![](/f/36543/600664a617c7000ca5edf1f7.jpg)
เบตง เมืองที่อยู่ในอ้อมกอดของขุนเขาน้อยใหญ่ในเขตจังหวัดยะลา เมืองที่ถ้าไม่ตั้งใจมาก็คงจะมาไม่ถึง ด้วยเพราะเบตงไม่ใช่เมืองผ่าน และยังต้องนั่งรถลัดเลาะโค้งแล้วโค้งเล่าตามแนวเขา ทำให้เบตงเป็นอำเภอเดียวที่มีชื่ออำเภออยู่บนแผ่นป้ายทะเบียนรถแทนที่จะเป็นชื่อจังหวัดยะลา เหตุเพราะในสมัยก่อน การเดินทางเพื่อไปต่อทะเบียนที่ยะลาลำบากกว่าการเดินทางในสมัยนี้มาก แถมต้องเดินทางไกลถึง 140 กิโลเมตร กระทรวงมหาดไทยจึงให้อภิสิทธิ “เบตง” สามารถจดทะเบียนรถยนต์และมอเตอร์ไซด์ได้ และอีกหนึ่งสิ่งที่เบตงโดดเด่นไม่เหมือนใครนั่นคือ เบตงมีหมอกให้ชมตลอด 365 วันกันเลยทีเดียว ด้วยความมีเสน่ห์ของเบตง ทำให้นักท่องเที่ยวเริ่มเข้ามาสัมผัสเบตงกันอย่างไม่ขาดสาย ผมเองก็เป็นหนึ่งในนักท่องเที่ยวกลุ่มนั้นเหมือนกัน สำหรับการมาเยือนเบตงของผมในครั้งนี้ ผมได้รวบรวมสถานที่ท่องเที่ยวของเบตงที่ไม่ควรพลาดมาฝากเพื่อนๆ กันด้วย เบตงมีอะไรน่าสนใจบ้าง ตามเข้าไปชมกันได้เลยครับ
ทะเลหมอกอัยเวอร์เวง
ทะเลหมอกไหนๆ ที่ว่าสวยๆ คงต้องหลบชิดซ้ายให้ "ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง" ครับ จะบอกว่าที่อัยเยอร์เวง สามารถชมหมอกได้แบบ 360 องศากันเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมี Skywalk ให้นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบความตื่นเต้น ความหวาดเสียว ได้สัมผัสกับปุยหมอกอย่างใกล้ชิดด้วย บอกเลยว่าตั้งแต่ที่ผมได้ไปจุดชมทะเลหมอกดังๆ มา ที่อัยเยอร์เวงนี่ มาแรงแซงโค้งเลยครับ
![](/f/36543/6006651dce2a7c0eeb24822c.jpg)
![](/f/36543/6006651ece2a7c0eeb24822d.jpg)
![](/f/36543/6006651fce2a7c0eeb24822e.jpg)
![](/f/36543/6006651fce2a7c0eeb24822f.jpg)
![](/f/36543/6006651fce2a7c0eeb248230.jpg)
![](/f/36543/60066520ce2a7c0eeb248231.jpg)
การเดินทาง สามารถเข้ามายังจุดชมทะเลหมอกได้ 2 ทาง แต่ทั้งสองเส้นทางจะมาบรรจบพบกัน จากนั้นต้องจอดรถไว้ที่ลานจอดรถ และต่อรถสองแถวขึ้นไปยัง Skywalk โดยเสียค่าบริการขาขึ้น 20 บาท จากนั้นเดินเท้ากันอีกนิดหน่อย พอกระตุ้นการเต้นของหัวใจบ้างเล็กน้อย แต่ถ้าใครอยากสบาย ก็สามารถนั่งมอเตอร์ไซด์รับจ้างได้ ค่าบริการ 20 บาท สำหรับขาลงรถสองแถว 10 บาทครับ แนะนำว่าให้มาถึงแต่เช้า เพราะจะได้ชมแสงแรก รวมถึงช่วงที่พระอาทิตย์กำลังส่องแสงสีทองมาสัมผัสกับปุยเมฆ มันสวยเกินบรรยายจริงๆ ครับ
![](/f/36543/6006654917c7000ca5edf1f8.jpg)
ช่วงที่รอต่อคิวด้านบนเพื่อจะไปเดินบน Skywalk พื้นกระจก หากคิวยาว ผมแนะนำว่าให้ขึ้นไปบนหอคอยก่อนเลยครับ จะได้มุมมองเห็น Skywalk ลอยอยู่บนปุยหมอก เสียดายที่ผมไหวตัวช้า เมื่อขึ้นไปด้านบน หมอกก็เริ่มหายไปแล้ว นี่ถ้าไหวตัวเร็ว คงจะได้เห็นหมอกเต็มๆ มาคลอเคลียอยู่แถวๆ Skywalk มากกว่านี้ การชมทะเลหมอกบน Skywalk ไม่เสียค่าเข้าชมนะครับ การบริหารจัดการที่นี่ค่อนข้างดีเลยทีเดียว
![](/f/36543/60066567ce2a7c0eeb248232.jpg)
แสงสีทองจากดวงอาทิตย์ สาดส่องมายังปุยหมอก เป็นหมอกสีทอง สวยงามจับใจ
![](/f/36543/60066575ce2a7c0eeb248233.jpg)
![](/f/36543/6006657dce2a7c0eeb248234.jpg)
![](/f/36543/60066586ce2a7c0eeb248235.jpg)
![](/f/36543/6006658e17c7000ca5edf1f9.jpg)
![](/f/36543/6006659417c7000ca5edf1fa.jpg)
![](/f/36543/6006659f17c7000ca5edf1fb.jpg)
จุดชมวิวเก่า จุดนี้ก็สามารถชมทะเลหมอกได้สวยงามไม่แพ้บริเวณ Skywalk ครับ เพราะสามารถมองเห็น Skywalk ได้แบบเต็มๆ
![](/f/36543/600665e717c7000ca5edf1fc.jpg)
![](/f/36543/600665f017c7000ca5edf1fd.jpg)
อีกมุมหนึ่งที่ไม่อยากให้พลาด เมื่อมาที่ Skywalk แล้ว ให้เดินขึ้นเนินผ่านเสาส่งสัญญาณ เดินไปสัก 200 เมตร จะพบกับจุดชมวิวอีกหนึ่งจุด ที่สามารถมองเห็น Skywalk ได้แบบเต็มๆ ตาครับ
ทะเลหมอกฆูนุงซีลีปัต
เป็นจุดชมทะเลหมอกที่มีความสูง 607 เมตร จากระดับน้ำทะเล การขึ้นไปชมทะเลหมอกด้านบนทำได้ด้วยการเดินเท้าเท่านั้น ระยะทางประมาณ 800 เมตร (เริ่มต้นจากบ้านภูนภา)
![](/f/36543/60066618ce2a7c0eeb248236.jpg)
![](/f/36543/60066623ce2a7c0eeb248237.jpg)
![](/f/36543/60066630ce2a7c0eeb248238.jpg)
![](/f/36543/6006666bce2a7c0eeb248239.jpg)
![](/f/36543/60066673ce2a7c0eeb24823a.jpg)
การขึ้นมาชมทะเลหมอกด้านบน คงต้องพกดวงกันมาด้วย ถ้าคืนไหนมีฝนตกพรำๆ อาจจะเจอหมอกฟุ้งไปหมด ซึ่งผมเองก็เจอแบบนั้นเช่นกัน แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว ยังไงก็ต้องขึ้นไปด้านบนครับ และคงต้องรอสักพัก จนกว่าจะมีลมพัดหมอกที่ลอยฟุ้งออกไป จะได้เห็นทะเลหมอกแบบปุยๆ ครับ
![](/f/36543/600666d7ce2a7c0eeb24823b.jpg)
บนยอดฆูนุงซีรีปัต สามารถชมหมอกได้แบบ 360 องศา และสามารถสัมผัสกับหมอกได้แบบใกล้ชิดครับ
![](/f/36543/600666f417c7000ca5edf1fe.jpg)
เส้นทางค่อนข้างลาดชัน และในช่วงประมาณ 100-200 เมตรสุดท้าย ต้องอาศัยความใจกล้ากันสักเล็กน้อย เพราะเส้นทางเดินยากกว่าช่วงแรกๆ แต่ไม่ต้องกังวลเพราะมีเชือกให้ไต่ครับ แต่ละคนจะใช้เวลาเดินไม่เท่ากัน สำหรับผมใช้เวลาเดินขึ้นประมาณ 25 นาทีครับ
![](/f/36543/60066727ce2a7c0eeb24823c.jpg)
ที่เห็นด้านล่างคือบ้านภูนภาครับ
บ้านภูนภา
ใครที่อยากจะมาชมทะเลหมอกบนยอดฆูนุงซีรีปัต ผมแนะนำให้มาพักกางเต้นท์ที่บ้านภูนภาครับ เพราะเราสามารถเดินเท้าจากบ้านภูนภาขึ้นไปบนยอดฆูนุงซีรีปัตได้เลย สำหรับเส้นทางที่มายังบ้านภูนภาก็ไม่ลำบากครับ รถยนต์ รถตู้ สามารถเข้ามาได้แบบสบายๆ น้องจรและคุณแม่ ผู้ดูแลลูกค้า ให้บริการดีมากๆ ยิ้มแย้มแจ่มใส คอยมาทักทายอยู่ตลอดเวลา หากสนใจลองโทรสอบถามได้ที่ 081-0933124 หรือ inbox FB: Punapa Gunung Silipat ภูนภาแคมป์ปิ้ง
![](/f/36543/6006678017c7000ca5edf1ff.jpg)
![](/f/36543/6006678e17c7000ca5edf200.jpg)
![](/f/36543/600667ce17c7000ca5edf201.jpg)
หากใครไม่มีเต้นท์ สามารถเช่าเต้นท์ได้ ค่าบริการในวันธรรมดา 600 บาท/เต้นท์ วันหยุด 800 บาท/เต้นท์ เข้าพักได้ 2 คน ภายในเต้นท์มีฟูก หมอน ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัว ให้พร้อม สำหรับใครนำเต้นท์มาเอง คิดค่าบริการ 200 บาท/คน ห้องน้ำเป็นห้องน้ำรวม จากจุดกางเต้นท์มองออกไปจะมองเห็นยอดฆูนุงซีลีปัตอยู่ใกล้แค่เอื้อมครับ
สำหรับใครที่คิดว่าเดินขึ้นไม่ไหว สามารถชมหมอกจากหน้าเต้นท์ได้เลยเหมือนกัน ถึงแม้จะไม่เห็นหมอกแบบ 360 องศา แต่ก็ได้เห็นหมอกแบบใกล้ชิดเหมือนกันครับ
![](/f/36543/6006680117c7000ca5edf202.jpg)
![](/f/36543/6006680bce2a7c0eeb24823e.jpg)
เรื่องอาหารการกินที่นี่ มื้อค่ำจะมีบริการเซตหมูไก่กระทะ หรือ เซตปลานิลเผาพร้อมชุดผัก เซตละ 400 บาท เซตหนึ่งทานได้ 2 ท่าน ผมเองเลือกเซตปลานิลเผา แต่พลาดที่ไม่ได้ถ่ายภาพมาฝากกัน นอกจากนี้ผมเตรียมหมูกระทะมาด้วย มาเช่าเตาปิ้งย่างที่นี่ ในราคาเตาละ 30 บาทครับ
สำหรับอาหารเช้ามีให้เลือก 2 แบบ แบบแรกเป็นเซตไข่กระทะ ไส้กรอก ขนมปัง พร้อมเครื่องดื่มชา กาแฟ ท่านละ 100 บาท อีกหนึ่งเซตเป็นอาหารพื้นเมืองเบตง จะมีซาลาเปาไส้หมูซึ่งใช้น้ำซีอิ้วสูตรเฉพาะของเบตง ก๋วยเตี๋ยวขาวทานคู่กับกระดูกหมู ข้าวเหนียวไก่ (คล้ายๆ บ๊ะจ่าง) ขนมจีบกุ้ง พร้อมเครื่องดื่มชากาแฟ คนละ 200 บาทครับ
อุโมงค์ปิยะมิตร
เป็นอุโมงค์ดินที่อดีตขบวนการโจรคอมมิวนิสต์มลายาสร้างขึ้น เพื่อเป็นฐานปฏิบัติการต่อสู้ทางการเมือง แต่ต่อมาได้กลับมาร่วมพัฒนาชาติไทย อุโมงค์แห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2519 ใช้หลบการโจมตีทางอากาศและสะสมเสบียง ในปัจจุบันได้อนุรักษ์และเปิดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวให้ผู้ที่สนใจได้มาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ครับ สำหรับการเข้าชม ผู้ใหญ่จะเสียค่าเข้าชมคนละ 40 บาท เด็กคนละ 10 บาทครับ
![](/f/36543/600675d1ce2a7c0eeb248242.jpg)
จากจุดจำหน่ายบัตรเข้าชม เราต้องเดินเท้าขึ้นไปตามเส้นทางลาดชันที่มีการตกแต่งแบบสวยงามด้วยพันธุ์ไม้มากมาย ระยะทางไกลไม่ใช่ปัญหาอะไรมาก แต่เส้นทางที่ลาดชันนี่แหล่ะ เล่นเอาผมหายใจเป็นหมาหอบแดดเหมือนกันครับ
![](/f/36543/600675dc17c7000ca5edf213.jpg)
ระหว่างทางก็เริ่มจะเห็นอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้งานจริงในสมัยนั้นครับ
![](/f/36543/600675fbce2a7c0eeb248243.jpg)
ไฮไลท์ของที่นี่ จะมีพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ปิยะมิตร ซึ่งจะรวบรวมของเก่าที่มีการใช้งานในสมัยนั้นมาสะสมไว้มากมายครับ
![](/f/36543/6006760817c7000ca5edf214.jpg)
อุ๊ย ของบางสิ่งบางอย่างในตู้ ผมเกิดทันด้วยแหละ แถมที่บ้านก็ยังเคยมีใช้ด้วยครับ
![](/f/36543/6006761317c7000ca5edf215.jpg)
![](/f/36543/6006762217c7000ca5edf216.jpg)
![](/f/36543/6006762b17c7000ca5edf217.jpg)
![](/f/36543/60067632ce2a7c0eeb248244.jpg)
แต่บางสิ่งบางอย่างนี่ เพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรกเหมือนกันครับ
![](/f/36543/60067654ce2a7c0eeb248245.jpg)
![](/f/36543/6006765c17c7000ca5edf218.jpg)
![](/f/36543/6006766217c7000ca5edf219.jpg)
![](/f/36543/60067668ce2a7c0eeb248246.jpg)
อีกหนึ่งไฮไลท์ก็คืออุโมงค์ ที่ถูกขุดเข้าไปในภูเขา อุโมงค์นี้ขุดเมื่อปี 2519 โดยใช้กำลังคน 45-50 คน ใช้เวลาในการขุดเพียง 3 เดือน มีทางเข้าออกอุโมงค์ 9 ทาง แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 6 ทาง ซึ่งจะเชื่อมต่อกันหมด อุโมงค์มีความกว้างประมาณ 50-60 ฟุต ยาวประมาณ 1 กิโลเมตร ภายในสามารถจุคนได้เกือบ 200 คนครับ
ภายในอุโมงค์ก็จะทำเป็นห้องเล็กๆ แต่ละห้องก็จะมีวัตถุประสงค์แตกต่างกันออกไป เช่น ห้องนอน ห้องเก็บเสบียง สถานีวิทยุ ภายในอุโมงค์อากาศเย็นสบาย มีการติดไฟให้แสงสว่างตลอดเส้นทาง
![](/f/36543/6006768417c7000ca5edf21a.jpg)
![](/f/36543/600676a717c7000ca5edf21b.jpg)
ไฮไลท์สุดท้าย จะเป็นต้นไทรยักษ์ หรือชาวบ้านแถวนี้เรียกกันว่า ต้นไม้พันปี วัดโดยรอบได้ 60.8 เมตร สูง 40 เมตร ต้นไทรยักษ์นี้ ถูกจัดให้เป็นรุกข มรดกของแผ่นดิน ใต้ร่มพระบารมีด้วยครับ
สวนหมื่นบุปผา
สวนหมื่นบุปผาเป็นสวนไม้ดอกเมืองหนาวท่ามกลางขุนเขาของเบตง มีทั้งสวนแบบกลางแจ้งและในร่ม ที่นี่มีค่าบำรุงสถานที่คนละ 40 บาทครับ
![](/f/36543/600676ccce2a7c0eeb248247.jpg)
![](/f/36543/600676d5ce2a7c0eeb248248.jpg)
![](/f/36543/600676e5ce2a7c0eeb248249.jpg)
![](/f/36543/600676ed17c7000ca5edf21c.jpg)
สำหรับผม ที่นี่ยังไม่ค่อยเท่าไรเมื่อเทียบกับสวนอื่นๆ ที่เคยได้ไปชมมา แต่ที่นี่คือแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของเบตง ยังไงก็คงต้องแวะมา Check in กันสักหน่อย ถ้าไม่มา เดี๋ยวจะคุยกับเขาไม่รู้เรื่องครับ
![](/f/36543/6006772217c7000ca5edf21d.jpg)
![](/f/36543/6006772917c7000ca5edf21e.jpg)
โรงเรือนปลูกเบญจมาศหลากสี จะอยู่ก่อนถึงจุดชำระค่าบำรุง ในความรู้สึกผม ดอกไม้ในโรงเรือนนี้ยังดูสดใสกว่าดอกไม้ในสวนด้านในอีกครับ
ปลานิลสายน้ำไหล
ปลานิลสายน้ำไหล หนึ่งเดียวในเบตง การเลี้ยงปลานิลที่นี่จะเลี้ยงด้วยระบบสายน้ำไหลธรรมชาติ โดยทำฝายกักน้ำและใช้แหล่งน้ำธรรมชาติจากภูเขาถ่ายเทตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้ไม่ต้องใช้เครื่องทำออกซิเจน จุดขายของปลานิลสายน้ำไหลคือ ไม่มีกลิ่นโคลน เนื้อแน่น ครับ โดยพันธุ์ปลาจะรับมาจากเพชรบุรี ในราคาตัวละ 1 บาท นำมาเลี้ยงประมาณ 8 เดือน ก็พร้อมออกจำหน่าย 1 ตัวจะมีน้ำหนักประมาณ 0.80-1.2 กิโลกรัม จำหน่ายกิโลกรัมละ 90-100 บาท
![](/f/36543/6006774dce2a7c0eeb24824a.jpg)
![](/f/36543/6006775717c7000ca5edf21f.jpg)
![](/f/36543/6006775ece2a7c0eeb24824b.jpg)
![](/f/36543/60067766ce2a7c0eeb24824c.jpg)
![](/f/36543/6006776dce2a7c0eeb24824d.jpg)
ปลานิลที่นี่น่าจะคุ้นเคยกับคนมากครับ ผมเดินไปทางไหน ปลาเหล่านี้ก็ผุดขึ้นตามที่ผมเดิน คงคิดว่าผมจะมาให้อาหารแน่ๆ เห็นภาพแล้วพาลนึกในใจว่า นี่ถ้าหากเราตกลงไปในบ่อ คงจั๊กจี๋แน่นอน เพราะปลาคงรุมตอดกันน่าดู 555
ติดกับบ่อปลานิลสายน้ำไหล เป็นที่ตั้งของร้านอาหารปลานิลน้ำไหลโกหงิ่ว อยากจะแนะนำว่าใครมาเที่ยวเบตงให้มาทานมื้อเที่ยงกันที่นี่ครับ เพราะท่านจะได้ทานปลานิลหลากหลายเมนูแบบสดๆ ตักจากบ่อปลากันเลยทีเดียว ถ้าสดกว่านี้ คงต้องกินแบบตัวเป็นๆ แล้ว
![](/f/36543/6006777d17c7000ca5edf220.jpg)
![](/f/36543/6006778317c7000ca5edf221.jpg)
ปลานิล 1 ตัวสามารถเลือกทำได้ 2 เมนู ผมสั่งแบบทอดกระเทียมและต้มยำไปครับ ปลาเนื้อแน่น หวาน อร่อยสมชื่อจริงๆ
![](/f/36543/6006778b17c7000ca5edf222.jpg)
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเมนูที่ขึ้นชื่อให้เลือกชิม อย่างผักน้ำผัดน้ำมันหอย
![](/f/36543/600677d417c7000ca5edf223.jpg)
ผัดเผ็ดกบภูเขา บอกเลยว่ากบภูเขาน่องโตมาก
![](/f/36543/600677e517c7000ca5edf224.jpg)
ขาหมูซอสเปรี้ยว อยู่ภาคกลางเคยทานแต่ขาหมูออกหวานๆ มาเจอเมนูขาหมูซอสเปรี้ยว ก็แปลกลิ้นดีครับ
![](/f/36543/600677f617c7000ca5edf225.jpg)
ปิดท้ายด้วยไข่เจียว
ร้านอาหารปลานิลน้ำไหลโกหงิ่วไม่มีไก่เบตงนะครับ ถ้าหากอยากชิมคงต้องไปหาชิมกันในเมืองอีกที
บ่อน้ำร้อนเบตง
เป็นบ่อน้ำร้อนธรรมชาติกลางแจ้ง มีน้ำร้อนผุดขึ้นมาจากใต้ดิน กินพื้นที่กว้างประมาณ 3 ไร่ครับ เห็นว่าอุณหภูมิของน้ำประมาณ 80 องศาเซลเซียส ทางท้องถิ่นได้ก่อสร้างสระขนาดใหญ่ เพื่อกักน้ำจากน้ำพุร้อนไว้ให้นักท่องเที่ยวได้นั่งแช่เท้าเพื่อผ่อนคลายกัน
![](/f/36543/6006785ace2a7c0eeb24824e.jpg)
![](/f/36543/6006786217c7000ca5edf226.jpg)
![](/f/36543/6006786917c7000ca5edf227.jpg)
นอกจากนี้ยังแบ่งพื้นที่สำหรับให้นักท่องเที่ยวได้ต้มไข่ด้วย ใช้เวลาต้มราวๆ 10 นาทีครับ
ท่าอากาศยานนานาชาติเบตง
สนามบินเบตง เป็นสนามบินแห่งใหม่ลำดับที่ 39 ของเมืองไทย รันเวย์มีความยาว 1,800 เมตร รองรับได้เฉพาะเครื่องบินพาณิชย์แบบใบพัดเท่านั้น ถึงยังไม่เปิดให้ใช้บริการ แต่นักท่องเที่ยวสามารถมาถ่ายภาพสนามบินเก็บไว้เป็นที่ระลึกได้นะครับ นี่ถ้าสนามบินเปิดใช้เมื่อไร ผมว่านักท่องเที่ยวต้องแห่กันมาเที่ยวเบตงกันมากมายครับ
![](/f/36543/6006789017c7000ca5edf228.jpg)
![](/f/36543/6006789717c7000ca5edf229.jpg)
![](/f/36543/6006789e17c7000ca5edf22a.jpg)
![](/f/36543/600678a417c7000ca5edf22b.jpg)
สนามบินเบตง จะใช้ไม้ไผ่มาเป็นวัสดุหลักในการตกแต่ง ทั้งนี้เนื่องมาจากคำว่า “เบตง” ในภาษามลายู มีความหมายว่า “ไม้ไผ่” และในอดีต เบตงเป็นเมืองที่มีไม้ไผ่เป็นจำนวนมาก แต่ไม้ไผ่ที่นำมาตกแต่งสนามบิน เป็นไม้ไผ่ที่ผ่านกระบวนการอบแห้งมาจากจังหวัดนนทบุรีครับ สำหรับการตกแต่งจะเป็นรูปโค้งมน เพราะได้แรงบันดาลใจจากเส้นโค้งของภูเขา สมกับที่เบตงเป็นเมืองที่อยู่ในอ้อมกอดของขุนเขาครับ
เฉาก๊วยเบตง กม.4
เฉาก๊วยร้านนี้เป็นร้านดั้งเดิมมาตั้งแต่รุ่นแรกที่มีการสืบทอดทายาทมาจนถึงรุ่น 4 แล้วครับ โดย “เฉา” แปลว่าหญ้า ส่วนคำว่า “ก๊วย” แปลว่า ขนม “เฉาก๊วย” จึงหมายรวมคือ ขนมที่ทำมาจากต้นหญ้า โดยทางร้านจะนำหญ้าเฉาก๊วยไปต้ม ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง จากนั้นจะกรองเอาเฉพาะน้ำ แล้วนำไปผสมกับแป้ง แล้วนำมาเคี่ยวต่ออีกครั้งให้เหนียวจนเข้าเนื้อ แล้วจะตักใส่ภาชนะ ตั้งพักไว้ให้เย็นจนเฉาก๊วยจับตัว แล้วจึงนำมาตัดจำหน่ายครับ
![](/f/36543/600678d4ce2a7c0eeb24824f.jpg)
![](/f/36543/600678dcce2a7c0eeb248250.jpg)
![](/f/36543/600678e2ce2a7c0eeb248251.jpg)
หากผมบอกว่าเฉาก๊วยที่นี่อร่อยมากๆ หลายคนอาจจะคิดว่าผมโฆษณาให้กับทางร้าน แต่ผมอยากให้เพื่อนๆ ได้มาลองชิมด้วยตัวเองครับ ผมสั่งทานในร้าน 1 ถ้วย ในราคาถ้วยละ 10 บาท และซื้อขึ้นไปทานบนรถอีก 1 ถ้วยใหญ่ ในราคา 20 บาท คืออร่อยดีงามมากครับ แต่ถ้าใครอยากจะซื้อเป็นของฝากก็สามารถนะครับ แต่จะต้องโทรสั่งล่วงหน้า จำหน่ายกิโลกรัมละ 60 บาทครับ นอกจากเฉาก๊วยแล้ว ที่นี่ยังมี “มี่ข้าวปัน” เป็นขนมถ้วยโบราณ กินกับกระเทียมเจียว และซอสหวานๆ ผมเองก็เพิ่งจะเคยลองทานครั้งแรกเหมือนกัน ถ้าจำไม่ผิด ถ้วยละ 6 บาทครับ
![](/f/36543/60067902ce2a7c0eeb248252.jpg)
![](/f/36543/60067912ce2a7c0eeb248253.jpg)
![](/f/36543/6006791cce2a7c0eeb248254.jpg)
ร้านเฉาก๊วยเบตง ตั้งอยู่ในชุมชนฮากกา เป็นเรือนไม้อยู่คูหาแรกเลยครับ หาไม่ยาก
วัดพุทธาธิวาส
วัดพุทธาธิวาส ตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ ในตัวเมืองเบตง จุดเด่นของวัดนี้เห็นจะเป็น “พระธาตุเจดีย์พระพุทธธรรมประกาศ” สีทอง ที่ตั้งโดดเด่นอยู่บนเนินเขาที่สามารถมองเห็นได้ในระยะไกล องค์พระธาตุเจดีย์นี้สร้างขึ้นตามศิลปกรรมแบบศรีวิชัยประยุกต์ ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปสำริดองค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
![](/f/36543/60067941ce2a7c0eeb248255.jpg)
![](/f/36543/6006794bce2a7c0eeb248256.jpg)
![](/f/36543/60067952ce2a7c0eeb248257.jpg)
![](/f/36543/60067958ce2a7c0eeb248258.jpg)
![](/f/36543/6006795fce2a7c0eeb248259.jpg)
![](/f/36543/60067965ce2a7c0eeb24825a.jpg)
ป้ายใต้สุดสยาม
มาเบตงทั้งที ถ้าไม่มาถ่ายรูปคู่กับป้ายใต้สุดสยาม มันก็จะยังไงๆ อยู่ เพื่อเป็นการการันตีว่าเราได้มายืนบริเวณจุดสุดท้ายของผืนแผ่นดินไทยทางตอนใต้จริง แนะนำว่าไม่ควรพลาดครับ ป้ายนี้จะอยู่บริเวณชายแดนปลายสุดของถนนสุขยางค์ ห่างจากตัวเมืองเบตงประมาณ 7 กม. เป็นแนวเขตแดนระหว่างอำเภอเบตง กับรัฐเปรัค มาเลเซียครับ
![](/f/36543/60067988ce2a7c0eeb24825b.jpg)
สนามกีฬาเบตง
สนามกีฬากลางหุบเขา ขนาดใหญ่ มีเนื้อที่ประมาณ 120 ไร่ เป็นสนามกีฬาที่ตั้งอยู่ในระดับความสูงที่สุดในประเทศไทย ผมว่าที่นี่เป็นสนามกีฬาที่บรรยากาศดีที่สุดในเมืองไทย เท่าที่ผมเคยเห็นมาครับ
![](/f/36543/600679a6ce2a7c0eeb24825c.jpg)
สวนสุดสยาม
สวนสุดสยาม หรือ สวนสาธารณะเทศบาลเมืองเบตง ตั้งอยู่บนเนินเขากลางเมืองเบตง กินเพื้นที่ประมาณ 120 ไร่ อยู่ตรงข้ามกับสนามกีฬาเบตงเลยครับ สวนแห่งนี้เป็นจุดชมทัศนียภาพเมืองเบตง และเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจและออกกำลังกายของชาวเบตงและนักท่องเที่ยวครับ
![](/f/36543/60067af017c7000ca5edf22c.jpg)
Street Art เบตง
Street Art ในเบตง จะกระจายอยู่ตามผนังอาคารบ้านเรือน ตามตรอกซอกซอย แต่ละภาพจะบอกเล่าเรื่องราว วิถีชีวิต รวมถึงเอกลักษณ์ของชาวเบตง เพิ่มสีสันการท่องเที่ยวให้กับเบตงขึ้นอีกเยอะเลยครับ
![](/f/36543/60067bec17c7000ca5edf22e.jpg)
![](/f/36543/60067bf217c7000ca5edf22f.jpg)
![](/f/36543/60067bface2a7c0eeb24825d.jpg)
![](/f/36543/60067c0017c7000ca5edf230.jpg)
![](/f/36543/60067c0617c7000ca5edf231.jpg)
![](/f/36543/60067c0d17c7000ca5edf232.jpg)
![](/f/36543/60067c1217c7000ca5edf233.jpg)
หอนาฬิกาเบตง
หอนาฬิกาแห่งนี้อยู่คู่กับเมืองเบตงมาช้านาน สร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์และเป็นจุดศูนย์กลางของเมือง สร้างจากหินอ่อนขาวนวลจากยะลา
![](/f/36543/60067c3917c7000ca5edf234.jpg)
ตู้ไปรษณีย์สูง-ใหญ่ที่สุดในโลก
จริงๆ แล้วในเบตงยังมีอีกหนึ่งตู้ไปรษณีย์ที่สูงใหญ่กว่านี้ แต่ตู้นี้ถือเป็นตู้ต้นตำรับที่ใช้กันมานมนานแล้วครับ ตั้งอยู่บริเวณวงเวียนหอนาฬิกา นอกจากจะเป็นตู้ไปรษณีย์แล้ว ด้านบนสุดของตู้ยังใช้เป็นลำโพงเพื่อใช้กระจายเสียงแจ้งข่าวสารให้กับชาวเบตงด้วย
![](/f/36543/60067c42ce2a7c0eeb24825e.jpg)
อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์
อุโมงค์รถยนต์ลอดภูเขาแห่งแรกของเมืองไทย ที่ขุดทอดเป็นแนวโค้งให้รถวิ่งไปมา มีความยาวประมาณ 273 เมตร ช่วงค่ำๆ ถึงเช้า จะมีการประดับประดาไฟอย่างสวยงามครับ
![](/f/36543/60067ca9ce2a7c0eeb24825f.jpg)
เดินเล่นชมแสงสียามเย็นเมืองเบตง
![](/f/36543/60067ce3ce2a7c0eeb248261.jpg)
![](/f/36543/60067cf3ce2a7c0eeb248262.jpg)
![](/f/36543/60067cface2a7c0eeb248263.jpg)
![](/f/36543/60067d0417c7000ca5edf235.jpg)
![](/f/36543/60067d0dce2a7c0eeb248264.jpg)
![](/f/36543/60067d1417c7000ca5edf236.jpg)
![](/f/36543/60067d1b17c7000ca5edf237.jpg)
![](/f/36543/60067d21ce2a7c0eeb248265.jpg)
![](/f/36543/60067d2717c7000ca5edf238.jpg)
โดยรอบของหอนาฬิกาจะมีสายไฟระโยงรยางค์เต็มไปหมด ช่วงค่ำๆ ก็จะมีนกนางแอ่นที่บินหนีความหนาวเย็นจากไซบีเรียมาเกาะอยู่เต็มสายไฟเลยครับ จะพบเห็นนกนางแอ่นได้เฉพาะช่วงค่ำๆ ของเดือนกันยายน-มีนาคมเท่านั้น ส่วนช่วงเช้า-เย็น นกเหล่านั้นจะบินออกหากินตามป่าเขาโดยรอบ และค่ำก็จะกลับมาพักอยู่ในตัวเมือง เป็นประจำแบบนี้ทุกวันครับ
ร้านต้าเหยิน
ร้านอาหารจีนชื่อดังกลางเมืองเบตง อยู่ไม่ไกลจากหอนาฬิกามากนัก ช่วงที่ผมไป ทัวร์ลงพอดี คนแน่นร้านไปหมดครับ มาเบตง ต้องมาลองครับ
![](/f/36543/60067dbe17c7000ca5edf239.jpg)
"ไก่สับเบตง" ไก่เนื้อนุ่ม สมแล้วที่เป็น signature ของเบตงครับ
![](/f/36543/60067dc717c7000ca5edf23a.jpg)
"ปลาจีนนึ่งซีอิ้ว" ปลาสด เนื้อหวานเลยทีเดียว
![](/f/36543/60067dcece2a7c0eeb248266.jpg)
"เคาหยก" หรือหมูสามชั้นอบเผือก เพิ่งจะเคยทานครั้งแรกเหมือนกันครับ
โรงแรมแกรนด์แมนดาริน เบตง
น่าจะหรูที่สุดในเบตงแล้ว ด้วยอาคารที่สูงมากๆ มองเห็นได้แต่ไกล ที่ผมเลือกพักที่นี่ เพราะต้องการถ่ายภาพมุมสูงของเบตงครับ
![](/f/36543/6006802d17c7000ca5edf23b.jpg)
![](/f/36543/600680d517c7000ca5edf23d.jpg)
ภายในกว้างขวางเลยทีเดียว
![](/f/36543/600680f117c7000ca5edf23e.jpg)
![](/f/36543/600680f8ce2a7c0eeb248267.jpg)
![](/f/36543/600680ff17c7000ca5edf23f.jpg)
โรงแรมอาจจะดูเก่าไปสักนิด แต่ว่าสะอาด ห้องกว้างขวางดีครับ เห็นวิวเมืองเบตงแบบเต็มๆ ตา ที่สำคัญ อยู่ใจกลางเมืองเบตงเลย เดินไปเที่ยวไหนก็สะดวก ออกมาจากโรงแรม ด้านข้างก็เจอ อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ เดินถัดมาสัก 100 เมตร ก็จะเป็นหอนาฬิกาครับ
![](/f/36543/600681a417c7000ca5edf240.jpg)
![](/f/36543/600681ab17c7000ca5edf241.jpg)
จริงๆ แล้วเบตงยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายจุดเลยทีเดียว ทั้งการล่องแก่งและยังมีจุดชมทะเลหมอกอีกหลายๆ ที่ ผมมีเวลาอยู่ที่เบตง 2 วัน 2 คืน ยังเก็บสถานที่ท่องเที่ยวได้ไม่ครบเลยครับ ตอนนี้คงรอสนามบินเบตงว่าจะเปิดเมื่อไร หากเปิดใช้คงจะได้กลับมาเยือนเบตงอีกครั้งเป็นแน่ๆ คิดถึงฆูนุงซีลีปัต คิดถึงอัยเยอร์เวงเป็นที่สุด หากเพื่อนคนไหนกำลังสองจิตสองใจกับเบตง ผมว่ารีบๆ มาสัมผัสเบตงเถอะครับ แล้วจะบอกกับตัวเองว่า "รู้อย่างนี้ มาเบตงซะตั้งนานแล้ว"
ท้ายสุดนี้ เพื่อนๆ สามารถเข้าไปให้กำลังใจและติดตามผลงานของผมเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/unclegreenshirt นะครับ
ลุงเสื้อเขียว
วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2564 เวลา 13.58 น.