เขื่อนเชี่ยวหลาน เขื่อนรัชประภา หรือ กุ้ยหลินเมืองไทย มีชื่อเสียงด้านความสวยงามของภูเขาหินปูนมากนาน เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ใครๆก้อรู้จัก วันนี้เราจะพาเพื่อนๆไปนอนกางเต๊นท์จุดท่องเที่ยวใหม่กลางเขื่อนรัชประภาที่เพิ่งเปิดได้ไม่กี่ปี ในชื่อชวนค้นหาว่า “ควนคางคก” หรือ Frog Island กันครับ โดยเราจะไปในช่วงหน้าฝน (ต้นเดือนสค) รับรองได้บรรยากาศชุ่มฉ่ำแน่ๆ ไปกันครับ
ทริปนี้ เราออกเดินทางโดยการเหมารถตู้ โดยออกจากที่จอดรถ BTS หมอชิตราวๆ 2ทุ่มครึ่ง หลับๆตื่นๆกันไปในรถ ถึงสันเขื่อนก้อเช้าราวๆ 6โมงพอดี ระหว่างทางก้อฝนตกตลอดทาง จนเริ่มไม่หวังอะไรกับทริปนี้มากนัก เพราะมีข่าวพายุเข้าพอดี แต่พอถึงสันเขื่อน เราก้อเจอน้องหมอกจางๆออกมาต้อนรับให้ชื่นใจกัน
พอเริ่มสาย เราก้อนั่งเรือออกจากสันเขื่อน เพื่อตรงไปยังควนคางคกกันเลยครับ ผมเคยมาเขื่อนรัชประภารอบนี้เป็นรอบที่สาม รอบแรกมานั่งเรือเล่นเฉยๆ รอบที่สองพักที่แพห้าร้อยไร่ นั่งเรือเข้าไปลึกเลย แต่ที่ควนคางคก นั่งเรือเข้าไปไม่ไกลมากครับ ควนคางคกอยู่ใกล้ๆกับแพนางไพร และอยู่ตรงข้ามกับจุดชมวิวเขาสามเกลอ
ควนคางคก เป็นเกาะเล็กๆกลางเขื่อนเชี่ยวหลาน เป็นที่ตั้งของหน่วยพิทักษ์ป่าเขาพัง โดยมีการดัดแปลงเป็นลานร้านอาหาร มีบริการเสื้อชูชีพให้เล่นน้ำ มีเรือคายักให้พายเล่นกัน หรือใครอยากเดินป่าก้อมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติให้ได้ลุยกันครับ ที่สำคัญ มีบริการเต๊นท์ให้นอนพัก พร้อมอาหารสามมื้อด้วย (มื้อกลางวัน เย็น และเช้า) อาหารอร่อยเลยทีเดียวล่ะ
เมื่อเราขึ้นไปบนเกาะ ขนของลงมาวางเรียบร้อย ฝนก้อทำท่าก่อตัว และก้อตรงโปรยปรายลงมาไม่เบาเลย เนื่องจานลานตรงร้านอาหารไม่ใหญ่มาก และลมฝนก้อกระหน่ำแบบไม่เห็นใจพวกเราที่มาท่องเที่ยวเลย เราเลยต้องเดินหามุมหลบฝนกันจ้าละหวั่น เปียกกันพอกรุบกริบ บรรยากาศก้อทึมๆ แต่ดีตรงเมฆหมอกสวนงาม
ถึงฝนจะตก แต่สักพักก้อหยุด เราก้อยังหามุมถ่ายรูปเล่นกันได้สนุกสนาน
รออยู่สักพัก แดดก้อส่องลงมา น้ำสีมรกตในเขื่อพอต้องแดดก้อเปล่งประกายสีเขียวมรกตระยิบระยับสวยงาม จนหลายๆคนในกลุ่มมองกันอย่างเคลิบเคลิ้ม ตัวเกาะจะเป็นดินสีทรายแดงๆเหลืองๆ พอมาเจอกับน้ำสีเขียวมรกต ทำให้ลืมไปเลยว่าเรามาเที่ยวภูเขา เที่ยวเขื่อน ยิ่งหลับตาฟังเสียงลมพัดน้ำเข้ามากระทบเกาะ เผลอนึกไปว่าเรามาเที่ยวทะเลกันนะเนี่ย
เกาะควนคางคก ล้อมรอบไปด้วยภูเขาหินปูนรอบข้าง พร้อมกับสายหมอกระบายแต่งแต้มอย่างสวยงาม และมีธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์มากๆ ขนาดไหนน่ะเหรอ ระหว่างทริปเราเจอนกเงือกอยู่คู่นึง บินเล่นคลอเคลียกันอยู่ไกลๆ ว่ากันว่านกเงือกในธรรมชาติหาได้ยากมากๆ ต้องมีสภาพป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์จริงๆ ถึงจะเจอนกเงือก ทริปนี้ถือว่าคุ้มค่าแล้วครับ ลองดูใน vdo ครับ จะเห็นความสวยงามได้มากกว่าภาพนิ่งเยอะเลย
พอถ่ายรูปเล่นกันพอสมควร เราก้อไปโปรแกรมเที่ยวของเรากัน โดยเราจะไปเที่ยวถ้ำปะการังกัน ถ้ำปะการังอยู่ในทะเลสาบอีกผืนหนึ่ง ซึ่งไม่เชื่อมต่อกับด้านนอก โดยน้ำในทะเลสาบเกิดจากน้ำน้ำที่ลอดถ้ำภายใต้ภ฿เขาเข้ามา ทะเลสาบในบริเวณนี้เรียกว่า ทะเลใน 500ไร่ โดยการมาเที่ยว เราต้องเดินป่าจากบริเวณหน่วยพิทักษ์ป่าห้วยถ้ำจันทร์เข้าไปประมาณ 2กิโลเมตร จริงๆแล้วเดินไม่ยากเท่าไหร่ ทางจะขึ้นๆลงๆ แต่!!!!!!!!!!!! ตอนเรามาในหน้าฝน ระหว่างทางก้อจะเฉอะแฉะเต็มไปด้วยโคลน ซึ่งลื่นง่ายมากๆ แถมยังมีทากอยู่บ้าง ใครกลัวทาก หรือรองเท้าไม่ค่อยเกาะสามารถเช่าถุงเท้า รองเท้าได้ครับ
หลังจากเดินเขามา 2 กิโลแล้ว เราต้องนั่งแพไม้ต่อไปอีกเพื่อไปยังถ้ำปะการังกัน แต่พอเรามาถึงจุดต่อแพ ฝนก้อตกลงมาอย่างหนัก ทำให้ต้องนั่งรอจนกว่าฝนจะซา พอนั่งแพไปถึงถ้ำ เราจะต้องปีนขึ้นไปอีกประมาณ 50เมตร จึงจะถึงถ้ำ (ภาพด้านล่างไม่ใช่ถ้ำปะการังนะครับ ตอนแรกเข้าใจว่าใช่เลยถ่ายมา พอแพแล่นเลยไปถึงกับเหวอ)
ถ้ำปะการังเป็นถ้ำที่อยู่ทางด้านในเขื่อนรัชประภา มีลักษณะแบบเดียวกันกับถ้ำน้ำลอดหรือถ้ำทะลุ เป็นถ้ำที่มีน้ำไหลผ่านตลอดทั้งปี ภายในถ้ำมืดสนิท มีหินงอก หินย้อย ซึ่งสาเหตุที่เรียกว่าถ้ำปะการัง ก็เพราะว่าภายในถ้ำจะมีหินงอกหินย้อยแตกหน่อเล็ก ๆ คล้ายกับปะการังในทะเล ดูงดงามแปลกตา ราวกับอยู่ในท้องทะเล จากการสำรวจในเบื้องต้น หินย้อยรูปประหลาด ไม่ใช่ปะการังเหมือนในทะเล แต่อาจเกิดมาจากการตกตะกอนของน้ำหินปูน ที่เข้มข้นผสมกับความพิเศษของอากาศ จึงทำให้เกิดหินย้อยที่มีความเหมือนกับปะการัง ซึ่งจากคำบอกเล่าของชาวบ้าน ก็ได้ความว่าถ้ำแห่งนี้เคยอยู่ใต้ท้องทะลมาก่อน หินงอกหินย้อยต่าง ๆ ภายในถ้ำ จึงกลายเป็นเหมือนกับปะการัง และยังได้พบฟอสซิลสัตว์ทะเลเซลล์เดียวอายุประมาณ 250 – 400 ล้านปี ในหินปูน ซึ่งคาดว่าเคยเป็นทะเลดึกดำบรรพ์ของโลก สภาพภายในถ้ำสมบูรณ์และสะอาดมาก ๆ ไม่ค่อยมีกลิ่นมูลค้างคาวหรือกลิ่นอับเหมือนกับถ้ำทั่ว ๆ ไป
บริเวณหลืบหินกลางภาพ ที่มีแท่งเสา บริเวณนี้ได้เคยมีพระธุดงค์มาปักกรดอยู่ด้วยในสมัยโบราณ
หินงอกหินย้อยบริเวณนี้ มีคุณสมบัติโปร่งแสง ทางเจ้าหน้าที่อุทยานได้นำไฟไปส่องด้านหลังให้ดู เห็นเป็นแสงสีส้มส้องออกมาจากในหินงอกหินย้อย เหมือนมีไฟอยู่ในนั้น สวยงามมากๆครับ
ก่อนออกจากถ้ำ ทางเจ้าหน้าที่อุทยานได้ชี้ให้เราเห็นเจ้าแม่พิทักษ์ถ้ำปะการัง ลองดูตรงกลางภาพ บริเวณหน้าถ้ำ จะเห็นเหมือนมีผู้หญิงยืนเฝ้าอยู่หน้าถ้ำ ซึ่งจริงๆแล้ว เมื่อเดินไปใกล้ๆ ที่แท้เป็นหินสองก้อนที่ไม่ได้เชื่อมติดกัน ก้อนนึงเป็นหัว อีกก้อนเป็นบริเวณลำตัว แต่ด้วยมุมมอง และสภาพแสง เกิดภาพหลอกตาให้เราเห็นเป็นภาพผู้หญิงยืนอยู่ ด้วยสภาพภายในถ้ำที่มืดสนิท พวกเราบางคนถึงกับไม่กล้ามองตามที่เจ้าหน้าที่ชี้ให้ดูเลยครับ
หลังจากกลับมายังควนคางคก ก้อได้เวลาอาบน้ำนอนล่ะ ที่นี่มีห้องอาบน้ำรวมให้ 1 ห้อง เครื่องนอนที่ทางเจ้าหน้าที่เตรียมไว้ให้จะมีเต๊นท์ แผ่นรองนอน และหมอนให้ สะอาดสะอ้านดีครับ ไม่มีกลิ่นอับชื้นเหมือนบางที่ บรรยากาศดีมากๆ เนื่องจากดูวี่แววแล้ว น่าจะมีฝนตกอีกในคืนนี้ พวกเราเลยขอเจ้าหน้าที่ลากเต๊นท์มานอนในบริเวณห้องอาหาร ซึ่งเป็นตามนั้นจริงๆ คืนนั้นฝนตกกระหน่ำแรงสุดๆ เสียงลม ฝน ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า แรงแทบจะเป็นฝนตกหนักที่สุดที่ผมเคยเจอมาเลย แต่เต๊นท์ก้อเอาอยู่ นอนกันได้สบายไม่มีน้ำรั่วซึมแต่อย่างใด (ภาพเต๊นท์ในรูป พวกเราจัดพร๊อพมาตกแต่งให้สวยงามกันเองนะครับ)
หลังจากผ่านราตรีที่ฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนัก แสงแดดอ่อนๆเริ่มส่องกระทบหน้าผม ได้เวลาตื่นแล้วสินะ ผมบิดขี้เกียจพร้อมกับดันตัวลุกขึ้นมา ทันใดนั้นสายตาก้อตรงกับหน้าต่างเต๊นท์ที่เปิดไว้รับลม โว้ววววว!!!!!!!!! ที่นี่ที่ไหน ผมอยู่บนสวรรค์หรือยังไงกัน ทำไมวิวมันช่างสวยงามแบบนี้ ภาพมันไม่สามารถบรรยายความสวยงาม ณ ตอนนั้นได้หมดจริงๆ
หลังจากอาบน้ำ อาบท่าเสร็จเรียบร้อย ก้อได้เวลากาแฟล่ะ ทางอุทยานได้เตรียมกาแฟชงแบบง่ายๆไว้ให้ แต่เชื่อไหมครับ กาแฟแก้วนี้อร่อยกว่ากาแฟใดๆที่ผมเคยได้ดื่มมา เมื่อผมดื่มไปพลาง ละเลียดวิวอันสวยงามไปพลาง พร้อมกับลมเบาๆพัดมากระทบหน้า จากนั้นโจ๊กร้อนๆแสนอร่อยก้อถูกยกมาเสริฟ์ นี่เราต้องกลับกันแล้วใช่ไหม ผมถามตัวเองด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก “ควนคางคก” ที่นี่มันช่างสวยงามซะจนไม่อยากจะย่างเท้าจากไปเลย
ไม่มีงานเลี้ยงไหนไม่มีวันเลิกลา หลังจากถ่ายรูปเล่นกันอีกสักพัก ก้อได้เวลากลับบ้านกันแล้ว ก่อนกลับเราก้อแวะไปถ่ายรูปเล่นกับเขาสามเกลอ ที่โด่งดังของเขื่อนรัชประภากันก่อนกลับ
ถึงแม้นี่จะไม่ใช่การมาพักที่เขื่อนเชี่ยวหลานครั้งแรกของผม แต่ “ควนคางคก” ก้อได้มอบประสบการณ์ที่สดใหม่อีกแบบให้กับผม จนไม่อยากจะจากไปเลย ถ้ามีโอกาสจะต้องกลับมาอีกแน่ๆ
ติดตามกันต่อได้ที่
https://www.facebook.com/TravelofSalaryMan/
https://www.facebook.com/voravuds
Voravud Santiraveewan
วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2564 เวลา 13.11 น.