หลังจากซุ่มอ่านรีวิวคนนู้นคนนี้ หนังสือมีก็หลายเล่ม เค้าพากันนั่งรถไฟไปมองโกเลีย กันโครมๆ
เห็นเล้วก็อิจฉา
อย่ากระนั้นเลย เวลาเรามีน้อย (พอๆกับงบฯ) เราต้องใช้สอยอย่างคุ้มค่า เวลา 7 วันที่ได้มาเราต้องใช้ให้คุ้ม!
มองโกเลีย ชื่อนี้มี 2 สถาน - 1 คือมองโกเลียใน ที่ยังอยู่ในการปกครองของประเทศจีน
มีชื่อภาษาอังกฤษสวยๆว่า Inner Mongolia-อันนี้ไม่ใช่จุดหมายปลายทางของเรา!
จุดหมายของเราในคราวนี้ คือ "ประเทศมองโกเลีย" อันมีเมืองหลวงชื่อว่า อูลันบาตาร์ (Ulaanbatar / Ulan Bator)
ไม่พูดภาษาจีน ตัวอักษรใช้ตามแบบรัสเซีย แต่มีภาษามองโกเลียเป็นของตนเอง และเป็นดินแดนในฝันของนักท่องเที่ยวทั่วโลก

มองโกเลีย ไม่ใช่เล่นๆ หาก เนปาล ทิเบต ประเทศอินเดีย คือยอดปรารถนาของนักเดินทางทั่วโลก "มองโกเลีย" ก็มักจะต้องติดโผอยู่ใน Wish List สถานที่ที่จะต้องมา see ก่อน die ของขาเที่ยวในสายเลือด

ทำไมใครๆก็อยากไปมองโกเลีย?

ความเห็นส่วนตัวฉันมีคำตอบให้ตัวเองกว้างๆ คร่าวๆ ในใจ "ธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และผู้คน"

หนนี้ฉันมีเวลาเพียงสั้นๆ ที่จะได้ทำความรู้จักกับประเทศที่ใหญ่กว่าประเทศไทย 3 เท่า แต่มีประชากรราว 3 ล้านคนเท่านั้น

2 วันเดินทาง + 5 วันที่ได้อยู่มองโกเลีย ฉันพูดได้เต็มปากเลยว่า

"นี่เป็น Trip Of a Life Time จริงๆ"

ตารางการเดินทาง

Day 1- ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ - ฮ่องกง ค้าง 1 คืน

Day 2-ออกเดินทางจากฮ่องกง - บินตรงสู่นครอูลันบาตาร์ (Ulanbatar) เมืองหลวงของประเทศมองโกเลีย

Day 3-Winter Palace of Bogd Kha - Zaizan Memorial - อนุสาวรีย์เจงกิส ข่านที่ใหญ่ที่สุดในโลก-Teralj National Park -Turtle Rock - Aryapala Meditation Center - ขี่ม้า อยู่เกอร์กับชาวโนแมดแท้ๆ

Day 4-โตบนรถ ทรหดกับพายุทราย - ไปนอนเมืองหลวงเก่าคาราโครัม

Day 5-เมืองหลวงเก่าแห่งประวัติศาสตร์ชาติมองโกล - Erdene Zuu Monastery - Great imperial map monument -แวะselfieกับอูฐสองหนอก-กลับเมืองหลวง Ulanbatar

Day 6-เดินเที่ยวเอง Gandantegchinlen Monastery - National Museum (ควรดูมากๆ) - Chinggis Square - ร้านกาแฟกรุบกริบ

Day 7-Flight กลับบ้านแต่เช้า (แวะเที่ยวเล่นฮ่องกงก่อนกลับ)

ค่าใช้จ่าย

*ค่าทัวร์ 5 วันจองกับเกสท์เฮ้าส์ในอูลันบาตาร์ค่ะ *แนะนำมากๆ* - USD 255 / คน ( http://danistanomadstour.com/ )

**ค่าตั๋วเครื่องบิน กทม-ฮ่องกง-กทม by Cathay Pacific = 6,XXX บาท / คน

***ค่าโรงแรมที่ฮ่องกง 2 คืน (ไป-กลับ) Conext Hostel, Jordan = 2,XXX บาท / คน

****ค่าตั๋วเครื่องบิน ฮ่องกง - อูลันบาตาร์ -ฮ่องกง by MIAT Airlines (สายการบินประจำชาติมองโกเลีย) = 21,530 บาท / คน

*พร้อมแล้ว ไปลุยกันเลย!!!*


* - กว่าจะถึงมองโกเลีย

1. เชื่อไหม๊ไม่ต้องขอวีซ่า มาถึงยื่นพาสปอร์ตไทยแลนด์แล้วปั๊มตราอยู่ได้ไม่เกิน 30วัน สะดวกสบาย ไม่มีค่าวีซ่าให้ปวดหัวใจแต่อย่างใด

2. การเดินทาง สะดวกที่สุดคือทางเครื่องบิน ถึงจะไม่มีไฟลท์ตรงจากรุงเทพ แต่ก็มีไฟลท์ต่อจากหลายๆประเทศที่แสนจะน่าแวะเที่ยว เช่น โตเกียว โซล ฮ่องกงและปักกิ่ง(ปักกิ่งไม่ค่อยอยากแนะนำเพราะถ้าจะแวะเที่ยวจะต้องขอวีซ่าจีนแบบมัลติเพิลอีกต่างหากด้วย แต่ถ้าใครคิดว่าจะแวะเยี่ยมญาติที่ซัวเถาด้วยก็เอาที่สบายใจ)

3. แต่ถ้าใครมีเวลาเยอะ วันหยุด 10วันขึ้นไป จะลองใช้บริการรถไฟสาย Trans Mongolia (ขึ้นจากปักกิ่ง ใช้เวลาประมาณ2วัน1คืน) ขอไม่ให้รายละเอียดเพราะมีคนทำรีวิวไว้หลายอันแล้ว (ส่วนตัวถ้ามีเวลาก็น่าลอง. แต่ราคาสูสีกับตั๋วเครื่องบิน+วีซ่าจีนมัลติเพิล พี่เลือกบินค่ะ! )

4. อาหารการกิน ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป..เค้าพัฒนาแล้ว KFC Pizza Hut ร้านกาแฟสัญชาติเกาหลี เต็มเมืองอูลานบาตาร์ ไม่อดตายแน่นอน แถมเวลาออกไปนอกเมืองไปอยู่กับชาวNomad เรื่องอาหารการกินก็หายห่วง พี่คิดว่ากินง่ายอยู่ง่ายกว่าอินเดียสียอีก! (ส่วนตัวพี่ไม่กินวัวกินแพะแกะเขาก็มีไก่มาให้กิน แถมผักที่นี่อร่อยมากซะด้วย!)

5. อากาศ ช่วงที่ดีที่สุดในการมาเยือนมองโกเลียคือหน้าร้อน กรกฎาคม/ สิงหาคม/กันยา หน้าหนาวอย่ามา หนาวมาก หนาววัวตายควายล้ม (พ.ย.-ก.พ.) พี่เลือกมาฤดูใบไม้ผลิ (มี.ค.-พ.ค.). อากาศดี ฟ้าสวย อาจเจอหิมะบ้างอุณหภูมิ 1-2 องศาหนาวกำลังดี

6. เงินตรา ค่าเงินและค่าครองชีพที่นี่ คร่าวๆ ถูกกว่าบ้านเรา ข้าวมื้อนึงตก 1 - 2 $ (ที่นี่ใช้Tughrik-1$=2000TGH)ส่วนพวกร้านกาแฟ ฟาสท์ฟู้ดในเมือง หรือร้านอาหารในโรงแรมราคาพอๆกับบ้านเราไม่ต่างกันเท่าไหร่

7. สำคัญที่สุดก่อนคุณคิดจะมามองโกเลีย...คุณต้องทำใจกับ "ส้วมหลุม" กับ "ไม่อาบน้ำ" ให้ได้ก่อน

*หาGoogle เอานะส้วมมองโกเลีย...ศรีทนได้ศรีว่าดีกว่าอินเดีย (พิกัดเจาะจง : เลห์) ที่ศรีเจอมานะ...เอาจริงๆ

8. คนมองโกเลีย ใจดีมากๆ พร้อมช่วยเหลือตลอด แม้บางคนจะพูดภาษาอังกฤษไม่คล่องแต่เค้าก็พยายามจะช่วยด้วยความเต็มใจมากๆ ส่วนตัวคิดว่าเป็นประเทศหนึ่งที่ปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวมากๆนะคะ ผู้คนเป็นมิตรและมีน้ำใจมาก

Day 1- ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ - ฮ่องกง ค้าง 1 คืน - *ขอผ่าน* 555

Day 2-ออกเดินทางจากฮ่องกง - บินตรงสู่นครอูลันบาตาร์ (Ulanbatar) เมืองหลวงของประเทศมองโกเลีย

-ไฟลท์ดีเลย์พองาม เครื่อง MIAT เก่าพอทำใจได้ (บริการดีดี๊ดีอ่ะ ให้บริการ 5 ดาวเต็ม) ความปลอดภัย นักบินเก๋าเกมมาก สภาพอากาศวันนั้นไม่ดีแต่พี่กัปตันทำหน้าได้ดีเยี่ยม มืออาชีพมากๆ

ถึงสนามบินชื่อเท่ Chinggis Khaan International Airport - รถจาก Danista Nomads ก็มารับถึงสนามบิน คุณพี่คนขับพูดอังกฤษได้นิดหน่อย ก็พาเราขับเข้าเมืองมาใช้เวลาประมาณ 40 นาที (รถติดไม่เท่าไหร่แต่สัญญาณไฟถี่มาก 555) ทำไมถึงเลือก Danista Nomads? ( http://danistanomadstour.com/ )

ราคาไม่แพง ทำเลดี (ถึงจะอยู่ในซอยเล็กๆ แต่ก็ไม่ลึกมาก) เดินไปเที่ยวรอบๆเมืองไม่ยาก อยู่ใกล้ห้างฯ ร้านกาแฟ และโรงแรม Ramadaฯ

*รูปห้องเอามาจากเวบไซต์ของโรงแรมค่ะ*

คะแนนรีวิวใน TripAdvisor มีผลต่อการตัดสินใจมาก ที่นี่ผ่านด้วยประการทั้งปวง รวมถึงการโต้ตอบทางอีเมลล์กับ Mr. Jagga เจ้าของก็รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ คุยง่ายและใจดีมากๆๆ

*Tips* โฮสเทลราคาห้องทวิน 20USD ห้องเดี่ยว 10USD รวมอาหารเช้าเบาๆ ห้องน้ำในตัวมีน้ำอุ่นมีฮีตเตอร์ โดยรวมคุ้มราคามากๆ แถมทัวร์ที่จัดบริการดีมากค่ะ

ปล. ไม่มีลิฟท์นะคะ ใครกระเป๋าใหญ่หรือเดินไม่ไหวแนะนำรีเควสท์ห้องชั้นล่างได้ค่ะ

ปล.2 Wifi ไม่ค่อยดี แต่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเราเท่าไหร่ ชอบเดินไปร้าน Cafe Benne ค่ะwifiดีมาก

Day 3-Winter Palace of Bogd Kha - Zaizan Memorial - อนุสาวรีย์เจงกิส ช่านที่ใหญ่ที่สุดในโลก-Teralj National Park -Turtle Rock - Aryapala Meditation Center - ขี่ม้า อยู่เกอร์กับชาวโนแมด

วันนี้เดินทางทั้งวัน!!! เราเลือกฝากกระเป๋าใบใหญ่ไว้กับ Hostel แล้วจัดของสำหรับค้าง 2 คืนลงเป้หลัง - รถตู้พร้อมคนขับและน้องไกด์หน้าตาจิ้มลิ้ม (หือ?) มารับพร้อมแนะนำตัว น้องชื่ออูซี่ย์และมีน้องฝึกงานอีก 1 คน ชื่อซิมบาติดตามไปด้วย

จุดแรกที่อูซี่ย์พาเราไปเยี่ยมชมก็คือ Winter Palace of the Bogd Khan ซึ่งเป็นพระราชวังฤดูหนาวของ บอกด์ ข่าน (Winter Palace of Bogd Khan) กษัตริย์องค์ที่ 8 และองค์สุดท้ายของอาณาจักรมองโกเลีย และยังทรงเป็นพระประมุขของศาสนาพุทธในมองโกเลียอีกด้วย

พระราชวังแห่งนี้ สร้างขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1893-1903 บอกด์ข่านประทับอยู่ที่พระราชวังแห่งนี้เป็นเวลา 20 ปี หลังจากทรงเสด็จสวรรคตในปี 1924 พระราชวังแห่งนี้ได้ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ เปิดให้เข้าชมเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1926

พิพิธภัณฑ์แบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนที่เคยเป็นพระตำหนักที่ประทับเก่าของบอกด์ ข่านและราชินี มีการจัดแสดงห้องหับ เครื่องทรง เครื่องใช้ไม้สอย และคอลเลคชั่นสะสมของกษัตริย์ เห็นมีอยู่เพียงตึกเดียวและห้ามถ่ายรูป แต่พี่ยอมรับเลยว่า กล้องในมือมันสั่นมาก สภาพของโบราณวัตถุอยู่ในสภาพดี และมีการติดป้ายคำอธิบายไว้ชัดเจน ถึงจะดูเก่าแต่ก็มีเสน่ห์

อีกส่วนนึงคือส่วนของวัดที่อยู่ในเขตพระราชฐาน พี่ว่าวัดยังจะกว้างกว่าส่วนของวังเสียอีก มีห้องหับ อาคาร แยกย่อยเยอะแยะ แต่ละห้องแต่ละหลังก็เต็มไปด้วยโบราณวัตถุ ทั้งภาพเขียน ภาพทังกา (แบบทิเบต) รูปปั้น รูปหล่อ พระพุทธรูปนิกายมหายานแบบทิเบตที่เป็นของเก่า อายุเป็นร้อยๆปี เพียบ คือถ้าใครชอบประวัติศาสตร์และของโบราณ พี่ว่า ต้องมีครึ่งวันเป็นอย่างน้อย ในการเข้าชมพระราชวังฤดูหนาวแห่งนี้

พี่เองก็ปาไปหลายชั่วโมง! จนไกด์ค้อนคว่ำแล้วคว่ำอีก 555

จุดต่อไป -- จุดชมวิวที่สูงที่สุดในอูลันบาตาร์ Zaizan Memorial

อนุสาวรีย์ชัยฯสไตล์มองโกเลีย ที่รัสเซียเค้ามาสร้างไว้ให้!!! (เอ๊ะ??)

อนุสาวรีย์ขนาดใหญ่บิ๊กบึ้มบนยอดเขา Zaisan ทางตอนใต้ของอูลันบาตอร์ สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงวีรกรรมของทหารโซเวียต ในสงครามโลกครั้งที่ 2 (แล้วพี่มาสร้างอะไรไว้ที่บ้านเค้าเนี่ย?)

อนุสาวรีย์ทรงกลมวงแหวนประดับภาพเขียนสีที่เห็นปุ๊บรู้ปั๊บว่าโซเวียตแน่ๆค่ะคุณผู้ชม เป็นเรื่องราวความสัมพันธ์อันดีระหว่างสหภาพโซเวียตและมองโกเลีย เช่น ภาพของโซเวียตให้การสนับสนุนการประกาศเอกราช (จากจีน) ของมองโกเลียในปี ค.ศ. 1921 และการเข้ามาช่วยรบกับญี่ปุ่นในปี 1939(อ๋อ ...เลยมาสร้างอนุสาวรีย์ให้ตัวเองที่บ้านเค้างี้!)

บันไดทางขึ้นไม่โหดมาก แต่พี่หอบ!!!

ความสูงชันระดับบันไดเขาวงพระจันทร์ กับระยะ 300กว่าขั้นจากที่จอดรถในเลเวล 2 – สำหรับผู้ที่ฟิดค่อดๆ มีความเป็นนักกีฬาสูงพี่แนะนำให้เดินตั้งแต่เลเวล 1 – เบ็ดเสร็จบันได 600กว่าขั้น ชิลล์ๆ เพราะวิวด้านบนนี่ สวยสมค่าการเดินปีนขึ้นมาหอบยิ่งนัก!!

ใครชอบถ่ายภาพพระอาทิตย์ขึ้น-ตก พี่แนะนำเลย สวยมากๆ (ปีนเหนื่อยมากๆด้วย 555)

อนุสาวรีย์เจงกิส ข่านที่ใหญ่ที่สุดในโลก

นั่งรถออกจากตัวเมืองไม่นาน ราวๆ 1ชั่วโมง เราก็มาถึงอนุสาวรีย์ที่ใหญ่ที่สุดของท่านเจงกีส ข่าน มหาบุรุษผู้ครองโลกไปแล้วเกินครึ่ง

ในปี 2008 ทางการมองโกเลีย ได้สร้าง อนุสาวรีย์ เจงกีสข่าน (Genghis Khan Equestrian Statue) เพื่อรำลึกถึงความเกรียงไกรในอดีตชนชาติมองโกล บริเวณนี้มีตำนานเล่าว่าได้ค้นพบแส้ทองของอดีตข่านผู้ยิ่งใหญ่ นับเป็นอนุสาวรีย์รูปปั้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในมองโกเลีย มีความสูงประมาณ 40 เมตร น้ำหนักกว่า 250 ตัน ซึ่งตัวรูปปั้นสร้างมาจากสแตนเลสที่สะท้อนแสงแสบตาสว่างสุกใสท่ามกลางความเวิ้งว้าง

สามารถขึ้นลิฟท์มาถึงด้านบน (ประมาณอกท่านเจงกีส ข่าน) ชมวิวไกลสุดลูกหูลูกตา หรือจะมาเซลฟี่กับท่านเจงกีส ข่าน ก็ยังได้

ใต้ฐานของอนุสาวรีย์ เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์และมีจุดให้ถ่ายภาพเป็นที่ระลึก มีชุดประจำชาติมองโกลแบบต่างๆให้ลองใส่ ที่สำคัญ "ฟรี" ค่ะคุณผู้ชม!

*Tips* ให้เขาถ่ายให้ อัด ปรินท์กันตรงนั้นสนนราคาก็ไม่แพง (5 USD)

ลาท่านเจงกีส ข่านแล้วเราก็นั่งรถต่อมาอีก 1 ชั่วโมง - เข้าสู่เขต อุทยานเห่งชาติ Teralj - แวะถ่ายภาพกับหินรูปเต่า (Turtle

Rock)

เต่าจริงๆ มองมุมไหนก็เป็นเต่าค่ะ 5555


ลาเต่าแล้ว ... เราก็นั่งรถต่อมาอีกประมาณ 10 นาที - ไกด์พามาเดิน Trekking ขึ้นเขาเข้าวัดเบาๆ

คราวนี้ใครไม่ฟิตจริงมีหอบเล็กน้อยแน่นอนค่ะ เพราะทางเป็นทางลาดชัน ระหว่างทางก็สบายๆค่ะ หอบไปอ่านคำสอนทางพระพุทธศาสนาไป ...

ถึงตีนบันไดวัด ก็พอดีค่ะ ...ยังไม่บรรลุนะ แต่เหนื่อย 555 -- ตามด้วยบันไดอีก 108 ขั้น สวยๆ 555

แนะนำเลยค่ะ เดินเหนื่อยนิด แต่วิวสวย สงบ แน่นอน รับประกันคุ้มค่าเหนื่อยแน่ๆ อิชั้นรับประกัน!

เดือนเมษายน ที่มองโกเลียฟ้าจะมืดก็เวลาจะ 3 ทุ่มละค่ะ เพราะฉะนั้น เรามีเวลาเที่ยวยันฟ้ามืดแน่นอน5555

โปรแกรมสุดท้ายของวันในวันนี้ ถือเป็นไฮไลท์ ซูเปอร์สุดยอดปรารถนาของการมาเยือนมองโกเลียเลยค่ะ นั่นคือการได้มาใช้ชีวิตอยู่กับชาวมองโกเลีย โนแมดส์ (ชาวเผ่าเร่ร่อน) แท้ๆ แบบที่ไม่ใช่ปลอมแปลงมาเพื่อรับลูกค้าทัวร์อะไรงั้น

เราออกจากวัดได้ประมาณ 30 นาที คุณพี่คนขับก็จอดเลียบๆเคียงๆข้างทางอย่างกับว่าจะถามทางคุณพี่ที่จอดมอเตอร์ไซต์อยู่ ....

...เราคาดผิดค่ะ พี่คนขับไม่ได้จอดถามทาง แต่คุณพี่มอเตอร์ไซต์นี่ล่ะค่ะคือป๊าเจ้าของเกอร์ (แคมป์) ที่เราจะไปพักด้วยในวันนี้

ป๊ามารับค่ะ เพราะทางไปบ้านป๊า ยากมาก ไปเองหลงแน่นอน 555 ขับรถตู้ 4WD ตามเข้าไปอีกประมาณ 30 นาทีผ่านป่าสน ลำธาร ทุ่งหญ้า สวยมาก สวยลืมโลก สวยไม่รู้บรรยายยังไง

*เอารูปไปดูค่ะ*

สักพักก็ถึงทางลงเนินเขา...และเบื้องหน้า เกอร์ของป๊าอยู่ด้านล่างตรงหุบเขาลิบๆนู่น...

คืนนี้เราจะพักกับป๊าและม๊าที่นี่ค่ะ!

เกอร์สำหรับแขกที่มาพัก ... ภายในมี 4 เตียงค่ะ มีที่นอนหมอนผ้าห่ม เตาผิง (อุ่นมากแต่ต้องคอยเติมฟืน) ไม่มีไฟฟ้าไม่มีน้ำประปาไม่มี WIFI ห้องน้ำอยู่กลางทุ่งห่างจากรั้วบ้านออกไป 200 เมตร - - ไม่ใช่ปัญหา 555 เราพร้อมมาก!

น้องไกด์เตรียมถุงนอนสะอาดเอี่ยมไว้ให้เราด้วย เผื่อกลางคืนหนาว (หนาวจริง หนาวหลับตายไปเลย 555)

วิวหน้าเกอร์เรา ... สวยไหม๊

นั่งพักสักครู่ ป๊าก็มาเชิญเราไปที่เกอร์เจ้าบ้าน ป๊ากับม๊าเตรียมนมอุ่นๆใส่เกลือไว้ต้อนรับเราพร้อมขนมกะละมังใหญ่

ชวนกันคุยโดยผ่านน้องไกด์ (เสื้อแดง) พี่คนขับนั่งกลาง ส่วนป๊านั่งอยู่ขวามือสุดค่ะ ...

แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเม้าท์กันเองมากกว่า 555 ได้ความว่าป๊ากับม๊ามีลูกสาว 3 คน เรียนหนังสืออยู่ในเมืองหลวง ปิดเทอมถึงจะกลับมาบ้าน พวกเขาย้ายไปตามโลเคชั่นต่างๆ ตามแต่ละฤดูกาล ที่ตรงนี้จะอยู่ช่วงฤดูหนาว เดือนเมษายนนี่เข้าฤดูใบไใ้ผลิแล้วก็จะฤดูร้อนแล้วก็จะย้ายไปอยู่แถวๆริมแม่น้ำ .. ย้ายคือเอาไปหมดทั้งบ้านทั้งรถ ทั้งฝูงสัตว์ค่ะ ก็มานั่งจินตนาการ ว่าตอนย้ายบ้านคงสนุกดี (บอกป๊าไว้คราวหน้าจะมาช่วยย้ายบ้าน 555)อิ่มขนมกับชาเรียบร้อยแล้ว ป๊าและน้องอูซี่ย์ก็พาเราไปขี่ม้าเที่ยว ...

ม้ากับชาวมองโกลเป็นของคู่กัน

ชาวมองโกลที่ไม่ขี่ม้าเปรียบเสมือนอินทรีย์ที่ไม่มีปีก เด็กชาวมองโกลทุกคนขี่ม้าเป็นตั้งแต่อายุยังไม่เข้าเกณฑ์โรงเรียน!!


สมกับเป็นทหารเอกเจงกีส ข่านจริงๆค่ะ

ขี่เหยาะๆไปข้างหน้า ทุ่งกว้างสุดลูกหูลูกตา ป๊านำไปพลางร้องเพลงไปพลาง อากาศเย็นสบาย (หนาว 555) แดดอ่อนๆ (ทุ่มนึงแล้ว!!)

มองขวามองซ้าย มีแต่ความเวิ้งว้าง ...มีแต่เสียงเพลงเบาๆจากป๊า เสียงคุยกันจุ๋งจิ๋งของสายลม นับเป็น ช่วงเวลา 1 ชั่วโมงที่มีความสุขมาก ...

และแล้วก็ถึงเวลาอาหารค่ำ ... วันนี้ เจ้าบ้านและเจ้าถิ่นภูมิใจนำเสนอ "มองโกเลียนบาร์บีคิว" เป็นการปรุงอาหารแบบมองโกลแท้ๆโดยใช้หินเผาไฟร้อนๆ อบแกะและผักให้สุกในกะละมังใบใหญ่!


คยขับรถของเรารับหน้าที่ช่วยป๊าวางเนื้อแกะลงกะละมังอย่างพิถีพิถัน


น้องอูซี่ย์และน้องแว่น(ซิมบา) บอกว่ารออีก 30 นาทีนะยู เดี๋ยวเสร็จแล้วไอจะไปเรียก ....

น้องแว่นซิมบานี่มีประโยชน์ คือน้องทำกับข้าวเป็น และตัวฉันเองก็ไม่กินเนื้อแกะ ... น้องเลยผัดไก่กับซอสแดงมาให้ ... น้ำตาจะไหล อร่อยมากค่ะ!!(จานเล็กๆนั่นไง กับข้าวพิเศษ 555)

อิ่มหนำสำราญใจกันแล้ว ป๊ากับม๊าก็ขอตัวไปพักผ่อน พวกเราที่เหลือก็เลยปลีกตัวเข้ามาที่เกอร์ของตัวเอง จัดเตรียมที่นอน รอดาวขึ้นเต็มๆฟ้า แล้วแบกอุปกรณ์กันหนาวออกไปสู้จุดเยือกแข็งด้านนอกเกอร์ ....

ดาวสวยมาก! ขออภัยที่ถ่ายภาพอะไรมาฝากไม่ได้เลย 5555555 หนาวเกิน!!!!!

คืนนั้นนอนหลับสบาย ยันตี 4ตี 5 ก็เริ่มรู้สึกตัวเพราะความหนาว ... เตาผิงเริ่มมอด เริ่มขดตัวอยู่ในถุงนอน สักพัก ม๊าก็เปิดประตูป๊าบบบเข้ามาเติมฟืนให้!!!! รอดตายไปค่ะคุณผู้ชม!!!!!

ก่อนจบวันที่3: ภูมิใจนำเหนอ "ห้องน้ำที่วิวสวยที่สุดในโลก"

Day 4-โตบนรถ ทรหดกับพายุทราย - ไปนอนเมืองหลวงเก่าคาราโครัม

ตื่นเต็มตาฟ้าสว่างพอดี...น้องๆไกด์ทำอาหารเช้ามาเสริฟเป็นขนมปังไข่ดาวกาแฟและแยม ออกมาถ่ายภาพยามเช้า เดินดูป๊ากับม๊าทำงานรอบๆที่พัก เล่นกับหมา ดูวัวดูม้าไปตามเรื่อง สายๆก็ได้เวลาร่ำลาเจ้าของบ้านกันค่ะ ถ่ายรูปหมู่เป็นที่ระลึกก่อนเซย์ ไบรส์ต่ะลาก่อน โอกาสหน้าพบกันใหม่ วันนี้หนทางเรายังอีกยาวไกลกว่าจะถึงKharakhorum

ระยะทางจากTeralj National Park ถึง Kharakhorum ใช้เวลาเดินทางประมาณ5-6ชั่วโมงค่ะสภาพถนน...60%ศรีทนได้ เพราะวิวสองข้างทางทำเอานอนไม่หลับ(แต่ก็มีหลับ555)


เราแวะกลางทาง เป็นทุ่งหญ้าสีน้ำตาลบรรดาไกด์แสนดีก็ปล่อยเราวิ่งเล่นอยู่ในทุ่ง....ระหว่างที่พวกเค้าทำอาหารกลางวันให้เรากิน วันนี้มีสปาเกตตี้ไก่ อร่อยมากอีกเช่นเคย (ยกนิ้วให้น้องแว่นซิมบา)

อิ่มหนำแล้วเดินทางต่อค่ะ...ตามโปรแกรมเราต้องแวะขี่อูฐที่ Sand Dune แต่โชคไม่ดีเราเจอพายุทรายโครงการขี่อูฐเลยเป็นอันพับไป


บึ่งเข้าที่พักเลยดีกว่า...วันนี้พักเกอร์เช่นเคยค่ะ แต่เป็นเกอร์แบบทำไว้ให้นักท่องเที่ยวพัก เป็นโรงแรมในสไตล์เกอร์ว่าอย่างนั้น..

เกสท์เฮ้าส์ที่เราพักชื่อว่าMönkhsuuri Guesthouse ภายในที่พักสะอาด เตียงนิ่มผ้าห่มหนานุ่ม มีเตาสโตฟแบบใช้น้ำมันเตาให้ความอบอุ่นได้นานกว่าเตาแบบฟืน ห้องน้ำเป็นส้วมหลุมอย่สงเดิมเพิ่มเติมคือมีห้องมิดชิดแถมมีโถนั่งด้วยนะคุณ (แต่ด้านล่างก็ยังหลุมอย่างเดิม555)

ที่เด็ดสุดของเกสท์เฮ้าส์นี้ ก็คือ มันห่างจากErdene Zuu Monastery แค่900 เมตร เกินไปก็ยังได้ชะเง้อมองก็ยังเห็นวิวยามเย็นสวยมากกกก! อธิบายไม่ถูกเอารูปไปดูค่ะ


คืนนี้มื้อเย็นคุณไกด์ทำผัดก๋วยเตี๋ยวมาให้กิน...รสคือผ้ดซีอิ๊วบ้านเรา กินอิ่มนอนหลับ วันนี้มีปลั๊กให้ชาร์ตแบตฯคือดีงาม555

รถตู้ประจำตำแหน่ง 4WD ซะด้วยนะคุณ!

Day 5-เมืองหลวงเก่าแห่งประวัติศาสตร์ชาติมองโกล - Erdene Zuu Monastery - Great imperial map monument -แวะ selfie กับอูฐสองหนอก-กลับเมืองหลวง Ulanbatar



วันนี้ตื่นสายๆ อากาศดีฟ้าแจ่มมากๆค่ะ อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่เลขตัวเดียวเวลากลางวัน กลางคืนก็ติดลบเลขตัวเดียวนิดหน่อย แต่ด้วยอานุภาพของเตาผิงในเกอร์ ความหนาวของมองโกเลียก็ไม่ได้โหดร้ายกับมนุษย์เมืองร้อนอย่างเรามากนัก

วันนี้เป็นวันแห่งความรู้ค่ะ เมืองคาราโครัม (คนมองโกลออกเสียงว่า ฮาราโฮรุม) ปัจจุบันอยู่ในเขตเมือง Khakhoryn เป็นอดีตราชธานีของอาณาจักรมองโกลที่มีความรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก เป็นจุดศูนย์กลางเชื่อมต่อระหว่างเอเชียและยุโรป รวมไปถึงเส้นทางสายไหมอันลือชื่อ

วันนี้จุดแรกที่แนะนำว่าควรแวะไปเยือนก็คือ พิพิธภัณฑ์ Karakorum Museum เป็นสุดยอด 1 ในพิพิธภัณฑ์ที่เคยดูมา ทั้งข้อมูล การอธิบาย หลักฐานทางประวัติศาสตร์และการจัดแสดงโบราณวัตถุ ทำได้ดีมากค่ะ ครบถ้วนและเข้าใจง่าย ใครชอบประวัติศาสตร์ชาติมองโกล ห้ามพลาดเด็ดขาดค่ะ!

ได้รับความกรุณาจากศาสตราจารย์ท่านผู้บรรยายในการให้ความรู้อย่างเต็มที่ ถ้ามีโอกาสแนะนำเลยค่ะ ควรมาเยือนอย่างยิ่ง!

พาสปอร์ตเล่มแรกๆของโลกก็ว่าได้!! พาสปอร์ตของ Marco Polo นักเดินทางผู้ยิ่งใหญ่

ปล. ภายในสามารถถ่ายภาพได้โดยมีค่าธรรมเนียมนะคะ


จากนั้นจากพิพิธภัณฑ์ เราก็มาเยือนสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมืองคาราโครัม - Erdene Zuu Monastery ว่ากันว่า เป็นวัดพุทธเก่าแก่ที่สุดที่หลงเหลืออยู่ใน มองโกเลีย

ถูกสร้างขึ้นในปี 1585 โดย Abtai Sain Khan ซึ่งเป็นผู้นำศาสนาพุทธจากธิเบตมาเผยแพร่ในมองโกเลีย


เดิมเคยมีหมู่วัดรวมอยู่ถึง 100 วัด ภายในกำแพง

แต่วัดส่วนใหญ่ได้ถูกคอมมิวนิสต์ทำลายลงในปี ค.ศ. 1937-1938 และยังคงเหลืออยู่เพียง 3 วัดเท่านั้น

สภาพโดยรอบจะเห็นซากปรักหักพังของสถาปัตยกรรมและสิ่งก่อสร้างต่างๆที่เหลืออยู่


ท่านผู้นำชมภายในบริเวณรอบๆวัด ปึ๊กทั้งข้อมูลประวัติศาสตร์และปึ๊กทั้งข้อมูลทางศาสนา

จากนั้นห่างออกไปจากวัดErdene Zuu ราว200เมตร ก็มีแหล่งโบราณคดีที่กำลังจะเปิดให้เข้าชมเร็วๆนี้ค่ะ....ตอนเราไปยังไม่ เปิด ก็ได้แต่ชมเต่าอายุหลายร้อยปีอยู่ด้านนอก

Great imperial map monument

ขับรถจาก Erdene Zuu Monastery ออกมานอกเมืองประมาณ 5 นาที เดินขึ้นเขาด้วยบันไดอีกนิดหน่อย เราก็จะพบอนุสาวรีย์ขนาดใหญ่ สร้างขึ้นในปี 2004 บนยอดเขาทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง Kharkhoryn ตัวอนุสาวรีย์ประกอบไปด้วย กำแพงทรงกลม สามด้าน แต่ละด้านแสดงภาพอาณาเขตของอาณาจักรมองโกลอันรุ่งเรืองในอดีต 3 ยุคด้วยกัน.

ยุค Hunnu 300-200 ก่อนคริสตกาล ยุค Turkic ในช่วงคริสตศักราช 600-800 และยุค Mongol ในช่วงคริสศตวรรษที่ 13

ตรงส่วนกลางของอนุสาวรีย์ มีกองหิน Ovoo ขนาดใหญ่ ในความเชื่อของชาวมองโกเลีย เชื่อกันว่าเจ้ากองหิน Ovoo นี้สร้างขึ้นเพื่อบูชาภูเขาและท้องฟ้า ส่วนใหญ่สร้างบนพื้นที่สูงเช่นยอดเขา หรือเนินเขา มักสร้างจากหินและไม้ พบเห็นได้ทั่วไปตลอดการเดินทางในมองโกเลีย

ชาวมองโกเลียเชื่อว่า สามารถขอพรได้โดยเดินวนรอบกองหิน 3 รอบ แล้วโยนหิน 3 ก้อนเข้าไปเพื่อเป็นการบูชาและขอพร บางคนก็โยนลูกอม ขนม ผลไม้ รวมถึงว๊อดก้าเป็นขวดๆก็มีค่ะ

จุดนี้เป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดของเมือง คุ้มค่ากับการปีนบันไดขึ้นมาชมแน่นอนค่ะ

เรากลับไปกินข้าวกลางวันกันที่เกสท์เฮ้าส์ วันนี้เป็นซุปไก่ฝีมือน้องแว่นซิมบา รสชาติดีทีเดียวค่ะ อิ่มหนำกันแล้วก็ได้เวลาบอกลาคาราโครัม ออกเดินทางกลับสู่เมืองอูลันบาตอร์


ระหว่างทาง แวะถ่ายเซลฟี่กับบรรดาอูฐสองหนอก วันนี้ไม่มีพายุทรายค่ะ อากาศแจ่มใสมาก ... ทัวร์นี้จริงๆเรารวมขี่อูฐด้วย 1 ชั่วโมงค่ะ แต่เราตัดสินใจยกเลิก เพราะกลัวว่าจะกลับเข้าถึงตัวเมืองดึกเกินไป


เราใช้เวลาอีกประมาณ 5 ชั่วโมงนิดๆก็เดินทางถึงเมืองอูลันบาตอร์ สภาพการจราจรตอนเย็นในเมืองนี่ ก็น้องๆสุขุมวิทเลยล่ะค่ะ กลับถึง Danista Nomads ได้เราก็หมดแรงนอนแผ่กันเลยทีเดียว!!

แต่ยังค่ะ เรายังนอนไม่ได้!!! เพราะนี่เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 50ชั่วโมงที่เราจะได้ “อาบน้ำ"!! เย่!!

(จริงๆคิดว่ายังทนอยู่ได้อีกหลายวัน 555)

Day 6-เดินเที่ยวเอง Gandantegchinlen Monastery - National Museum- Chinggis Square - ร้านกาแฟกรุบกริบ

วันนี้เราจะพาเดินเที่ยวเอง!!

ไม่ยากเลยค่ะ จากโฮสเทลที่เราพัก เดินออกมาไม่ไกลจากสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆเท่าไหร่ อากาศเย็นๆเดินพอขาตึงๆ 555

กางแผนที่ (แนะนำเตรียมแผนที่ดีดี เพราะป้ายบอกทางในอูลันบาตาร์พึ่งพาไม่ได้!!!)

แต่ถ้าใครอยากลองแท๊กซี่ ก็สามารถนะคะ แท๊กซี่ที่นี่มี 2 ประเภท (เท่าที่เห็น) แบบแท๊กซี่จริงๆ กับแท๊กซี่สมัครเล่น (คือไม่ใช่แท๊กซี่แต่อยากหารายได้พิเศษ 555 ราวกับว่ารถทุกคันบนถนนในอูลันบาตาร์สามารถเรียกเป็นแท๊กซี่ได้!)

สนนราคาตกลงกันให้ดีก่อนกระโดดขึ้นรถนะคะ ส่วนตัวไม่ได้ลองค่ะ แต่แท๊กซี่สมัครเล่นจอดกวักมือเรียกกันเกรียวตลอดทาง (หน้าตาดูหลงสุดฤทธิ์)

วันนี้ตามกำลังขาจะเดินไหวของเรา เราไปได้ 3 ที่ค่ะ เริ่มด้วย-

1. วัดGandantegchinlen Monastery

หนึ่งในวัดพุทธเก่าแก่ที่สุดของมองโกเลีย-ค่าเข้าประมาณ 2 USD (4000 Tugrik) เป็นวัดที่มีอาณาบริเวณกว้างขวาง มีกิจกรรมทางพุทธศาสนาหลายอย่างน่าสนใจ ขนาดเราไปแต่เช้ามากแล้ว ยังพบว่าไปเช้าไม่เท่าชาวมองโกเลียค่ะ ที่วัดวันนั้นคลาคล่ำไปด้วยพุทธศาสนิกชนมาทำบุญกันเพียบ

พิธีกรรมบางอย่างก็คล้ายบ้านเรามาก เช่น การจุดตะเกียง การถวายน้ำมันตะเกียง มีพิธีคล้ายๆสะเดาะเคราะห์แบบคลุมผ้า (น่าจะคุ้นเคยกันดีเช่นพิธีถวายผ้าห่มหลวงพ่อโตที่วัดพนัญเชิง) กิจกรรมทางศาสนาเยอะเสียจนเชื่อว่านี่เป็นวัดศูนย์รวมใจของชาวมองโกเลียก็ว่าได้ค่ะ


ศาสนาพุทธในมองโกเลียเป็นแบบนิกายมหายาน หมวกเหลือง มีต้นกำเนิดมาจากทิเบต เราจึงเห็นลามะชุดเหลืองชุดแดงเดินกันขวักไขว่ มีพระลามะจำพรรษาที่วัดนี้ราว 150 รูป


ภายในวิหารใหญ่ยังมีพระพุทธรูปยืน(ในร่ม) สูงที่สุดในโลก เป็นพระพุทธรูปของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ สูง 26.5เมตร บูรณะสร้างขึ้นในปี1996.


*Tips* ภายในวิหารถ่ายภาพเสียค่าธรรมเนียม 5USD ค่ะ

2. National Museum of Mongolia

พิพิธภัณฑ์แห่งชาติมองโกเลีย หากคุณชื่นชอบในประวัติศาสตร์ ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงค่ะ!

ค่าเข้า 5000Tugrik (2.5USD)

มีนิทรรศการจัดแสดงตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ไดโนเสาร์ตัวแรกของโลกในมองโกเลีย ไปจนถึงยุคเรืองรองของเจงกีส ข่าน จักรพรรดิผู้ครองโลก ไปจนถึงการเข้ายึดครองของจีนและรัสเซีย จวบจนสมัยปัจจุบัน คือตั้งแต่ 0-100 ประวัติศาสตร์มองโกเลียถูกรวบรวมไว้ที่นี่ ยอมรับเลยว่า การจัดแสดง ข้อมูล เทคโนโลยีต่างๆในการนำเสนอ “ระดับโลก" มากๆ เดินอยู่ครึ่งวันยังรู้สึกว่าเวลาน้อยไปจริงๆ 555

ส่วนตัวชอบส่วนจัดแสดงเสื้อผ้าของชาวมองโกลเผ่าต่างๆ จากยุคต่างๆ มากค่ะ (เสียดาย/ไม่ได้ถ่ายภาพข้างในมา จำได้ว่าถ่ายได้นะคะ แต่ต้องมีค่าธรรมเนียม)

3. Sukhbaatar หรือ Chingghis Khan Square

“สนามหลวง" ของอูลันบาตาร์! ยามเย็นจะพบเห็นชาวมองโกเลียมาแฮงเอ๊าท์กันที่นี่ค่ะ

ทั้งวัยรุ่นวัยผู้ใหญ่ เด็กเล็กเด็กน้อย มาสังสรรค์เฮฮากัน มีกิจกรรมรอบๆจัตุรัสน่าสนใจอยู่หลายอย่าง ทั้งจักรยาน สเก๊ตซ์บอร์ด โรงเลอร์เบลด รวมไปถึงหนุ่มน้อย สาวน้อยขับรถเบ๊นซ์หลากหลายรุ่นหลากหลายสีดูเป็นที่สนุกสนาน!


...แต่จะให้ป้าไปเล่นกับหนูนั้น ... คงจะไม่ได้ 5555เดินเหนื่อยแล้ว อูลันบาตาร์ก็ยังมีเซอร์ไพรส์มาให้อยู่ไม่ขาดค่ะ

ร้านกาแฟสัญชาติเกาหลีอย่าง Caffe Benne' / CODE หรือแม้กระทั่ง Coffee Beans ก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไปในเมืองหลวง สนนราคาพอๆกับบ้านเราค่ะ ส่วนตัวชอบร้าน CODE มาก ได้ไปใช้บริการสาขาหนึ่งที่เดินผ่านก่อนถึง National Museum พูดเลยบรรยากาศเหมือนนั่งอยู่ยุโรปยังไงยังงั้น

ที่สำคัญ wifi ฟรีและดีมากๆ!!!


Day 7 - วันเดินทางกลับ (แวะเที่ยวฮ่องกง) - ถึงกรุงเทพฯ วันที่8-

จบทริป 1 ในความทรงจำ Trip of a Lifetime จริงๆค่ะ ได้แต่หวังไว้ว่า จะได้มีโอกาสกลับมาเยือนอีกครั้ง ครั้งหน้าตั้งใจจะไปให้ถึงทะเลทรายโกบี และทะเลสาบไบข่าน ขอเวลาทำงานเก็บงบสักแป๊บ ไว้พบกันใหม่นะ "มองโกเลีย"

ฝากเพจนิด ติดตามกันได้ค่ะ : https://www.facebook.com/ww4travel/

หรือถ้าใครชอบดูรูป เชิญที่อินสตาแกรมได้นะคะ @nickywwork4travel

ความคิดเห็น