ตัวผมโยกโยนไปตามจังหวะคลื่นเขย่าเอาบรรยากาศเก่าๆ ที่เคยออกทริปดำน้ำกับเพื่อนๆ
ให้หลุดลอยออกมาจากซอกหลืบแห่งความทรงจำ
นานเท่าไหร่แล้วที่ผมไม่ได้ลงไปสัมผัสกับโลกใต้ทะเล นานเท่าไหร่แล้วที่เหล่าเพื่อนนักเดินทางไม่ได้กลับมารวมกลุ่มกันอีก
กาลเวลาทำให้ต่างคนต่างห่าง ต่างไปมีครอบครัว ต่างมีภาระหน้าที่ ต่างมีทางเดินของแต่ละคน
จากเพื่อนกลุ่มใหญ่ชนิดที่มีทริปออกทะเลเมื่อไหร่ก็เหมาเรือกันไปทั้งลำ
มาวันนี้เหลือแค่ผมกับเจ้าใหม่ที่กลายเป็นเพียงชาวต่างชาติแปลกหน้า 2 คน บนแผ่นดินของตัวเอง
นั่งตัวลีบซุกอยู่ในมุมด้านในสุดของเรือ ซึ่งหากไม่นับคนเรือแล้วผู้โดยสารกว่า 30 ชีวิต
ก็มีแต่ฝรั่งหัวทองกับนักท่องเที่ยวชาวจีนทั้งลำ!
โลกทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงรวดเร็วข่าวสารต่างๆ ส่งถึงมือทุกคนได้ในพริบตา
แล้วมีหรือที่ท้องทะเลอันสวยงามของไทยจะไม่เป็นที่หมายตาจากนักท่องเที่ยวทั่วทุกมุมโลก
แต่บางทีโลกก็หมุนเร็วเกินไป เร็วจนธรรมชาติรับมือไม่ทัน
ข่าวเต็นท์ที่พักบนเกาะรอกปิดให้บริการชั่วคราว เนื่องจากน้ำบนเกาะมีไม่เพียงพอรองรับนักท่องเที่ยว
เป็นข่าวร้ายที่ทำเอาเราสองคนถึงกับเคว้ง เพราะแผนการจะไปค้างบนเกาะแทบต้องพับเก็บใส่กระเป๋า
หลังจากพี่ที่บริษัททัวร์ของรีสอร์ทบนเกาะลันตาช่วยสอบถามไปทางอุทยานให้
อีกปัญหาหนึ่งคือทัวร์ส่วนใหญ่เป็นแบบวันเดย์ทริป หากไปค้างบนเกาะแล้วจะกลับยังไง?
ก็เลยต้องอาศัยการต่อรองกับบริษัททัวร์ว่าขอกลับกับเรืออีกวัน ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกหน่อย
แต่พี่เค้าบอกน้องหาที่พักบนเกาะให้ได้ก่อนก็แล้วกัน!
ก่อนหน้านี้พวกเราพยายามจะจองผ่านเว็บไซต์ของอุทยานแล้ว แต่ไม่มีการตอบสนองใดๆ
คือมีให้เลือกจอง แต่มันสุดอยู่แค่นั้น ไม่มีหน้าถัดไป ไม่มีให้กดคอนเฟิร์ม จะแจ้งว่าเต็มหรือปิดบริการก็ไม่บอก
ก็เลยตัดสินใจจะไปวัดดวงกันบนเกาะ!
พี่บริษัททัวร์คงเห็นว่าความคิดนี้สุ่มเสี่ยงเกินไป เลยแนะนำให้ลองไปติดต่อกับทางอุทยานโดยตรง
พวกเราจึงรีบตะบึงรถออกจากรีสอร์ทมุ่งหน้าไปยังสุดปลายเกาะลันตาที่แหลมโตนดทันที
ซึ่งที่นั่นเป็นที่ตั้งของที่ทำการอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา
ความหวังอันแสนริบหรี่แทบดับสนิทลง เมื่อเจ้าหน้าที่หน้าป้อมบอกว่าอุทยานเพิ่งปิดเมื่อตะกี้นี้เอง
เรามาช้าไปแค่ 10 นาที!! ตอนนั้นผมถอดใจบอกเจ้าใหม่ไปแบบเช้าเย็นกลับก็ได้!
ระลอกคลื่นแตกเป็นฟองกระจายเป็น 3 สาย จากใบพัดเรือสปีดโบ๊ท 3 เครื่องยนต์ที่เร่งความเร็วมาเต็มกำลัง
ตีโค้งผ่านร่องน้ำระหว่างเกาะแฝดสองเกาะกลางทะเลคือเกาะรอกนอกและเกาะรอกใน ซึ่งอยู่ห่างกันไม่ถึง 300 เมตร
หาดทรายสีขาวขนาบอยู่สองข้างสะท้อนแสงแดดจนแสบตาตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าใส
สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้มาเยือนจนแทบอยากจะกระโดดลงไปเล่นน้ำซะตรงนี้
เรือสปีดโบ๊ทนับสิบๆ ลำจอดเรียงรายเป็นทิวแถวอยู่ริมหาดเกาะรอกนอก ซึ่งเป็นที่ตั้งของหน่วยพิทักษ์อุทยาน
ทั่วทั้งชายหาดคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมายที่กำลังเล่นน้ำ นอนอาบแดด นั่งหลบแดด นอนเปลอยู่ใต้ร่มไม้
คนเยอะจริงๆ!! มองไปทางไหนก็เจอแต่คนๆๆ แล้วก็คน!
ห้องน้ำนี่แทบไม่ต้องพูดถึงคิวยาวเหยียดจนผู้หญิงต้องมาขอเข้าห้องน้ำชาย
มิน่าทางอุทยานถึงปิดให้บริการเต็นท์! ผมเข้าใจเลยทีนี้!
เรือแค่มาจอดแวะส่งนักท่องเที่ยวที่ไม่ต้องการดำน้ำให้ขึ้นไปพักผ่อนบนชายหาดก่อน
จากนั้นจึงพาสมาชิกที่เหลือออกไปชมความงามของโลกใต้ทะเลบริเวณรอบๆ เกาะ
แล้วค่อยกลับมาทานมื้อกลางวันกันที่นี่อีกครั้ง
ปะการังบริเวณเกาะรอกส่วนใหญ่เป็นปะการังก้อน ซึ่งอาจดูไม่หลากหลายอลังการเท่ากับจุดดำน้ำมีชื่ออื่นๆ ของเมืองไทย
แต่ปะการังเหล่านี้ทนต่อสภาวะการฟอกขาวจึงยังมีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ สามารถพบเห็นกอดอกไม้ทะเลได้ง่าย
ซึ่งนั่นหมายความว่าจะเจอเจ้านีโม่หรือปลาการ์ตูนได้ง่ายด้วยเช่นกัน
เวลาล่วงเลยจนบ่ายคล้อยผมกับเจ้าใหม่พากันมานอนเล่นอยู่ริมหาด
นอนมองเรือสปีดโบ๊ทลำสุดท้ายแล่นออกจากเกาะไปจนลับตา
ความพลุกพล่านวุ่นวายเมื่อชั่วโมงก่อนหลงเหลือเพียงความเงียบสงบ ไม่มีเสียงจ้อกเเจ้กจอแจ ไม่มีเสียงโทรศัพท์รบกวน
เพราะที่นี่ไม่มีสัญญาณ ตอนนี้จะมีแค่เพียงเสียงคลื่น สายลม กับเสียงกรนของเจ้าใหม่!
ถ้าหากไม่ได้มัน ผมคงไม่ได้มาแนบชิดธรรมชาติสัมผัสบรรยากาศเหมือนเกาะส่วนตัวแบบนี้
เพราะตอนที่คุยกับพี่เจ้าหน้าที่อุทยานตรงแหลมโตนด เจ้าใหม่ช่างเจรจาจนพี่เค้าช่วยต่อสายตรงถึงหัวหน้าอุทยาน
ได้ความว่าถ้ามีแค่สองคนแล้วอยากมาค้างบนเกาะก็ให้จองบ้านพักผ่านทางเว็บไซต์อุทยานฯ
คืนละสองพันเป็นห้องพัดลมนอนได้ 4 คน เอาไม่เอา!?
จริงๆ ในเว็บก็เห็นมีให้จองบ้านแล้วแหละ แต่ติดเรื่องราคา สองคนสองพันนี่หนักอยู่เหมือนกัน
ราคาแบบนี้หานอนรีสอร์ทดีๆ บนเกาะลันตาได้เลย แต่บรรยากาศบนเกาะรอกหาไม่ได้หรอกในรีสอร์ทดีๆ
ซึ่งนาทีนี้มันก็ตอบโจทย์แล้วว่าคุ้มแสนคุ้มแค่ไหน!
พอแดดร่มลมตกผมชวนเจ้าใหม่ลงไปกระโดดน้ำหน้าหาดอีกรอบ
จากนั้นก็พากันเดินขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกที่จุดชมวิวผาเสม็ดแดง ซึ่งก่อนมาไกด์บนเรือขู่ว่าอย่าไปเลยทางชันขึ้นลำบาก
คือเข้าใจว่าเค้าไม่อยากให้นักท่องเที่ยวเดินไปเพราะกลัวจะกลับมาขึ้นเรือไม่ทัน
ทั้งๆ ที่ความจริงทางอุทยานทำทางเดินปูบล็อกเป็นบันไดไว้อย่างดี
กลับลงมาก็แวะทานมื้อเย็นที่ร้านสวัสดิการ ค่ำๆ เอาไฟฉายไปส่องดูปูเสฉวนที่มาเดินขบวนอยู่เต็มหาด
กลางคืนฝนตกนอนสบาย ตื่นเช้ามาเดินไปหน้าบ้านเก็บภาพพระอาทิตย์ขึ้น
แล้วออกไปเดินเล่นสำรวจอ่าวม่านไทรที่อยู่ติดๆ กัน
เดินกลับมาลงเล่นน้ำในทะเลส่วนตัวอีกรอบ ดื่มด่ำให้เต็มที่ก่อนนักท่องเที่ยวของอีกวันจะมาถึง
ผมมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก มันเป็นความสุขที่หาไม่ได้จากการซื้อทัวร์มาแบบวันเดย์ทริปเหมือนกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ
ไม่น่าเชื่อว่าสถานที่เดียวกันแต่ต่างเวลากัน มันจะให้ความรู้สึกที่แตกต่างราวกับอยู่คนละที่ หากวันนั้นเจ้าใหม่ถอดใจไปกับผม
ภาพเกาะรอกในความทรงจำคงผิวเผิน คงเห็นแต่ผู้คนเดินกันอยู่เต็มหาด มันคนละเรื่องกับภาพในตอนนี้เลย!
ภาพของเกาะรอกนอกเวลาทำการ
เส้นทางของไอฟายน้อยสู่เกาะรอก
การเดินทางจากรุงเทพฯไปยังเกาะรอกไปเครื่องบินสะดวกที่สุด
ขึ้นเครื่องจากสนามบินดอนเมืองมาถึงสนามบินกระบี่ใช้ระยะเวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาที
จากนั้นต่อรถจากสนามบินกระบี่ไปเกาะลันตา โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 4 มุ่งหน้าไปทางจังหวัดตรัง
ตรงไปประมาณ 36 กิโลเมตร จะเจอสามแยกให้เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 4206 ไปตามป้ายเกาะลันตา
ตรงไปอีกประมาณ 27 กิโลเมตร ถนนจะมาสุดที่ท่าเรือบ้านหัวหิน
จุดนี้ต้องนำรถขึ้นแพขนานยนต์ข้ามฟากไปยังเกาะลันตา โดยก่อนถึงท่าเรือจะมีจุดซื้อตั๋วเรือทางซ้ายมือ
แพขนานยนต์ข้ามไปเกาะลันตารอไม่นาน เพราะระยะทางสั้นๆ เหมือนข้ามแม่น้ำ แถมเรือยังวิ่งสลับกัน 3-4 ลำ
ข้ามฟากไปจะเป็นพื้นที่ของเกาะลันตาน้อย ให้ขับรถต่อไปตามเส้นทางสายหลักมุ่งหน้าสู่เกาะลันตาใหญ่
ระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร
สมัยก่อนจากเกาะลันตาน้อยข้ามไปเกาะลันตาใหญ่ต้องขึ้นแพขนานยนต์อีกครั้งหนึ่ง
แต่ปัจจุบันมีสะพานแล้วสามารถขับรถข้ามไปได้เลย
มาถึงเกาะลันตาใหญ่ก็แยกย้ายไปยังที่พักตามหาดต่างๆ รุ่งเช้าค่อยรอขึ้นเรือข้ามไปยังเกาะรอก
การข้ามไปเกาะรอกสามารถซื้อทัวร์ได้กับบริษัททัวร์ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีอยู่ตามรีสอร์ท
โดยจะเป็นทัวร์แบบวันเดย์ทริป คิดหัวละ 1200–1500 บาท แล้วแต่แพ็คเกจ บางที่มีพาไปดำน้ำเกาะห้าด้วย
ซึ่งเค้าว่าสวยงาม แต่น่าเสียดายทัวร์ที่ผมซื้อไปไม่มี
เรือสปีดโบ๊ทจะมารับหน้าหาดที่พักประมาณ 8.30 น. แล้วจอดแวะรับนักท่องเที่ยวตามหาดต่างๆ ตามรายทาง
ก่อนจะมุ่งหน้าสู่เกาะรอกใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ส่วนขากลับเรือจะออกจากเกาะรอกประมาณ 14.00 น.
ติดตามบทความเรื่องอื่นๆ ของไอฟายน้อยได้ที่ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=ifind&month=13-04-2017&group=13&gblog=18
I-FINDNOI
วันเสาร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2560 เวลา 07.30 น.