“เราานัด คนนำทางไว้แถวนี้หรือ”

นนท์น้องเล็กสุดในทริป ที่เพิ่งเดินป่าเมืองไทยครั้งแรก เอ่ยปากถามป๋อง เมื่อรถชะลอจอดให้เราเริ่มสตาร์ทการเดินทางจากสนามกอล์ฟกระทะทอง

“แถวนี้แหละ” ป๋องบอก หลังจากเอากระเป๋าแบกไว้บนหลัง พร้อมออกเดินโดยไม่วี่แววการใส่ใจของบุคคลอีกคนที่นนท์อ้างถึง

ทริปนี้เราคิดกันแค่ไม่เกิน 24 ชั่วโมงก่อนวันเดินทาง ด้วยความโหยหาป่าที่เว้นช่วงมานานพอควรจากโควิด 19 กะทะคว่ำเป็นเขาที่เราเลือกเพราะใกล้ภูเก็ตที่สุดและยังไม่มีใครเคยเดิน ยกเว้นป๋อง น้องอีกคนที่เคยพยายามเดินมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน แต่ไม่สำเร็จ

เรื่องคนนำทางเราทิ้งไว้ให้เป็นธุระของป๋อง ไม่ได้ถามต่อหรือสนใจอะไรเป็นพิเศษ จนถึงตอนนี้ ตอนที่นนท์ตั้งคำถาม

เมื่อเห็นนนท์ยังทำหน้ากังขา ป๋องเลยเฉลยว่า คนนำทาง คือ พรานป๋องคนนี้แหละ นนท์ทำหน้าอย่างไม่มีทางเชื่อ เหตุการณ์เรื่องคนนำทางผ่านมาแล้วผ่านไป ไวมาก ป๋องยืนเทียบแผนที่ที่โหลดมาในมือถือ เหมือนวางแผนเส้นทางกับเอ็ม เพื่อนร่วมทางอีกคนที่บ้าวิ่งเทรลเป็นบ้าเป็นหลังและเออออห่อหมกมานาทีสุดท้าย

4 คนกับกระเป๋าใบหนักบนหลัง เดินลุยสวนยาง ขึ้นเนินลงเนิน ข้ามลำธารเล็กๆ จนไปเจอถนนดินแดงอีกสายที่ชาวสวนใช้สัญจรไปมา เราแวะถามพี่แถวนั้นเพื่อให้มั่นใจเรื่องจุดสาร์ตของทางเดินอีกรอบ

เราไปกันต่อจนเที่ยงหน่อยๆ ปลดกระเป๋าริมลำธารสวย กรอกน้ำเพิ่ม จัดการข้าวเหนียวไก่เป็นมื้อเที่ยง เดินต่อสบายๆ ทางเดินชัดขึ้น แต่ไม่ค่อยมีร่องรอยคนใช้มากนัก ยิ่งไกลทางเริ่มหาย เราเลยใช้จุดมาร์คจากกูเกิลแทน เดินไต่สันเขาบ้าง ข้ามน้ำบ้าง บางช่วงต้องใช้มีดถาง ตัดกิ่งไม้หนามแหลมกีดขวางออกบ้าง

ช่วงที่หนักหนาสาหัสที่สุดสำหรับเราบ่ายนี้คือ การค่อยๆ ไต่หน้าผาหินสูงชัน ต้องวางเท้าให้นุ่มนวลที่สุด เพราะแต่ละส่วนของแผ่นผา มีหินก้อนที่พร้อมจะร่วงใส่คนหลังได้ตลอดเวลา เอ็มคนแรก ผมคนที่สองตามด้วยป๋องและนนท์ปิดท้าย

ในขณะที่มือสองมือต้องจับต้นไม้รากไม้ให้แน่น ตาสองตาก็ต้องสอดส่องหาที่วางเท้า มีแค่เสียงหายใจหนักๆ ยาวๆ ที่คอยให้กำลังใจตัวเอง

เราผ่านหน้าผามาได้พร้อมกับเรี่ยวแรงที่หายไปอย่างกับน้ำมันระเหยแดด เดินต่อไปอีกหน่อย เราพบทางเดินชัดเจน มีต้นไม้ห่มจีวรเหลืองเป็นหมายสังเกตทาง พื้นที่บริเวณนี้ได้รับการอนุรักษ์ให้เป็นป่าต้นน้ำเทือกเขากระทะคว่ำ

บ่ายสี่นิดๆ เราถึงยอดพระพุทธรูป นั่งพัก ชมวิว ไหว้พระ จับพิกัดยอดจากแผนที่แล้วเดินต่อ ป่าเริ่มหนาแน่นขึ้น เราเดินเลียบคลองส่งแร่ไปเรื่อยๆ ลุยดงหนามหวายบ้าง ฝ่าดงเฟิร์นบ้าง ล้มลุกคลุกคลานกันเป็นธรรมดา พระอาทิตย์เริ่มจะลับขอบฟ้า แสงทองลอดต้นไม้โผล่มาให้เราเห็นบ้างบางช่วง

ทางเดินไม่ง่ายอย่างที่คิด เวลาเดินไปเรื่อยๆ เหมือนจะเดินเร็วกว่าเราด้วยซ้ำ จากที่คิดว่าคงเดินถึงยอดก่อนมืด คิดผิด ฟ้าเริ่มมืดตั้งแต่ไม่ถึงครึ่งทางด้วยซ้ำ ความมืดในป่ากลายเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงของการไปต่อ น้ำที่เหลือแค่ประมาณสองลิตรสำหรับเราสี่คน ยิ่งเราก้าวเร็วเท่าไหร่ ความมืดในป่ายิ่งมาเร็วเท่านั้น เราตัดสินใจเดินกลับหลัง ไปหาทำเลเหมาะๆ นอนพักเอาแรง

การเดินกลับทางเดิมดูเหมือนไม่ยาก แต่ไม่ง่ายเมื่อเราพบว่า ต้นไม้ที่เราพยายามตัดๆ ทำเครื่องหมายแทบแยกแยะไม่ออกในความมืด โชคดีที่มีนาฬิกาทั้ง garmin และ suunto ฟังก์ชั่นบอกทางกลับจึงมีประโยชน์มากๆ

เดิน 12 ชั่วโมงกับเป้หนักบนหลังที่มีน้ำดื่มรวมกันแล้วแค่ไม่เกิน 2 ลิตร ดูเหมือนสัดส่วนที่แทบทำอะไรไม่ได้เลย มื้อเย็นที่กะว่าจะทุงข้าว ทำอาหารแล้วนั่งจิบชา ดูดาวชิลๆ ภาพสวยงามเหล่านั้นกลายเป็นการหาทางเดินกลับหาที่นอน กว่าจะจบเรื่องน่าจะเกือบสี่ทุ่ม

มื้อเย็นมีแค่น้ำ 2 ลิตรที่หารด้วย 4 กับขนมปังไม่กี่แผ่นกินกับหมูยอทอดช่วยชีวิต ฟันไม่ได้แปรง น้ำไม่ได้อาบ เช็ดตัวกับทิชชู่เปียกพอให้สดชื่น

เราตั้งวงปรึกษาและสรุปให้เดินกลับทางเดิมเพื่อความปลอดภัย อย่างน้อยถึงไม่รู้จักทาง แต่ร่องรอยเก่าๆ ต้องนำเรากลับลงเขาได้แน่นอน

นนท์อาสาจะดูแล สุมไฟให้ทั้งคืน หลับและกรนตั้งแต่ห้านาทีแรกที่มุดตัวเข้าเต็นท์ เราที่เหลือนั่งคุยกันต่ออีกแปบ แล้วแยกย้ายกันไปนอน ปล่อยให้กองไฟไหม้และมอดเอง

เราตื่นด้วยเสียงกระรอกแผดเสียงอยู่เหนือหัวประสานด้วยเสียงแหลมสุดเดซิเบลของจักจั่นเรไรบนต้นไม้ใกล้ๆ กัน ขนมปังอีกแผ่นสองแผ่นถูกรองท้องเป็นอาหารเช้า เตรียมแค่พลังงานที่หวังจะเดินไม่ไกลจนเจอแหล่งน้ำเพื่อมื้อสำคัญที่สุด

ขากลับเราเดินตามคูน้ำเหมืองแร่ไปเรื่อยๆ จนถึงทางเก่าที่สังเกตได้ไม่ยาก น้ำของผมที่เหลือก้นกระป๋องถูกแบ่งเป็นสี่ส่วนครั้งสุดท้าย

โชคยังดีที่เหลือบไปเห็นน้ำขังสีชาจากใบไม้เปื่อยในถังพลาสติกกลมเก่าที่น่าจะถูกทิ้งไว้ตั้งแต่สมัยมีกิจกรรมปลูกป่าหรือตอนสร้างพระพุทธรูป เอ็มใช้เครื่องกรองใส่ขวดสำรองไว้ โอเอซิสกลางป่าสร้างกำลังใจให้เราได้เดินต่ออย่างไม่มีกังวล

เราตามทางไปเรื่อยๆ มีหายบ้าง หลุดบ้าง เนื่องจากต้นไม้ล้มปิด ต้องใช้เวลาวนหาให้พบและไปต่อได้ ในที่สุดเราก็พบลำธารเล็กๆ สวยใส มีน้ำตกเล็กๆ ให้แช่

มื้อเที่ยงนี้กลายเป็นมื้อที่วิเศษสุดตั้งแต่เมื่อวาน ข้าวสวยร้อนๆ มีแกงป่าไก่ หมูยอทอด มันม่วงต้มกะทิ กินกันจนอิ่มแปล้ เราใช้เวลาเรื่อยๆ ชิลๆ กับสายน้ำเหมือนทุกคนลืมความเหนื่อยล้าจากเหตุการณ์เมื่อวานเสียสนิท คิดแค่ว่าถ้าวันนี้ไม่ถึงก็นอนป่าอีกคืนก็ไม่เห็นเป็นไร

ขาลงทางชันมาก ผ่านป่าทึบ มีต้นไม้ใหญ่รูปร่างสวยงามแปลกตาหลายต้น ข้ามลำธารหลายรอบจนจบปลายทางที่ฝายเก็บน้ำบ้านบางท้อนซึ่งเป็นจุดเริ่มของโครงการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำเทือกเขากะทะคว่ำ

เราไปไม่ถึงยอดเขาแต่ได้บทเรียนหลายบทจากการใช้ชีวิตในป่า

ผมนึกถึงเรื่องพูดคุยกับนนท์ เมื่อสองคืนก่อนการเดินทาง

“ผมว่าเทคโนโลยีอย่าง google map นาฬิกาสปอร์ตช่วยให้เราไม่หลงป่าได้แน่นอน”

“ไม่แน่นะ ความง่ายของเทคโนโยลีก็ใช่ว่าจะรู้จักป่าดี”


























traveltrap

 วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2563 เวลา 22.17 น.

ความคิดเห็น