“เป็นไงไปเที่ยวสนุกมั้ย"

มันเป็นคำถามทั่วๆ ไปที่มักจะตอบตามสคริปแบบไม่คิดว่า “สนุกดี" แต่ครั้งนี้มันแตกต่าง

ผมกลับพูดไม่ออกได้แต่ยิ้มๆ จนเพื่อนที่ถามงง คือถ้าตอบตรงๆ มันก็ไม่ได้สนุกอะไรมากมาย

แค่รู้สึกดีที่ผ่านมันมาได้ และมันเป็นการเดินทางที่ผมจะไม่มีวันลืม


ย้อนกลับไปเมื่อหลายวันก่อน ผมกับอะมูนิโต้กำลังง่วนอยู่กับการแพ็คของจัดเตรียมสัมภาระก่อนการเดินขึ้นภูลังกา

ที่หน่วยพิทักษ์อุทยานวัดพระธาตุภูลังกา ในเขตรอยต่อระหว่างจังหวัดบึงกาฬกับจังหวัดนครพนม

โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่เจดีย์กองข้าวศรีบุญเนาว์ที่ตั้งอยู่บนยอดเขา

พวกเราตั้งใจจะขึ้นไปกางเต็นท์นอนรอเก็บภาพแสงยามรุ่งอรุณกระทบกับเจดีย์สีทองอร่าม

มันเป็นภาพอันงดงามน่าประทับใจที่ผมเห็นจากอินเตอร์เน็ตแล้วส่งต่อไปให้อะมูนิโต้ดูจนกระทั่งเกิดการเดินทางครั้งนี้ขึ้น


ใช้เวลาในการเดินแค่ 2-3 ชั่วโมง ขึ้นไปตามบันไดพญานาคทางด้านหลังหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ

ดูแล้วไม่น่าจะยากเย็นอะไร แต่มันกลับเป็นการเดินทางที่ทำเอาผมรู้สึกเป็นกังวลที่สุด

เพราะเคยแต่เปิดท้ายรถขนเต็นท์ลงไปกางหรือหากต้องเดินแบกของขึ้นเขาก็จ้างลูกหาบเอา

แต่ที่นี่ไม่มีลูกหาบ ด้านบนไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ นอกจากห้องน้ำกับแทงค์รองน้ำฝนไว้สำหรับใช้สอย

ดังนั้นสัมภาระทุกอย่าง เต็นท์ ถุงนอน อุปกรณ์กล้อง ขาตั้งกล้อง น้ำดื่มรวมทั้งเสบียงอาหาร

ต้องแบกเป้ขึ้นหลังขนไปเองทั้งหมด!



ใครมาเห็นพวกเราตอนนี้คงนึกว่ากำลังดูภาพสโลว์โมชั่นที่ค่อยๆ ยกเท้าก้าวขึ้นไปตามบันไดทีละขั้นอย่างช้าๆ

ราวกับโงกุนกำลังฝึกวิชาอยู่ในห้องแรงโน้มถ่วง และผมไม่เคยรู้ซึ้งถึงคำว่า “หนักหน่วง" เท่านี้มาก่อน

เพราะลำพังแค่เดินขึ้นเขาตัวเปล่าก็แย่แล้ว นี่ต้องมาแบกน้ำหนักบนหลังที่คิดว่าน่าจะมีไม่ต่ำกว่า 10-15 กิโลอีก!!


ดูจากสภาพตัวเองถ้าต้องเดินแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆอีก 2-3 ชั่วโมง สาหัสแน่ๆ!

ไม่รู้ว่าขีดจำกัดของร่างกายมันจะพาไปได้ไกลซักแค่ไหน แต่มาถึงจุดนี้แล้วก็คงถอยไม่ได้

ชีวิตมันต้องเดินต่อไปข้างหน้า! จริงมั้ยอะมูนิโต้!?

“เออเดินขึ้นไปก่อนเลยไม่ต้องรอ" อะมูนิโต้พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ไม่เคยเหนื่อยเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต

อารมณ์เหมือนมันไม่พร้อมจะมาเจอแบบนี้ เหมือนถูกเพื่อนหลอกมายังไงยังงั้น!


บันไดปูนยังคงทอดยาวสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด

เสียงหอบแข่งกับเสียงเพลง 'ฉันมาทำอะไรที่นี่' ของพี่เบิร์ดดังแว่วอยู่ในหัวเป็นระยะ

ทำให้ต้องรีบดึงสติกลับมาให้มีสมาธิอยู่กับก้าวปัจจุบัน มันเป็นเคล็ดลับในการเอาชนะความเหนื่อยที่ได้ผลดีจริงๆ



เจดีย์สีทองขนาดย่อมห้าองค์ทำเอาผมยิ้มออกทันทีที่มองเห็น แม้นั่นจะไม่ใช่เจดีย์กองข้าวศรีบุญเนาว์

หากแต่เป็น “เจดีย์พระเจ้าห้าองค์" สัญลักษณ์ที่แสดงว่าผมได้เดินมาถึงครึ่งทางแล้ว!

ผมปลดเป้ลงกองกับพื้นเพื่อหยุดพักและจะได้รออะมูนิโต้ไปในตัว ระหว่างนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

เป็นเบอร์อะมูนิโต้โทรมา! เกิดอะไรขึ้น!?

“กูลืมหยิบกล่องข้าวขึ้นมาว่ะ" อะมูนิโต้บอก

งามไส้!! แล้วเย็นนี้จะกินอะไร!? จะเดินกลับลงไปเอาก็คงไม่ไหว

โชคยังดีที่อะมูนิโต้คว้าถุงขนมกับนมสำหรับมื้อเช้ามาด้วยอย่างน้อยก็เอามากินรองท้องกันตายไปก่อน



ผ่านไปเกือบสองชั่วโมงก็สิ้นสุดบันไดปูนขั้นสุดท้าย ผมดีใจจนน้ำตาจะไหล

แม้ยังไม่ถึงจุดกางเต็นท์ที่ต้องเดินต่อไปตามทางดินและผลาญหินทรายบนยอดเขาอีกพักใหญ่

แต่มันก็ไม่ต้องใช้แรงควายขึ้นบันไดอีกแล้ว!



ดวงอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้าเหนือบึงโขงโหลงที่อยู่เบื้องล่าง

มันเป็นทัศนียภาพที่สวยงามจนทำให้ผมลืมความเหนื่อยไปชั่วขณะ

ระหว่างหยุดพักอยู่บนโขดหินริมหน้าผา มองลงไปตรงทางเดินที่ผ่านมา

เห็นอะมูนิโต้ค่อยๆ โซซัดโซเซโผล่พ้นแนวต้นไม้ออกมา ก่อนจะโยนเป้ทรุดลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง



“เอาหน่อยๆ" ผมตะโกนให้กำลังใจ ก่อนพากันเดินต่อไปอีกไม่ไกลก็มาถึงบริเวณลานกางเต็นท์

รวมระยะเวลาเดินจากพื้นล่างขึ้นมาถึงที่นี่ประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง

ตรงจุดนี้มองเห็นเจดีย์กองข้าวศรีบุญเนาว์ตั้งเด่นอยู่บนยอดเขาเบื้องหน้า

แต่ตอนนี้ใกล้ค่ำแล้วคงต้องรีบกางเต็นท์กันก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยเดินขึ้นไปยังเจดีย์



ความมืดเข้าปกคลุมอย่างรวดเร็วท่ามกลางความเงียบสงัด ทั้งภูเขามีแค่เราสองคน

เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เค้าจะมากันในช่วงฤดูหนาว มิน่าพวกเราถึงนอนกันเหงื่อซึมคิดว่าบนนี้จะเย็นซะอีก!



ความเหนื่อยเล่นงานทำเอาผมหลับไปตั้งแต่ตอนสามทุ่มกว่า

รู้สึกตัวตื่นมาอีกทีเหมือนมีมดกัด ก็ใช้มือปัดๆ แต่ซักพักก็มาใหม่จนทนไม่ไหวลุกขึ้นเปิดไฟดู

โอ้แม่เจ้ามดเต็มเต็นท์เลย!! เรียกได้ว่ามาเป็นกองทัพยุบยับเป็นทิวแถว

ทั้งตามพื้นตามหลังคา แล้วมันเป็นมดคันไฟ!!

สันนิษฐานว่าตอนหัวค่ำพวกเรานั่งกินขนมกันหน้าเต็นท์ก็เลยเชิญชวนมดป่าผู้หิวโหยมาเยี่ยมเยือน

อาวุธที่มีคือสเปรย์กันยุงซัดไปจนหมดขวด กว่าจะได้นอนก็สู้กันไปค่อนคืน



แสงตะวันของเช้าวันใหม่ค่อยๆ โผล่พ้นขอบฟ้าสาดส่องมากระทบกับเจดีย์สีทองอร่ามรูปทรงคล้ายกับกองฟาง

ผมกับอะมูนิโต้กำลังยืนชื่นชมความงดงามของธรรมชาติยามเช้าอยู่ข้างๆ เจดีย์กองข้าวศรีบุญเนาว์บนยอดสูงสุดของภูลังกา



ตามประวัติความเป็นมา พระอาจารย์สมชายปุญญมโน เจ้าอาวาสวัดป่าสว่างบุญ จังหวัดสระบุรี

มาบำเพ็ญภาวนาอยู่ที่ภูลังกาแห่งนี้แล้วมีเทวดามาบอกขอให้ช่วยสร้างเจดีย์ไว้บนยอดเขา

ท่านจึงรวบรวมกำลังศรัทธาจากชาวบ้านสร้างเจดีย์ขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2542

ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุที่อัญเชิญมาจากประเทศเนปาล



เรื่องราวที่ผ่านมาเมื่อวานดูเหมือนจะมีพลังวนเวียนอยู่ในหัวมากกว่าวิวสวยๆ ที่อยู่ตรงหน้า

อารมณ์เหมือนมาเข้าคอร์สฝึกตนจนสำเร็จและได้รับประกาศนียบัตรยกระดับการเดินทางขึ้นไปอีกขั้น

มันช่างเป็นการเดินทางที่ครบรส ทั้งหนัก ทั้งเหนื่อย ทั้งหิว ทั้งร้อน ทั้งนอนไม่หลับ มดยังมากัดอีก!

นี่แหละที่เค้าว่ากันว่าการเดินทางคือการออกไปดูโลก ไปดูผู้คน ออกไปเรียนรู้สิ่งแปลกใหม่

ออกไปค้นหาอะไรให้กับชีวิต และครั้งนี้มันทำให้ผมค้นพบตัวตนแล้วว่า

แบบนี้มันไม่ใช่เลย! ไม่เอาแล้ว! พอเหอะ!



เส้นทางของไอฟายน้อยสู่เจดีย์กองข้าวศรีบุญเนาว์


หากมาจากกรุงเทพฯผมแนะนำให้ไปพักในตัวจังหวัดสกลนครหรือนครพนมก่อนซักคืนจะได้ไม่เหนื่อยจนเกินไป

รุ่งเช้าค่อยแวะเที่ยวจุดอื่นก่อน หรือจะไปน้ำตกตาดขามกับน้ำตกตาดโพธิ์ที่เชิงภูลังกาก่อนก็ได้(มีน้ำเฉพาะฤดูฝน)

แล้วค่อยเดินขึ้นภูซักบ่าย 3 กำลังดี จะได้ไปถึงไม่มืดจนเกินไป

หรือใครขึ้นไปแล้วไม่ค้างก็ได้กะเวลาเอา



การเดินขึ้นภูลังกาไปยังเจดีย์กองข้าวศรีบุญเนาว์สามารถขึ้นได้สองเส้นทาง

เส้นทางแรกคือขึ้นตรงที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูลังกา(น้ำตกตาดโพธิ์) ในเขตอำเภอบ้านแพงจังหวัดนครพนม

แต่จุดนี้ใช้เวลาเดินประมาณ 5 ชั่วโมง และต้องอาศัยเจ้าหน้าที่นำทาง

ส่วนเส้นทางที่สองต้องขับรถอ้อมไปทางด้านหลังเขาแล้วไปขึ้นตรงหน่วยพิทักษ์อุทยานวัดพระธาตุภูลังกา

ในเขตอำเภอบึงโขงโหลง จังหวัดบึงกาฬ เส้นทางนี้แม้จะชันกว่าแต่ทางเป็นบันไดปูนจนถึงยอดเขา

ใช้เวลาในการเดินประมาณ 2-3 ชั่วโมงสามารถเดินได้เองโดยไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่นำทาง



การเดินทางจากตัวจังหวัดนครพนมให้ใช้ทางหลวงหมายเลข 212

มุ่งหน้าไปทางอำเภอบ้านแพง ระยะทางประมาณ 97 กิโลเมตร

ถึงแยกทางเข้าตัวอำเภอบ้านแพง ให้ขับตรงต่อไปตามทางสายหลักเส้นเดิมอีกประมาณ 6 กิโลเมตร

จะเจอแยกทางเข้าน้ำตกตาดโพธิ์อยู่ทางซ้ายมือ(หากแวะเที่ยวให้เลี้ยวเข้าไปประมาณ 4 กิโลเมตร)



แต่ผมเลือกขึ้นภูลังกาเส้นทางที่สอง ให้ขับตรงไปอีก 5 กิโลเมตร จะเจอสี่แยกไฟแดงเรียกว่าแยกดงบัง

ให้เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 2026 ตรงไปประมาณ 8.5 กิโลเมตร ถึงบ้านดงชมพูให้สังเกตป้ายวัดพระธาตุภูลังกา



เลี้ยวซ้ายเข้าถนนสายย่อยไปตามป้ายประมาณ 1 กิโลเมตร จากนั้นให้เลี้ยวซ้ายไปตามป้ายวัดพระธาตุภูลังกาอีกครั้ง

ตรงไปตามถนนดินลูกรังอีกประมาณ 2 กิโลเมตร จะผ่านวัดพระธาตุภูลังกา

ตรงต่อไปจนสุดทางที่หน่วยพิทักษ์อุทยานวัดพระธาตุภูลังกา


ติดตามผลงานเรื่องอื่นๆ ของไอฟายน้อยได้ที่http://bloggang.com/mainblog.php?id=ifind

I-FINDNOI

 วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2559 เวลา 08.33 น.

ความคิดเห็น