"ไปมัลดีฟกัน"

อยู่ดีๆก็มีวันหยุด 8 วัน ตัดสินใจไม่กระทันหันเท่าไหร่ว่าจะต้องไปมัลดีฟกับเขาบ้างสักที

ด้วยงบประมาณที่มีจำกัดจำเขี่ยเพราะบาดเจ็บจากการเที่ยวมองโกเลียเมื่อสงกรานต์

แต่สารเคมีในสมองมันบอกว่า "เฮ้ย หยุดตั้ง 8 วันจะอยู่บ้านเฉยๆได้ยังไง"

ไปค่ะ เราต้องออกไปดูโลกกว้าง!

มีข้ออ้างตามนั้นแล้วก็คว้าบัตรเครดิตกดตั๋วเครื่องบินไป-กลับ กรุงเทพฯ-มัลดีฟมาครอบครอง!!

Trip Schedule 30 APR-07 MAY

Day 1 - Bangkok Departure - ออกเดินทางสู่กรุงมาเล่ ประเทศมัลดีฟด้วยสายการบินไทยแอร์เอเชีย ต่อเครื่องที่กัวลาลัมเปอร์ ถึงมาเล่ 21.00 -พักโรงแรมในมาเล่ (Male)

Day 2 - Male - Dhiffushi Island - บ่ายสองโมงครึ่งเรือโดยสารไปเกาะ Dhiffushi ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง (ชิลล์ๆ) ถึงที่พักบนเกาะ Dhiffushi ราว 5โมงเย็นนิดๆ ทันดูพระอาทิตย์ตกมหาสมุทรอินเดียพอดี

Day 3 - Dhiffushi - ดูปลาดูเต่า ณ Turtles Point! (Snorkeling)

Day 4 - Dhiffushi - ปั่นจักรยานเที่ยวรอบเกาะ (ฟรีด้วย)

Day 5 - Dhiffushi - สัมผัสความไฮโซกับหาดทรายกลางทะเลส่วนตั๊วส่วนตัว Sand Bank กับจุดดำสน๊อกเกิ๊ลที่ลืมไม่ลงจริงๆ!

Day 6 - Dhiffushi - ดูเต่าดูปลา ณ Fish Point! (Snorkeling)

Day 7 - Dhiffushi - BEACH DAY! - อกหักจากปลาโลมาเนื่องว่าอากาศไม่อำนวย

Day 8 - Dhiffushi - นั่งเรือกลับมาเล่ - เดินเตร่เที่ยวในเมืองก่อนขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯ

ค่าใช้จ่าย

1. เแพคเกจตั๋วไปกลับของแอร์เอเชีย + ที่พักพร้อมอาหารเช้า 6 คืนราคาเหมาๆ ตกคนละ 24,000 บาทถ้วน! (expedia)

แอร์เอเชีย บิน via กัวลาร์ลัมเปอร์ - เวลาต่อเครื่อง 2-3 ชั่วโมงก็โอเค ถ้าไฟลท์ไม่ดีเลย์ก็ถือว่ารอไม่นาน

แม้จะไปถึงมัลดีฟค่ำหน่อยแต่เราก็ไม่ซีเรียส เพราะเรามีเวลาอยู่กับทะเลตั้ง 8 วัน!!!

2. ที่พักในมาเล่คืนแรกที่ไปถึง เลือกพักที่ Skai Lodge - คืนละ 2,578 บาท/ 2คน= 1,289 บาท/ คน

3. ค่าเรือ Airport Ferry ไป-กลับ (1.5USD/คน) / Ferry Male-Dhiffushi ไป-กลับ (3 USD / คน) / Taxi จาก รร. Skai Lodge ไปท่าเรือ 3 USD / Taxi จากท่าเรือ ไปท่าเรือ Airport Ferry 2 USD = 7 USD / คน

4. ค่าทัวร์ที่ Dhiffushi + ค่าอาหารทุกมื้อกินที่โรงแรมในบนเกาะ Dhiffushi = USD 245 / คน

5. จิปาถะ แลกเงินไว้กินขนม + ซื้อของฝาก คนละ 50 USD / คน (แนะนำว่าควรแลกเป็น Rufiya ไว้ใช้ ส่วนตัวคิดว่าเรทดีกว่าจ่ายเป็น USD)

(คำนวณจากค่าเงินวันที่แลกมา 1 USD = 35 บาท)

เบ็ดเสร็จ = 25,289 บาท + 302 USD = 35,859 บาท!!! / คน

พร้อมแล้ว ไปลุยกันเลยค่ะ!!!

Day 1 - ออกเดินทางสู่กรุงมาเล่ ด้วยสายการบินแอร์เอเชีย ต่อเครื่องที่กัวลาลัมเปอร์-พักโรงแรมในมาเล่ (Male)

แพคเกจที่ซื้อผ่าน expedia รวมค่าโหลดกระเป๋าคนละ 20 กก.ด้วยนะคะคุณ

เช็คอินโหลดกระเป๋าแล้วเราก็โบกมือลากระเป๋าเดินทางได้เลย

สัมภาระจะได้รับการส่งผ่านต่อไปไฟลท์ปลายทางสู่มาเล่ไม่ต้องกังวลว่าจะลากกระเป๋าไปต่อเครื่องทันไม่ทันอีกต่อไป!

ใช้เวลา 2ชั่วโมงครึ่งนิดๆ แวะต่อเครื่องที่กัวลาลัมเปอร์ ไฟลท์ดีเลย์ค่ะ แต่อย่าซีเรียส

สนามบินกว้างขวางร้านรวงเยอะแยะ ร้านอาหาร ร้านกาแฟมี ดิวตี้ฟรีเดินเพลินๆ อาหารเครื่องดื่มราคาพอคุยกันได้

มี Food Court ฝากท้องไว้สำหรับมื้อเย็น รอไฟลท์เพลินๆ

- เดินหาเกทกว่าจะเจอใช้เวลาพอสมควร (กะเวลาดีดีอย่าเพลิดเพลิน เกทค่อนข้างไกลไปถึงไกลมากทีเดียว 555)

ใช้เวลาประมาณ 4.30 ชั่วโมงจากกัวลาฯ ไฟลท์ก็แลนดิ้งอย่างสวยงามลงกลางทะเล ...

ยินดีต้อนรับสู่สนามบินIbrahim Nasir International Airport ประเทศมัลดีฟ มาถึงก็สี่ทุ่มกว่าๆ สนามบินไม่ใหญ่ไม่เล็ก คล้ายๆสนามบินกระบี่บ้านเรา แถวไม่ยาวนักเพราะดึกแล้ว เราก็ผ่านด่านตม.มาอย่างง่ายดาย พร้อมสติ๊กเกอร์น่ารักแปะหราอยู่บนหน้าพาสปอร์ต

(น่ารักจนอยากได้อีกอัน พี่ตม.บอกมาอีกครั้งสิจะได้อีกอัน ฮา!)

*Tips* ห้ามนำเข้า เหล้า หมู หมา สื่อลามก!! อันนี้เห็นคนโดนสุ่มตรวจอาจจะโดนปรับไปหลายอยู่เพราะถือเป็นสิ่งผิดกฏหมาย

รับกระเป๋าจากสายพานแล้วเราก็มุ่งหน้าสู่ทางออก!! มองซ้ายจะเห็นบูทแลกเงินของธนาคาร

อันนี้ ส่วนตัวขอแนะนำว่า แลกเงินรูฟีย่าไว้ใช้บ้างก็ดีค่ะ เพราะจากประสบการณ์ทริปครั้งนี้คิดว่าจ่ายด้วยเงินท้องถิ่นคุ้มกว่าจ่ายด้วยเงิน USD แลกมาพอประมาณอย่าเยอะ เพราะเยอะใช้ไม่หมดแลกคืนจะขาดทุนย่อยยับ 5555

*Tips* อย่าลืมเก็บใบเสร็จแลกเงินไว้ให้ดี กรณีหากต้องการแลกคืนจริงๆต้องกลับมาแลกที่สนามบินจากบูทธนาคารเดียวกันฝั่งขาออกและต้องแสดงใบเสร็จด้วยค่ะ)

อัตราแลกเปลี่ยน วันที่ 30 เมษายน 2016 - 1 USD = 15 รูฟีย่า

เดินออกมาประตูทางออกอีกหน่อย มองขวาจะเห็นบูทขายซิมมือถือ ที่เค้าลือกันว่าเน็ตแรงเว่อร์!!

แต่นี่ไม่ได้ซื้อ เพราะกะไปใช้ wifi free ที่โรงแรมตลอดการเดินทาง!!!! (ประหยัด)

เดินมาถึงถนนข้ามถนนมา แลทางขวาจะเห็นท่าเรือและบูทขายตั๋ว ใช่ค่ะ เราจะต้องนั่งเรือเมล์ข้ามไปฝั่ง "เกาะเมือง"

เกาะเมืองมี 2 เกาะ เกาะสนามบินอยู่ตรงกลาง (ดูภาพประกอบ)

- เกาะบนเรียก Hulhumale (มีถนนเชื่อมต่อจากเกาะสนามบิน)

- เกาะล่าง ที่เป็นเกาะเมืองหลวงของประเทศ ชื่อเกาะ Male (มาเล่) เกาะนี้ไม่มีถนนเชื่อม ทางเดียวคือเรือเมล์ข้ามไปมาที่วิ่งตลอด 24 ชม. ระหว่างเกาะสนามบินและเกาะมาเล่

*ขณะนี้กำลังมีการก่อสร้างสะพานเชื่อมระหว่างเกาะสนามบินและเกาะมาเล่ด้วยความช่วยเหลือจากประเทศจีนซึ่งจะเปิดให้ใช้บริการในปี 2018 คาดว่าการคมนาคมจะสะดวกขึ้นมากเลยทีเดียว (แต่นี่นั่งเรือก็สนุกดีนะ 10 รูฟีย่า ประมาณไม่เกิน 10นาที)


*Tips* สำหรับใครที่จะต้องมาค้างคืนที่มาเล่ก่อน 1 คืนก่อนเดินทางต่อไปรีาอร์ทหรือเกาะอื่นๆ แนะนำว่าให้เช็คให้ดีก่อนว่าพักเกาะไหนสะดวกกว่ากัน เพราะจะมีโรงแรมทั้งเกาะ Hulhumale และ เกาะ Male ราคาหลากหลายตั้งแต่ไม่กี่พันบาทไปจนหลายพันบาท ส่วนตัวคิดเลือกพักฝั่งMale เพราะว่าเช้าวันรุ่งขึ้นต้องลงเรือเมล์ไปเกาะ Dhiffushi (ท่าเรือ Villingili Ferry Terminal)

ถึงท่าเรือฝั่งมาเล่ ก็จะมีแท๊กซี่มาคอยรอให้บริการ แต่นี่สะบัดบ๊อบเปิดแผนที่แล้วเดินผ่านแท๊กซี่ไปอย่างไม่ไยดี

เพราะโรงแรมที่จองมา อยู่ห่างจากท่าเรือเพียง 500 เมตร เดินซอกแซกแป๊บเดียวถึง แม้จะค่อนข้างดึกแล้วแต่ผู้คนก็ยังพลุกพล่าน

เดินแบกเป้มาถึงโรงแรม Skai Lodge ที่จองผ่านอาโก๋ด้า ราคา 2,578 บาท (รวมอาหารเช้า)

- ขออภัยไม่มีรูปห้องเพราะง่วงนอนเกินจะถ่ายภาพ แถมสภาพห้องก็ไม่มีอะไรให้น่าจดจำ ...

เอาจริงๆ ข้อดีอย่างเดียวเลยคือเดินมาจากท่าเรือได้ไม่ไกล ..

สรุปว่า พอนอนได้ก็แล้วกัน...พี่นอนง่าย -- เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว!

Day 2 - Male - Dhiffushi Island

ตื่นสาย มาพร้อมกับคลื่นความร้อน!!

ความดีงามของ Skai Lodge นอกจาก location แล้วขอยกให้ "อาหารเช้า"!!

อาหารเช้าเป็นเซ็ท คือดี คือจัดเต็ม คือมาพร้อมผลไม้ ไข่เจียว ขนมปัง และที่อร่อยมากคือไอ้เจ้าลูกกลมๆสองลูกนั่น มันคือ Tuna Cheese Balls อร่อยเว่อ! ใครไปมัลดีฟลองหาสั่งดูค่ะ เค้าเรียก Kiev หรือ Kief นี่ล่ะ (อร่อยจนลืมชือ555)

เที่ยงกว่าก็ฝากท้องไว้กับโรงแรมนั่นล่ะค่ะ เพราะข้างนอกร้อนจนไหม้ ... โรงแรมก็ใจดีให้เลทเช็คเอ้าท์ ถึงบ่ายโมง กินข้างเสร็จเช็คเอ๊าท์ออกมาหาแท๊กซี่ก็จะสองโมงพอดี

แท๊กซี่ที่นี่เป็นมิเตอร์ค่ะ จะจ่ายเป็น USD หรือจ่ายเป็นเงินรูฟีย่าก็ได้ (แบงค์เค้าออกมาใหม่สวยน่าใช้มากก-รูปจากเน็ต)

ค่าแท๊กซี่ตามมาตรฐานคือ 2-3 USD ไปไหนมาไหนบนเกาะมาเล่ใช้ราคาประมาณกันได้ 2-5 USD ค่ะ

รถแท๊กซี่มีหลายบริษัท คันเล็กคันใหญ่ราคาไม่ต่างกัน ส่วนใหญ่รถใหม่ๆ คันเล็กน่ารักเหมาะกับถนนเล็กๆบนเกาะมาเล่

สภาพการจราจรเรียกว่า โล่งสะดวกละกัน ไม่ถึง 10นาทีก็ถึงแล้วท่าเรือ Villingili Ferry Terminal

ท่าเรือแห่งนี้เปรียบเสมือนท่ารถหมอชิตบ้านเรานี่เองค่ะ จะมีเรือไปตามเกาะใหญ่น้อยต่างๆ เช่น เกาะยอดนิยมของนักท่องเที่ยว Maafushi หรือเกาะ Huraa เกาะ Dhiffushi ที่เป็นเกาะไกลที่สุดของเรือเมล์สายนี้ก็เช่นกัน ต้องมาลงเรือที่นี่ค่ะ

ซื้อตั๋วมาก่อนเลย ราคา 22 รูฟีย่า (1.5 USD) เรือออก 14.30 ค่ะ มีเวลา Boarding Time ด้วยนะคะ 14.15 - เรือที่นี่ตรงเวลามากค่ะ เพราะฉะนั้นใครจะมาลงเรือกะเวลาดีๆนะคะ ตกเรือแล้วมันเจ็บใจค่ะ เพราะว่ามีแค่วันละเที่ยวเดียวเท่านั้น (วิ่งทุกวัน ยกเว้นวันศุกร์นะคะ)


เรือโดยสารไปเกาะ Dhiffushi ใช้เวลาประมาณ 3-3.30 ชั่วโมง บนเรือมีห้องน้ำ มีบูทขายขนม เครื่องดื่ม นั่งชิลล์ๆไปกับชาวมัลดิเวียนบนเรือที่คุยกันสนุกสนาน บางคนก็ไปช๊อปปิ้งมา รื้อค้นของมาอวดกันบนเรือเป็นที่สนุกสนาน ราวกับว่าทุกคนรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี

(แล้วก็จริงเสียด้วยค่ะ พวกเค้ารู้จักกัน เกาะมันเล็กมากกกก)

ระหว่างทางเราก็จะได้สัมผัสบรรยากาศของความ 5 ดาวบ้าง... เรือวื่งผ่านรีสอร์ทหรูอยู่หลายรีสอร์ทเลยค่ะ ... ได้แต่ส่งสายตาไปทักทาย โบกมือบ๊ายบายอยู่บนเรือเมล์ 555

เรือเมล์พาเราแวะจอดตามเกาะต่างๆอีกสามเกาะ ก่อนจะถึงป้ายสุดท้ายคือเกาะ Dhiffushi ของเรา ที่เป็นเกาะที่เค้าว้ากันว่าอยู่ฝั่งตะวันออกที่สุดแล้วในประเทศมัลดีฟ

เราถึงเกาะ Dhiffushi ราว 5โมงเย็นนิดๆ เช็คอินเสร็จทันดูพระอาทิตย์ตกมหาสมุทรอินเดียพอดีเลยค่ะ!!!

*Tips* เกาะแก่งนับร้อยพันในมัลดีฟ แยกออกเป็น 3 ประเภทค่ะ

1.คือเกาะที่เป็น Private Island หรือ เกาะรีสอร์ทที่ได้รับสัมปทานจากรัฐฯ พูดง่ายๆก็คือพวกเกาะโรงแรม 4-5ดาวทั้งหลายที่ขายเป็นแพคเกจค่ะ เกาะพวกนี้จะเป็นเกาะสำหรับผู้จองเข้าพักเท่านั้น ไม่อนุญาติให้คนนอกเข้าค่ะ (มีบางเกาะมีแพคเกจทัวร์แบบ 1 Day Trip ขายด้วย) -เกาะเหล่านี้รัฐฯจะอนุญาติให้มีการขาย/บริากรเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ / ไม่ห้ามเรื่องชุดว่ายน้ำ ฯลฯ)

2. เกาะที่มีประชาชนอยู่อาศัย - เกาะต่างๆเหล่านี้มีชุมชน หมู่บ้าน มีผู้อยู่อาศัย บางเกาะมีโรงแรม ร้านอาหารไว้บริการนักท่องเที่ยวด้วย แต่จะต้องปฏิบัติตามกฏหมายเคร่งครัดคือ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และงดแต่งตัวล่อแหลมหรือชุดว่ายน้ำในที่สาธารณะ (อาจมี Bikini's Beach แยกต่างหากไว้ให้ในบางพื้นที่)

3. เกาะที่ไม่มีใครอยู่เลย - .... รอพี่ถูกล๊อตเตอรี่แป๊บ .. จะไปเช่าเหมาทำรีสอร์ทคนโสด!พักที่ไหนดี ? บนเกาะ Dhiffushi อันแสนห่างไกล

ที่พักที่เลือก...แน่นอนต้องถูกและดี Rashu Hiyaa เป็นโรงแรมที่ดีที่สุดบนเกาะ Dhiffushi

กับสนนราคาค่าห้องประมาณ 2,800บาท (แพคเกจจองกับ Expedia) พร้อมอาหารเช้าและซีวิว

พูดเลยว่าถูกและดีมากกกกกกก!

ห้องใหม่ ดี สะอาดมาตรฐานสี่ดาว (เตียงดูดวิญญาณมากค่ะ) ไวไฟดี ทีวีดีชัดแจ๋ว ช่องเยอะ อาหารเช้าดี ความสะดวกสบายเต็มร้อย

พนักงานดีมากกก ราคา Day Trip ไม่แพงแถมไม่ไกลจากจุดดำน้ำดังๆหลายแห่ง - ราคา Tour ประมาณ 25USD / คน / ทริป

ทั้งSnorkel, Sand Bank, ปลาโลมา, Sun Set Cruise, ตกปลา etc. (อย่าลืม + service charge + Gov Tax ด้วยนะคะ)

อาหารการกิน ส่วนตัวคิดว่าไม่แพง รับได้ ให้เยอะมาก แถมอร่อยมากด้วย!

มื้อนึง 2 คนตกประมาณ 8-10 USD ค่ะ

ส่วนขนม+เครื่องดื่ม แนะนำเดินออกจากโรงแรมไปหน่อย ทะลุซอยจะเจอร้านค้าชาวบ้าน

น้องเจ้าของร้านพูด "ขอบคุณครับ" ชัดแจ๋วเพราะว่าเคยมาเมืองไทยด้วยค่ะ ไปอุดหนุนกันได้

Day 3 - Dhiffushi - ดูปลาดูเต่า ณ Turtles Point! (Snorkeling Trip - 25USD/person)

ตื่นสายมาก...อีกตามเคย! กินข้าวเช้าแล้วเราก็เข้าไปนอน....ไม่ใช่!

วันนี้จองทริปไป snorkeling ค่ะ

ราคาคนละ 25USD + ค่าอุปกรณ์ 5USD ++

--ทริปนี่จองล่วงหน้าได้ 1 วันค่ะเลือกเวลาได้ใช้เวลาtripประมาณ 2 ชั่วโมง เลยเลือกไปบ่ายคล้อยๆหน่อยแดดจะได้ไม่ร้อน

วันนี้ครึ้มนิดๆค่ะ แต่ฝนก็ไม่ยักจะตก รูปเลยดูมืดนิดนึงเนอะ....

นัดไว้ 2โมงปุ๊บเราก็นั่งสปีดโบ๊ท (ส่วนตัวด้วยนะคุณ) - ออกห่างจากเกาะประมาณ 10 นาทีเราก็มาถึงจุด Turtles Point

ระดับความลึกกะด้วยสายตาไล่ยาวไปตั้งแต่ 3-5 เมตร .. เป็นช่วงเวลา กว่า 2 ชั่วโมงที่แทบไม่เงยหน้าขึ้นมาจากน้ำเลย!!!

ตื่นเต้นตลอดเวลา เพราะเดี๋ยวลีดก็ชี้ตรงนั้น เดี๋ยวก็ชี้ตรงนี้ นั่นเต่า นี่หอย นั่นเต่าอีกแล้ว สนุกมาก!!

(เป็นคนดำscubaค่ะ ยอมรับเลยว่า ปะการัง ปลา เต่า สมบูรณ์จริงๆ

แต่ก็เสียใจและเสียดาย บางส่วนของปะการังกำลังฟอกขาว บางส่วนก็หักพังไปมาก...)

ขึ้นจากน้ำได้ปีนขึ้นเรือนี่แข้งขาอ่อนเลยค่ะ ตีฟินสปรินท์ตามเต่า สนุกมากๆ!

กลับเข้ารีสอร์ท - เรือแวะส่งเราที่ชายหาดส่วนตัวหน้าเกาะของโรงแรมค่ะ เกาะ Dhiffushi มี Bikini Beach ด้วยนะ เป็นหาดเดียวบนเกาะที่อนุญาติให้นักท่องเที่ยวใส่ชุดว่ายน้ำ...ฉะนั้นบนหาดนี้จะทั้งขาวทั้งสวย 5555 มีฉลามครีบดำบ้าง กระเบนบ้างว่ายมาทักทายบางเวลาค่ะ มากันทีก็ตื่นเต้นกันที สนุกดี

Day 4 - Dhiffushi - ปั่นจักรยานเที่ยวรอบเกาะ (ฟรีด้วย)

นอกจากดำน้ำ อาบแดด แช่น้ำทะเล Dhiffushi ทำอะไรได้อีก?

ปั่นจักรยานรอบเกาะสิคะฟรีซะด้วย! จักรยานยืมจากโรงแรมฟรีค่ะ ไม่คิดเงิน (รถกอล์ฟก็ยืมได้ แต่อันนั้นคิดเงินค่ะ 555)

บ้านเรือนสีสันสดใส ผู้คนยิ้มแย้ม ยิงฟันขาวเซย์ไฮให้เกือบทุกคนที่ปั่นผ่าน

แม้จะพูดภาษาเดียวกันไม่ได้ แต่แค่รอยยิ้มทักทายพร้อมเซย์เฮลโหลวเราก็ยิ้มออกแล้ว

ด้วยประชากรรอบเกาะกะดูคร่าวๆไม่น่าเกิน 100คน เดาว่าเขาคงรู้จักกันทั้งเกาะ!

(ใน wiki บอกมี 1000 กว่าคนแต่สาบานได้ว่าอยู่มา 1 สัปดาห์เห็นหน้ากันไม่เกิน 100 คน!)

ปั่นกินลมดมแดด...ไปเรื่อยๆ แวะดูจุดปลายเกาะ ที่เห็นแนวกันคลื่นอย่างชัดเจน ...

แวะจิบเบียร์ปลอมไร้แอลกอฮอล์ รสชาติส่วนตัวคิดว่าเหมือนเบียร์นะ .... เพียงแต่กินแล้วไม่เมาเท่านั้นเอง 555 (30 รูฟีย่า ก็ประมาณ 70 บาท)

และจบวันด้วยการดูพระอาทิตย์ตกทะเล.... ดำกำลังดีจริงๆ!


สุดยอด!

Day 5 - Dhiffushi - สัมผัสความไฮโซกับหาดทรายกลางทะเลส่วนตั๊วส่วนตัว Sand Bank กับจุดดำสน๊อกเกิ๊ลที่ลืมไม่ลงจริงๆ!



วันนี้จองทัวร์ไป Sand Bank (25USD/person ++) สันทรายกลางทะเล ที่เป็นเหมือนหาดส่วนตัวกลางมหาสมุทรอินเดีย

นั่งเรือออกจากเกาะไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงค่ะ ทางโรงแรมจะเตรียมเก้าอี้ชายหาด ผ้าเช็ดตัว ร่ม กระติกน้ำแข็งไว้ให้

เครื่องดื่ม หรือมื้อกลางวัน หรือเย็นก็สามารถจัดเพิ่มได้ค่ะ เหมาะกับคู่รัก มาสวีทหวานแหววกัน

แต่สำหรับเรา จุดนี้ต้องดำน้ำค่ะ!!! + 5 USD ได้อุปกรณ์มาก็ไม่รอช้าค่ะ ตีขาออกไปทันที!!!



**ขอไม่บรรยาย ใช้ภาพแทนคำอธิบายนะคะ**

Day 6 - Dhiffushi - ดูเต่าดูปลา ณ Fish Point! (Snorkeling)

วันนี้ลงน้ำอีกแล้ว!! 555 ราคาเท่ากันทุกทัวร์ 25USD++ ค่ะ วันนี้ไปจุด Fish Point ซึ่งถือเป็นจุดยอดนิยมของบรรดารีสอร์ท 5 ดาวต่างๆในบริเวณใกล้เคียงจะต้องขายทริปมาลงจุดนี้ และแน่นอน! ราคาแพงกว่า 25USD แน่นวลค่ะคุณผู้ชม!!

จุดนี้เน้นความหลากหลายของปลา เจอปลาฉลามครีบดำขนาดผู้ใหญ่ด้วย 555 แต่ถ่ายรูปไม่ทันค่ะ จุดนี้พบเต่าด้วย

แถมมีกุ้งมังกรอีกต่างหาก

ที่น่าเสียดายคือ เท่าที่เห็นจุดนี้ปะการังถูกทำลายโดยนักท่องเที่ยวที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ไปเยอะพอดู

ปะการังบางอันหักลงมาทั้งแผง คงจะถูกยืนหรือเหยียบ เห็นแล้วก็เศร้า

... แม้กระทั่งลีดเราเองจากรีสอร์ทแท้ๆ ยังยืนบนปะการังเวลาเผลอเลยค่ะ ...

คิดว่า น่าจะมีองค์กรหรือหน่วยงานเข้ามาดูแลและให้ความรู้บ้าง ...เสียดายโลกใต้ทะเลที่ยังสมบูรณ์อยู่มากของเขา มันจะสมบูรณ์ไปได้อีกไม่นาน หากไม่มีความเปลี่ยนแปลงDay 7 - Dhiffushi - BEACH DAY!

วันนี้เป็นวันพักผ่อน...ตากแดดแช่น้ำเค็มกันทั้งวันค่ะ!

หนังสือเล่มนึง แว่นกันแดด นอนตากลมทะเลดูน้ำสีฟ้าทั้งวันให้หายอยาก ... พลางคิดว่า "ไม่อยากกลับบ้าน"

วันนี้ตอนเย็นตั้งใจไว้ว่าจะนั่งเรือออกไปดูปลาโลมาเนื่องว่าอากาศไม่อำนวย เลยอดดู ไว้กลับมารอบหน้าไม่พลาดโลมาแน่นอน! (ทัวร์ 25USD/คน)

เปลี่ยนแผนไปเดินเล่น เซย์กู๊ดบายชาวเกาะแทนค่ะ 555

ลาละน้อ Dhiffushi ... เก็บตังดีดีก่อนเดี๋ยวมาเยี่ยมใหม่Day 8 - Dhiffushi - นั่งเรือกลับมาเล่ - เดินเตร่เที่ยวในเมืองก่อนขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯ

เรือออกเช้า .... เช้ามาก เรือออก 06.30 น. ตื่นตั้งแต่ตี 5 ค่ะ เช็คเอ๊าท์เรียบร้อย รถกอล์ฟโรงแรมก็มาส่งที่ท่าเรือ (เดินมาก็ได้นะ 555 ใกล้มาก) ลงเรือปุ๊บ 6.30เป๊ะเรือก็ออกปั๊บ

ซื้อตั๋วบนเรือได้เลยค่ะราคาเดิม 1.5 USD (22 รูฟีย่า) - นั่งชิลล์ๆไป 3 ชั่วโมงเรือก็จอดรับคนไปเรื่อยอีกสามเกาะ

*Tips* เกาะสุดท้ายก่อนถึง Male เค้าจะจอดพัก 20 นาทีนะคะ แนะนำให้ลงไปเดินเล่นค่ะ อาจเจอลุงพาไปร้านขายของที่ระลึกของแก ราคาถูกกว่าซื้อที่มาเล่แน่นอนค่ะ (แมกเนตติดตู้เย็นราคาประมาณ 15รูฟีย่า หรือ 1USD etc.)

กลับถึงฝั่งมาเล่ประมาณ 10.30 เราก็เรียกแท๊กซี่ไป Airport Ferry ทันทีค่ะ เพราะกะว่าจะเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่สนามบินก่อน ไฟลท์กลับวันนี้เวลา 20:30 เรายังมีเวลาเดินเล่นอีกทั้งวัน

ที่สนามบินมีที่รับฝากกระเป๋าอยู่ด้านในติดกับประตูเข้า Departure Gate นะคะ ราคาค่าฝากกระเป๋าใบละ 5 USDค่ะ

สนามบินไม่มี Free Wifi ร้านอาหาร ร้านกาแฟ รวมถึงร้านไอศกรีม Swensens เห็นแล้วหายคิดถึงบ้านเลยค่ะ 555

เตร็ดเตร่อยู่แถวสนามบินสักพักเราก็นั่งเรือเมล์กลับมาฝั่งมาเล่อีกครั้งหนึ่ง

เดินตุปัดตุเป๋ด้วยความร้อนในอากาศ ทำให้เราพ่ายแพ้ต่อความหิว ลงท้ายเราใช้เวลาหลายชั่วโมงในร้านอาหารติดแอร์และมี wifi ฟรี!!

ทั้งแดด ทั้งอากาศ ไม่ไหวจริงๆค่ะ ...5555 ร้านชื่อ Akoya ค่ะ พิกัดหาได้จาก Google Map นะคะ

S

ถึงเวลาก็นั่งเรือกลับมาฝั่งสนามบิน - เช็คอินเสร็จสรรพ ผ่านด่านตม.เรียบร้อย

จะขอบอกว่าด้านในเกทนี่ผิดกับนอกเกทแบบคนละบ้านเลยค่ะ!

ใครชอบช๊อปปิ้ง Duty Free ที่นี่น่าจะเป็นตัวช่วยพอให้หายเบื่อรอไฟลท์ได้เป็นอย่างดี

มีร้านอาหาร ร้านกาแฟ เบอร์เกอร์คิงส์ไว้บริการด้วยค่ะ มีปลั๊กไฟให้ชาร์จแบตฯ

แต่ที่ไม่มี คือ Free Wifi!!! (แต่มีคอมฯพร้อมเน็ตให้เล่นฟรีอยู่เยอะทีเดียวค่ะ เครื่องว่างตลอด)

กลับถึงประเทศไทย (แวะกัวลาลัมเปอร์) โดยสวัสดิภาพ ...

หวังว่ารีวิวนี้คงพอจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยให้กับใครที่กำลังแพลนจะไปเที่ยวมัลดีฟนะคะ

ฝากติดตามกันได้ที่เพจ https://www.facebook.com/ww4travel/

หรือใครชอบดูรูปเชิญที่ อินสตาแกรม @nickywwork4travel

*shukuriyyaa* ޝުކުރިއްޔާ
ขอบคุณและพบกันใหม่ค่ะ

Will Work For Travel

 วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 15.37 น.

ความคิดเห็น