วันสุดท้ายของทริปแล้ว วันนี้เราจะไปเที่ยวชม Kokura Castle จากนั้นไปหาซูชิสดๆกินที่ Shimonoseki และไปจบมื้อเย็นที่ย่านการค้าแถว Kokura
วันนี้เราจะเที่ยวอยู่แถวๆเมือง Kokura นี่แหละ โดยที่หมายแรกในช่วงเช้าวันนี้จะเป็นปราสาท Kokura อยู่ใกล้ที่พักมากๆ นั่งรถไฟไปแค่ 10 นาทีเอง
บริเวณศาลเจ้าที่อยู่ข้างๆปราสาท Kokura เป็นศาลเจ้าทั่วๆไป ไม่มีอะไรโดดเด่นมากนัก แต่ผมชอบเครื่องรางของที่นี่ มีการทำเป็นเหมือนศาลเจ้าเล็กๆ แล้วลงคาถาไว้ จัดมาคนละ 1 ชุดถ้วน อิอิ
อาคารปราสาทหลักของปราสาท Kokura ถูกทำลายลงเมื่อปี 1865 และได้ถูกสร้างขึ้นใหม่อีกครั้งปี 1954 สูง 5 ชั้น หลังคามี 4 ระดับได้ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีข้อมูลและประวัติศาสตร์บริเวณนี้ โดยจะมีทั้ง วัตถุโบราณ ชุดกิโมโน ชุดซามูไร โมเดลจำลองของบ้านเมืองสัมยโบราณ ตัวอย่างห้องของโชกุน ห้องชมภาพยนตร์ งานแสดงศิลปะ และจุดชมวิวที่ชั้นบนสุด
บริเวณชั้น1 ของปราสาท Kokura จัดเป็นโมเดล 3มติ แสดงตัวปราสาท ศาลเจ้าและบ้านเรือนดั้งเดิมรอบๆ ปราสาท ประกอบแสงสีเสียง น่าตื่นเต้น
ชั้น 2 ของปราสาท Kokura จะเป็นห้องประชุมวางแผนการรบของโชกุน เสลี่ยงที่โชกุนนั่ง เราสามารถขึ้นไปนั่งได้ และมุมถ่ายรูปในชุดซามูไรและกิโมโน ชั้น 3 เป็นโรงหนังย่อยๆ ชั้น 4 เป็นแกลอรี่แบบหมุนเวียน ส่วนชั้นบนสุดจะเป็นจุดชมวิวเมือง
ภายในปราสาท Kokura ได้มีการจัดแสดงรูปเสือโคร่งขนาดใหญ่มากๆไว้ด้วย ด้วยลวดลาย และแสงที่ส่องไปยังภาพ ทำให้ภาพเสือโคร่งนี้ดูน่าเกรงขราม และสวยมากๆ ยืนๆจ้องไปรู้สึกเหมือนเสือกำลังจะเดินออกจากภาพมาหาเราเลยทีเดียว
ติดกับบริเวณปราสาท Kokura ทางทิศตะวันออกจะมีสวนญี่ปุ่นตั้งอยู่ ซึ่งภายในจะแบ่งออกเป็น 3 โซนใหญ่ๆ คือ ส่วนที่เป็นสวนแบบญี่ปุ่น ส่วนที่เป็นอาคารไม้ตั้งอยู่ริมบึงของสวนที่เอาไว้นั่งจิบชา ชมสวน พร้อมกับวิวปราสาทด้วย และส่วนสุดท้ายที่จะเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อม จะเดินเข้าไปชมสวนญี่ปุ่น หรือ พิพิธภัณฑ์ต้องเสียค่าชมเพิ่มนะครับ ไม่รวมอยู่ในค่าชมปราสาท ค่าเข้าชมทั้งหมดราคา 1,000 เยน แต่ถ้าชมหมดเค้าลดให้เหลือ 700 เยน
ภายในเรือนไม้ริมบึงทางทิศตะวันออกของปราสาท Kokura จะเป็นห้องเสื่อญี่ปุ่นขนาดแท้และดั้งเดิมเลย แต่เดินเข้าไปไม่ได้นะครับ ยืนมองกะถ่ายรูปอยู่ด้านนอกได้
วิวปราสาท Kokura ที่มองจากสวนญี่ปุ่น คือแบบ ต้องยอมซื้อตั๋วเพิ่มเข้ามาเลย มันสวยมากๆ
จุดหมายต่อไปคือ ตลาดปลา Karato อยู่ไม่ไกลจาก Kokura เท่าไหร่ นั่งรถไฟไปลงสถานี Shimonoseki ใช้เวลาแค่ 40 นาทีเอง แต่ต้องต่อรถบัสแล้วเดินไปอีก
พอลงสถานี Shimonoseki แล้วก้อเห็นที่สถานีตกแต่งประดับไว้ด้วยโคมไฟที่ทำเป็นรูปปักเป้า น่ารักเชียว
นั่งรถบัสไปลงสถานี Karato แล้วเดินต่ออีกหน่อย ก้อจะเจออาคารหลังใหญ่ๆพร้อมด้วย Logo ปลาปั๊กเป้าอยู่ริมทะเล นี่แหละจุดหมายของเรา ตลาดปลา Karato หรือ Karato Ichiba
เดินเข้าไปในตลาดปลา Karato อีกหน่อยก้อจะเจอเจ้าปั๊กเป้ายักษ์ยืนหน้าแป้นอยู่ ตัวเบ้อเร่งเลยอ่ะ
เดินเลยเข้าไปจากเจ้าปั๊กเป้ายักษ์ ก้อจะเจอตลาดล่ะ มีปลาสดๆขายกันเยอะแยะเลย แต่เอ๊ะ เรามาทำอะไรกัน แน่นอนครับ คงไม่ได้มาซื้อปลากันแน่ๆ เดินเลยโซนที่ขายของสดเข้าไปอีกหน่อย ก้อจะเจอกับสิ่งที่เราตั้งใจจะมาที่นี่กัน (ตอนแรกเจอแต่ของสดขาย ในใจนึกว่ามาผิดวันซะแล้ว)
ตลาด Karato นอกจากจะขายของสดแล้ว ยังมีชื่อในการขายซูชิอีกด้วย ด้านในจะเห็นซูชิวางขายกันเยอะแยะมากมายเลยทีเดียว พวกซูชิปลาแซลมอล ปลาโอ ที่บ้านเรานิยมกันนักหนา ที่ญี่ปุ่นนี่เป็นของ low grade สุดเลย ชิ้นละ 100 เยนเอง
ผู้คนเยอะแยะมากมาย มาเดินเลือกซื้อซูชิที่ตลาดปลา Karato วิธีซื้อคือร้านจะให้กล่องพลาสติกใสมา เราก้อเอาที่คีบเลือกหยิบซูชิที่ต้องการใส่กล่อง เสร็จแล้วก้อเอาไปให้พ่อค้าแม่ค้าคิดเงินได้เลย
ซูชิที่ตลาดปลา Karato มีเยอะมากๆ มีแบบแปลกๆที่ไม่เคยเห็นเต็มไปหมด หอยเม่นก้อมา เค้าจะขายเป็นคำๆนะครับ ราคาที่ติดก้อจะเป็นต่อคำ
กองนี้ก้อจะแพงหน่อย คำละ 300 เยน จะเป็นหอยอะไรสักอย่าง เมืองไทยก้อมีขาย แต่หอยตัวไม่ใหญ่ขนาดนี้ ความสด ความเด้ง ความหวานของเนื้อไม่ต้องพูดถึง เทียบไม่ติดเลย ส่วนปลาขาวๆข้างๆหอย จะเป็นซูชิเอนกาวะ ตลาดปลา Karato เปิดตั้งแต่เช้าถึงบ่ายสามโมงนะครับ
ที่ตลาดปลา Karato ไม่ได้มีแค่ซูชิขายอย่างเดียว อย่างในรูปจะเป็นหอยซาซาเอะ ของขึ้นชื่อแถวนั้น แล้วยังมีพวกเทมปุระ หรือซุปขายด้วย โดยซุปที่ขึ้นชื่อที่นี่คือซุปปลาปั๊กเป้า ชามละ 400 เยน รสชาติกลมกล่อมดีเลย
พอช่วงตลาด Karatoใกล้ๆปิด แต่ละร้านจะเริ่มลดแลกแจกแถมกันแล้ว โดยเอาซูชิคละหน้ามาขายรวมๆลดราคาถูกๆ แต่ของดีๆอย่างพวก ชูโทโร่ โอโทโร่ จะไม่ค่อยมีเหลือแล้ว แล้วก้อจะเลือกไม่ได้ด้วย
มื้อนี่ที่ตลาดปลา Karato ผมหมดไปราวๆ 4,000 เยน ก้อคือ พันสองร้อยกว่าบาท ได้ซูชิมา 12 คำ มาดูดีกว่าว่าได้อะไรมาบ้าง จากซ้ายไปขวาจะเป็น ชูโทโร่ ซูชิหน้าแพงหรูของเมืองไทย อร่อยมากกกกก เข้าปากแล้วน้ำตาจะไหล ถัดมาเป็นซูชิหอยอะไรสักอย่าง เอกกาวะ ไอ้ที่พักสาหร่ายนี่เป็นโอโทโร่สับ ที่เมืองไทยชูโทโร่ว่าแพงแล้ว โอโทโร่แพงซะยิ่งกว่า สุดท้ายเป็นปลาน้ำลึกแปลกๆ หยิบมาลอง อร่อยหมดเลยยยยย ของสดมากๆ
ถาดที่สองที่ตลาดปลา Karato จากซ้ายไปขวา เริ่มด้วยโอโทโร่ เนื้อส่วนที่เรียกได้ว่าดีที่สุด อร่อยที่สุด และแพงที่สุด ของปลามากุโระ ซึ่งจะเป็นเนื้อส่วนท้องนั่นเอง เข้าปากปุ๊ปน้ำตาจะไหล แทบจะละลายในปากเลย ถัดมาเป็นปลาคอดำ หรือ Nodokuro ตัวนี้ก้อแพงสุดๆในบ้านเราอีกเหมือนกัน มีส้มยูซุของขึ้นชื่อของ fukuoka วางไว้ด้านบน อร่อยมาก อร่อยแบบบรรยายไม่ถูกจริงๆ รสเปรี้ยวๆของส้มก้อเข้ากันดีมากๆ ชิ้นที่สามเป็นโอโทโร่ แต่ชิ้นนี้ไขมันแทรกเยอะมาก ชิ้นที่แล้วแทบละลาย ชิ้นนี้ละลายในปากเลย ไม่เคยกินซูชิที่ไหนอร่อยเท่านี้มาก่อน ต่อมาเป็นแซลมอนธรรมดา แบบว่าอยากลอง 55555 สุดท้ายเป็นปลาหมึก
ถาดที่สามตลาดปลา Karato อันนี้รวมๆกับของที่บ้าน มีข้าวปั้นที่เอาฟองเต้าหู้มาพันโรยไขปลากับปูอัด หยิบมาเพราะหน้าตาน่ากินแท้ๆ กับหอยเชลล์ สดมากๆ เนื้อเด้งดึ๋ง หวานสุดๆ ใครมาแถว Fukuoka แนะนำเลย ต้องมาที่นี่ให้ได้เลยครับ
และแล้วมาถึงสถานที่ท่องเที่ยวสุดท้ายของทริปนี้ เมือง Mojiko ซึ่งจริงๆอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับ Shimonoseki เลย แต่นั่งรถไฟอ้อมไปนิดเดียว เมืองนี้มีชื่อเล่นว่า Mojiko Retro Town เป็นเมืองเล็กๆน่ารักๆ อาคารบ้านเมืองสวยงาม เป็นอีกเมืองที่นักท่องเที่ยวนิยมมากัน
มาถึงแล้ว สถานีรถไฟเมือง Mojiko ได้ชื่อว่าเป็นสถานีรถไฟที่เก่าแก่ที่สุด และสวยงามที่สุดในญี่ปุ่นเลยทีเดียว แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า กำลังซ่อมแซมครั้งใหญ่อยู่ ดูจากใน Internet ซ่อมมาตั้งแต่ปี 2558 จนบัดนี้ยังไม่เสร็จเลย ในรูปจะมีซุ้มและระฆังติดอยู่ เค้าเชื่อกันว่า ถ้าได้ไปสั่นระฆังใบนี้แล้ว จะได้กลับมาเยือน Mojiko อีกครั้งหนึ่ง เลยไปสั่นสัก 3 ที
อาคาร Old Moji Mitsui Club ในเมือง Mojiko สวยงามมากๆ เป็นสไตล์ยุโรป รู้ไหมครับว่าครั้งหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องโลก อัลเบิร์ต ไอสไตน์ ก้อเคยมาพักที่นี่ในปี คศ 1822 มาแล้ว
เป็นที่น่าเสียดายที่ตอนไปถึงเมือง Mojiko ฝนได้โปรยปรายลงมา ฟ้าก้อมืดๆทะมึนๆ เลยไม่ได้รูปอะไรมากมาย ตัดสินใจกลับไปหาอะไรกินแถวโรงแรมดีกว่า 5555555555 ไว้วันหลังจะมาใหม่นะ สั่นระฆังแล้วนี่
แถวๆสถานีรถไฟ Kokura มีอยู่ซอยนึง เล็งมาหลายวันล่ะ เหมือนจะมีขายของกินเยอะ พอเข้าไปดูเท่านั้นแหละ โหยยยย ร้านอาหารเยอะมากๆ แถมน่ากินทั้งนั้น เราเห็นป้ายโฆษณาเกี๊ยวซ่าแบบในรูป เลย search net ทันที แล้วตามรอบไปกินทันที ตอนแรกว่าจะสั่งมาจานเดียว แต่พอกันเข้าไปเท่านั้นแหละ แป้งข้างนอกกรอบมากๆ ส่วนด้านในนุ่มๆละมุน หมูที่เป็นไส้ก้อหมักเครื่องได้อร่อยดี ไม่รอช้าสั่งเพิ่มมาอีกถาดทันที ทั้งๆที่ราคาก้อไม่ใช่ถูกๆ 5555555555
มาถึง Fukuoka ทั้งที จะไม่ลองเมนูขึ้นชื่อของเค้าได้ยังไง กับ โมตสึนาเบะ (Motsunabe) เป็นเมนูอาหารที่มีโปรตีนสูง แคลอรี่ต่ำ แถมยังอุดมไปด้วยวิตามินนานาชนิด Motsunabe ที่คนญี่ปุ่นทานกันส่วนใหญ่จะทำจากเครื่องในของวัว ถึงแม้จะเรียกว่าเป็นเครื่องในหม้อไฟ แต่พระเอกของเมนูนี้กลับเป็นผัก ส่วนเครื่องในทำหน้าที่เหมือนเป็นตัวส่งรสชาติของผักเท่านั้น น้ำซุปรสเยี่ยมกับผักที่อัดแน่น แถมด้วยคอลลาเจนจากเครื่องใน เมนูนี้จึงเป็นอีกหนึ่งเมนูที่ถูกใจสาวๆที่รักในการดูแลความงามและสุขภาพ ตอนแรกเห็นว่าเป็นเครื่องในซึ่งผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่ไหนๆมาถึงที่นี่แล้วต้องลอง กลิ่นหอมมากๆ พอลองชิมน้ำซุป อื้อหือ น้ำซุปที่อัดแน่นไปด้วยความหวานของผักระเบิดความอร่อยออกมาเต็มปาก กับเครื่องในนิ่มๆไม่คาวเลย เอาเป็นว่าคนทานเนื้อไม่ควรพลาดครับ
พออิ่มอร่อยกันแล้ว ก้อเริ่มหาของหวาน มีเมนูเค้กเมนูนึงที่เวลาผมมาญี่ปุ่นทุกครั้งต้องซื้อมาทาน คือเค้กมองบลังค์ หรือเค้กเกาลัด มีเกาลัด 1 ลูกถ้วนโปะมาด้านบน ส่วนด้านในเป็นครีมผสมเนื้อเกาลัด หอมหวานอร่อยมากๆ เคยเห็นที่ไทยมีขายแบบนี้ อุตส่าห์ดีใจเข้าไปซื้อมาชิม ปรากฎว่าไม่ได้เรื่อง ครีมด้านในมีแต่ครีมล้วนๆไม่มีเนื้อเกาลัดผสม เดี๋ยวคราวหน้าไปญี่ปุ่นก้อจะไปหาซื้ออีก
จริงๆแล้วทริปนี้ยังอยู่อีกสองวันครับ วันที่ 9 วางแผนจะเดินช๊อปปิ้งแถวเทนจินทั้งวัน ส่วนวันที่10 ก้อได้เวลาเดินทางกลับบ้าน
ในส่วนของวันที่9 วันสุดท้ายของทริป ซึ่งวางแพลนไว้ให้เป็นวัน Shopping วันนี้จึงเก็บอุปกรณ์กล้องส่วนใหญ่ไว้ที่โรงแรม เดินตัวเบาๆไป shopping โดยหลักๆจะเดินอยู่ห้างแถวย่าน Tenjin ซึ่งเป็นย่าน Shopping ของเมือง Fukuoka เสร็จแล้วจริงๆตั้งใจจะไปหาร้านที่ขายเมนูปูยักษ์อย่างเดียว แต่ร้านที่ใน web เค้าแนะนำมาเป็นเมนูหลายๆอย่างแทน น่าเสียดายที่ไม่ได้กินขาปู แต่ก้ออร่อยดี กับร้าน Hot Pepper อยู่ใกล้ๆสถานี Hakata อาหารชุดนี้ทานกัน 5 คน ราคา 30,000 เยน หรือประมาณ 9พันบาท
เมนูจานที่สองของร้าน Hot Pepper ที่ Hakata เป็นสลัดราเมง แปลกดีไม่เคยเห็น เหมือนเป็นสลัดแต่เอาราเม็งลงไปคลุกด้วย อร่อยใช้ได้เลย
เมนูจานที่สามของร้าน Hot Pepper ที่ Hakata เป็น Seafood รวม ก้อจะมีกุ้ง แซลมอน ปลาหมึกคลุกรวมๆกันมา แต่งหน้าด้วยส้มยูซุ
เมนูจานที่สี่ของร้าน Hot Pepper ที่ Hakata เป็น มันบดชุดแป้งทอด วางบน Onion Ring อันนี้รสชาติทั่วๆไป ไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ
เมนูจานที่ห้าของร้าน Hot Pepper ที่ Hakata เป็นยากิโทริไก่ หรือไก่ย่างถ่าน โรยหน้าด้วยหอมญี่ปุ่นฝานบางๆ เห็นหน้าตาบ้านๆแบบนี้ แต่หอมมากๆ กลิ่นถ่านอ่อนๆ กับกลิ่นไก่ย่างคละคลุ้งผสมกันอย่างลงตัว อร่อยครับ
เมนูจานที่หกของร้าน Hot Pepper ที่ Hakata เป็น เนื้อย่างพอสุด ข้างในแดงๆหน่อย ราดด้วยซอสแอปเปิ้ล จานนี้ก้อกลมกล่อมดีทีเดียว
เมนูจานที่เจ็ดของร้าน Hot Pepper ที่ Hakata เป็น ซูชิปิดท้าย สงสัยกลัวไม่อิ่ม 5555555555555 รสชาติอร่อยตามมาตรฐาน แพงไหมไม่รู้ กับราคา 30,000 เยน แต่อิ่มใช้ได้เลย
ก้อเป็นอันจบทริปตะลุยคิวชูเหนือนะครับ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามมาตั้งแต่วันแรก แล้วเจอกันใหม่ทริปหน้าครับ
ติดตามกันต่อได้ที่
https://www.facebook.com/TravelofSalaryMan/
https://www.facebook.com/voravuds
Voravud Santiraveewan
วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2564 เวลา 09.27 น.