สตูล ไม่ได้มีดีแค่เกาะตะรุเตา แต่สตูลยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่โดดเด่นทั้งบนบกและในทะเล หากมีเวลาอยู่ในสตูลเพียงแค่ 2 วัน 1 คืน เราจะเที่ยวอะไรได้บ้างที่ไม่ใช่เกาะตะรุเตา? ผมจะพาไปสัมผัสกับสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความหลากหลาย ได้ทำในหลายๆ Activity เที่ยวพร้อมเรียนรู้ประวัติศาสตร์ไปในตัว เที่ยวแบบไม่เร่งรีบ สถานที่ท่องเที่ยวทั้งหมดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ เราจึงต้องปรับตัวและเรียนรู้ธรรมชาติ ช่วงเวลาไหนน้ำขึ้น น้ำลง น้ำเป็น น้ำตาย ต้องไปให้ถูกช่วงถูกเวลา หลายจุดที่ผมพลาดเข้าชม เพราะไปไม่ตรงกับช่วงเวลาที่เหมาะสม ไปดูกันดีกว่าว่าสถานที่ท่องเที่ยวที่ผมแนะนำมีอะไรบ้าง

ถ้ำภูผาเพชร

การมาเที่ยวที่ถ้ำภูผาเพชร จะมีค่าเช้าชม 20 บาท/คน ค่ารถ 30 บาท/คัน (เก็บใบเสร็จไว้ให้ดีๆ เพราะสามารถใช้ได้กับน้ำตกวังสายทอง) จากนั้นจะเสียค่าบำรุงสถานที่ให้กับท้องถิ่นอีกคนละ 20 บาท และมีค่าเช่าไฟฉายอีกคนละ 20 บาท สำหรับไกด์ท้องถิ่น แล้วแต่เราจะให้ครับ

จากลานจอดรถ เราต้องเดินเท้าขึ้นไปยังปากถ้ำตามทางลาดชัน โดยเส้นทางจะเป็นขั้นบันไดราวๆ 300 กว่าขั้น เรียกได้ว่าเล่นเอาเหนื่อยเลยทีเดียวครับ

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าปากถ้ำจะเล็กเพียงแค่คนลอดผ่าน แต่เมื่อได้ก้าวเข้าไปในถ้ำแล้วต้องร้อง OMG!! ภายในถ้ำมีขนาดใหญ่ม๊ากกก

ถ้ำภูผาเพชร เป็นถ้ำขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเห็นว่าใหญ่ติดอันดับ 4 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยนะครับ มีเนื้อที่กว่า 50 ไร่ ประดับประดาด้วยหินงอกหินย้อยที่ธรรมชาติได้รังสรรค์ปั้นแต่งให้ออกมาหลากหลายรูปร่าง บางจุดเมื่อกระทบกับแสงไฟ เกิดเป็นแสงส่องประกายระยิบระยับราวกับเพชรต้องแสง อันเป็นที่มาของ “ถ้ำภูผาเพชร” ครับ

ภายในถ้ำจะทำสะพานไม้ และจะมีการติดไฟส่องสว่างให้เพียงบางจุดเท่านั้น ดังนั้นการเที่ยวชมในถ้ำ ควรจะพกไฟฉายติดตัวไปด้วย เพราะเส้นทางจะเป็นบันไดต่างระดับ หากมัวเดินชมความงามของหินงอกหินย้อยเพลิน อาจทำให้เดินพลาดได้ง่ายๆ และอีกสิ่งที่สำคัญคือการใช้บริการของไกด์ท้องถิ่น เพราะเส้นทางภายในถ้ำค่อนข้างวกวน เดินชมเองมีโอกาสหลงแน่นอนครับ

ภายในถ้ำมีโถงห้องมากมายกว่า 20 ห้อง แต่ละห้องก็จะมีเอกลักษณ์ของตัวเองครับ อากาศภายในถ้ำค่อนข้างเย็นเมื่อเทียบกับถ้ำอื่นๆ ที่ผมเคยไปสัมผัสมา นอกจากนี้ยังพอจะมีลมพัดผ่านอยู่บ้าง

เมื่อไกด์ท้องถิ่นสาดแสงไฟฉายมาหยุดที่จุดนี้ เล่นเอาอึ้งกันเป็นแถวๆ ครับ ไกด์เล่าว่าได้ค้นพบภาพนี้หลังจากที่พระองค์ท่านสวรรคตไปได้ไม่นานครับ

ลานแสงมรกต ผมขอยกให้เป็นไฮไลท์ของถ้ำภูผาเพชรครับ ยามที่แสงสว่างส่องผ่านมายังปากถ้ำผ่านผนังถ้ำ จะเห็นเป็นสีเขียวมรกต นี่ซินะที่เป็นที่มาของคำว่า “แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์”

น้ำตกวังสายทอง

น้ำตกหินปูนขนาดใหญ่ที่ไหลลดหลั่นเป็นชั้นเล็กชั้นน้อย ดูสวยงามเลยทีเดียว บางชั้นเป็นแอ่งน้ำเล็กๆ ให้เด็กๆ ได้มานอนแช่น้ำ ให้อารมณ์อ่างจากุชชี่ท่ามกลางธรรมชาติเลยครับ เจ้าหน้าที่เล่าว่าเมื่อแสงอาทิตย์ตกกระทบกับชั้นหินปูนที่มีสีเหลือง จะเปล่งแสงอร่ามดังทองกันเลยทีเดียว

ต้นน้ำมาจากการอัดและทะลักของน้ำในถ้ำใต้ภูเขา และทะลุออกมาตามช่องเขาลงสู่แอ่งต่างๆ ที่แวดล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ดูร่มรื่นมากๆ ครับ

เห็นแล้วอิจฉาเด็กๆ อยากจะลงไปแช่น้ำบ้างไรบ้าง แต่ก็ต้องหักห้ามใจ 555

น้ำตกวังสายทอง เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวสตูลครับ บ้างก็มาปิกนิกริมน้ำตก บ้างก็พาลูกเล็กเด็กแดงมาเล่นน้ำคลายร้อนกัน

การเข้าชมที่นี่ มีค่าธรรมเนียมในการเข้าชมคนละ 20 บาท รถคันละ 30 บาท แต่ถ้าหากว่าจ่ายค่าเข้าชมที่ถ้ำภูผาเพชรแล้ว ก็ไม่ต้องเสียค่าเข้าที่นี่ครับ

เขตข้ามกาลเวลา

เขตข้ามกาลเวลาเขาโต๊ะหงาย อยู่ในอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา การจะชมเขตข้ามกาลเวลา จะต้องเดินเท้าไปตามเส้นทางเดินเท้าเลาะเรียบริมทะเล ช่วงนี้อยู่ระหว่างซ่อมแซมสะพานครับ หากใครต้องการมาชมจุดข้ามกาลเวลา ให้ใช้เส้นทางมายังโรงแรมรอยัลฮิลล์ สตูล หลุดโรงแรมแล้วจะมีโค้งซ้ายหักศอก และจะเห็นหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ภต.1 (เขาโต๊ะหงาย) ชำระค่าเข้า คนละ 20 บาท ค่ารถ 30 บาท หากเห็นลานจอดรถช่วงแรกๆ อย่าเพิ่งจอดนะครับ ให้ขับรถเข้าไปอีก ไม่อย่างนั้นจะเดินไกลพอสมควร สามารถขับรถไปจอดตรงสุดถนนได้เลย

เขตข้ามกาลเวลา จะเป็นบริเวณที่พบรอยเลื่อนของหิน 2 ยุค ที่มีอายุแตกต่างกันซึ่งมองเห็นสีของหินได้อย่างชัดเจนครับ เมื่อหันหน้าเข้าหาหน้าผา หินฝั่งซ้ายจะเป็นหินทรายสีแดงยุคแคมเบรียน อายุประมาณ 541-485 ล้านปี และหินฝั่งขวาจะเป็นหินปูนยุคออร์โดวิเชียน อายุประมาณ 485-444 ล้านปี มาจุดนี้เหมือนเราสามารถก้าวย่างข้ามกาลเวลาผ่าน 2 ยุค ได้เพียงก้าวเดียวครับ

ใกล้ๆ จุดจอดรถ จะมีทางลงหาด เพื่อไปชมหินหลากสีครับ ดูในภาพโฆษณาหินหลากสีบริเวณที่ทำการแล้วดูอลังการมาก แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าของจริงไม่ค่อยตรงปกสักเท่าไร เพราะภาพผ่านการปรุงแต่งเยอะ เอาเป็นว่าของจริงมันก็ไม่ได้หลากสีอย่างในภาพจริงๆ ครับ

สำหรับสถานที่ต่อไปจากนี้ เราจะต้องซื้อแพคเกจทัวร์แบบ one day trip กัน โดยผมเลือกโปรแกรมปราสาทหินพันยอด โปรแกรมจะเริ่มช่วงสายๆ ประมาณ 08.30-09.00 น. จุดขึ้นเรืออยู่ใกล้ๆ กับท่าเรือปากบารา และจะปิดทริปราวๆ 14.00 น. ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแนวการเที่ยวของแต่ละคณะ หากคณะไหนชอบเที่ยวแบบช้าๆ ซึมซับกับบรรยากาศ ก็สามารถใช้เวลาได้ราวๆ 4-5 ชั่วโมง โปรแกรมจะสลับตามความเหมาะสม ขึ้นอยู่กับเวลาน้ำขึ้นน้ำลง สำหรับเรือที่ใช้ในการออกทริปจะเป็นเรือหัวโทง ถ้าหากมีสมาชิกประมาณ 3-4 คน ก็สามารถใช้เรือลำเดียวโดยไม่ต้องไปรวมกับคณะอื่นครับ

สำหรับเรือนำเที่ยว สามารถหาบริษัทนำเที่ยวได้ทั่วไปตามเวปไซด์ต่างๆ ในราคา 750-800 บาท/คน ราคานี้จะรวมอาหาร 1 มื้อ น้ำดื่ม ค่าเข้าชมอุทยาน เรือคายัค และประกันการเดินทาง แต่ถ้าหากใครอยากจะได้ราคาต่ำกว่านี้สามารถติดต่อผ่าน “บังโด้” ได้ ที่เบอร์ 091-9855001 ได้เหมือนกับที่เพื่อนๆ ติดต่อผ่านบริษัททัวร์ทุกอย่าง ยกเว้นไม่มีประกันการเดินทางให้ครับ บังโด้เป็นทั้งไกด์นำเที่ยว ทั้งคนขับเรือ ด้วยประสบการณ์การนำเที่ยวตะรุเตามาหลายปี แต่เดี๋ยวนี้มารับทัวร์แบบใกล้ๆ ดังนั้นเรื่องข้อมูลของแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ไม่ต้องห่วงเลยครับ อัดแน่นมาก ถ้าหากนักท่องเที่ยวอยากจะรู้อะไร สอบถามได้เลย

อ่าวโต๊ะบะ

บังโด้ พามาแวะที่อ่าวโต๊ะบะเป็นจุดหมายแรกครับ

ไฮไลท์ของอ่าวโต๊ะบะมี 2 อย่างครับ อย่างแรกคือค้นหาซากฟอสซิลในยุคออร์โดวิเชียน ซากดึกดำบรรพ์ที่สุสาน “นอติลอยด์” จะเป็นสัตว์จำพวกหอย กลุ่มเดียวกับหมึก หมึกยักษ์ ลักษณะมีทั้งแบบกรวย แบบม้วนขดเป็นวง อายุประมาณ 470 ล้านปีครับ

ใกล้ๆ กับซากดึกดำบรรพ์ จะพบหัวใจสีน้ำเงินที่ปลายผา หรืออีกชื่อหนึ่งเรียกว่า หัวใจอันดามัน คือเป็นสิ่งที่ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ขึ้นโดยแท้ครับ เส้นทางที่จะเดินมาชมหัวใจอันดามัน ถึงแม้จะอยู่ใกล้กับซากดึกดำบรรพ์ แต่ทางเดินค่อนข้างหวาดเสียวเพราะต้องเดินบนหินแหลมคม ใครใจไม่ถึงแนะนำว่าอย่าเดินไปครับ

ทริปนี้นอกจากจะได้บังโด้ มาเป็นผู้นำทริปแล้ว ยังมี กอวีมา ลูกสาวของบังโด้ มาช่วยดูแลสมาชิกในทริปด้วย ในช่วงวันหยุดเรียน เธอมีความมุ่งมั่นและตั้งใจในการดูแลลูกทริปมากๆ คอยเสิร์ฟน้ำ เสิร์ฟเฉาก๊วยและขนมขบเคี้ยวอย่างไม่ขาดตกบกพร่องเลยครับ

นั่งเรือชมบรรยากาศไปเรื่อยๆ ไม่นานนักก็มาถึงที่ถ้ำลอดพบรักครับ

บังโด้เล่าให้ฟังว่าถ้ำลอดพบรักเป็นหนึ่งในฉากภาพยนตร์เรื่อง “อุกาฟ้าเหลือง” ซึ่งหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล สร้างไว้เมื่อปี 2523 ครับ บังโด้เริ่มให้ผมพายคายัคเพื่อลอดถ้ำลอดพบรัก เมื่อลอดจากถ้ำลอดพบรักแล้ว กอวีมา พาพายต่ออีกนิดหน่อย เพื่อไปยังไฮไลท์ของวันนี้ นั่นคือ ปราสาทหินพันยอดครับ

การเข้าชมปราสาทหินพันยอด เราจะต้องพายคายัคผ่านช่องแคบระยะทางสั้นๆ เข้าไป เส้นทางไม่ได้ลำบากลำบนอะไรเลย แต่การเข้าไปด้านในง่ายๆ เราไม่ไป กอวีมา พาพวกผมพายคายัคลอดเข้าไปในหลืบถ้ำ ซึ่งดูตื่นเต้นและหวาดเสียว (คายัคล่ม) มากๆ คายัคหายไปในความมืด สักพักก็พบแสงสว่างที่ปลายทาง เผยโฉมของน้ำทะเลสีเขียวมรกต ในอ้อมกอดของปราสาทหินพันยอด เส้นทางนี้สร้างความประทับใจให้กับผมเป็นอย่างมาก

ปราสาทหินพันยอด สถานที่ท่องเที่ยวลับๆ กลางทะเลสีเขียวมรกต รายล้อมด้วยหินหน้าตาประหลาด ในยุคออร์โดวิเชียน ที่มีอายุมากกว่า 450 ล้านปี ลักษณะคล้ายปราสาทยอดแหลม ดูสวยงามแปลกตามากๆ ถ้าหากมาเที่ยวชมในช่วงจังหวะน้ำลง ด้านในปราสาทหินพันยอดจะมีชายหาดเล็กๆ ให้เดินเล่นด้วยครับ

ว่ากันว่าเมื่อก่อนสถานที่แห่งนี้ถูกน้ำใต้ดินกัดเซาะจนทำให้ด้านล่างเป็นโพรง เมื่อหินปูนยกตัวขึ้นจากการกัดเซาะของธรรมชาติ จึงกลายเป็นเทือกเขาหินปูน ส่วนด้านบนก็ถูกน้ำฝนกัดเซาะจนบางลง และรับน้ำหนักไม่ไหว เลยยุบตัวลงกลายเป็นหลุมยุบ ทำให้เกิดเป็นยอดแหลมคมขึ้น ถ้ามองจากมุมสูงจะแลดูคล้ายปราสาทหินครับ

จากปราสาทหินพันยอด บังโด้พามาแวะทานมื้อเที่ยงกันที่ หาดนุ้ย ครับ

หาดนุ้ยอยู่ในชุมชนบ้านบ่อเจ็ดลูก เป็นหาดที่มีทรายขาวละเอียด นุ่มเท้ามาก เป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์รอบๆ ทั้งในทะเลและหมู่บ้าน นักท่องเที่ยวสามารถมานั่งชมธรรมชาติและเล่นน้ำได้ตลอดเวลาครับ

มื้อเที่ยงนี้ บังโด้เตรียมแกงหอยใส่ใบชะพลู พร้อมไข่ดาวมาให้ ตอนแรกผมคิดว่า เป็นแกงหนวดปลาหมึกที่ตัดเป็นท่อนเล็กๆ ใส่ใบชะพลู แต่บังโด้มาพร้อมกับคำเฉลย โดยยื่นหอย “อูหนำ” หรือ “หอยหวาน” มาให้ผมดู รสชาติแกงหอยนี่เผ็ดแต่รสชาติเด็ดได้ใจจริงๆ จากนั้นตบท้ายด้วยแตงโมหวานๆ ครับ

ระหว่างรอน้ำลง กอวีมา พาผมเดินไปชมโบราณสถานบ่อ 7 ลูกครับ

ตำนานของโบราณสถานบ่อ 7 ลูก มีหลายตำนานมาก แต่ที่ กอวีมา เล่าให้ฟัง สรุปใจความได้ว่า มีชาวเลรอนแรมมาพักที่เกาะและได้ตั้งรกรากที่นี่ ได้ทำการขุดบ่อเพื่อหาน้ำจืดใช้ บ่อแรกที่ขุดพบว่าน้ำเค็ม จึงได้ขุดบ่อต่อๆ มา จนครบ 6 บ่อ พอขุดบ่อที่ 7 จึงพบน้ำจืด จึงได้ใช้กันเรื่อยมาครับ ลักษณะของบ่อแต่ละบ่อมีขนาดไม่เท่ากัน ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง

จากหาดนุ้ยเมื่อมองออกไป เริ่มเห็นสันหลังมังกรโผล่ขึ้นมาชัดขึ้น บังโด้เลยรีบเรียกคณะของผมขึ้นเรือ เพื่อไปยังสันหลังมังกรก่อนที่จะมีทัวร์คณะอื่นมาลง

บังโด้บังคับเรืออ้อมเกาะ พาลัดเลาะไปเรื่อย มองออกไปจากเรือเห็นแนวทรายที่วางตัวทอดยาว แต่แนวทรายยังไม่โผล่มากนัก กอวีมา บอกว่านั่นคือหางมังกร ยามเมื่อคลื่นสาดซัดไปยังหางมังกร ดูเหมือนหางมังกรกำลังแหวกว่ายอยู่กลางทะเล ไม่นานนักเราก็มาถึงสันหลังมังกรแล้ว ยามนี้มีคณะผมเพียงคณะเดียวที่มายืนบนสันหลังมังกร

สันหลังมังกรหรือทะเลแหวก เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ต้องมาให้ถูกที่ถูกเวลา ถึงจะได้เห็นครับ

ด้านปลายของสันหลังมังกรมองเห็นผาใช้หนี้ ตามตำนานเล่าว่ามีชายวัยกลางคนทำอาชีพประมง เป็นลูกน้องของเถ้าแก่จีน เขามีหนี้สินมาก ไม่มีปัญญาจะใช้หนี้ได้หมด จึงได้ปรึกษาเถ้าแก่เพื่อหาทางปลดหนี้ โดยพร้อมจะทำทุกอย่างที่สามารถปลดเปลื้องหนี้สินได้ เถ้าแก่จีนจึงให้ไปกระโดดหน้าผา ถ้าหากกล้ากระโดดลงมาก็จะยกหนี้สินทั้งหมดให้ ชายคนนั้นจึงรับคำท้า แล้วกระโดดหน้าผาลงมา ผลปรากฏว่าเขามีชีวิตรอดปลอดภัย หนี้สินที่ค้างอยู่ก็หมดไป

บนสันหลังมังกรเป็นที่อยู่ของฝูงปูทหารพระราชา เวลาเราเดินบนสันหลังมังกร ฝูงปูเหล่านี้ก็จะวิ่งหนีตายกันเป็นโขยง ดูเหมือนกองทัพปูกำลังยกทัพออกศึกเลยครับ

สำหรับที่พัก ผมเข้าพักที่เดอะ ละงูบูทิค ซึ่งอยู่กลางใจเมืองละงูครับ

ละงูบูติค เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดี หากไม่ซีเรียสเรื่องที่พักริมทะเล การอยู่กลางใจเมืองทำให้สะดวกในเรื่องการเดินทางไปยังจุดต่างๆ รวมถึงร้านอาหารต่างๆ ที่พักใหม่ สะอาดครับ

บริเวณลอบบี้ มีที่ให้นั่งพักผ่อนเยอะพอสมควร แต่บริเวณนี้ไม่เปิดแอร์ ไม่เปิดพัดลม ทำให้ค่อนข้างร้อนอบอ้าวครับ

ห้องพักมี 2 แบบ คือเป็นวิลล่า และแบบตึก ไปดูห้องแบบวิลล่ากันก่อน พื้นที่ใช้สอยภายในวิลล่าค่อนข้างกว้างขวาง แต่ละวิลล่าจะอยู่ติดกับสระว่ายน้ำ วิลล่าทุกหลังจะมีมุมให้นั่งเล่นด้านนอกด้วย

อีกห้องที่ผมจะพาชมเป็นห้อง Standard พื้นที่กว้างขวางดีทีเดียวครับ

ห้องอาหารจะอยู่ใกล้ๆ กับลอบบี้ครับ ราคาที่พักจะรวมอาหารเช้าด้วย โดยอาหารเช้าเริ่มสายไปสักนิด โดยจะเริ่มเวลา 08.30 น.

ต้องบอกเลยว่าสตูลไม่ได้มีดีแค่เกาะตะรุเตาจริงๆ ครับ แต่สตูลอัดแน่นด้วยสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติมากมาย มีอีกหลายจุดที่ผมพลาดการเที่ยวชม เนื่องด้วยข้อจำกัดของธรรมชาติ การท่องเที่ยวจังหวัดชายทะเล จะต้องศึกษาข้อมูลกันพอสมควร ทริปนี้ผมมีเวลาสั้นไปนิด บอกเลยว่า 2 วัน 1 คืน ไม่สามารถเก็บสถานที่ท่องเที่ยวของสตูลได้ครบ ผมคงต้องหาช่วงเวลาเหมาะๆ กลับมาสัมผัสกับสตูลอีกสักหลายๆ ครั้งอย่างแน่นอน

ท้ายสุดนี้ เพื่อนๆ สามารถเข้าไปให้กำลังใจและติดตามผลงานของผมเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/unclegreenshirt นะครับ

ลุงเสื้อเขียว

 วันพฤหัสที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2564 เวลา 21.37 น.

ความคิดเห็น