พาไปปั่น/กิน/เที่ยวแบบ Slow life ที่ หลวงน้ำทา สปป.ลาว
มันเริ่มขึ้น จากบทสนทนาแชทกลุ่มบน Facebook ที่คุย เรื่องสัพเพเหระตามประสาของกลุ่มเพื่อนผู้ชาย คุยกันเรื่อยเปื่อย จนมาถึงเรื่องออกทริปกัน เมื่อมีใครคนหนึ่ง เสนอ ขึ้นมาว่า.. ไปเที่ยว "ลาว" มั้ย?
"ลาว" สำหรับกลุ่มพวกเราแล้วนั้น ถือว่า เป็นประเทศที่เราไปกันบ่อยมากๆ ในทุกๆ ปีที่ไปเที่ยวกัน มักจะมีประเทศลาวอยู่ 1-2 ทริปอยู่เสมอ ถือว่าเป็นประเทศที่เราต่างมีความเห็นตรงกัน ว่า "ชอบ" ในการไปเที่ยวประเทศนี้เป็นอย่างมาก เมื่อตกลงที่จะไป "ลาว" กัน คำถามต่อมา คือ อยากไปที่ไหน ? ไปเที่ยวส่วนไหนของประเทศลาว ? ไปเมืองไหน? รู้แค่อยากไปลาว แต่ก็ยังไม่รู้จุดหมายปลายทางว่าจะไปที่ไหนดี.. เพราะหลายๆ เมือง(ยอดนิยม) ใน "ลาว" นั้นเราก็เคยไปกันมาหลายรอบ แล้ว!!
แต่แล้ว..ในจังหวะนั้น มีโปรโมชั่นของสายการบิน Thai Lion Air มาพอดี บินไปเชียงรายในราคาประหยัด ก็เอาว่ะ "ไปลาวเหนือ" !! จัดไปเชียงรายเลยแล้วกัน .. แล้วออกไปเที่ยวลาวทาง เชียงของ > บ่อแก้ว ส่วนจุดหมายปลายทางที่ไหนนั้น เดี๋ยวไว้ตกลงกันอีกทีเมื่อได้คุยตกลง กันเป็นที่เรียบร้อย จัดหาเวลาการเดินทางที่ตรงกัน วันลางาน จนมาจบลงตรงที่เรามีเวลากัน แค่ 3 วัน 2 คืน ดูเหมือนจะมีเวลาน้อยเกินไปสำหรับเส้นทางนี้ ที่หวังกันในตอนแรกว่า จะไปเที่ยวเส้นทาง บ่อแก้ว > หลวงน้ำทา > เมืองสิงห์ >เมืองงอย อยากจะไปพักผ่อน ท่ามกลางธรรมชาติ ที่ เมืองงอย แต่เมื่อตัดช่วงเวลาการเดินทางบนรถ อันแสนยาวนาน กับเวลาอันน้อยนิด ความน่าจะเป็นในตอนนี้ คือ คงไปได้แค่ "หลวงน้ำทา" เท่านั้น
สรุป.. โปรแกรมการเดินทางของเรา 3 วัน 2 คืน เป็นโปรแกรมที่ยืดหยุ่น ตามสถานการณ์ และรอบรถ(ในลาว)จริงๆ โดยมีแพลนคร่าวๆ ก็คือ ไปถึงเชียงรายแล้วก็มุ่งไปที่ เชียงของ เพื่อ ข้ามฟาก ไปฝั่งลาวที่บ่อแก้ว แล้ว นั่งรถไป หลวงน้ำทา เลย จุดหมายของเรา ในทริปนี้ แน่ๆ ก็ คือ "หลวงน้ำทา" ส่วนจะ เที่ยวที่ไหนบ้าง ก็คงขึ้นอยู่สถานการณ์ ครับ 55+ ซึ่ง คร่าวๆ อาจเป็นดังนี้
วันแรก – เดินทางทั้งวัน ถึง "หลวงน้ำทา" ช่วงเย็นๆ
วันที่สอง – เที่ยวในเมืองหลวงน้ำทา (หรือ ไปเที่ยวที่เมืองสิงห์ด้วย)
วันที่สาม – เดินทางทั้งวัน ในการเดินทางกลับ
(ดูเหมือน จะเหนื่อยเลยนะครับ ฮ่าๆ ใช้เวลาไปกับการเดินทางอย่างเดียวเลย)
รีวิวนี้จึง เป็นรีวิวสั้นๆ.. จะพาไปเที่ยว "หลวงน้ำทา" แบบสบายๆ นะครับ อาจจะเก็บที่เที่ยวไม่ครบทุกที่ เป็นทริปที่ออกเที่ยว ไปหาที่สงบๆ พักผ่อน เสียมากกว่า.. ทริปนี้ผมออกเดินทางไปกับเพื่อนร่วมทริปอีก 2 คน ครับ รวมเป็นทั้งหมด 3 คน ซึ่งการเดินทางไปครั้งนี้ เราก็ทำการบ้านมาพอสมควรกับการเดินทางในเส้นทางนี้ แต่ก็อย่างว่า ตามข้อมูล ที่รอบรถ จากข้อมูลในอินเตอร์เนต อาจจะไม่ได้อัพเดต หรือมีการเปลี่ยนแปลง เราจึงต้องอาศัยไปดูที่ "หน้างาน" เอาครับ ตามสถานการณ์จริงๆ ดังนั้น.. เพื่อเป็นการไม่เสียเวลา… แบกเป้ ออกเดินทาง ไปกับพวกเรา กันเลยครับ.. !!!
สำหรับเพื่อนๆ ที่ชอบท่องเที่ยวแบบประหยัด แวะมาทักทาย ติดตามกันได้นะครับ
CHAILAIBACKPACKER : https://www.facebook.com/chailaibackpacker
"หลวงน้ำทา" เป็นเมืองที่อยู่ทางตอนเหนือของลาว ติดชายแดนจีน สภาพอากาศจึงค่อนข้างที่จะเย็นสบาย อยู่ห่างจากบ่อแก้ว (ชายแดนตรงข้ามเชียงของ ของประเทศไทย) ประมาณ 190 กว่ากิโลเมตร แต่ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง เป็นเส้นทาง R3a ทางคดเคี้ยวไปตามเชิงเขา ถนนที่ใช้สัญจรนั้น ลาดยางอย่างดี เดินทางได้รวดเร็ว สะดวกสบายมากกว่าเมื่อก่อน.. ส่วนใหญ่ คนที่เดินทางมาที่หลวงน้ำทา มักจะมาเพื่อ "พัก" จะผ่านด่านบ่อเต็น เข้าไปต่อ สิบสองปันนา หรือ ไปค่อคุนหมิง ประเทศจีน หลวงน้ำทา จึงดูเหมือนเป็นเมืองที่เป็นทางผ่านสำหรับนักเดินทางท่องเที่ยวเท่านั้น.. จะเห็นนักท่องเที่ยวที่เมืองนี้น้อยมากครับ ส่วนพวกเรานะเหรอ? ขอตั้งใจลองมาเที่ยวเมืองนี้ดูล่ะกันครับ.. ครั้งแรกเลยกับ "หลวงน้ำทา" ถือว่า มาสำรวจเส้นทาง ก่อน จะออกเดินทางมาที่นี่อักครั้ง เพื่อผ่านไป เที่ยวจีน ในอนาคตครับ..
Start !! เราเริ่มต้นออกเดินทางกันที่สนามบินดอนเมือง นัดแนะกับสมาชิกเรียบร้อย
บรรยากาศสนามบินดอนเมืองยามเช้า ท้องฟ้าสดใส
ออกเดินทางจากดอนเมือง เวลา 08.20 น.สู่จุดหมายปลายทาง ที่ "จ.เชียงราย"
ออกเดินทางช่วงวันหยุดยาว ผู้โดยสารที่มาใช้บริการสนามบินค่อนข้างเยอะครับ เข้ามารอใน Gate เตรียมออกเดินทาง
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 10 นาที Thai Lion Air มีบริการเลือกที่นั่งฟรี ตอนเช็คอินทางเวปสามารถเลือกที่นั่งได้ ชอบนั่งท้ายๆ เครื่องครับ คนน้อยๆ..ดูไม่แออัดดี.. " สมาชิก พร้อมลุย .. !! "
ใช้เวลาไม่นานนัก..ก็เดินทางมาถึง "สนามบินแม่ฟ้าหลวง" จ.เชียงราย ครับ จากนั้น เราก็หารถ เพื่อที่จะไป ขนส่งใหม่(ตะเคียนคู่) เพื่อหารถไปเชียงของครับ
จากสนามบินจะเข้าเมืองกันยังไง?"มีแท๊กซี่สนามบิน บริการส่งเข้าเมืองครับ ราคา 200 บาท ต่อเที่ยว ต่อหนึ่งคัน หรือ แนะนำให้เดินออกมาตรงบริเวณลานจอดรถ หน้าสนามบินครับ มีวินแท๊กซี่จอดอยู่ คิดราคาจากสนามบินเพิ่ม +30 บาท ที่เหลือคิดตามมิเตอร์ กิโลเมตรละ 10 บาทครับ.." หรือ… ถ้าโทรไปที่ศูนย์แท๊กซี่ให้มารับ จะคิดเพิ่ม +20 บาท ที่เหลือคิดตามมิเตอร์ กิโลเมตรละ 10 บาทครับ " เราเลือกแท๊กซี่สนามบิน ให้ไปส่งที่ ขนส่งใหม่ ราคามิเตอร์คิดเป็นกิโลเมตร สุดท้ายจ่ายที่ 200 บาท ไม่ต่างกัน.. กับการเหมาเลย ฮ่าๆ
มาดูรอบรถ ตามข้อมูลรู้สึกจะมีรถโดยสารระหว่างประเทศ จากเชียงราย ข้ามไปถึง บ่อแก้ว(ลาว)
ขณะนี้เวลาประมาณ 11.00 น. เราพลาดรถเที่ยวเช้าเข้าบ่อแก้ว อย่างจัง!! จะมีอีกทีก็ตอนช่วงบ่ายๆ ซึ่งถ้าถึง "บ่อแก้ว" แล้ว ก็ไม่น่าจะทัน รอบรถ จากบ่อแก้ว ไป หลวงน้ำทา อย่างแน่นอนในขณะ ที่ยังคิดว่าจะเอายังไงต่อดี แต่แล้ว..ก็ได้ยินเสียงสวรรค์ พี่พนักงานขายตั๋ว ตะโกนถามมาว่า … "จะนั่งยาวไป หลวงน้ำทาเลยมั้ย? มีรถ เชียงใหม่-หลวงพระบาง จะแวะมาที่นี่ มีที่นั่งว่างพอดี" เราตกลงโดยทันทีเลยครับ รถจะมาถึงตอนเที่ยงตรง ได้นั่งยาวจากเชียงรายไปถึงหลวงน้ำทาเลย ไม่ต้องไปต่อรถที่บ่อแก้ว ก็สะดวกสบายดีเหมือนกันนะ..
ซื้อตั๋วเสร็จเรียบร้อย ก็หาข้าวหาปลากินกันครับ อาจจะใช้เวลาเดินทางนานหน่อยกว่าจะถึง ต้องกินให้อิ่มเต็มที่กันไปเลย..ไม่นานนักรถก็มาถึงครับ ตรงเวลาเป๊ะ! เป็นรถ
เชียงใหม่ – หลวงพระบาง ครับ
ตั๋วจากเชียงราย ไป หลวงน้ำทา ราคา 500 บาท คิดว่าคุ้มเหมือนกันนะครับ ไม่ต้องไปต่อรถ หรือ ลงเรือข้ามฝั่ง ให้เสียเวลา นั่งยาวๆ ไปถึง หลวงน้ำทา เลย.. ต้องใช้พาสปอร์ต ในการซื้อตั๋วด้วยนะครับ..
500 บาท ไม่ได้มีแค่ตั๋วนะครับ.. ยังมี "ชุดยังชีพบนรถ" แบบ มินิๆ.. มาซะด้วยประกอบไปด้วย น้าดื่ม+ขนม+ผ้าเย็น(แต่ไม่มีความเย็น) 55+
บนรถจะระบุที่นั่งมาเลยครับ ที่ใครที่มัน ไม่มีแย่งกันแน่นอน นั่งพอเคลิ้มๆ ใกล้จะหลับ ประมาณ 2 ชั่วโมง ก็มาถึง"ด่านเชียงของ" รถจะจอดให้เราเอาพาสปอร์ตไป ปั๊ม เพื่อออกนอกเมืองครับ..
เสร็จแล้วก็นั่งรถ ข้าม สะพานมิตรภาพแห่งที่ 4
เชียงของ – ห้วยทราย(บ่อแก้ว) ข้ามไปยังด่านฝั่งลาว รถก็จอดให้เราไป ปั๊มพาสปอร์ต เพื่อเข้าลาวช่วงนี้เป็นช่วงที่เสียเวลาค่อนข้างมากครับ เป็นชั่วโมงเลย กว่าจะเสร็จกันหมดทุกคน
ออกเดินทางจากเชียงรายตั้งแต่ 12.00 น. เราจะใช้เวลาในการเดินทางทั้งสิ้น ประมาณ 6-7 ชั่วโมง ระหว่างทางในประเทศลาวที่ไปสู่ เมืองหลวงน้ำทา นั้น เป็นเส้นทางที่ค่อนข้างคดเคี้ยว แต่เป็นถนนที่ลาดยางอย่างดี เพราะสร้างเสร็จได้ไม่นาน ทำให้การเดินทางราบรื่น และสะดวกสบาย สำหรับคนเมารถง่าย ก็อาจจะมีมึนๆ บ้างเป็นธรรมดา แต่สองข้างทาง ก็เป็นธรรมชาติ นั่งชมวิวสองข้างทางจนพระอาทิตย์ค่อยๆ ตกดินลับขอบฟ้าหลังเขาเกือบจะถึง "หลวงน้ำทา" เด็กรถก็เดินมาเตือนเราให้เตรียมลงรู้สึกว่าจะมีเพียงพวกเราแค่ 3 คนเท่านั้น ที่จะลงกลางทาง ที่ หลวงน้ำทา นี้ และ ทั้งหมดบนรถจะไปกันต่อที่ จุดหมายปลายทางที่หลวงพระบาง
รถมาจอดส่งเราที่กลางทุ่งแห่งหนึ่ง ตอนแรกรู้สึกงงมาก ความรู้สึกแรก คือ มันเงียบและกันดารอย่างนี้เลยหรือ?ไม่มีแม้บ้านคน และแสงไฟ รอบด้านมืดสนิท (แต่มีหิ่งห้อยเต็มไปหมดเลยนะ สวยมากๆ) เมื่อไม่แน่ใจเลย วิ่งไปถามเด็กรถอีกรอบ ปรากฏว่ายังไม่ถึง..อ้าว มาปล่อยกันลง ตรงนี้ซะงั้น..!! 555+ สรุปนั่งต่อไปอีกหน่อย ก็เข้าไปจอดที่ ท่ารถ "หลวงน้ำทา" สำหรับคนที่นั่งไป หลวงพระบางต่อ ก็จะแวะ ทานข้าวเย็นกันตรงนี้ แล้วถึงไปต่อ
ส่วนเรา 3 คนก็ หารถเข้าไปในเมือง ก็จะมีรถโดยสารเล็กๆ รับคนไปส่งในตัวเมือง ซึ่งต้องเข้าไปอีก ประมาณ 7 กิโลเมตร นั่งรอรถออก สรุปมีแค่ 3 คน+ฝรั่งอีก 1 คน คิดคนละ 20000 กีบ หรือ 80 บาท (ปกติน่าจะ 40 บาท แต่เที่ยวนี้คนหารน้อยครับ) นั่งสักพัก รถก็มาส่งตรงใจกลางเมือง หน้าตลาดมืดหลวงน้ำทามาถึงก็ประมาณ 2 ทุ่มแล้ว เลยหาโรงแรมก่อน ก็เลือกโรงแรมที่อยู่ตรงข้ามตลาดเลย ชื่อโรงแรมคำกิ่ง ห้องนอนสำหรับ 3 คน 100000 กีบ หรือ 400 บาท มีแอร์ ทีวี เครื่องทำน้ำอุ่น คีย์การ์ดเข้า-ออก ราคานี้ถือว่าโอเค..!! ห้องกว้าง แอร์เย็น นอนสบาย ใกล้ตลาด ตกคนละ 130 บาท ต่อคืน เราจะนอนทีนี่กันทั้งสองคืนเลย..
เก็บของเสร็จ..ก็เดินข้ามถนน เข้าไปที่
"ตลาดมืด หลวงน้ำทา" – หาอะไรกินหน่อย หิวกันแล้ว!!
ในตลาดจะมีของกิน อาหารต่างๆ ขายมากมายเลยครับ โดยร้านจะตั้งรอบๆ เป็น วงกลม แล้วจะมีม้านั่ง ไว้นั่งกินอยู่ตรงกลาง จะซื้อร้านไหน .. ก็มานั่งกินตรงกลางรวมกันได้.. ส่วนใน คืนนี้.. คนเยอะมากๆ..
ขาดไม่ได้ เมนูหลัก "ส้มตำ+ผัดหมี่"
พวกลูกชิ้นปิ้งย่าง ไม้ละ 2000 กีบ (8 บาท)
อาหารที่ลาว ขึ้นชื่อว่า แพงอยู่แล้วครับ ไม่ว่าจะเมืองไหน 55+ (แต่ก็รับได้อยู่นะ ฮิฮิ^^)
อยากกินอะไรร้อนๆ ต้อง "เฝอ" สิครับสั่ง "เฝอเนื้อ" มากิน ราคา 15000 กีบ (ุ60 บาท) บ้านเราชามเท่านี้ถือว่าแพงนะ 55 ได้เนื้อมานิดเดียว.. แต่เส้นเหนียวนุ่ม น้ำซุปร้อนๆ อร่อยมากๆ.. กลมกล่อม ถ้าให้ดี บีบมะนาว หักพริกสดๆ ใส่ล่ะ แซ่บทีเดียว.. (ที่ลาวตามร้านอาหารต่างๆ จะมีกระปุกเครื่องปรุง ไว้ให้ปรุงหลากหลายมาก) และทีเด็ดอีกอย่าง"กะปิ" ครับ ใส่ลงไปนิดๆ แซ่บขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อเลยล่ะ.. ^^
ผลไม้ต่างๆ ก็มีขายใกล้ๆ ตลาด
ตรงสี่แยก จะมีร้านอาหารชื่อ "ครัวไท" เป็นร้านอาหารจานด่วน ข้างในติดแอร์ มี Free wifi จะเข้ามานั่งทานอาหาร หรือ ดื่มเบยลาวชิลล์ๆ ก็ได้นะครับ
แผนที่ หลวงน้ำทาเป็นแผนที่คร่าวๆ นะครับที่ผมถ่ายมาอีกทีกับแผนที่ที่แปะ ตรงฝาผนังของโรงแรมครับ โรงแรมคำกิ่ง ที่เราพัก จะอยู่ตรงข้ามกับ ตลาดมืด เลยเลยไปตรงสี่แยกทางทิศเหนือ ไม่ไกลจากตลาดมืด ก็จะเป็น ร้านครัวไท ครับ ส่วน Dragon Pub ตรงทางแยกด้านล่าง เป็นผับกินดื่มของที่นี่ เดี๋ยว จะมาพูดถึงรายละเอียดอีกทีนะครับส่วนด้านบน ก็คือ "ทาดหลวงน้ำทา" ทาดประจำหลวงน้ำทาที่ต้องแวะไปชมครับ (นอกจากนี้ก็ยังมี ทาดเก่า, พิพิธภัณฑ์, น้ำตก และ ตลาดเช้าให้เที่ยวด้วยนะ..)บรรยากาศยามเช้า ที่ ตัวเมือง หลวงน้ำทา จะค่อนข้างเงียบๆ สงบๆ และ ถนนโล่งๆ
เดินเล่น สำรวจเมือง และ ชมบรรยากาศ
แผนที่หลวงน้ำทา
บริเวณ "ล๊อบบี้" ของโรงแรมคำกิ่ง มีบริการ ชา กาแฟ และ Free wifi (ขาดไม่ได้ 55)
ติดกับ โรงแรมคำกิ่ง เป็นร้านขาย สุรา และเบียร์ นะครับ
เผื่อใครสนใจจะซื้อหาเป็นของฝากได้..^^อย่างเช่น "สุราบ่อแก้ว" ขวดนี้ 20000 กีบ หรือ 80 บาท
ร้านครัวไท .. สำหรับคนที่ไม่ค่อยชอบอากาศร้อน ลองมานั่งที่ร้านนี้ได้นะครับ มีอาหารให้เลือกหลากหลายเป็นอาหารจานด่วนมีทั้ง อาหารฝรั่ง ไทย ลาว ครบ ชอบแบบไหนก็จัดไปได้ มีน้ำดื่มเย็นๆ ให้กดฟรีครับ ไม่ต้องเสียตังค์เพิ่มหรือมานั่งตากแอร์เย็นๆ ดื่มเบียร์เล่น Wifi ก็ได้ครับ
จะสั่งอาหารแบบเป็นจาน หรือ เป็น Set ก็มีครับ ราคาไม่ต่างจากตลาดมืด หรือ ร้านทั่วไป เลย แต่นั่งสบายกว่าเยอะ 55+
จุดสังเกต หน้าร้าน ครัวไท ครับ.. เช็คอิน..เลย "หลวงน้ำทา"
โปรแกรมวันนี้.. ในตอนแรกเรา มีความคิดว่าจะไปเที่ยว "เมืองสิงห์" กันต่อ ซึ่งห่างจากที่นี่ประมาณ 60 กิโลเมตร เป็นเมืองที่ติดกับชายแดนประเทศจีนแต่หลังจากที่ลองสอบถามการรถไปนั้น..ค่อนข้างที่จะหารถไปลำบาก ต้องออกไปขึ้น บขส.ที่อยู่นอกเมือง และใช้เวลาเดินทางพอสมควร (คิดว่าเวลาไม่น่าพอ แบบว่าเดินทางมาตลอดทั้งทริปแล้ว อยากพักหายใจบ้าง 55) หรือ ถ้ามีรถก็ต้องเหมาไปแบบราคาแพง ก็เลยเอาไว้ก่อนดีกว่า..ตัดสินใจ.. มาเช่าจักรยาน ปั่นเที่ยวรอบเมืองหลวงน้ำทาดีกว่า เห็นในแผนที่ ก็มีหลายที่ที่น่าสนใจเหมือนกัน โดยสามารถที่จะปั่นรอบทั้งเมืองได้ เพราะเมืองหลวงน้ำทาเป็นเมืองเล็กๆ บรรยากาศรอบๆ เมืองก็ดี ปั่นดูธรรมชาติ ดูวิถีชีวิตก็ได้อารมณ์ชิลล์ๆ ไม่น้อย มีร้านให้เช่าจักรยาน อยู่ข้างๆ กับโรงแรมที่เราพักเลยครับ..
บริการเช่าเป็นวัน.. จักรยานแบบแม่บ้าน 40 บาท แบบมีเกียร์ 60 บาท เลือกแบบหลังแล้วกัน รู้สึกรอบๆ เมืองนี้เห็นอยู่หลายเนินเหมือนกันที่ต้องปั่นข้าม
จัดไปคนละคัน.. ไม่ใช้สลิง ไม่ใช้สตั๊นท์ ไม่ใช้ครีมกันแดด
พร้อมลุย!!!
ถ่ายแผนที่ ลงในมือถือไว้ดูครับ ว่าจะไปไหนบ้าง..แต่รู้สึกจะปั่นเล่นๆ กันซะมากกว่าครับ ชมธรรมชาติชมเมืองไปเรื่อยๆ..ที่เห็นแดดร้อนๆ นี่ก็ไม่ถึงกับร้อนมากนะครับอุณหภูมิ จะค่อนข้างเย็น อากาศ สบายๆ ครับ (แต่ถ้าปั่นนานๆ ก็คิดว่าจะร้อนขึ้นนะครับ 55)
ปั่นมาสักหน่อย ก็เริ่มออกนอกเมือง
ออกนอกเมืองมาหน่อย ถนนค่อนข้างโล่ง รถน้อยบรรยากาศดี ปั่นเล่นๆ ไปชิลล์ๆ..อาจมีสับสนบ้างเล็กน้อย เพราะต้องปั่นชิดขวา..55+
ปั่นมาทางทิศใต้ ทางไปสนามบินหลวงน้ำทา ถึงจุดแรก.. เห็นวัดเก่าวัดหนึ่ง ไม่ได้อยู่ในแผนที่จะไป ก็เลยแวะดูสักหน่อย .. จำชื่อวัดไม่ได้ครับ (ต้องขออภัย แหะๆ) เป็นวัดเล็กๆ เก่า แต่ดูสวย และ ขลังดีเหมือนกันครับ
ซุ้มประตูทางเข้าวัด
เจดีย์เก่า ที่อยู่ด้านข้าง
พระพุทธรูป ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ ภายในวัด
เรื่องราว พุทธประวัติ ต่างๆ บนฝาผนังอุโบสถเรื่องราวของบาปกรรม บาป บุญ คุณ โทษ เตือนให้มนุษย์ตั้งอยู่ในศีลธรรม
แวะเข้าไปไหว้พระข้างในอุโบสถ
จากนั้นก็..ปั่นเล่นกันต่อครับ สภาพแวดล้อมโดยรอบ ก็บรรยากาศดีนะครับ นี่ถ้ามาช่วงหน้าหนาว คงได้บรรยากาศกว่านี้มากๆ เลย.. ^^
กับ .. "หลัก" กิโล
ตรงนี้อยู่ห่างจาก ห้วยทราย 178 หลัก (178 Km.)
พวกเรา.. พากันปั่นขึ้นไปทางเหนือกันต่อครับ..ระหว่างทางก็ ชมธรรมชาติ ชมชาวบ้าน ไปเรื่อยๆจนมาสะดุดตากับแก๊งค์เด็กลาว ที่เดินกันเป็นกลุ่ม 4-5 คน พร้อมถือไม้ยาวๆ คนละอัน ด้วยความสงสัย จึงจอดจักรยานถาม ครับ .. จับใจความว่าจะเอาไม้ยาวๆ ไปสอยอะไรสักอย่าง..ก็เลยขออนุญาต ติดตามไปด้วย น้องๆ เขาก็โอเคครับ ก็เลยขอตามไปดูสักหน่อย ว่าจะไปสอยอะไรกัน จน เดอะแก๊งค์ พามาที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งครับ
เมื่อมาถึง..ได้ยินเสียง จั๊กจั่น ร้องระงมเลยครับ..สิ่งที่น้องเขาจะมาสอย(จับ) .. นั่นก็คือ จั๊กจั่น นั่นเองครับบนต้นไม้ มีเยอะมากๆ..
วิธีการจับ.. ก็คือ จะใช้ยางอะไรสักอย่าง ที่มีความเหนียว ทาไว้ตรงปลายไม้ แล้วนำปลายไม้นั้นไปแตะกับตัวจั๊กจั่น ก็จะเหนียวติด จับลงมาได้โดยง่ายครับ
จับกันเก่งมาก แป๊บเดียว..ได้มาหลายตัวเลย
ได้มาแล้ว ..ก็ทำการเด็ดปีก แล้วนำมาร้อยเป็นพวง..
จั๊กจั่น..ที่น้องๆ จับมากันได้นั้น..น้องๆ เขาจะเอา..ไป "กิน" กันครับ..ก็โดยวิธีการทอด รสก็คงเหมือนแมลงทอดทั่วๆ ไปนะครับ
(คาดว่า.. เพราะไม่ได้ลองกินครับ 55)
"พวงยาวมั้ยล่ะอ้าย?" – น้องคนนี้ได้มาหลายตัว ร้อยมาเป็นพวงยาวเชียว
ก็เป็นวิถีชิวิตอย่างหนึ่ง ที่น่าสนใจเหมือนกัน นะครับ ที่ได้มานั่งดู ชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่นี่ ก่อนจะกลับก็บอกลา น้องๆ แก๊งค์นี้ ที่ให้ติดตามมาดูด้วย.. "ขอบใจเด้อ" – พวกเรากล่าว ก่อนออกตัวปั่นกันออกไป "โดย…" – น้องๆ กล่าวตอบ พร้อมส่งรอยยิ้มอย่างจริงใจเป็นการส่งท้าย
เป้าหมายต่อไป… จะปั่นไปกันที่
"ทาดหลวงน้ำทา"
ปั่นขึ้นไปทางเหนือ.. เพื่อ ไปที่ "ทาดหลวงน้ำทา" (ทาดใหม่) (จะมีทาดเก่า อยู่ทางไปสนามบิน แต่..ขี้เกียจปั่นไปแล้ว ไป ทาดใหม่เลยดีกว่า 55) ทางที่ปั่นไป จะเป็น ทางชันขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะทาดใหม่นั้นจะตั้งอยู่บนเนินเขาสูงสามารถมองเห็นตัวทาดหลวงน้ำทา ตั้งเด่น ได้จากตัวเมืองเหมือนกันบันไดทางขึ้น ส่วนทางรถจะวนไปอีกทาง
หยุดพักเหนื่อยกันสักหน่อยนะ
ตรงจุดนี้..ขอใช้วิธีลัดละกัน..
แบกจักรยานกันขึ้นไป
แล้ว..ก็ มาปั่นขึ้นเนินต่ออีก นิด..เกือบจะถึงแล้ว.. อีกนิดเดียว..
แฮ่กๆ..
เริ่มเห็น.. วิว เมือง "หลวงน้ำทา"
และแล้ว.. ก็มาถึง
"ทาดหลวงน้ำทา" ทาดหลวงน้ำทา เป็นพระธาตุคู่เมืองแขวงหลวงน้ำทา สร้างเมื่อปี วันที่ 21 เดือนกันยายน พ.ศ. 2547 ภายในทาดหลวงน้ำทา สามารถเข้าไปนมัสการกราบไหว้พระประธานได้
"ทาดหลวงน้ำทา" – สวยงามมากครับ
..คุ้มค่าที่ได้ขึ้นมาชม..
พระพุทธรูปประจำวันเกิด และ พระพุทธรูปปางไสยาสน์ขนาดใหญ่ เพื่อให้ประชาชนได้กราบไหว้
ใกล้ กับ "ทาดหลวงน้ำทา" จะมี "วัดสามัคคีธรรม" นะครับ แวะเข้าไปกราบไหว้พระข้างในได้เหมือนกัน (แต่..ที่เราไปกันนั้นเหมือนจะปิดปรับปรุงอะไรสักอย่าง เลยไม่ได้เข้าไปชมครับ)
ศาลา และ จุดชมวิว ด้านบน
ด้านหน้าทาดหลวงน้ำทา ตรงทางเข้าจะมี รูปปั้นชนเผ่าต่างๆ เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกเอกลักษณ์ของเมืองหลวงน้ำทาว่า เป็นเมืองที่ประกอบด้วยหลายชนเผ่าที่อาศัยอยู่ร่วมกัน อย่างปกติสุข
รูปปั้นชนเผ่าต่างๆ ยืนคอยต้อนรับผู้มาเยือน
หลังจากที่เราไหว้พระ กันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เป็นเวลาประมาณ 17.00 น. ก็เกือบจะเย็นพอดี ก็เลยปั่นกลับเข้าตัวเมืองดีกว่า ..ประกอบกับเกิดอาการ
"หิว" ด้วย.. ก็เลยปั่นเล่นๆ มาเรื่อยๆ.. จนมาเจอร้านอาหารที่ตั้งเรียงราย ติดกับสะพานข้ามแม่น้ำ..ก็เลยมีความเห็นว่า.. ควรจะแวะ หาอะไรแบบ พื้นบ้านๆ กินแถวนี้จะดีกว่า อยากลองกินอาหารท้องถิ่น แบบ Street Food แบบนี้เหมือนกัน..เดี๋ยวพวกเราจะพามาลองชิมกันดูนะครับ.. ว่าจะ แซ่บ เด็ดดวง สักแค่ไหน!!
เป็นร้านที่ตั้งแบบง่ายๆ มีที่นั่ง ด้านหน้าเล็กๆ ไว้นั่งกิน
..อยากกินอะไร ก็สั่งได้เลย..
มีร้านตั้งเรียงกันอยู่หลายร้าน.. ลองเลือกร้านนี้ดูล่ะกัน กับ
อาหารมื้อเย็นในวันนี้..!!
เมนูแรก .. สั่งไข่มาก่อนเลย อย่างละ 1 ฟอง (ดูจะกินง่ายสุดแล้ว 55+)
เริ่มที่ "ไข่ทรงเครื่อง" – เป็นไข่ไก่ที่ปรุงรสมาเรียบร้อยแล้ว
ฟองนี้ราคา 2000 กีบ หรือ 8 บาท ก็ต้องลองชิมดูครับ..เสริฟมากับ เครื่องปรุง ที่ไว้จิ้มๆ ก่อนกิน.. และ ผัก ที่ให้มาเยอะมาก ก็อร่อยดีครับ อันนี้ไม่ค่อยแปลกอะไร เพราะอาจจะเคยกินบ่อยๆ กันอยู่แล้วเนอะ ^^
มาลองไข่เป็ดกันบ้าง.. เมนูนี้ เรียกว่า
"ไข่ข้าว" หรือ "ไข่ลูก" (ตามแต่จะเรียกกัน)เป็นไข่เป็ด ที่เกือบจะฟักเป็นตัว.. ก็คือ เป็น ตัวอ่อนของเป็ด ที่อยู่ในไข่นั่นเอง..ฟองละ 3000 กีบ หรือ 12 บาท..แพงกว่า ไข่ไก่.. สงสัยจะอร่อยกว่า แน่ๆ.. 55+
หลังจากผมค่อยๆ แกะเปลือกออก แม่ค้าก็รีบให้ผมดูดน้ำที่ไหลออกมาทันที คือ แบบ.. ยังไม่ได้ทำใจเลยครับ ให้เวลากันสักหน่อย นะครับ 55+ (อันนี้ ส่วนตัวเคยกินมาหลายครั้งแล้วก็เลยไม่ค่อยกลัวเท่าไรครับ แต่..ครั้งแรกๆ นี่ก็ไม่ค่อยกล้าเหมือนกันนะ..ผมว่าอร่อยดี..)
มาดู เมนูปิ้งย่าง กันบ้าง ..มีเนื้อสัตว์หลากหลายชนิด ..วางเรียงราย ขายกันเป็นไม้ ไม้ละ 2000 กีบ หรือ 8 บาท..
อันแรก ไม้นี้เลย คุ้นเคยกันดี..ปิ้ง .. "ตีนไก่"
(แกล้มเบยลาว น่าจะแซ่บนะ อิอิ ^^)
ส่วนไม้อื่นๆ ก็เป็น พวกปิ้งหมู, ไก่, เนื้อวัว.. ทั่วๆ ไปครับ แต่..ที่ถูกใจ ที่สุดเห็นจะเป็นไม้นี้ครับ.. "ปิ้งควาย" – เนื้อควายปิ้งนั่นเอง ทาซอสเผ็ดๆ ก่อนปิ้ง อร่อยดีนะ ได้รสจัดจ้านถึงใจทีเดียว …
(นั่งกินไปหลายไม้ นั่งไป คุยไป นั่งนานๆ แม่ค้ามีแถมให้หลายไม้เลย..55)
สุดท้าย ไม้นี้..ถูกสุด 1000 กีบ หรือ 4 บาท เป็นคล้ายๆ ต้นหอม เสียบไม้ (รสเหมือนกุ่ยช่ายแฮะ!) เรียกว่า "ปิ้งจีน"
แม่ค้า นำมาเสียบไม้ก่อนวางขาย
ก่อนกิน..ก็เอาไปลวกๆ ในน้ำ แล้วก็นำมาจิ้มซอสที่มีรสเผ็ดจัดๆ ก็อร่อยไปอีกแบบเหมือนกัน ครับ..ต้องลอง !
อร่อยจริงๆ นะ
(ไม่เชื่อถามสมาชิกท่านนี้ดู 55+)
นั่งกินไป ..กินมา.. ชักจะเพลิน
เมนูสุดท้าย .. กลัวจะไม่อยู่ท้อง จัด อาหารแบบเส้นๆ มากินบ้าง..อันนี้ไม่รู้เรียกว่าอะไรนะครับ (แบบว่าลืมแล้ว 55+)เป็นเส้นๆ แบบเส้นก๋วยเตี๋ยว ลวก แล้วราดด้วย น้ำซอส ที่ปรุงเอาไว้แล้วใช้ได้เลย ได้เยอะดีด้วย 5000 กีบเอง (20 บาท) กินกับผัก และ เครื่องเคียง แล้วเข้ากันดีมากครับ
โหมดความสำราญยามราตรี หลวงน้ำทาก็มีผับบาร์อยู่เหมือนกันนะครับ จากการที่ได้เดินสำรวจก็เห็นมีอยู่หลายร้านเหมือนกัน พอดีลองถามวัยรุ่นแถวๆ นั้น ก็แนะนำมาที่ ร้านมังกอน (Dragon Pub) ครับซึ่งพวกเราจะพามาตระเวณราตรี ที่นี่กันดูครับ…เท่าที่สังเกต และ สอบถาม คนที่มาเที่ยวกัน ขอสรุปได้ ดังนี้
1. ส่วนใหญ่วัยรุ่นจะมาเที่ยวในคืนวันศุกร์กันครับ เยอะมากๆเหมือนเป็น "วันเที่ยว" ของเขาเลย วันอื่นๆ จะอยู่บ้าน ออกมาเที่ยวกันวันเดียว แม้แต่ ตลาดมืดเอง คนก็จะเยอะมากตอนวันศุกร์ ครับ (ที่ Dragon Pub เรามากันทั้ง 2 คืนที่อยู่ที่นี่ครับ คืนแรกตรงกับวันศุกร์พอดี คนเยอะมากๆ เต็มผับเลย พอคืนถัดมา เรามากันอีก ไม่รู้ว่าคนหายไปไหนหมด ทั้งที่เป็นคืนวันเสาร์ 55)
2. ทางเข้าผับ(บางผับ) ที่มืด และเปลี่ยว แบบว่าซอยทางเข้าเหมือนจะไม่มีผับ หรือ ร้านอาหารอะไรอยู่ข้างในเลย แต่เดินเข้าไป มัน มี จริงๆ ครับ ( มีคนลาวแนะนำให้เดินเข้าไปในซอยหนึ่ง พอเดินเข้าไปมืดมาก ลึกมากด้วย ข้างทางกบเขียดร้องระงม คิดว่าโดนหลอกซะแล้วมั้ง แต่ข้างใน มีผับอยู่จริงๆ..)
เลือกมาที่ Dragon Pub 2 คืนเลย..เดินไม่ไกลมาก ภาพนี้เป็นคืนวันศุกร์ คึกคักมาก..สนุกมากครับ..
ช่วงหัวค่ำ.. จะเป็น ช่วงคาราโอเกะครับ.. วนไมค์ ให้ทุกโต๊ะ ได้โชว์ลูกคอกันไป ครับจะขอเพลงอะไรก็จัดไปครับ ส่วนใหญ่ก็เปิดเพลงไทย ร้องกันนี่แหละครับ ฮิๆ
ที่ร้านนิยมเปิดเบยลาว กินกันครับ ราคาในร้านก็ ขวดละ 15000 กีบ (60 บาท) ถือว่าไม่แพงเลยนะครับ แถมมีโปรโมชั่น ด้วยนะครับ 6 แถม 6 … ซื้อ 6 ขวด เหมือนได้ 1 ลัง ฮ่าๆ
วันสุดท้าย.. ของทริปนี้ เราตื่นกันตั้งแต่เช้าครับ เรามีโปรแกรมจะไปเดินเที่ยว "ตลาดเช้า" กันก่อนที่จะขึ้นรถกลับบ่อแก้ว เพื่อเข้าไทยครับจองตั๋วรถกลับบ่อแก้วไว้รอบ 8.30 น. ยังมีเวลาเดินตลาดเช้าได้สักพักครับ อากาศยามเช้า สดชื่นมากครับ และ ค่อนข้างเย็นๆ
"ตลาดเช้า" เดินมาจากโรงแรมคำกิ่งที่เราพักไม่ไกลครับ.. ประมาณ 1 กิโลเมตร เดินเล่นๆ ชมบรรยากาศยามเช้า สักพักก็ถึงแล้ว.. คนเยอะมากเลยครับ ทั้งแม่ค้า และคนมาจ่ายตลาด..
แม่ค้าเตรียมผักมาวางขาย
วัตถุดิบที่นี่สดแน่นอนครับ..ขายกันแบบเป็นๆ เลย..
เป็ด ไก่ ซื้อแล้วก็หิ้วขากลับบ้านกันเลย..
..ปลาสดๆ..
โซน เนื้อสัตว์ บรรยากาศคึกคัก
มีให้เลือกไปทำอาหารเพียบเลย
ส่วนตัวแล้วชอบ "ผัก" ที่นี่ครับ ดูมันเขียวสด ดูช่างน่ากินมาก
ผลไม้ก็มีหลากหลายชนิด ราคาก็ถูกอีกด้วย
(เจอแตงโมลูกโตๆ แค่ 12 บาทเอง.. อยากซื้อไปกิน แต่ไม่มีมีดผ่า 55)
ผลผลิต ที่นำมาขาย ก็มาจากบ้านใคร บ้านมัน บ้านใครปลูกอะไร ก็เอามาขาย .. ที่ตลาดแห่งนี้
ผมชอบ.. วิธีการนำของกลับบ้านของที่นี่นะครับ.. เขาจะไม่ใช้ถุงยาง(ถุงพลาสติก)กันเลย.. ถ้ามีก็ใช้น้อยมากๆ..อย่างพวกผักสด.. เขาก็จะใช้วิธีร้อยเข้าด้วยกัน เป็นห่วงไว้ถือกลับบ้าน แล้วขายเป็นกำๆ ไปเลย ซื้อแล้วก็ถือกลับบ้านได้เลย.. ลดการใช้ถุงยาง(ถุงพลาสติก) ได้อย่างดีเลยครับ..ชอบๆ.. ^^
ซื้อแล้วก็ถือกลับบ้านได้เลย..
ถูกใจพวงไหน เลือกเอาได้เลย.. ไม่ต้องใส่ถุง!!
"ผักบุ้ง" ..ก็มี !
กะหล่ำ..หัวโตๆ ก็ไม่จำเป็นต้องใส่ถุงเหมือนกัน.. หิ้วกลับบ้าน..เลย ลดโลกร้อน อิอิ ^^
ส่วนหนุ่มไทยทั้ง 3 ก็…ไม่ได้ซื้ออะไรครับ ไม่รู้จะซื้ออะไรกลับไปเหมือนกัน .. ซื้อผักไปก็ไม่รู้จะทำกินกันยังไง 55 ก็เลยเดินเล่น ชมตลาดไปเรื่อยๆ ล่ะครับ..
ได้เวลาอันพอสมควรก็เดินกลับ โรงแรมครับ ก่อนกลับก็เลยแวะซื้อ
ซาลาเปา สักหน่อย ไว้กลับไปกินกับกาแฟที่โรงแรม
เป็นไส้เค็มครับ ข้างในมีวุ้นเส้น ไข่ แล้วก็ผัก ราคา 2000 กีบ (8 บาท) ก็พอกินได้ ไม่ค่อยอร่อย..หรือตอนเช้ามันไม่หิว ก็ไม่รู้นะ 55
ระหว่างทางเดินกลับโรงแรม บรรยากาศยามเช้าชิลล์ๆ อากาศเย็นๆ มีคนมาเดินเล่น ออกกำลังกายกันครับ.. อากาศสดชื่น ดี
แล้ว..เราก็เดินกลับโรงแรม เพื่ออาบน้ำ เก็บของ และก็เดินทางกลับกันครับ..เป็นทริปเที่ยว "หลวงน้ำทา" แบบสั้นๆ ที่ไม่ได้วางแผน และคาดหวังอะไรกันมาก่อนเลยครับ เป็นทริปที่สนุกมากๆ ได้ประสบการณ์อะไรหลายๆ อย่าง ได้ปั่นจักรยานเที่ยวรอบเมือง ได้กินอะไรที่ไม่เคยกินมาก่อนในชีวิต ได้เห็นวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น เป็นต้น
ถ้ามีโอกาสคงได้มาเยือนอีกรอบนะ และคงได้ผ่านไปเที่ยวถึงเมืองงอยด้วย (เพราะครั้งนี้ไปไม่ถึง 55+) และ คงได้มีโอกาสผ่านไปเที่ยวจีน (ในอนาคต ฮิๆ) ก็เป็นรีวิวสั้นๆ พาไปเที่ยว แบ่งปันข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ให้กับเพื่อนๆ ที่สนใจไปเที่ยวกันนะครับ ..ขอจบรีวิว การเดินทางเที่ยว "หลวงน้ำทา" เพียงเท่านี้นะครับ ขอบคุณที่เข้ามาชมกันนะครับ..ไว้เจอกัน ทริปหน้าเด้อ ซี ยู อะ เกน.. สะบายดี!
การท่องเที่ยวเชิงไฉไล | CHAILAIBACKPACKER
Fanpage : https://www.facebook.com/chailaibackpacker
Instagram : CHAILAIBACKPACKER
Twitter : @chailaibackpack / goo.gl/VIBXC9
CHAILAIBACKPACKER
วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 15.44 น.