"เขาหลวงสุโขทัย" เคยได้ชื่อมานานมากกกกก
ว่าความชันไม่เป็นสองรองใคร เดินแค่เกือบๆ 4 โล
แต่ขึ้นล้วนๆ ที่หาข้อมูลมาคือเป็น 1 ในเขาปราบเซียนเลย ก็คิดนะว่ามันจะแค่ไหนกันเชียว พอไปขึ้นจริง โอ้โหหหหห!!!! มันตั้งเท่านี้เชียวเลยหล่ะ 55555 ในเลขห้านี้มีน้ำตาซ่อนอยู่
เปิดให้ขึ้นเวลา 08.00 น. และไม่อนุญาตให้ขึ้นเขาหลังเวลา 15.30 น.
ค่าเข้าอุทยาน ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท รถมอเตอร์ไซค์ 20 บาทต่อคัน
เพราะเค้าว่ากันมาว่าที่นี่มันโหด เราเลยต้องมาเตรียมพร้อมกันหน่อย..
ข้อแนะนำ:
1.ออกกำลังกาย ช่วยลดอาการบาดเจ็บ
2.มีอาหารขาย ราคาเครื่องดื่ม 30 บาท/ขวด ทางที่ดีพกอาหารแห้งที่ทำง่ายๆ เช่น มาม่า ไมโล ประหยัด+ได้ฟิล Camping ไปอีกแบบ และควรนำอุปกรณ์ล้างจานติดมาด้วย
3.ไฟฉาย ใช้ตอนเดินไปดูพระอาทิตย์ขึ้น/ตก
4.ผ้าใบคู่เก่ง ถุงเท้าหนาๆ + รองเท้าแตะใส่อาบน้ำ
5.ยาฉีดแมลง บวกยาแก้ปวด/คลายกล้ามเนื้อ
6.ใครไม่เคยแบกของขึ้นเอง แนะนำจ้างลูกหาบ
7.ก่อนขึ้นเขาหลวง แนะนำให้ทานอาหารให้เรียบร้อย และซื้อมื้อกลางวันติดไปเผื่อทานระหว่างทางด้วย เพราะไม่มีร้านค้า รวมถึงพกพวกลูกอม+ขนมมาด้วย
8.ตอนเช้าน้ำค้างเยอะ อย่าวางอะไรไว้นอกเต้นท์
9.เตรียมเสื้อกันหนาวและหมวก อากาศเย็น
เมื่อเตรียมพร้อมแล้ว ไปสนุกกันเลยย!!!!
เราเดินทางด้วยรถไฟจากลพบุรี-ลงพิษณุโลก
จากนั้นนั่งรถตู้จากบขส.พิษณุโลกลงบขส.สุโขทัย (1 ชั่วโมง) และเช่ามอเตอร์ไซค์ไปที่อุทยานแห่งชาติรามคำแหง ระยะทาง 30 กม.
[เราเช่าวันครึ่ง 350 บาท ความจริงสามารถเหมาสองแถวที่บขส.สุโขทัยมาส่งได้ แต่เรามี 2 คน ไป-กลับไม่คุ้ม ถ้าจำไม่ผิด คุณลุงคิดไป-กลับ 800 บาท]
ระหว่างทางบอกเลยว่าลุ้นสภาพอากาศมากๆ เพราะเมื่อวานฝนตก แต่วันที่เรามาคือครึ้มๆ สองข้างทางเต็มไปด้วยทุ่งนา สีเขียวเขียวดีต่อใจจริงๆ พอเกือบถึงเราจะต้องผ่านด่านของอุทยานฯก่อนเพื่อจ่ายค่าเข้า มีเจ้าหน้าที่ตรวจวัดอุณหภูมิตามมาตรการ COVID-19
พอเราเดินทางมาถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เราก็ไปจ่ายค่าต่างๆให้เรียบร้อย
1.ค่าพื้นที่กางเต๊นท์ 30 บาทต่อคน
2.ถุงนอน 30 บาทต่อชิ้น
3.ค่าผ้าห่ม 30 บาทต่อผืน
4.เสื่อ 20 บาทต่อผืน
ส่วนเต้นท์เอามาเอง อ้อ!!จ่ายค่ามัดจำขยะ 200 บาท (จะได้เป็นคูปอง ตอนลงมาเอาขยะมาชั่งและรับเงินคืน)
หลังจากนั้นไปชั่งน้ำหนักกระเป๋ากัน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราแบกกันขึ้นไปเอง แต่ถ้าใครไม่อยากแบก สามารถจ้างลูกหาบได้ กิโลกรัมละ 25 บาท
พอทุกอย่างเรียบร้อย ได้เวลาเดินกันแล้ว เราเริ่มที่เวลา 9.00 น.
เขาหลวง สุโขทัย ตั้งอยู่ภายในอุทยานแห่งชาติรามคำแหง เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในจังหวัดสุโขทัย มีความสูง 1,200 เมตร จากระดับน้ำทะเล มี 4 ยอดเขาสำคัญ คือ ยอดเขาเจดีย์ ยอดเขานารายณ์ (จุดชมพระอาทิตย์ขึ้น) ยอดเขาภูกา และยอดเขาแม่ย่า (จุดชมพระอาทิตย์ตก)
เส้นทางบนเขาหลวง สามารถเดินขึ้นได้เองโดยไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่นำ เพราะทางเดินชัดเจน และมีป้ายบอกอยู่แทบทุกจุด ใช้เวลาเดินประมาณ 3-4 ชั่วโมง แต่ถ้าเดินแบบค่อยๆไป น่าจะใช้เวลาเดินทั้งหมด 6 ชั่วโมง
(ในสภาพอากาศปกติที่ฝนไม่ตก)
ช่วงแรกจะเป็นป่าดิบแล้ง ต้นไม้มีใบปกคลุม สูง โปร่ง แต่ตามทางเดินจะมีหินน้ำตกและรากไม้โผล่มาค่อนข้างเยอะ ต้องใช้ความระวังหน่อย
เพราะเมื่อวานฝนตก ทำให้บางจุดอาจจะลื่นได้ แต่จุดไหนที่ค่อนข้างเสี่ยง ทางอุทยานฯจะมีราวให้นักท่องเที่ยวจับ และจะมีป้ายบอกระยะทางตามต้นไม้ บางจุดจะมีที่นั่งพักให้ แต่เราไม่พัก เดินยาวๆเลย 55555
พอเดินไปเรื่อยๆ ถ้าหยุดยืนนานจะเริ่มมียุงมากัด บวกกับผึ้งหรือแมลงอื่นๆ ใครที่แพ้แมลงควรพกพวกยาฉีดมาด้วย เราไม่โดนกัดนะ แต่กลัวมากกว่า บางจุดชันมาก ทางแคบเดินได้ทีละคน วันที่เราไปคนไม่พลุกพล่านมาก ทักทายกันบ้างประปราย ประโยคเด็ดคือ "อีกนิดเดียว" นิดเดียวมา 2 ชั่วโมงแล้วจ้า 55555
เดินมาเรื่อยๆ ในที่สุด เราก็มาถึงจุดกางเต้นท์ของอุทยานแล้ววววว สรุปเราใช้เวลาไปทั้งหมด 2 ชั่วโมง 58 นาที ออกเดินตอน 9.00 น. ถึง 12.00 น. ยอมใจตัวเอง ข้าวก็ไม่ยอมกินระหว่างทาง 5555 อยากมานั่งกินข้างบนแทน
พอมาถึงเราก็ไปรับอุปกรณ์ที่เราจองจากข้างล่างและหาพื้นที่เหมาะๆ ในการกางเต้นท์ แล้วก็เคลียร์ของในกระเป๋า เอาเสบียงที่พกมาออกมา หลักๆที่เราพกมาคือไข่ต้ม มาม่า หอยลายกระป๋องสำหรับมื้อเย็น และขนมปัง นูเทลล่าสำหรับมื้อเช้าก่อนเดินลงเขา (เราพกแก๊สขนาดพกพาไปด้วย 1 อัน)
พอเคลียร์ของเสร็จ รีบไปอาบน้ำให้สดชื่น เขาหลวงถือว่าห้องน้ำค่อนข้างดี มีแบ่งชาย-หญิง มีหลายห้อง ความสะอาดตามการใช้งาน อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ขนาดตอนบ่ายน้ำยังเย็นเจี๊ยบขนาดนี้ เย็นไม่ต้องพูดถึง อ้อ!! ข้างบนไม่มีไฟฟ้าให้ใช้ มีจากส่วนกลางตามไฟทางนิดหน่อย
สัญญาณโทรศัพท์ไม่ถึงกับตัดขาดจากโลกภายนอก เพราะมีสัญญาณเป็นบางจุด พอให้ได้ตอบแชทบ้าง แต่สำหรับเรานั้น Dtac เงียบกริ๊บ T^T คิดซะว่าได้อยู่กับธรรมชาติ 5555 ว่าแล้วก็หลับสักงีบ
รู้ตัวอีกที ตื่นมาจะ 4 โมงเย็นแล้ว 555 หลับสบาย อากาศเย็นมาก ตื่นมาเตรียมตัวเดินไปดูพระอาทิตย์ตกที่ยอดเขาพระแม่ย่า โดยเราไปทางยอดเขาพระเจดีย์ เดินไป 750 เมตร และอีก 740 ม. รวมๆก็ 1 โลกว่าๆ
ก่อนไปก็แชะภาพดีดีกันบ้าง มีแต่ภาพเหนื่อยๆ 5555
ต้องบอกว่าเป็นเขาที่จะไปทางไหนก็มีเนินไปซะหมดเลย แค่คิดก็เมื่อยแล้ว 5555
เราตัดสินใจกันว่าจะไปแค่เขาแม่ย่า ระยะทาง 740 เมตร เหมือนไม่ไกลเลย แต่คือยอดเขาที่อยู่ตรงหน้าตามรูปด้านล่าง ใช่ค่ะ เราต้องเดินขึ้นอีกแล้ววว 5555555
ยอดเขาพระแม่ย่าสูงจากระดับน้ำทะเล 1,200 เมตร พอขึ้นมาแล้ว วิวมันก็ได้อยู่นา สีเขียวๆ กับลมเย็นๆ ตอนขึ้นมาเมฆเยอะมาก เริ่มทำใจไว้หน่อยๆว่าเราคงไม่เห็นพระอาทิตย์ตกแน่ๆ ระหว่างนั้นเลยนั่งรับลมกันไป
หลังจากอยู่ตรงนั้นเกือบ 1 ชั่วโมง อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว และเมฆไม่มีทีท่าว่าจะหายไป เราเลยตัดสินใจกลับลงมาที่เต้นท์กันเพื่อทำอาหารง่ายๆกินกันก่อนที่จะมืด ขากลับเราไม่ได้กลับทางเดิม เราลงมาทางผานารายณ์ น่าจะเกือบโล ระหว่างทางจะผ่านลานฮ. ฟิลแดดกำลังจะตกดิน ดีมาก ^^
พอกลับมาถึงเต้นท์ เราก็ทำจัดมาม่าคนละ 2 ห่อ กับไข่ต้ม ความจริงร้านค้าของอุทยานมีอาหารขาย ทั้งอาหารแห้ง พวกมาม่า กับอาหารง่ายๆเช่น พวกผัดกะเพรา สำหรับคนที่ไม่อยากทำเอง
หลังกินข้าว ล้างจาน เก็บของเรียบร้อย เราก็มานั่งชิลๆคุยกับพี่ๆข้างเต้นท์ พี่เค้ามาก่อนเราวันนึง นั่งคุยสักพัก ดาวก็ขึ้นมาเหนือหัวเต็มไปหมด ดูได้สักพักก็ง่วงนอน 5555 อาจเพราะวันนี้เราใช้กำลังขากันไปค่อนข้างเยอะ แค่สามทุ่มก็ง่วงแล้ว เลยรีบนอนเพราะพรุ่งจะตื่นเช้ามาดูพระอาทิตย์
ตื่นเช้าวันอาทิตย์ตอนตีห้า ตีกับตัวเองนิดนึงว่าจะไปหรือไม่ไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ปวดไปทั้งตัวเลย 5555 ขนาดเป็นคนออกกำลังกายอยู่แล้ว แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจตื่น เดินไปผานารายณ์ 400 เมตร
และก็เป็น 400 เมตร ที่ทำไมไกลจัง (ตอนนั้นเมื่อยสุด 100 เมตร ก็ไกลแล้ว 555) มาถึงก็คืออากาศดีมากกกกก แสงสีส้มออกมาทักทายเราตอนเกือบ 6 โมง แต่สุดท้ายก็แอบอยู่หลังเมฆเฉยเลย T^T นั่งเรื่อยเปื่อยสักพักหมอกก็มา แล้วเราก็ลงมาที่เต้นท์เพื่อกินไรตอนเช้านิดหน่อยก่อนลงเขา
และนี่คือมื้อเช้าเบาๆของเราก่อนลงเขา ฟิลดีจริงๆ
พอกินเสร็จ ทำความสะอาดก็ได้เวลาลงเขากันแล้ว ได้เวลาโบกมือลา เราเริ่มเดินลงมาตอน 8 โมง ลงล้วนๆ แค่เห็นว่าจะต้องลงทางแบบนี้ ก็รู้สึกว่าเข่าต้องพังล้วนๆ 5555 ทีนี้เป็นทีของเราบ้าง เราสวนกับนักท่องเที่ยวประปราย มีคนต่างชาติด้วย เราไม่อยากหลอกเค้า เราเลยบอกเค้าว่าอีกไกลนะ รวมถึงคนไทยด้วย 55555
อ้อ!!!!! ก่อนลงเราต้องเอาอุปกรณ์ที่เราเช่าไปคืนเจ้าหน้าที่ และชั่งขยะ (เราต้องเก็บไปทิ้งข้างล่าง) พอลงมาถึงเราก็ไปแลกมัดจำขยะคืนได้ ข้างล่างอุทยานมีห้องอาบน้ำให้นักท่องเที่ยว สะดวกสบายมาก
และสุดท้ายเราต้องไม่ลืมที่จะปั๊มตราอุทยานกลับมาด้วย (ซึ่งในทริปนั้น เราลืมเอาสมุดไป เจ้าหน้าที่ใจดีปั๊มใส่กระดาษให้ นึกว่าต้องมาอีกแล้ววววว)
ฝากไว้อีกนิด รองเท้าที่ใส่มาควรเป็นรองเท้าคู่เก่ง ใส่บ่อย เราทั้งคู่ในรองเท้าเทรลมาเลย
ก่อนคืนรถมอเตอร์ไซด์ เราก็แวะไปกินก๋วยเตี๋ยวร้านอร่อย ที่อร่อยมากกกกกกกกกกกก คือ ร้าน แน่ อยากให้ทุกคนลองชิม ตีนไก่ดีมาก ฮือ
แล้วเราก็เดินทางกลับไปบขส.พิษณุโลกด้วยรถ minibus และขึ้นรถไฟกลับลพบุรี ^^
ความรู้สึกส่วนตัวของเรากับเขาหลวงคือ ท้าทายมาก ขนาดเราวิ่งเทรลมาก่อน การต้องมาขึ้นเขาพร้อมกระเป๋าเกือบสิบโล นี่มันไม่ธรรมดาจริงๆ มันจะเป็นเขาที่จำไม่ลืม เพราะปวดขามาก 55555 ถ้าใครชวนไปอีก ไปได้นะ แต่ไม่แบกเองแล้ว ขอเดินชิลๆตัวปลิวๆดีกว่า 5555
ที่สำคัญมิตรภาพข้างเต้นท์ดีมากๆเลย นั่งคุยกันได้ไม่เบื่อ ^^
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ อุทยานแห่งชาติรามคำแหง โทรศัพท์ 087 313 7897 หรือ
เฟซบุ๊ก RamkhamhaengNationalPark
ไว้ครั้งหน้าจะพาไปเที่ยวไหนกันอีก
ฝากติดตามที่ Readme #AnywhereIGobyThita #ฐิตา
Twitter: @AnywhereIGo2
ฐิตา
วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เวลา 14.14 น.