“ ห้ะ จะไปเกาะช้างช่วงวันหยุดยาวเนี่ยนะ คนเยอะตายเลย”

“ช่วงนี้มันมีมรสุมไม่ใช่หรอ แถมเป็นช่วงlow season ด้วย”

“ดูพยากรณ์อากาศ จะมีฝนตกหนิ อย่าเพิ่งไปเลย”

ด้วยคำพูดของใครหลายๆคน หลังจากที่เราบอกไปว่าจะไปเกาะช้าง 4-6 กย ช่วงวันหยุดยาวนี้

ทำเอาเราลังเลอยู่เหมือนกัน แต่ก็ตัดสินใจเก็บกระเป๋าไปเที่ยวจนได้ เพราะอะไรน่ะหรอ

เพราะว่าเรามีเวลาว่างแค่นี้ไง!! คนเยอะก็เยอะวะ ฝนตกก็ตกวะ ช่างมัน 


เวลาห้าทุ่ม ที่ปั๊มบางจาก แถวบีทีเอสบางนา

เรากับเพื่อนอีกสามคนไปขึ้นรถที่จ้างไว้ ให้ไปส่งที่เกาะช้าง ที่ขึ้นเวลาดึกขนาดนี้ เพราะกลัวว่ารถจะติดนี่แหละ

พวกเราใช้เวลาประมาณสี่ชั่วโมงนิดๆ หลับตื่นๆ กันจนมาถึงที่ท่าเรืออ่าวธรรมชาติ แม้ว่าระหว่างทางจะแทบไม่เห็นรถวิ่งบนถนน แต่พอไปถึงท่าเรืออ่าวธรรมชาติ ก็เห็นรถต่อกันคิวยาวแล้ว

‘โห นี่ว่ามาเร็วแล้วนะเนี่ย’

พวกเรากลับไปนอนต่อในรถ รอให้ถึงเวลาตีห้าครึ่ง เขาก็เปิดจองตั๋วเรือเฟอร์รี่ 

ราคาคนละ80 บาท ถ้ามีรถจะคันละ120 บาท

ขึ้นมาบนเรือแล้ว

แสงแรกของวัน 

ถ้ามองไม่ผิด เหมือนที่เห็นอยู่บนภูเขานี่น่าจะเป็นหมอก 

ใช่วันนี้เกาะช้างมีหมอกด้วย !

นั่งเรือประมาณ40 นาที ก็ถึงแล้ว

เมื่อข้ามฟากมาถึงเพาะช้าง ก็มีคนมารับพาไปเที่ยว โชคดีที่มีคนรู้จักที่เขาอยู่ที่นี่ 

เขาเลยอาสาพาพวกเราเที่ยว

“วันนี้เช้าเกาะช้างหมอกลงนะครับ เมื่อวันก่อนๆยังไม่เห็นลง เพิ่งมาลงวันนี้แหละครับ”

นั่งรถผ่านข้างทางให้ความรู้สึกเหมือนในหนังเรื่อง low season เลย ขับรถบนถนน ที่ข้างทางเป็นป่าไม้สีเขียว อากาศเย็นนิดหน่อยๆ มีหมอกให้เห็นไกลๆตา

โคตรฟินนนนน~

ทางบนเกาะช้าง จะค่อนข้างขับยาก เนื่องจากมีเนิน มีทางโค้งคดเคี้ยว ค่อนข้างเยอะ

ดีนะที่พวกเราไม่ได้เช่ารถขับกันเอง

ที่แรกที่พวกเราจะไปคือ

พระตำหนัก พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์

ที่นี่ขึ้นไปจะมีจุดชมวิว สวยๆให้ดูด้วย

เนื่องจากพวกเรามาเช้ามาก ยังไม่มีผู้คนเลย

ลองมาชมบรรยากาศครึ้มๆแต่ก็สวยไปอีกแบบของวันนี้กัน

แวะกินข้าวเช้ากันก่อนที่ ร้านเจ๊กลอย อาหารตามสั่งที่ได้เยอะ อร่อย และไม่แพงอย่างที่คิด

ตรงข้ามร้านเจ๊กลอย เห็นร้านbar ที่ให้ความรู้สึก ‘คลาสสิคหวะ’ เก้าอี้นั่งดริ๊งสามตัวหน้าร้านที่เด่นแบบให้ความรู้สึกสมัยก่อน 

ช่วง พี่คนขับพาไปดู unseen




จุดต่อไปที่พวกเราไปคือ น้ำตกคลองพู 

น้ำตกคลองพลูอยู่ห่างจากชุมชนอ่าวคลองพร้าวประมาณ 3 กิโลเมตร ไปตามถนนที่จะไปหาดไก่แบ้

น้ำตกนี้มีอยู่ 3 ชั้น ชั้นแรกสุดสูงประมาณ 40 เมตร ชั้นต่อไปอยู่ติดกัน สูงกว่าชั้นแรกมาก มีแอ่งน้ำให้เล่นประมาณ 2–3 จุด มีน้ำไหลตลอดปี

จ่ายค่าเข้าคนละ 20 บาท 


ระหว่างทางสังเกตว่าสภาพโดยทั่วไปยังปกคลุมไปด้วยป่าดิบซึ่งเป็นป่าดั้งเดิมของพื้นที่ มีสภาพร่มรื่น อากาศเย็นสบาย

บรรยากาศชื้นๆ กับทางเดินที่ลื่น บอกเลยต้องระวังเวลาเดินให้ดีเลยล่ะ

เพราะเราเนี่ย ก็ลื่นล้มไปแล้ว แต่โชคดีที่ไม่เจ็บอะไรมากแค่ขาและกางเกงเปียก

พวกเราเดินกันไปประมาณสิบนาทีกว่าๆ เจอจุดแรก 

เพื่อนเราเดินต่อกันไม่ไหวแล้วด้วย เลยตัดสินใจดูแค่นี้ละกัน ฮ่าๆ 

เพราะถ้าต้องเดินไปอีก 1.9 กิโลเพื่อไปดูน้ำตกชั้นต่อไป คงไม่ไหวแน่ 

แต่ไม่เป็นไร แค่นี้ก็สวยแล้วล่ะ

หลังจากนั้นก็ขึ้นรถกลับ ขับรถออกมาไม่เกิน5นาที ฝนก็เริ่มตกปรอยๆแบบไม่หนักมาก 

ไม่อยากจะคิดว่าถ้าฝนตกตอนเที่ยวน้ำตก มันจะลื่นแค่ไหน โชคดีมากที่ออกมาก่อน


ตอนนี้ก็ได้เวลากินข้าวกลางวันแล้ว

ร้านอาหารกลางวันนี้พวกเรา เลือกไปร้าน Aiyara

ที่นั่งติดพื้นเห็นวิวริมทะเล แต่เอ๊ะทำไมรู้สึกว่าถ่ายรูปออกมาแล้วเหมือนไปเที่ยวตลาดน้ำเลยแฮะ

อาหารราคาเมนูส่วนใหญ่อยู่ที่ 150-250 รสชาติอร่อยใช้ได้

แต่ตอนจ่ายเงินนี่สิ พนักงานถามว่า

“มีแอพเป๋าตังไหมคะ ได้เช็คอินโรงแรมที่เข้าร่วมโครงการของรัฐบาลที่จะลดค่าอาหารให้ 40 % ไหมคะ”

ว๊า แย่ละ ไม่ได้จองเข้าร่วมโครงการนี้ โคตรเสียดายเลยไม่งั้นได้ลดราคาไปเกือบจะ50% เลยนะ

ทำเอาพวกเราหัวเสียไม่ใช่น้อย เซ็งกับตัวเองที่ไม่ศึกษาเรื่องนี้ให้ดีๆ

นี่เป็นอีกครั้งที่การเที่ยวทำให้เราเจอ ‘บทเรียน ราคาแพงอีกแล้ว’



หลังจากกินอาหารเสร็จพวกเราก็ตัดสินใจจะไปเที่ยวประภาคาร ที่อยู่ฝั่งสลักเพชร

ซึ่งอยู่อีกทาง พวกเราต้องนั่งรถไปเกือบหนึ่งชั่วโมง ท่ามกลางแดดร้อนๆ ทางชันๆโค้งๆ

เลยผล็อยหลับไปตามกัน

รู้ตัวอีกทีคือ พี่คนชับลงไปถามทางคนแถวนั้นว่าประภาคารไปยังไง เพราะเหมือนมาตามแมพแล้วมันไม่ใช่ ชาวบ้านแถวนั้นก็บอกว่า 

“ มันต้องขับกลับไปอีกทางนะ ตรงนี้ไม่ใช่ มีคนขับผิดมาแบบนี้หลายคนแล้ว”

พี่คนขับเล่าเรื่องนี้ให้พวกเราฟังแล้วบอกว่า


“ จากตรงนี้เราจะไปหมู่บ้านชาวประมง หรือไปดูประภาคารก็ได้นะครับ เปลี่ยนใจไหมครับ”

“ ไปดูประภาคารเหมือนเดิมก็ได้ค่ะ ”

หลังจากนั้นพีเขาก็ขับกลับไปเรื่อยๆ ถามทางคนแถวนั้นอีกสองสามคน จนสุดท้ายพวกเราก็มาถึง

ไม่มีใครเลย มีแต่พวกเรา 

สงสัยกันมากว่าคนเขาไปเที่ยวไหนกันเนี่ย นี่มันเทศกาลวันหยุดจริงรึป่าววะ 

ความจริงที่นี่เขาเรียกกันว่า ‘ท่าเรือเทียบสลักเพชร’ ใครอยากมาชม ปักหมุดจีพีเอสมาตรงนี้นะ


นั่งรถกลับไปอีกประมาณหนึ่งชั่วโมง เพื่อไปหาดทรายขาว

หาดทรายขาว

แต่พวกเราไปแป๊บเดียว เพราะว่าจะกลับไปเช่าเรือคายัคที่หาดไก่แบ้ ซึ่งรอบสุดท้ายที่เขาเปิดให้เช่าคือ5โมงเย็น ชั่วโมงละ 200 และต้องกลับมาก่อน 6 โมงครึ่ง

เรากับเพื่อนคนหนึ่งพายเรือคายัคกันไปที่อีกเกาะหนึ่ง ซึ่งเราเป็นคนนั่งข้างหน้า ได้เปรียบตรงที่ได้เห็นภาพสวยๆโดยที่ไม่มีคนมานั่งกั้นข้างหน้านี่ล่ะ

เห็นความกว้างใหญ่ของทะเล เส้นตรงที่ขอบฟ้ามาประจบกับท้องทะเลอันกว้างใหญ่ 

เป็นอีกครั้งที่ ‘อยากจะหยุดเวลาเอาไว้ตรงนี้จัง’

พายไปสักพักเริ่มเหนื่อย เลยนอนราบไปกับตัวเรือ มองเห็นท้องฟ้า 

นอนคุยกับเพื่อนสักพักลุกขึ้นมา เห็นกิ่งไม้อยู่ข้างหน้า เราร้องกรี้ดลั่นเลย เอาตัวนอนราบเพื่อหลบกิ่งไม้ ตอนนั้นคิดแล้วว่า หน้าแหกแน่ 

แต่แล้วเรือก็หยุด เพราะเพื่อนที่นั่งข้างหลังเราเอาไม้พายยันกิ่งไม้ให้

“ แกจะบ้าหรอวะ นอนหลบกิ่งไม้เนี่ยนะ ทำไมไม่เอาไม้พายยันวะ”

หลังจากนั้นพวกเราก็พายเรือมาถึงเกาะ ขึ้นไปขีดเขียนทราย เป็นข้อความขอให้สอบผ่าน

แล้วพวกเราก็พายเรือกลับ ขากลับนี่รีบพายกันใหญ่เลย กลัวจะไปไม่ทัน โดนปรับ

ส่วนเพื่อนอีกสองคนที่ลงเรืออีกลำ ขี้กลัว พายกันไม่ถึงไหน กลับขึ้นฝั่งกันไปตั้งนานแล้ว

พวกเราพักกันที่ K.B. Resort ที่มีหาดข้างหลังโรงแรมติดกับหาดไก่แบบพอดี

สภาพห้องโรงแรมกว้างใหญ่ดี จองได้ราคาคืนละ700 บาท

นี่คือวิวจากข้างหลังโรงแรมช่วงเย็น

ร้านอาหาร KohChang seafood 

เพื่อนเราถามพนักงานว่า เข้าร่วม40% ไหมคะ 

“ เข้าค่ะ”

พวกเราหันมามองหน้ากัน แล้วถอนหายใจเสียดายยอีกครั้ง

ไม่รู้จะถามทำไมให้เจ็บเล่นๆเนอะ

ระหว่างนั่งรถกลับโรงแรม เห็นป้ายไอติมลูกใหญ่สามลูก สะดุดตา มองเข้าไปในร้านดูน่ากิน 

เลยแวะลงไปกินซักหน่อยแม้ว่านี่จะเป็นเวลาสามทุ่มครึ่งแล้ว

ร้าน Mordi e Fuggi

ที่นี่เป็นร้านไอติมโฮมเมด เจลาโต สูตรอิตาเลียน ไอติมมีให้เลือกหลายรสลูกละ50 

แต่ที่อร่อยสุดๆคือชีสเค้ก! โอ้มายก้อดดดดด คือมันไม่เลี่ยน ไม่หวานนเกินไป 

ใครมาต้องไปลองเลยร้านนี้

ก่อนกลับเจ้าของร้านบอกว่าข้างๆนี่เป็นร้านอาหารอิตาเลียน เชฟเป็นคนอิตาเลียน ทำเอง มีสูตรเฉพาะ

ยังไงใครไปก็ฝากแวะไปชิมแทนพวกเราด้วยนะ


เช้าวันที่สอง 

เราตื่นขึ้นมาคนเดียว6โมงเช้า ในขณะที่เพื่อนๆกำลังหลับสบาย เพราะตั้งใจจะไปดูวิวทะเลตอนเช้า จริงๆตั้งใจไปดูพระอาทิตย์ขึ้นล่ะ

แต่สายเกินไป คงต้องมาตอนตีห้ากว่าๆถึงจะทัน

เวลานี้ได้อยู่คนเดียว นั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ทำให้รู้ว่า

‘แม้มากับเพื่อน ก็ยังอยากที่จะมีเวลาอยู่กับตัวเองสักพักเหมือนกัน ได้ทบทวนตัวเอง ฟังเสียงคลื่นทะเล ปล่อยใจให้ว่างเปล่า เออมันก็สบายใจดีนะ’

เกาะนี้ไงๆที่พายเรือคายัคจากหาดไก่แบ้ไปเมื่อเย็นกับเพื่อน

นี่เป็นส่วนบาร์ของโรงแรม เสียดายไม่ได้มาถ่ายรูปตอนกลางคืน แสงไฟน่าจะสวยน่าดู เพราะออกไปกินข้าวเย็นกลับมาก็ดึกแล้ว 

นั่งกินข้าวคนเดียว แอบมองน้องหมาโต๊ะตรงข้าม


พวกเรานั่งรถไปสลักเพชรเส้นทางซ้ำเหมือนเมื่อวาน

มาถึงที่ท่าเรือสลักเพชรเวลา10.00

โปรแกรมวันนี้ค่อนข้างหนัก เพราะจะไปลุยเกาะต่างๆ 

กับเรือสปีดโบ้ทที่เหมาไว้ 4 คน 6000 บาท ถ้าเอาอาหารด้วย 6500 เริ่มทัวร์ได้ตั้งแต่ 9.00-16.00

ของบริษัท by first tour

พวกเรามาถึงที่ท่าเรือสลักเพชรเวลา10.00

เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังนะว่ามากับบริษัทนี้ดียังไง 

แต่ก่อนอื่น เห็นวิวคุ้นๆไหม

ใช่แล้ว นี่คือประภาคารที่พวกเรามาเมื่อวาน โหรู้งี้ เมื่อวานจะมาทำไมวะ ฮ่าๆ

วันนี้ก็ได้มาขึ้นเรือที่นี่อยู่แล้ว ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยจริงๆ แต่เอาหน่า ถือว่าคนละเวลา บรรยากาศคนละแบบละกัน 

เห็นเมฆครึ้มๆนั่นไหม ใช่ อีกไม่นานฝนก็ตกตามมา 

พวกเรารีบหลบฝนที่สาดเข้ามากันใหญ่ แต่ไม่นานฝนก็หยุด

แล้วฟ้าหลังฝนก็สวยงามเสมอ

เราคุยกับพี่ไต๋เรือว่า ขอให้พี่เขาแวะเกาะที่มีหาดก่อน เพื่อที่พวกเราจะได้ถ่ายรูปกันก่อนที่จะตัวเปียก

เพราะไปดำน้ำ 

เกาะแรกที่แวะคือ

เกาะเหลายา

“พี่คะ ทำไมไม่มีคนมาเที่ยวเลยอะคะ”

“รอตอนบ่ายก่อนครับ คนจะออกมาเยอะกว่านี้”

หาดยายมา

จะเห็นว่าน้ำใสมาก และภาพที่ถ่ายมาสวยด้วย คนก็ไม่ค่อยมี

อุทยานแห่งชาติเกาะรัง

ที่นี่จะเสียค่าเข้าคนละ40บาท

พวกเราแวะมาที่นี่เพื่อเปลี่ยนชุดไปดำน้ำ แต่เอาจริงที่นี่ก็มีดีกว่าแค่แวะมาเปลี่ยนชุดนะ

เรือมุ่งหน้าไปต่อ เพื่อไปดำน้ำบริเวณรอบๆ

ดำน้ำที่เกาะยักษ์เล็ก ยักษ์ใหญ่

ตรงส่วนนี้ขออนุญาตให้ภาพเล่าเรื่องแทนนะ

ต้องขอบคุณรูปดำน้ำสวยๆจากกล้อง GoPro ของบริษัทเรือทัวร์ by first tour ด้วย 

จอดพักกินข้าวที่เกาะมะปริง

พี่เรือเอาสัปปะรดกับพุดดิ้งที่บ้านพี่เขาทำมาให้พวกเรากินด้วย ตรงนี้ประทับใจมากแม้ว่าพวกเราจะเลือกเรทราคาไม่รวมอาหาร 

พี่เรือให้พวกเราเอาเรือคายัคลงไปเล่นด้วย

ระหว่างที่ดำน้ำเพื่อนเราคนนึงบอกว่าที่หายใจของแว่นตาสน็อกเกิ้ลหายไป พี่ไต๋เรือรีบดำน้ำไปหาให้โดยไม่ว่าอะไร และสุดท้ายหาไม่เจอ เพราะเพื่อนมันลืมไว้บนเรือเอง แต่พี่แกก็ยังยิ้ม หัวเราะกับเรื่องราวไม่ได้ว่าอะไรพวกเราอีก ประทับใจมากๆ


แล้วพวกเราก็เริ่มเดินทางกลับกันตอนเกือบสี่โมง 

ไม่ได้แวะหาดนี้ เพราะเหนื่อยแล้ว

ภาพประภาคารชัดๆ

ตอนที่ขึ้นรถมาแล้ว พี่ไต๋เรือยังอุตส่าห์วิ่งมาเคาะกระจก บอกว่าเราลืมแบตกล้องไว้ นี่แหละใครว่าการบริการไม่สำคัญ ถ้าบริการดี ลูกค้าก็ติดใจ อยากจะบอกต่ออยู่แล้ว


วันสุดท้ายขอตื่นสายๆนู่นเก้าโมงกว่าจะลุกจากที่นอน เช้คเอาท์11โมงครึ่ง แล้วไปร้าน el greco  ที่ขับรถผ่านหลายวันแล้วอยากกิน จะได้กินจริงๆสักที

ร้านอาหาร el greco  ร้านอาหารกรีกเจ้าของร้านมาจากประเทศกรีซ เวลามารับลูกค้าก็speak English แต่ก็พูดไทยได้ชัดเจน น่ารักพูดจาดี

เมนูอาหารที่นี่ส่วนใหญ่จะแนะนำเป็นเนื้อแกะ ซึ่งเรากอนแล้วเนื้อไม่ได้มีกลิ่นแรง ใครไม่ถนัดเนื้อแกะเราว่ากินได้สบายๆเลย

ร้านนี้อร่อยนะ ใครเบื่อๆอาหารทะเลกินมาหลายมื้อแล้ว ลองมากินอาหารกรีกร้านนี้ดูสิ 

เสร็จแล้วพวกเราก็เริ่มเดินทางกลับ ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบบ่ายโมง ระหว่างทางไปท่าเรือรถก็ติดแล้ว ซึ่งมีคนบอกว่าจะติดนานหลายชั่วโมงเลย สำหรับคนที่จะเอารถขึ้นเรือก็จะรอนานหน่อย 

ขึ้นเรือเฟอร์รี กลับกรุงเทพกัน


สำหรับการเที่ยวในครั้งนี้ทำให้เราได้เรียนรู้การเที่ยวกับเพื่อนซึ่งมันให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากการเที่ยวคนเดียวอย่างมาก เราอาจจะต้องคอยรอคนอื่น เวลาอาจจะสายไปกว่าโปรแกรมบ้าง บางอย่างถ้าเราไปเคร่งกับตารางเวลาที่วางไว้มาก ก็ทำให้เสียอารมณ์เวลาเที่ยวมากกว่า เราปล่อยวางให้มันสบายๆไปบ้างก็ได้ แต่ถึงยังไงมันก็มีเรื่องราวที่เกิดขึ้น ความสนุก บทสนทนาที่เราได้เจอร่วมกัน เรียกว่าเป็นทริปที่เชื่อมความสัมพันธ์ของคนในกลุ่มได้อย่างดีเลยล่ะ55555

อีกอย่างคือเกาะช้างไม่ใช่อย่างที่คิดไว้เลย ตอนแรกเราคิดว่าช่วงวันหยุดยาวแบบนี้คนจะเยอะมาก แต่ความจริงแทบไม่มีคนเลย น่าจะมามีไอ้วันที่เรากลับไปแล้วมั้ง แต่โคตรโชคดีเลย 

และเราว่าเกาะช้างสวยขึ้นมาก อาจเป็นเพราะช่วงโควิดนักท่องเที่ยวน้อย ธรรมชาติได้ฟื้นฟู เราเลยได้เห็นความงามของเกาะช้างอย่างที่มันควรจะเป็น 

และที่สำคัญฝนไม่ได้ตกเยอะ ไม่ได้มีมรสุมอะไรอย่างที่ใครๆเตือน เนี่ยอีกแล้ว การมาเที่ยวมันสอนให้เรารู้ว่า เราไม่ควรวิตกกับอะไรบางอย่างเกินไป บางครั้งสิ่งที่เจอมันอาจจะดีกว่าที่คิดก็ได้

แล้วถ้ามีโอกาสจะกลับมาเกาะช้างอีกนะ

ขอบคุณ คุณผู้อ่านทุกคนนะคะ




Nali

 วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2563 เวลา 19.03 น.

ความคิดเห็น