จริงๆแล้วเวลาที่เรามีแค่ 9 วัน ประเทศออสเตรียประเทศเดียวก็เที่ยวไม่ทั่ว แต่เพราะวีซาเชงเกนนั้นสามารถเข้าออกกลุ่มประเทศในยุโรปได้หลายประเทศ ครั้นจะเที่ยวแต่ประเทศออสเตรียก็ดูกระไรๆอยู่ เพราะคนส่วนใหญ่เวลามาเที่ยวยุโรปก็มักจะเข้าประเทศนั้นออกประเทศนี้ 3 – 4 ประเทศ ไหนๆในอดีต ออสเตรีย – ฮังการีก็เคยเป็นจักรวรรดิเดียวกัน เราจึงขอข้ามไปเที่ยวประเทศฮังการีบ้างเพื่อไม่ให้น้อยหน้า ซึ่งทีแรกคิดว่าจะไปอย่างน้อยสัก 2 เมือง แต่เมื่อดูข้อมูลการรีวิวของนักท่องโลกแล้ว ก็เห็นพูดถึงแต่กรุงบูดาเบสท์ (Budapest) เพราะแค่เมืองนี้เมืองเดียวก็แน่นไปด้วยสถานที่ที่แสนงดงาม

15.15 น. คือเวลาที่รถบัส บริษัท Flibus พาเราเคลื่อนตัวออกจากสนามบินกรุงเวียนนา เพื่อเดินทางข้ามประเทศไปยังกรุงบูดาเบสท์ ประเทศฮังการี เพราะเป็นประเทศในกลุ่มเชงเกงเหมือนกัน ในการเดินทางข้ามแดนจึงไม่ต้องผ่านการตรวจของ ตม. ซึ่งหากไม่ดู GPS จากมือถือไปด้วย เราก็จะไม่รู้เลยว่ารถพาเราข้ามเขตแดนไปตั้งแต่เมื่อไหร่

รถบัสใช้เวลาวิ่งเกือบ 3 ชม. ก็พาเรามาถึงสถานี Lehel ter ซึ่งสะดวกในการเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองเพราะมีรถไฟใต้ดิน หรือ Metro ให้บริการ แต่ที่ไม่สะดวกก็คือ ประเทศฮังการีไม่ใช้เงินยูโร แต่ใช้เงินสกุล HUF เราจึงจำเป็นต้องหาร้านรับแลกเงินภายในสถานี ซึ่งโชคดีที่มีร้านรับแลกเงินให้บริการ เราจึงแลกเงินติดตัวไปนิดหน่อยเพื่อให้พอซื้อตั๋ว Metro กับอาหารมื้อเย็นและเช้า ที่อัตรา 1 ยูโร เท่ากับ 280 HUF ในวันรุ่งขึ้นเราจึงได้รู้ว่าเราแลกเงินด้วยอัตราขาดทุนสุดๆ เพราะอัตราปกติอยู่ที่ 1 ยูโร เท่ากับ 316 HUF แต่ทำไงได้เพราะถ้าไม่แลกก็คงติดอยู่ในสถานีรถไฟต่อไป

เมื่อมีเงินแล้ว เราก็สามารถซื้อตั๋วเพื่อโดยสาร Metro สาย 3 เข้าสู่ตัวเมือง โดยเราซื้อตั๋วแบบใบเดียวใช้ได้สูงสุด 5 คน ภายใน 24 ชั่วโมง ด้วยราคา 3,300 HUF หรือแค่ 11 ยูโร แม้ว่าเราจะมากันแค่ 4 คน แต่ก็ถือว่าถูกมากๆเพราะเฉลี่ยต่อคนไม่ถึง 3 ยูโร อีกทั้งยังสามารถใช้กับรถราง หรือ Tram ได้ด้วย แต่ก่อนที่จะเดินทางไปไหน ในเมื่อมีเงินแล้ว ผมจึงชวนเพื่อนๆลิ้มลองขนมขึ้นชื่อที่ใครมาฮังการีต้องไม่พลาด นั่นคือ Twist Chimney มีลักษณะเป็นปล้องรูปทรงกระบอก ทำจากแป้งไปอบ แล้วเคลือบด้วยน้ำตาล ผงโกโก้ หรืออย่างอย่างอื่นตามแต่เลือก ซื้อปุ๊บ กินร้อนๆอร่อยดี

ออกจากสถานี Metro เราก็ต้องโดยสารรถรางอีกต่อเพื่อไปยังที่พักที่น้องเนจองไว้ ซึ่งไม่ใช่โรงแรม B&B หรือ เกสท์เฮ้าท์ แต่เป็นอพาร์ตเมนต์ที่เจ้าของปล่อยให้เช่าเป็นรายวัน ฉะนั้นจึงไม่มีเจ้าหน้าที่ต้อนรับ ทุกอย่างต้องบริการตัวเอง โดยเจ้าของจะบอกรหัสกุญแจด้านนอกผ่านมาทางอีเมล ซึ่งแม้จะยุ่งยากสักนิด แต่ก็ยอมรับได้อย่างสนิทใจ เพราะราคาถูกกว่าการอยู่โรงแรมกว่า 2 เท่า โดยห้องที่น้องเนจองนี้เป็นห้องขนาดใหญ่ มีห้องครัวพร้อม มีเตียงนอน 2 เตียง เหนือขึ้นไปทำเป็นชั้นลอย ด้านบนนั้นมีที่นอนอีก 2 ที พอดีกับเรา 4 คน ดูแล้วสะดวกสบายไม่ใช่น้อย ติดก็แต่มีห้องน้ำเพียงแค่ห้องเดียว จึงต้องต่อคิวกันสักหน่อย

เราออกเดินหาอาหารมื้อเย็นแถวย่านที่พัก มีร้านอาหารให้เลือกพอสมควร ด้วยเหตุที่กินอาหารตะวันตกติดต่อกันหลายมื้อ เราจึงเลือกเข้าร้านอาหารของชาวจีน ซึ่งเป็นข้าวราด คล้ายๆร้านข้าวแกงในไทย อิ่มอร่อยและราคาย่อมเยา ซึ่งหน้าตี๋แบบผมกับเต้ย พอเดินเข้าไปในร้านคนขายก็ส่งเสียงทักทายเป็นภาษจีนทันที งานนี้เต้ยจึงได้โอกาสฝึกภาษาจีนที่ร่ำเรียนมา ซึ่งใครจะไปคิดว่าจะได้ใช้ภาษาจีนในฮังการี

อย่างที่บอกว่าการมาของ 2 สาว ทำให้การเดินทางมีสีสันขึ้น สีสันนี้เริ่มขึ้นด้วยการที่ค่ำนี้เราไปจับจ่ายกันที่ร้าน SPAR จนให้ความรู้สึกว่ากำลังซื้อของเข้าบ้านในเมืองไทย ไม่ใช่อยู่ต่างประเทศ เพราะของที่ซื้อไม่ใช่นม ขนมปังหรืออาหารแห้งที่สามารถเป็นเสบียงระหว่างการเดินทาง แต่เป็นอาหารสดสำหรับการนำไปทำครัว

แล้วเช้าวันรุ่งขึ้น 2 สาวก็ทำให้การเดินทางเต็มไปด้วยสีสัน เพราะพวกเธอตื่นขึ้นมาทำอาหารตั้งแต่เช้า ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าพี่เดือนจะหอบหิ้วหม้อหุงข้าว ข้าวสารและอาหารกระป๋องมาด้วย จนแทบจะย้ายครัวที่บ้านมาในกระเป๋าเดินทางใบโต โดยเราแบ่งหน้าที่กันเสร็จสรรพ พี่เดือนหุงข้าว ทอดไข่ น้องเนล้างผลไม้ ผมผัดหมี่ และเต้ยในฐานะตื่นสายสุด จึงต้องรับหน้าที่ล้างจานไปตามระเบียบ

บ้านเรือนในบูดาเบสท์ส่วนใหญ่ยังคงเป็นอาคารเก่าแก่ที่ก่อด้วยอิฐสีน้ำตาล แลดูเข้มขรึม ไม่เหมือนกับเมืองใหญ่ๆในออสเตรียที่นิยมทาสีไว้อย่างสดใส กรุงบูดาเบสท์เกิดจากการรวมเมืองใหญ่ 2 เมือง คือ เมืองบูดา กับ เมืองเบสท์ โดยมีแม่น้ำดานูบไหลผ่านกั้นกลางระหว่างเมือง คล้ายๆกับกรุงเทพมหานครในบ้านเรา ที่เกิดจากการรวมฝั่งพระนครกับฝั่งกรุงธนบุรี

การท่องเที่ยวของเราในวันนี้จัดเต็มด้วยการเดินโดยเก็บสถานที่สำคัญเกือบทั้งหมดของฝั่งบูดาที่อยู่ทางฟากตะวันตกของแม่น้ำดานูบ แล้วจึงข้ามกลับมายังฝั่งเบสท์ ซึ่งเป็นที่พักของเรา

จากที่พัก เราโดยสารรถรางแล้วต่อรถไฟใต้ดินมายังสถานี Fovem ter ซึ่งเป็นสถานีริมแม่น้ำดานูบ (Danube) แม่น้ำที่ยาวเป็นอันดับ 2 ในทวีปยุโรป มีต้นกำเนิดในป่าดำ ประเทศเยอรมันนี ไหลผ่านประเทศต่างๆถึง 10 ประเทศ รวมความยาวทั้งสิ้น 2,845 กม. จนไปออกทะเลที่ทะเลดำ สำหรับฮังการี แม่น้ำดานูบไหลผ่านประเทศนี้ 416 กม. แม่น้ำดานูบจึงเป็นแม่น้ำสายหลักที่หล่อเลี้ยงฮังการีให้อุดมสมบูรณ์และรวยรุ่มไปด้วยศิลปวัฒนธรรมตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน

แม้จะมีกำเนิดจากป่าดำ และสิ้นสุดการไหลที่ทะเลดำ แต่แม่น้ำดานูบที่ไหลอยู่เบื้องหน้านี้ก็ไม่ได้มีสีดำ หากแต่มีสีฟ้าใส สวยงามมาก จนเป็นที่มาของเพลง Blue Danube อันโด่งดัง

เราเดินบนสะพาน Szabadsag hid ซึ่งเป็นสะพานเหล็กสีเขียว หน้าตาคล้ายกับสะพานพุทธเพื่อข้ามแม่น้ำดานูบไปยังฝั่งเบสท์ ริมแม่น้ำมีอาคารเก่าแก่ที่แสนคลาสสิคหลายอาคาร ที่ดูโดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็นอาคารพิพิธภัณฑ์อียิปต์แห่งบูดาเบสท์ ด้วยความงดงามของอาคาร 2 ชั้นขนาดใหญ่ หลังคาสีแดง ด้านหน้าเป็นเสาโรมัน พร้อมด้วยรูปปั้น ทำให้ทีแรกผมหลงเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพระราชวัง แต่เพราะผมกับน้องเนเพิ่งกลับจากทริปอียิปต์ได้แค่ไม่กี่เดือน จึงไม่สนใจที่จะไปชมภายใน เพราะทริปนั้นเราก็เต็มอิ่มกับการชมเหล่าโบราณสถานโบราณวัตถุจากอารยธรรมอียิปต์จนแทบจะล้นความทรงจำ

ดูเหมือนประเทศฮังการีจะอนุรักษ์อาคารเก่าแก่ไว้มากกว่าประเทศออสเตรีย ซึ่งส่วนหนึ่งอาจจะเนื่องจากฐานะทางเศรษฐกิจ เพราะแม้ครั้งหนึ่งจะเคยเป็นจักรวรรดิเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงชาวออสเตรียใกล้ชิดกับเยอรมันมากกว่า เพราะเดิมเป็นชนชาติเดียวกัน ทำให้ปัจจุบันก็ยังคงใช้ภาษาเดียวกันคือภาษาเยอรมัน โดยออสเตรียมีเศรษฐกิจที่เจริญกว่าฮังการีมาก ในขณะที่ฮังการีถือเป็นประเทศในกลุ่มยากจน

นอกจากจะอนุรักษ์อาคารเก่าแก่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความคลาสสิคแล้ว รถรางหลายสาย โดยเฉพาะสายที่วิ่งในเขตเมืองเก่าที่ฝั่งบูดา และฝั่งเบสท์ก็ยังคงเป็นรถรางที่อายุอานามหลายสิบปี โดยเป็นรถรางสีเหลืองสด ที่วิ่งผ่านมาทีไร ผมเป็นต้องเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกทุกที เพราะบางทีความเก่าแก่ที่คลาสสิคนี้ก็ดูดีกว่าความทันสมัย

จุดหมายของเช้าวันนี้อยู่ที่การเดินขึ้นเขาเกลเลร์ท (Gellert Hill) ซึ่งสามารถชมความงามของฝั่งเบสท์ และแม่น้ำดานูบอันเลื่องชื่อ แต่เอาเข้าจริงๆการเดินบนเส้นทางที่โอบล้อมไปด้วยแมกไม้บนเขานี้ นำพาความสุขใจให้กับเราได้มากกว่า

เขาเกลเลร์ทมีความสูง 235 เมตร เชิงเขาเป็นที่ตั้งของโรงแรมเกลเลร์ท ที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมสวยงาม ในขณะที่อีกฟากหนึ่งซึ่งอยู่บนเขาเป็นโบสถ์คาทอลิคที่อยู่ในถ้ำ มองดูภายนอกเหมือนเป็นทางขึ้นเขา จนเราเกือบเดินหลงเข้าไป

เส้นทางเดินขึ้นเขาเกลเลร์ทนั้นทำไว้อย่างดี โดยพาดผ่านไปในสวนป่า ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นสวนสาธารณะของชาวเมือง ทำให้มีเส้นทางที่ซับซ้อน หากเดินผิดอาจต้องเดินหลงวนอยู่ในนั้น แต่บางทีอาจมีคนเต็มใจหลงเพราะผืนป่าแห่งนี้ร่มรื่นและสงบเย็นไม่ต่างจากผืนป่าในอุทยานแห่งชาติ

เมื่อเดินสูงขึ้นหลายจุดที่แมกไม้แหวกตัวจนเกิดเป็นจุดชมวิวธรรมชาติก็ทำให้ผู้มาเยือนมองเห็นทัศนียภาพของแม่น้ำดานูบและตัวเมืองฝั่งเบสท์ที่อยู่เบื้องล่าง มองดูแล้วเมืองหลวงแห่งฮังการีนี้เหล่าบ้านเรือน พระราชวัง และอาคารสถานที่ต่างๆยังคงรักษาไว้ซึ่งความคลาสสิคได้มากกว่าการเปลี่ยนแปลงที่มีในโลกยุคปัจจุบัน เพราะมองดูแล้วแทบไม่มีอาคารสูงให้ได้เห็นเลย

การเดินช่วงแรกเป็นการเดินแบบชิลล์เฮ้าท์จนเราตายใจ แต่พอใกล้ถึงยอดเขาทางเดินเปลี่ยนเป็นขั้นบันไดที่ค่อนข้างชันจนเริ่มหายใจแรงขึ้นพร้อมกับเสื้อกันหนาวก็ถูกถอดออกก่อนที่เหงื่อจะออกไปมากกว่านี้ แล้วเราก็ถึงยอดเขาเกลเลร์ท ด้านบนนี้เป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์เสรีภาพ (Liberty Statue) โดยเป็นรูปปั้นสีเขียวของชายยืนชูใบไม้ใบใหญ่ไว้เหนือศีรษะ รูปปั้นนี้ตั้งอยู่บนฐานที่สูงกว่า 10 เมตร จึงสามารถมองเห็นได้แต่ไกล ซึ่งตั้งแต่ก่อนขึ้นเขา เราก็มองเห็นรูปปั้นนี้แล้ว

แน่นอนว่าการขึ้นมาถึงยอดเขาก็ย่อมสามารถมองเห็นทัศนียภาพได้กว้างไกลกว่าการมองในระหว่างการขึ้นเขา ณ จุดนี้เราจึงสามารถมองเห็นสะพานที่ทอดข้ามแม่น้ำดานูบ เชื่อมฝั่งบูดากับฝั่งเบสท์หลายแห่ง รวมถึงสะพานเชน สะพานแขวนเก่าแก่ที่งดงามและมีชื่อเสียงโด่งดัง นอกจากนี้ยังมองเห็นสถานที่สำคัญอีกหลายต่อหลายแห่ง ทั้ง Buda Castle, Hungarian Parliament, Fisherman’s Bastion, Matthias Church ซึ่งทั้งหมดนี้เราจะไปเยือนให้ครบภายใน 2 วัน

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เวลา 14.10 น.

ความคิดเห็น