง


Yanagawa เป็นเมืองเล็กๆ มีคลองอยู่รอบเมือง ที่นี่เราจะได้สัมผัสกับบรรยากาศชิวๆ Slow Life ไม่เร่งรีบ กิจกรรมที่นิยมกันเลยก้อคือการล่องเรือไปตามคลอง ดูบ้านเรือนของผู้คนที่อาศัยอยู่ริมฝั่งคลอง

บรรยากาศการล่องเรือในเมือง Yanagawa ในเรือจะมีโต๊ะโคทัตซึ หรือโต๊ะอุ่นขา อยู่ด้วย อากาศเย็นๆซุกโต๊ะอุ่นๆ พร้อมกับเตรียมขนมไปกินด้วย ชมวิวไปด้วย ฟินสุดๆไปเลย

การล่องเรือในเมือง Yanagawa คนพายเรือก้อจะเป็นผู้สูงอายุที่เป็นคนในพื้นที่ เป็นการสร้างงานสร้างอาชีพไปในตัว พายๆไปคุณลุงก้อจะร้องเพลงพื้นบ้านให้เราฟังด้วย เสียงดีใช่เล่นเลย เพลินๆดี

นั่งเรือไปตามคลองเพลินๆ มาเจอบริเวณนี้ ใบไม้เปลี่ยนสีร่วงลงมาบนผืนน้ำ เหมือนพรมสีเหลืองๆอยู่ตรงหน้า ระหว่างนั้นลมก้อพัดมาเบาๆ ใบไม้สีเหลืองร่วงลงมาเป็นสายตามแรงลม ทั้งสวยทั้งบรรยากาศดีมากๆ เสียดายไม่สามารถเก็บความสวยงามชั่วขณะนั้นมาได้ทั้งหมด

ล่องเรือตามคลองของเมือง Yanagawa ใช้เวลาราวๆ 40-50 นาที แล้วก้อจะถึงจุดขึ้นเรือ เห็นแล้วโอ้โห ทำไมมันสวยกว่าจุดขึ้นเรือเยอะมากๆ ใบไม้สีแดงๆระบายเป็นฉากหน้า เพิ่มสีสันให้เรือที่จอดอยู่ให้สวยงามขึ้นเยอะเลย

จากจุดจอดเรือ เราสามารถเดินชิวๆไปตามสองฝั่งแม่น้ำได้ มีทั้งร้านอาหาร ร้านค้า ค้านขายของที่ระลึกอยู่เต็มไปหมด บรรยากาศก้อจะแบบ Slow Life มากๆ เรื่อยๆ สบายๆ คนไม่เยอะ สองฝั่งแม่น้ำก้อจะปลูกต้นหลิวไว้เต็มไปหมด

เดินไปเดินมาก้อชักจะหิวล่ะ ของขึ้นชื่อของเมือง Yanagawa คือปลาไหลนั่นเอง จริงๆตั้งแต่ที่สถานีรถไฟก้อจะเห็นสัญลักษณ์ หรือตัวการ์ตูนรูปปลาไหลอยู่เต็มไปหมด ตอนหาข้อมูลเค้าบอกเลือกร้านไหนก้อได้ อร่อยเหมือนกันหมด แอบส่องๆอยู่หลายร้าน มาลองกันที่ร้านนี้ละกันนะ

ตอนเดินดูร้านขายของที่ระลึก จะมีพวกของกินขายอยู่ และมีจานให้ชิม ตอนที่ยืนงงๆกับอาหารหน้าตาประหลาดๆ คุณป้าชาวญี่ปุ่นสองคนก้อชี้ให้เราดู พร้อมกับยกนิ้วโป้งแล้วพูดว่า โออิชี๊ โออิชิ๊ เอาก้อเอา ลองกินดู มันกรุบๆกรอบๆเหมือนกินพวกปลาอะไรนะที่เค้าทอดทั้งกระดูก ถามไปถามมาได้ความว่ามันคือกระดูกปลาไหลทอดกรอบ คิดดูว่าอร่อยจนซื้อกลับมาเมืองไทยกินอ่ะ แล้วมากินข้าวก้อยังสั่งมาอีก อิอิ

มาแล้วๆ set ข้าวหน้าปลาไหลนึ่ง แบบ Special คือแบบธรรมดามันจะอยู่ที่ 4,000เยน (ประมาณ 1,200บาท) แต่ไหนๆมาล่ะ ขอแบบ Special เลยละกัน ราคา 6,000 เยน (ประมาณ1,800 บาท) ห๊ะ!!!!! ข้าวมือนี้ราคาเกือบ 2,000 กระเป๋าแบนกันไปเลยทีเดียว แต่ปกติปลาไหลในไทยก้อราคาแพงอยู่แล้ว โดยเฉพาะข้าวหน้าปลาไหลแบบดีๆก้อพันกว่าบาท ชุดนี้เสริฟมาในกล่องไม้หรูหราอย่างดีเลย

เปิดกล่องออกมาก้อจะเป็นแบบนี้ ข้าวจะถูกนึ่งกับซอส หอมฉุยมาเลย พร้อมด้วยปลาไหลชิ้นใหญ่เนื้อแน่นๆวางแผ่หรามา 1 ชิ้นใหญ่ แต่นี่เป็น set special กินๆไป ข้างในยังมีปลาไหล size ขนาดนี้ซ่อนอยู่อีก 1 ชิ้น กินกันสะใจไปเลย

อ้ามมมมมมมม ปลาไหลชิ้นอวบๆ พอเข้าปากนี่ รู้ได้ถึงความสดของปลา ความแน่นของเนื้อปลาไหล ไม่เหมือนของไทยที่นิ่มๆ กลิ่มหอมของซ๊อสที่นึ่งมาอย่างดีจนเข้าเนื้อ บอกได้เลยว่าอร่อยมากกกกกกกกกกกกก

ส่วน set นี้ จะเป็น set ปลาไหลย่าง ราคา 4,000 เยนเหมือนกัน เสริฟมากับข้าวญี่ปุ่นขาวๆ รสชาติก้อจะไปอีกแบบ ได้กลิ่นไหม้จางๆ อร่อยไปอีกแบบ จริงๆตอนสั่งนี่เลือกยากมากว่าจะเอาแบบนึ่ง หรือแบบย่าง

มาดูปลาไหลย่างกันชัดๆ กับเนื้อชิ้นใหญ่ๆแน่นๆ ย่างมาได้เกรียมๆเล็กน้อย ไม่มากนัก กับกลิ่นหอมๆ ตอนถ่ายรูปแทบอดใจไม่ไหว โรยหน้ามาด้วยไข่หั่นเป็นเส้นฝอยๆ

อิ่มแล้วเราก้อเดินทางกันต่อ ไปที่ Dazaifu Shrine อีกศาลเจ้าหนึ่งที่ดังมากๆใน Fukuoka ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ไม่ไกลมาก

ขบวนรถไฟที่จะไปยังสถานี Dazaifu เป็นขบวนรถไฟที่ตกแต่งเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าจะมีความยาวเพียง 3 สถานีเท่านั้น บ่งบอกได้ถึงความโด่งดังของDazaifu Shrine ได้เลย ขบวนรถสีส้มคาดแดงนี่สวยดีจริงๆนะเนี่ย

ภายในขบวนรถไฟ Dazaifu สะอาด สวยงาม น่านั่งเป็นที่สุด แต่ดูแล้วไม่ค่อยมีคน นั่งสบายเลย

เมื่อลงที่สถานี Dazaifu แล้วเดินต่ออีกนิดเดียวก้อจะถึงถนนทางเข้าศาลเจ้า แต่ขอบอกเลยว่า นี่แหละถนนละลายทรัพย์ มีทั้งร้านขายของที่ระลึกมากมาย ร้านขายของ Totoro ที่เด่นๆเลยจะเป็นขนมโมจิย่างไส้ถั่วแดง ของดังของที่นี่ มีให้เลือกหลายร้านเลย และ Starbuck สาขาที่สวยที่สุดในโลกก้ออยู่บนถนนเส้นนี้ด้วยเช่นกัน เสียดายตอนที่ไปปิดปรับปรุงอยู่

จุดหมายของเราในช่วงบ่ายนี้คือ Dazaifu Tenmangu Shrine ซึ่งมีชื่อเสียงมากๆในหมู่เด็กนักเรียนที่กำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย Dazaifu Tenmagu Shrine นั้นสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติสำหรับท่าน Sugawara Michizane ผู้ที่มีอัจฉริยภาพทางการเรียนรู้และมีความสามารถต่างๆมากมายตั้งแต่วัยเยาว์ เป็นที่เลืองลือโด่งดังมาก รูปปั้นวัวสีทองตัวนี้ก็มีตำนาน ในพิธีศพของท่าน Sugawara Michizane ใช้วัวในการลากเคลื่อนขบวนทันใดนั้นเจ้าวัวก็หยุดอยู่กับที่ ไม่ยอมไปไหน ทุกคนจึงได้ตัดสินใจ หยุดจัดงานพิธีเผาศพกันที่ตรงนี้และต่อมาบริเวณนี้ก็คือที่ตั้งของศาลเจ้า Dazaifu Tenmangu ในปัจจุบันนั่นเอง

เดินถัดไปอีกนิดจะเจอสระขนาดใหญ่ชื่อ Taijiike พร้อมสะพานสีแดง ที่มีชื่อเรียกว่า Taikobashi สะพานนี้สร้างขึ้นทั้งหมด3 ส่วน โดยเป็นตัวแทนของ อดีต, ปัจจุบัน และ อนาคต สอดคล้องกับหลักของพระพุทธศาสนาที่ว่าหนึ่งความคิดควรเก็บไว้ในช่วงเวลานั้น คือ ให้ปล่อยวาง นั่นเอง และสระน้ำถ้าดูดีๆก็จะเห็นว่าเป็นรูปทรงหัวใจมองกันดีๆนะครับ

แล้วเราก้อมาถึงประตูหน้าศาลเจ้า Dazaifu Tenmagu Shrine มาฟังประวัติของท่าน Sugawara Michizane กันครับ ท่านมิชิซะเนะเกิดที่กรุงเกียวโตเป็นนักวิชาการและนักการเมืองในยุคเฮอัน หลังจากที่ท่านได้เสียชีวิตลง ชาวบ้านก็ยกย่องท่านในฐานะเทพเจ้าแห่งการเรียนรู้หรือ Tenjin นั่นเอง

ชีวิตของท่านมิชิซะเนะไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด อัจฉริยภาพของท่านฉายแววมาตั้งแต่อายุได้เพียง 11 ปี ท่านสามารถแต่งกลอนได้เอง และความสามารถอันโดดเด่นของท่านเริ่มแพร่หลายไปอย่างกว้างขวาง เมื่อท่านโตเป็นหนุ่มยังแสดงความสามารถในการยิงธนูอีกด้วย ท่านได้เป็นคนโปรดของจักรพรรดิ และได้รับมอบตำแหน่งสำคัญๆมากมาย ทั้งทางการทูตกับจีนและยังเป็นผู้ปกครองเมืองซะนุกิ เหล่าขุนนางในสมัยก่อนจึงพาลกันอิจฉาไม่ชอบหน้าเลยได้ให้ร้ายท่าน สมคบคิดกับตระกุลฟูจิวะระ ที่กุมอำนาจอยู่ในยุคนั้น และขับไล่ให้ออกจากกรุงเกียวโตไปยังดินแดนไกลโพ้นซึ่งก็คือที่ดาไซฟุแห่งนี้ การเดินทางระหว่างจาก เกียวโต มายัง ดาไซฟุ นั้นไกลแสนไกลหลังจากท่านเดินทางมาถึงด้วยความยากลำบากท่านต้องใช้ชีวิตบั้นปลายอันโดดเดี่ยวที่ๆแห่งนี้และสิ้นลงด้วยวัยเพียง 59 ปี เมื่อปี 903

เหล่าชาวบ้านที่รักใคร่เเละเคารพท่านต่างก็เสียใจและหลังจากที่ท่านสิ้นก็เกิดภัยพิบัติต่างๆมากมายที่กรุงเกียวโตตระกูลฟุจิวะระที่คิดร้ายต่อท่าน ก็เริ่มล้มหายตายจากไปทีละคน เหล่าขุนนางในวังต่างกลัวเกรงและคิดว่านี่เป็นความอาฆาตแค้นของดวงวิญญาณท่านมิชิซะเนะจึงได้ทำการสร้างศาลเจ้า เพื่อเป็นการไถ่โทษและยกย่องท่านมิชิซะเนะในฐานะ Tenjin ขึ้นที่กรุงเกียวโตและ เมืองดาไซฟุ แห่งนี้ ดังนั้นที่เกียวโตจึงมีศาลเจ้าอีกแห่งที่อุทิศให้ท่านมิชิซะเนะชื่อว่าศาลเจ้า Kitano Tenmangu ตัวอาคารหลักของศาลเจ้า Dazaifu Tenmagu Shrine ที่เห็นนั้นเป็นงานที่สร้างขึ้นเมื่อปี1591 ส่วนของดั้งเดิมที่สร้างขึ้นเมื่อปี 919 ได้ถูกเผาทำลายไปในช่วงสงคราม

ด้านในของ Dazaifu Tenmagu Shrine ที่ญี่ปุ่น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาลเจ้าโดยทั่วไปจะนับถือ หินหรือไม้ใหญ่ตามธรรมชาติ, กระจก, ดาบ เป็นต้น ซึ่งแตกต่างกันไปตามแต่ละศาลเจ้า นอกจากนี้ สิ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถูกสักการะไว้อย่างเงียบสงบในส่วนลึกที่สุดของศาลเจ้า บุคคลทั่วไปที่มาสักการะจึงไม่สามารถเข้าชมได้

ด้านหน้าของ Dazaifu Tenmagu Shrine ตอนที่ไปเห็นนักบวชยืนขอรับบริจาคอยู่ นักบวชที่เห็นในรูปเป็นนักบวชในลัทธิชินโต ซึ่งเป็นลัทธิความเชื่อพื้นเมืองประจำประเทศญี่ปุ่น

เที่ยวศาลเจ้ากันเสร็จแล้วช่วงเย็นก้อกลับมาเดินช๊อปปิ้งกันที่ Canal City ห้างดังของเมือง Fukuoka กันต่อ ห้างนี้ใหญ่โตมากๆ เดินยังไงก้อไม่ทั่ว ช่วงเย็นที่ลานน้ำพุของห้างมีการแสดงกันอยู่ด้วย

หลังจากจบการแสดงที่ห้าง Canal City ช่วง 18:00 ได้มีการแสดงน้ำพุแสงสีเสียงของ Onepiece ด้วย ตามตารางที่เห็นก่อนไปเวลาจะไม่ตรงกับตอนที่ไป แต่นี่เค้าเปลี่ยนเวลาบังเอิญอยู่ตรงนั้นพอดี เลยได้ดูตั้งแต่ต้นจนจบ โชคดีมากๆ อลังการสุดๆ

มีต่อด้านล่างนะครับ


ติดตามกันต่อได้ที่

https://www.facebook.com/TravelofSalaryMan/

https://www.facebook.com/voravuds

มื้อเย็นเราไปทานข้าวกันที่ Yatai(屋台) หรือแผงขายอาหารกลางคืน (Food stalls) ตั้งเรียงรายอยู่ริมแม่น้ำ แต่ละแผงจะจัดที่นั่งให้ลูกค้าล้อมรอบแผง เป็นบรรยากาศการทานอาหารอีกแนวของญี่ปุ่น จริงๆแล้ว Yatai มีอยู่หลายแห่งในฮากาตะ แต่ที่คนนิยมมาคือที่ริมแม่น้ำย่านNakasuครับ สำหรับอาหารที่ขายมีทั้งราเมง เมนูปิ้งย่าง บาร์บีคิว อาหารทะเล ซูชิ นอกจากนี้ยังมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้บริการสำหรับลูกค้าที่มาทานมื้อค่ำหรือมาสังสรรค์กับเพื่อนฝูง

เย็นวันนี้จองที่พักที่ Hakata ไม่ได้เลย เต็มหมด เลยต้องไปนอนเมืองอื่นแทน เลยเลือกไปนอนที่ คิตะคิวชู หรือ เมือง Kokura นั่นเอง ซึ่งเป็นเป้าหมายในการเที่ยวต่อในวันรุ่งขึ้นด้วย ไกลอยู่เหมือนกัน ตั้ง 73km ใช้เวลาเดินทาง 1ชมนิดๆ


ติดตามกันต่อได้ที่

https://www.facebook.com/TravelofSalaryMan/

https://www.facebook.com/voravuds

Voravud Santiraveewan

 วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 เวลา 09.02 น.

ความคิดเห็น