หลง เป็นเรื่องปกติที่เกิดกับคนเดินทางเที่ยวเองทุกคน และสำหรับพวกเราก็เช่นกัน ไม่เคยมีทริปไหนที่ไม่หลง วันนี้ที่เนินเขาปราสาทเราก็หลง แต่เป็นการหลงแบบเล็กๆ เพราะดูจาก GPS ในมือถือแล้วการไป Matthias Church น่าจะเป็นการลงเขาทางทิศตะวันตก แต่เอาเข้าจริงๆเมื่อเราเดินลงไปทางนั้น สิ่งที่พบคือถนนที่ทอดยาว มองไม่เห็นปลายทาง ยอดแหลมสูงของ Matthias Church ก็หายไป อีกทั้งนอกจากเรา 4 คนแล้ว ก็ไม่มีนักท่องเที่ยวเลยสักคน เราจึงเลือกที่จะเดินกลับขึ้นไปบนลานกว้างบนเนินเขาอีกครั้ง แล้วเลือกที่จะเดินตามนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ ซึ่งยังคงเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางเลียบแม่น้ำดานูบ

ไม่ผิดแน่ ต้องเป็นเส้นทางนี้แน่ๆ เพราะนอกจากคราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวแล้ว ตลอดเส้นทางยังเรียงรายไปด้วยร้านค้าของที่ระลึกและร้านกินดื่ม แล้วยอดแหลมสูงเสียดฟ้าของโบสถ์แมทเธียส (Matthias Church) ก็ปรากฎให้เห็น

โบสถ์แมทเธียสเป็นโบสถ์นิกายโรมันแคทอลิค สร้างขึ้นในปีค.ศ.1015 โดยแรกสร้างเป็นสไตล์โรมาเนส แต่ต่อมาในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 14 มีการบูรณะจนกลายเป็นสไตล์โกธิค และบูรณะครั้งล่าสุดเมื่อปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 สิ่งที่โดดเด่นของโบสถ์หลังนี้เห็นจะเป็นยอดหอระฆังทรงสูงที่พุ่งทยานขึ้นสู่ท้องฟ้า และหลังคามุงกระเบื้องหลากสี แต่ออกไปในโทนสีส้ม ทำเป็นลวดลายสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดอย่างสวยงาม โดดเด่นขึ้นมาจากตัวโบสถ์ที่เป็นสีขาวสะอาดตา ลักษณะโดยรวมสูงโปร่ง โดยมีหอคอยยอดแหลมสูง 80 เมตร ทำให้โบสถ์แห่งนี้มีความสูงเป็นอันดับ 2 ในบูดาเบสท์

โบสถ์สูงและสวยขนาดนี้จะให้ชมความงามแต่ภายนอกก็คงไม่เข้าที เราจึงตีตั๋วเข้าชมภายในโบสถ์ซึ่งงดงามตระการตายิ่งนัก แม้ภายนอกจะดูสูงชะลูด แต่เมื่อเข้าสู่ภายใน พื้นที่โบสถ์ก็กว้างใหญ่สามารถจุคริสต์ศาสนิกชนได้นับร้อย โดยมีหลังคาที่สูงโปร่ง ประดับด้วยลวดลายและภาพวาดสีทองอย่างสวยงาม สามารถเดินขึ้นสู่ชั้นบนได้ ซึ่งทำเหมือนพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงวัตถุล้ำค่าทางคริสต์ศาสนา แล้วอยู่ๆเสียงดนตรีก็ดังขึ้น คล้ายกับมีวงออสเคสต้ามาบรรเลง เราก้มลงไปดูด้านล่างก็พบเพียงนักท่องเที่ยว ปราศจากวงดนตรีใดๆ เพราะแท้จริงแล้วเพลงที่บรรเลงนั้นเกิดจากอิเล็คโทนที่สามารถบรรเลงเพลงได้เองตามโปรแกรมที่ตั้งไว้

ออกจากโบสถ์แมทเธียสก็พบลานกว้างของป้อมชาวประมง (Fisherman’s Bastion) ตัวป้อมสร้างจะอิฐสีขาวสอดรับการสีขาวของโบสถ์แมทเธียส ตัวป้อมช่วงกลางสร้างเป็นรูปโค้งโอบล้อมตัวโบสถ์ จนทำให้ 2 สถานที่นี้ผสมผสานเป็นหนึ่งเดียว

ป้อมแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ.1895 ด้วยสถาปัตยกรรมแบบนีโอโกธิค จุดเด่นอยู่ที่หอสังเกตการณ์ยอดแหลมทั้ง 7 ที่ดูๆไปแล้วคล้ายๆกับปราสาทเทพนิยายของดีสนีย์ ขึ้นกระจายไปตามแนวกำแพงที่ขนาบไปกับแม่น้ำดานูบ แม้จะมีชื่อว่าป้อมชาวประมง แต่อย่าคิดนะครับว่าเป็นป้อมที่สร้างขึ้นเพื่อส่องนำทางให้ชาวประมงหาปลาบนแม่น้ำดานูบ หากแต่ป้อมแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ที่ชาวประมงสละชีวิตเพื่อปกป้องเมืองบูดาเบสท์ไว้ในยุคกลาง

แม้จะสร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงวีรกรรมของชาวประมง แต่จุดศูนย์กลางของลานกว้างด้านหน้าเป็นรูปปั้นของสตีเฟนที่ 1 กษัตริย์ฮังการีในท่าทรงม้า โดยปัจจุบันป้อมชาวประมงแห่งนี้กลายเป็นสถานที่ชมความงามของแม่น้ำดานูบและพื้นที่ฝั่งเบสท์ โดยเฉพาะอาคารรัฐสภาฮังการเรียน (Hungarian Parliament) ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ เป็นสิ่งก่อสร้างเก่าแก่และงดงามที่สุด

แต่ละคนกระจายไปตามแนวป้อมปราการเพื่อเลือกมุมที่ถูกใจ แต่จริงๆไม่ว่าจะถ่ายจากมุมไหน รูปที่ออกมาก็สวยงามทั้งนั้น โดยเฉพาะเวลาที่พระอาทิตย์กำลังโบกมือลา ขอบฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้ม ช่างเป็นภาพที่งดงามและอ่อนละมุนยิ่งนัก เราอำลาป้อมชาวประมงในเวลาที่แสงไฟเริ่มอาบไล้ให้พื้นผิวป้อมเรืองรองประหนึ่งอาบด้วยทองคำ

ลงจากป้อม เราก็เดินทะลุตรอกซอกซอยของบ้านเรือนที่สร้างขึ้นอย่างหนาแน่นเพื่อหาทางไปยังถนนเลียบแม่น้ำดานูบ แต่ยังไปไม่ถึงไหน ร้านอาหารจีนก็ยั่วหยวนให้เราเข้าไปลิ้มลอง เจ้าของร้านเห็นพวกเราแล้วดีใจใหญ่ คิดว่าคนบ้านเดียวกันเข้ามาอุดหนุน จึงส่งภาษาจีนทักทายเรา ผมได้แต่ยิ้มแหยๆเพราะแม้จะมีเชื้อจีนแต่กลับพูดจีนไม่ได้ ดีที่เต้ยอุตส่าห์ไปร่ำเรียนภาษาจีนมาจึงได้โอกาสลองวิชาที่เรียนด้วยการสั่งอาหารให้พวกเรา มื้อนี้จึงได้ดับเลี่ยนจากเนื้อสัตว์ตามสไตล์อาหารแบบตะวันตก เป็นก๋วยเตี๋ยวร้อนๆในน้ำซุป

เมื่อมาถึงถนนเลียบแม่น้ำดานูบ เราก็ยังคงตื่นตาตื่นใจกับอาคารรัฐสภาที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม ซึ่งในเวลานี้เรืองรองด้วยแสงไฟที่อาบไล้ จนมองดูเหมือนปราสาททองคำริมแม่น้ำ แม้ทองฟ้าเวลานี้จะมืดมิด แต่จริงๆแล้วเพิ่ง 6 โมงเย็นเท่านั้น จึงมีเวลาอีกพอสมควรที่เราจะดื่มดำกับความงดงามริมฝั่งน้ำ

เราเดินเลียบแม่น้ำดานูบไปเรื่อยๆ เก็บภาพความงามริมฝั่งน้ำอย่างมีความสุข จนถึงอีกหนึ่งสถานที่สำคัญที่ใครมาเยือนบูดาเบสท์เป็นต้องไม่พลาด โดยเราเห็นสถานที่นี้แล้วตั้งแต่เมื่อกลางวันในการเดินท่องอยู่บนเนินเขาปราสาท นั่นคือ สะพานเชน (Chain Bridge) ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นสะพานข้ามแม่น้ำดานูบที่สวยที่สุดในบูดาเบสท์ อีกทั้งยังเก่าแก่เพราะเป็นสะพานแห่งแรกที่สร้างข้ามแม่น้ำดานูบในกรุงบูดาเบสท์ ตั้งแต่ปีค.ศ.1839 โดยวิศวกรชาวอังกฤษชื่อ William Tierney Clark

โครงสร้างของสะพานในเป็นไปตามชื่อ โดยเป็นสะพานแขวน ใช้ลวดสลิงขนาดใหญ่ที่โยงมาจากตอหม้อขนาดยักษ์จาก 2 ฟากของแม่น้ำดานูบขึงรับโครงสร้างสะพาน ในยุคสมัยนั้นถือว่าเป็นนวัตกรรมที่ล้ำหน้ามาก ประกอบกับความงดงามของสะพาน ที่ออกแบบไว้อย่างวิจตรบรรจง มีลวดลายประดับที่โครงสร้างอย่างพอดี ไม่มากเกินไปจนรกสายตา อีกทั้งตำแหน่งที่ตั้งของสะพานนั้นถือว่าดีเยี่ยม เพราะทอดข้ามแม่น้ำดานูบในตำแหน่งจุดกึ่งกลางของสถานที่สำคัญทั้ง 2 ฝั่ง คือ ปราสาทบูดา ในฝั่งบูดา และรัฐสภา ในฝั่งเบสท์ ทำให้สะพานเชนเป็นหนึ่งในสะพานที่มีชื่อเสียงระดับโลก ที่ไม่ว่าใครหากมีโอกาสมาเยือนกรุงบูดาเบสท์เป็นต้องไม่พลาดที่จะหาเวลามาชื่นชมความงามของสะพานแห่งนี้

เราเริ่มการชื่นชมสะพานเชนจากเชิงสะพานที่ฝั่งบูดากันก่อน จากนั้นจึงเดินขึ้นไปบนสะพาน เพื่อเดินข้ามแม่น้ำดานูบสู่ฝั่งเบสท์ ไม่น่าเชื่อว่าสะพานที่มีความยาวเพียงแค่ 375 เมตร เรากลับใช้เวลาเดินข้ามนานเกือบชั่วโมง เพราะไม่ใช่แต่ตัวสะพานที่มีการตกแต่งไว้อย่างสวยงาม ทั้งสิงโตหมอบที่อยู่ 2 ฟากฝั่งของคอสะพาน หรือตอหม้อสะพานที่สร้างเหมือนประตูชัยขนาดใหญ่ หากแต่ทิวทัศน์ที่แสนสวยงามของบรรดาสิ่งก่อสร้างริมแม่น้ำดานูบที่สองตาสัมผัสในทุกการก้าวเดิน ทั้งอาคารรัฐสภา ปราสาทบูดา ป้อมชาวประมง โบสถ์แมทเธียส นั้นล้วนหว่านเสน่ห์ด้วยแสงไฟที่อาบไล้จนทำให้เราเดินช้าแทบจะเป็นเต่าคลาน

แล้วเราก็พบกับสิ่งน่าอัศจรรย์ที่คงเกิดขึ้นในทุกค่ำคืน เมื่อสายตาเรามองไปยังอาคารรัฐสภามีวัตถุสีขาวจำนวนมากบินวนอยู่เหนือยอดโดม เมื่อเพิ่งสายตามองจึงพบว่า วัตถุสีขาวนั้นคือฝูงนก ไม่เพียงเท่านั้น บางส่วนของฝูงนกดังกล่าวได้บินลงมายังแม่น้ำดานูบ แล้วลอยตัวตามสายน้ำ จนสุดท้าย นกทุกตัวก็บินจากยอดรัฐสภาลงมาลอยตัวไหลไปตามสายน้ำ จนพวกเราต้องหยุดมองเป็นเวลานาน

และค่ำนี้ก่อนกลับที่พัก เรานั่งรถรางเลียบแม่น้ำดานูบในฝั่งเบสท์ เพื่อไปยังถนน Vaci ถนนสายช็อปปิ้งสุดหรูหราของบูดาเบสท์ แต่ยามค่ำเช่นนี้เหลือเพียงร้านอาหารที่มากไปด้วยนักกินดื่มที่เปิดให้บริการ ใจหนึ่งอยากเดินต่อ เพื่อชมในทุกซอกมุม แต่ก็เริ่มเหนื่อยจากที่เดินมาตลอดทั้งวัน ประกอบกับตั๋ว Metro ที่ซื้อไว้เมื่อวานซึ่งมีอายุ 24 ชั่วโมง จะหมดเวลาในอีกไม่กี่นาที เราจึงตัดสินใจกลับที่พัก แม้ว่าจริงๆแล้วการขึ้นรถรางจะไม่มีการตรวจตั๋วโดยสาร แต่เราคนไทยก็มีวินัยและความซื่อสัตย์ไม่น้อยกว่าชาติใด

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เวลา 11.40 น.

ความคิดเห็น