'ยอ' เครื่องมือประมงพื้นบ้านของคนไทย มีลักษณะเป็นร่างแหผูกมุมทั้ง 4 ไว้กับคันที่ไขว้กันเป็นรูปกากบาท
ตรงกลางผูกติดกับไม้คานสำหรับยกขึ้นลงได้โดยใช้แรงคนเพียงคนเดียว
จับปลาโดยการนำเหยื่อมาผูกไว้แล้วปล่อยให้จมลงใต้น้ำ
เมื่อปลามากินเหยื่อก็จะยกยอขึ้น ปลาที่หนีไม่ทันก็จะติดแหขึ้นมา
แม้สิ่งเหล่านี้จะหาชมได้ยากในปัจจุบัน แต่สำหรับเด็กบ้านนอกคอกนาอย่างผมชินชากับมันมาตั้งแต่ตัวเท่ากะเปี๊ยกเลยไม่ค่อยรู้สึกตื่นตาตื่นใจอะไร
จนกระทั่งวันหนึ่งมาเจอภาพแชร์ผ่านทางโลกออนไลน์ เป็นภาพแนวซิลลูเอทของท้องทะเลซักแห่งเต็มไปด้วยยอขนาดยักษ์เรียงรายอยู่มากมาย
ฉากหลังมีดวงอาทิตย์กลมโตกำลังโผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมากลางผืนน้ำฉายแสงแห่งรุ่งอรุณจนแดงฉานไปทั่ว
สะท้อนความงดงามออกมาได้อย่างจับใจทั้งภาพและความหมาย
เกิดคำถามขึ้นมาทันทีว่ามันคือสถานที่แห่งใด ที่ทำเอาไฟแห่งการเดินทางของผมลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง!!
..........
ไม่กี่เดือนถัดมาผมจัดเป้คว้ากระเป๋าตะบึงรถมุ่งหน้าลงใต้ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างโดยมีแม่นั่งมาข้างๆ
กว่า 11 ชั่วโมงอันยาวนานการเดินทางมาสิ้นสุดอยู่ริมทะเลในจังหวัดที่ไม่มีพื้นที่ติดทะเล!
เอ๊ะ! ยังไง!?
ผมกำลังนั่งรับลมอยู่ริมระเบียงบ้านพักของ Wetland Camp Resort
ที่ตั้งอยู่ในเขตอำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง 1 ใน 2 จังหวัดของภาคใต้ที่ไม่มีพื้นที่ติดกับทะเล
ซึ่งหมายถึงทะเลน้ำเค็ม แต่ผืนน้ำกว้างไกลสุดลูกหูลูกตามีระลอกคลื่นซัดมากระทบฝั่งอยู่เป็นระยะตรงหน้าของผมตอนนี้
คือส่วนหนึ่งของทะเลสาบสงขลาตอนบน หรือเรียกว่า 'ทะเลหลวง' เป็นทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่
ทว่าในฤดูแล้งน้ำทะเลจะหนุนขึ้นมาทำให้ทะเลแห่งนี้มีทั้งน้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม อยู่ในทะเลแห่งเดียวกัน
ก่อเกิดเป็นระบบนิเวศสำคัญที่อุดมไปด้วยนกน้ำและปลานานาชนิด
ผมบอกกับแม่คืนนี้พักผ่อนให้เต็มที่ พรุ่งนี้เช้าตรู่เราจะออกตามล่าหาแสงแรกแห่งทะเลหลวงกัน
“เรือมาแล้วครับ" เสียงพนักงานเคาะประตูเรียกตอนหัวรุ่ง
ผมที่นั่งรอมาซักพักแล้วรีบลุกคว้ากระเป๋ากล้องเดินตามออกไปยังท่าเรือของรีสอร์ท
เรือหางยาวขนาดนั่งได้ 6 คน แล่นฝ่าผืนน้ำและอากาศยามเช้าของทะเลหลวงมุ่งหน้าไปยังปากคลองปากประ ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับรีสอร์ทนี่เอง
ผมที่ไม่ค่อยตื่นเต้นอะไรกับยอจับปลาแต่มาวันนี้กลับต้องเปลี่ยนใจ
เมื่อเห็นยอขนาดยักษ์เรียงรายอยู่มากมายเต็มท้องทะเล
ช่างเป็นภาพที่สวยงามจริงๆ แต่ถ้าให้สวยอย่างที่คาดหวังไว้จะต้องมีพระอาทิตย์สีแดงสุกโผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมาอยู่กลางทะเลด้วย!
ประกายความหวังของผมเริ่มเจิดจรัสเมื่อเห็นแสงสีแดงตรงขอบฟ้าด้านทิศตะวันออก
พี่คนขับเรือขอพาเลยไปชมต้นลำพูกลางน้ำก่อน
แล้วกะเวลากลับมาเก็บภาพยอบริเวณปากคลองอีกครั้งตอนพระอาทิตย์ลอยขึ้นมาจากผิวน้ำพอดี
พี่คนขับเรือบอกว่าถ้าจะถ่ายให้สวยต้องเอาขาตั้งกล้องลงไปตั้งในทะเล ซึ่งเห็นแบบนี้น้ำลึกแค่ระดับอกเอง
ผมส่ายหัวดิ๊กๆ เพราะคงไม่อะไรขนาดนั้น ไม่ได้คาดหวังจะถ่ายภาพออกมาได้เลิศเลอเพอร์เฟคอะไร
แค่อย่างน้อยๆ ขอให้ได้ภาพแห่งความทรงจำที่ได้มาเห็นกับตาตัวเองก็พอ
ฉันใดก็ฉันนั้น โลกของคนเราไม่ได้สวยใสไปซะทุกวันหรอก
เพราะตอนนี้กลุ่มเมฆก้อนมหึมานัดรวมตัวกันอยู่แต่ตรงขอบฟ้าด้านทิศตะวันออก
ในขณะที่ด้านอื่นๆ นั้นฟ้าโปร่งโล่งใสไร้ริ้วรอย
เช้านี้เป็นเพียงโอกาสเดียวเท่านั้นที่ผมจะได้สัมผัสแสงแรกแห่งทะเลหลวง
เพราะเดี๋ยวสายๆ ต้องออกเดินทางต่อไปยังจังหวัดสงขลา
และไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้กลับมาอีกเมื่อไหร่
เรือพาลัดเลาะไปตามกลุ่มยอให้ผมได้เก็บภาพอยู่ซักพัก แต่เมฆก็ยังไม่ขยับไปไหน
ต่างจากดวงอาทิตย์ที่ขยับเอาขยับเอาอยู่ทางด้านหลังเมฆกลุ่มนั้น
และมันก็ลอยสูงพอที่จะบ่งบอกได้ว่าน่าจะเลยช่วงเวลาแสงแรกแห่งวันไปแล้ว
หัวเรือค่อยๆ เบนออกจากบริเวณกลุ่มยออย่างช้าๆ เพื่อมุ่งหน้าต่อไปยังทะเลน้อย ซึ่งมีพื้นที่เชื่อมต่อกับทะเลหลวง
ผมรู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้ภาพพระอาทิตย์ขึ้นกลางทะเลตามที่ตั้งใจไว้
แต่ก็คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการทำใจยอมรับมัน
ก่อนจะเหลียวหันไปมองกลุ่มยอเป็นครั้งสุดท้าย แล้วก็คล้ายเป็นเรื่องมหัศจรรย์
เมื่อความผิดหวังทั้งหมดได้มลายหายไปในพริบตา
ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมมัวแต่สอดส่องแสวงหาแสงแรกไปซะไกลถึงปลายขอบฟ้า
แต่ที่ไหนได้กลับมาอยู่ใกล้ๆ แค่นี้นี่เอง
ผมหันมาเห็นภาพแม่กำลังนั่งยิ้มอย่างมีความสุข
เส้นทางของไอฟายน้อยสู่ทะเลหลวง (Wetland Camp Resort)
ใครมีเวลาน้อยจะขับรวดเดียวแบบผม 11 ชั่วโมงก็ได้ ถ้ารถและคนอึดพอ
แต่ถ้ามาจากกรุงเทพฯอยากแนะนำให้ขับไปนอนกลางทางแถวๆ ชุมพรก่อนซักคืน
รุ่งเช้าค่อยออกเดินทางต่อจะได้ไม่เหนื่อยจนเกินไป
โดยจากกรุงเทพฯใช้ถนนพระรามสองขับออกไปทางจังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม
จากนั้นก็ใช้เส้นทางหลักถนนเพชรเกษมมุ่งตรงลงใต้ยาวอย่างเดียว
ผ่านจังหวัดเพชรบุรี ประจวบฯ ชุมพร ขับไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก
พอถึงแยกทางเข้าตัวเมืองสุราษฏร์ฯให้ตรงต่อไปตามป้ายอำเภอทุ่งสง
วิ่งผ่านอำเภอทุ่งสงจนกระทั่งเข้าเขตจังหวัดพัทลุง ให้มาเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงสายย่อยหมายเลข 4187
ตรงไปอีกประมาณ 27 กิโลเมตร โดยจะผ่านตัวอำเภอควนขนุน มุ่งหน้าไปตามป้ายทะเลน้อย
ถึงสามแยกก่อนทางเข้าอุทยานนกน้ำทะเลน้อย ให้เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 4007
เจอป้ายสวนพฤกษศาสตร์ให้ขับตรงเข้าไป ก่อนถึงลานจอดรถของสวนพฤกษศาสตร์จะมีป้าย Wetland Camp
ให้เลี้ยวขวาเข้าไปตามป้าย ขับไปตามถนนปูนเรื่อยๆ จะเจอรีสอร์ทอยู่ทางขวามือ
รวมระยะทางจากกรุงเทพฯประมาณ 860 กิโลเมตร
สนใจล่องเรือชมทะเลหลวงและทะเลน้อยติดต่อรีสอร์ทได้เลย
ราคาต่อลำ 1200 บาท นั่งได้ 6 คน ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง โดยเรือออกตอน 6 โมงเช้า
แนะนำว่าถ้ามาแล้วห้ามพลาด เพราะธรรมชาติและวิถีชีวิตของที่นี่ยังสวยงามสมบูรณ์
เกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ
ทะเลสาบสงขลาหรือฉายา 'ทะเลสาบสามน้ำ' สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ส่วนใหญ่ๆ คือ
1) ทะเลน้อย
2) ทะเลสาบสงขลาตอนบน(ทะเลหลวง)
3) ทะเลสาบสงขลาตอนกลาง(ทะเลสาบ)
4) ทะเลสาบสงขลาตอนล่าง(ทะเลสาบสงขลา)
ติดตามการเดินทางของไอฟายน้อยได้ที่ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=ifind
I-FINDNOI
วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2559 เวลา 10.16 น.