ต้องบอกก่อนเลยว่ารีวิวนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าเพื่อนสนิทไม่ขอมา

บอกว่าอยากอ่านรีวิวเชียงคาน ในเมื่อเพื่อนขอมา เราก็จัดไปค่ะ 5555


หลายคนอาจสงสัยว่าเรานั่งเสลี่ยงไปเชียงคานจริง ๆ เหรอ? ขอบอกว่า... ไม่จริงค่ะ เพราะถ้าคงได้นั่งข้ามปีแน่ ๆ 5555 แต่ที่บอกว่านั่งเสลี่ยงก็เนื่องจากเราชอบตั้งชื่อทริปให้คล้องจองกัน บวกกับช่วงที่เราไปเที่ยวนั้น ละครใหญ่แห่งปีของช่อง 7 เรื่อง “เพลิงพระนาง” กำลังออนแอร์พอดี (หากใครเคยดูละครเรื่องนี้จะทราบว่าตัวละครหลักในเรื่องที่เป็นเจ้านายในวังจะนั่งเสลี่ยง) เลยถือโอกาสนำมาใช้ตั้งชื่อทริปซะเลย แม้เวลาจะผ่านไปนาน 4 ปี แต่ความทรงจำของการเดินทางไปเที่ยวเชียงคานก็ไม่เคยลืมเลือน ^^ สำหรับใครที่วางแผนว่าจะไปเที่ยวเชียงคานหลังโควิดเลิกระบาดในไทยกันแล้ว ก็ปักหมุดแผนที่รอไว้เลยค่ะ ถ้าพร้อมแล้วก็ตามกันมาเลยค่ะ!

จำได้ว่าวันแรกตื่นเช้ามาก เพราะต้องมาขึ้นรถซันบัสที่สถานีขนส่งหมอชิตตอน 8 โมงตรง ซึ่งรถซันบัสเนี่ยเป็นรถโดยสารปรับอากาศแบบ VIP ที่มาถึงเชียงคานต่อเดียวเลยค่ะ หากใครต้องการมาเที่ยวเชียงคานเพียงอย่างเดียว แนะนำว่าให้นั่งรถซันบัสดีกว่า และถ้าอยากมาเที่ยวเชียงคานแบบเต็มอิ่มควรมาขึ้นรถตอน 2 ทุ่ม เพราะไปถึงที่นั่นก็เช้าพอดีค่ะ (ถ้าต้องการดูตารางเวลาเดินรถและจองตั๋วออนไลน์ สามารถจองได้ที่เว็บไซต์นี้ค่ะ >> http://www.sunbus.co.th/ ดูตารางเดินรถให้ดีนะคะ เพราะรถมาเที่ยวเชียงคานมีแค่รอบ 8 โมง กับ 2 ทุ่มเท่านั้น ส่วนรอบอื่นมีแค่ชุมแพกับเมืองเลย)

เสียดายที่ก่อนขึ้นรถดันลืมถ่ายรูปรถบัส เลยนำรูปจาก Facebook มาค่ะ

บนรถก็จะมีทั้งที่นั่งเดี่ยวและที่นั่งคู่ ไม่อึดอัดดี ชอบ ๆ คล้าย ๆ กับนั่งเครื่องบินเลย

มีทั้งทีวีส่วนตัวและผ้าห่ม ดีงามมากจริง ๆ เสียอย่างเดียว นั่งรถนานแล้วเมื่อยตัว ^^”

เป็นครั้งแรกที่นั่งรถทัวร์ดีอย่างนี้ เพราะมีทีวีส่วนตัวทุกที่นั่ง และมีขนม Pringles กระป๋องเล็กระหว่างทางให้ แถมมีผ้าห่มให้อีก ดีงามมากค่ะ ที่สำคัญมีสายชาร์จ USB สำหรับชาร์จโทรศัพท์มือถือ Ipad หรือ Power Bank ระหว่างเดินทางด้วย ส่วนมากเราจะนั่งฟังเพลงในมือถือและชมวิวนอกหน้าต่างซะมากกว่า แต่ถ้ารู้สึกเบื่อ ๆ ก็นั่งฟังเพลงในทีวีส่วนตัวหน้าที่นั่งหรือดูหนังค่ะ พอรู้สึกง่วง ๆ ก็นอนหลับค่ะ เดี๋ยวไม่มีแรงเที่ยว 5555

พอช่วงบ่ายแก่ ๆ เย็น ๆ สักประมาณ 4 - 5 โมง ถึงเชียงคาน ก็เดินมานั่งรถสามล้อเครื่องแถวตลาด ใกล้กับจุดจอดรถซันบัส เพื่อไปเช็กอินเข้าที่พักและนำกระเป๋าเสื้อผ้าไปเก็บ ซึ่งที่พักของเราเป็นแบบ Homestay ชื่อว่า “บ้านสวนละมุน” ค่ะ บอกเลยว่าห้องพักดีมาก แต่ด้วยความว่าเราจะรีบไปเที่ยววัดภูช้างน้อยกับถนนคนเดินต่อ เลยยังไม่ได้สำรวจห้องเท่าไหร่นัก หลังจากที่เช็กอินกับนำกระเป๋าไปเก็บไว้ที่ห้องพัก เราก็ออกมานั่งรถสามล้อเครื่องต่อไปยังวัดภูช้างน้อยค่ะ

“วัดภูช้างน้อย” อยู่ไม่ไกลจากเชียงคานมากนัก แต่เดิมนั้นเป็นเพียงสำนักสงฆ์ที่ชาวเชียงคานร่วมกันสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2500 โดยมี “พระพุทธศากยมุนี ศรีเชียงคาน” หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า “พระใหญ่” ประดิษฐานอยู่บนยอดภู ซึ่งเป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่สีทองค่ะ และจากจุดที่องค์พระประดิษฐานอยู่ก็สามารถชมทัศนียภาพของเมืองเชียงคานได้อย่างชัดเจนเลยค่ะ หรือถ้าใครต้องการมาชมวิวและถ่ายรูปยามพระอาทิตย์ตกดินก็สวยงามไม่แพ้กันค่ะ

เดินขึ้นบันไดบอกเลยว่ารู้สึกเหนื่อยมาก เมื่อไหร่จะถึง? 

แต่พอขึ้นมาข้างบนแล้ว หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง

มุมถ่ายรูป “สบายดีเชียงคาน” เป็นมุมถ่ายรูปมุมแรกที่ห้ามพลาด 

เพราะคำว่า “สบายดี” ในภาษาลาว แปลว่า “สบายดี” ค่ะ

ป้ายขึ้นคาน เอ้ย!!! เชียงคานไปทางนั้น แต่ถ้าอยากมีความรักเชิญทางนี้ 5555

“พระพุทธศากยมุนี ศรีเชียงคาน” หรือ “พระใหญ่” พระพุทธรูปประจำวัดภูช้างน้อย 

ประดิษฐานอยู่บนยอดภู มองเห็นมาแต่ไกล

มุมถ่ายรูป “คิดฮอดเชียงคาน” จะถ่ายเดี่ยว หรือถ่ายหมู่เป็นที่ระทึก เอ้ย!!! ที่ระลึก 

ก็เชิญถ่ายรูปทางด้านนี้ ส่วนเราไปคนเดียว ไม่มีใครถ่ายให้ เศร้าใจ 5555

ไหว้พระเพื่อเป็นสิริมงคลตั้งแต่ต้นปีกันสักหน่อย

วิวเมืองเชียงคานจากมุมสูงยามเย็น สวยงามไม่แพ้กันเลยค่ะ

ภูเขากับแสงอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้า

สีสันของดอกไม้กับวิวแห่งขุนเขา

วิวสวย ๆ บริเวณรอบวัดภูเชียงคาน สะท้อนแสงท้องฟ้ายามเย็น

พระอาทิตย์ยามเย็นใกล้ลาลับขอบฟ้าท่ามกลางหุบเขา สวยงามมากจริง ๆ ค่ะ

ไหว้พระ และชมวิวรอบ ๆ เชียงคานแล้วก็ต้องเดินลงกลับ สบายกว่าตอนขึ้นมาอีก 5555

หลังจากแวะมาไหว้พระและชมวิวรอบเมืองเชียงคานที่วัดภูช้างน้อยกันแล้วก็นั่งสามล้อเครื่องมายังถนนคนเดินริมฝั่งโขงของเชียงคาน เพื่อกินอาหารเย็นและเดินเล่นซื้อของนิด ๆ หน่อย ๆ ก่อนกลับที่พักกันค่ะ

มุมถ่ายรูป หุ่นผีตาโขนจำลอง ซึ่งผีตาโขนเป็นประเพณีท้องถิ่นของชาวจังหวัดเลยค่ะ

ถ่ายป้ายเชียงคาน ริมฝั่งโขงสักหน่อยให้รู้ว่ามาถึงแล้วนะ 5555

ชมริมฝั่งโขงยามเย็น มีเรือแล่นผ่านไปมา อีกฝั่งก็เป็นฝั่งประเทศลาวค่ะ

ริมฝั่งโขงยามเย็นก็จะท้องฟ้าสลัว ๆ หน่อย

แสงไฟสีส้มตัดกับท้องฟ้ายามค่ำริมฝั่งโขง สวยงามไปอีกแบบค่ะ

ชมภาพอีกมุมกันบ้าง ท้องฟ้ายามเย็นกับแม่น้ำโขง 

มีแสงไฟจากบ้านเรือนและร้านค้าต่าง ๆ ริมฝั่งโขงแบบประปราย

บรรยากาศถนนคนเดินก็จะเหงา ๆ หน่อย เพราะเรามาเที่ยวช่วงวันธรรมดา ซึ่งถนนคนเดินของที่นี่ก็จะมีทุกวัน แต่ว่าช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ โดยเฉพาะวันเสาร์ก็จะมีบรรยากาศคึกคักเป็นพิเศษค่ะ ถนนคนเดินนี่เราถ่ายแค่รูปเดียวค่ะ เน้นเดินเล่นและซื้อของซะมากกว่า

เดินเล่น ซื้อของที่ถนนคนเดินจนเหนื่อยแล้ว แวะมากินข้าวเปียกเส้นที่ร้าน “แม่งาม อิ่มอร่อย” เพื่อเพิ่มพลังกันสักหน่อย ซึ่งข้าวเปียกเส้นเป็นอาหารขึ้นชื่อของชาวเชียงคาน ลักษณะก็จะคล้าย ๆ กับก๋วยจั๊บญวนเลยค่ะ

พอกินเสร็จก็เดินกลับเข้าที่พัก ระหว่างทางก็แวะถ่ายรูปนิด ๆ หน่อย ๆ เห็นธนาคารกรุงไทยของที่นี่แล้วมีความแปลกใหม่ เพราะเป็นเรือนไม้ เข้ากับบรรยากาศโดยรวมดี

ถึงที่พักแล้วค่ะ ที่พักก็เป็นแบบโฮมสเตย์ไม้ สวยงามมาก มีความส่วนตัวสุด ๆ แถมห้องพักแต่ละหลังก็จะมีชื่อห้องด้วยค่ะ ซึ่งห้องพักของเราชื่อว่า “มอบรัก” ค่ะ โรแมนติกไม่เบา 5555

รีวิวห้องพักกันบ้าง ห้องพักข้างในจะเป็น Loft ปูนเปลือย โดยรวมห้องพักสะอาด สวยงาม เตียงขาวนุ่มน่านอน โทรทัศน์ก็มีให้ดู อินเทอร์เน็ต Wi-Fi ก็มีให้ฟรี แอร์ก็เย็นฉ่ำ นอนหลับสบายแน่คืนนี้ อิอิ ^^ ใครที่ชอบความเป็นส่วนตัวแนะนำให้มาพักที่นี่ค่ะ

ตื่นเช้าอีกวัน วันนี้รถสามล้อเครื่องที่ทางที่พักแนะนำแวะมารับไปเที่ยวแบบ One Day Trip เพื่อไปชมทะเลหมอกกับพระอาทิตย์ยามเช้าที่ “ภูทอก” ค่ะ แวะมารับเช้ามากจริง ๆ ง่วงสุด ๆ แต่ถ้าไปเที่ยว ต่อให้ไม่ไหว...เราก็สู้ตายค่ะ 5555 พอมาถึงก่อนจะขึ้นไปชมทะเลหมอก ท้องฟ้ายังมืดอยู่เลยค่ะ ซึ่งการขึ้นไปชมทะเลหมอกนั้น เขาไม่อนุญาตให้นำรถส่วนตัวขึ้นไปนะคะ แต่ให้นั่งรถกระบะท้องถิ่นของชาวบ้านขึ้นไปแทน โดยต้องไปซื้อคูปองก่อนเพียงคนละ 25 บาท (ขึ้นได้คันละ 10 คน) หากนำรถส่วนตัวมาให้จอดบริเวณลานจอดรถค่ะ แต่ถ้าใครไม่มีรถส่วนตัวและขับรถไม่เป็น ให้เหมาสามล้อเครื่องตามราคาที่ตกลงกันไว้ค่ะ

เมื่อขึ้นไปถึงบนภูทอกแล้ว ท้องฟ้าก็ยังมืดอยู่ ไม่เห็นวิวข้างล่างเลย 5555 เห็นแค่พระพุทธรูปที่ตั้งอยู่ข้างบนยอดภู และป้ายกับหลักกิโลบอกให้รู้ว่าถึงภูทอกแล้วเท่านั้น

“ภูทอก” เป็นจุดชมวิวทะเลหมอกที่สวยงามอีกแห่งหนึ่ง โดยเฉพาะช่วงเช้าในฤดูหนาวจะมีทะเลหมอกปกคลุมภูเขาเกือบทั้งหมด แถมยังได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางทะเลหมอก หรือถ้าต้องการมาชมพระอาทิตย์ตกดินก็มาชมและดื่มด่ำบรรยากาศยามเย็นอันสดชื่นได้เช่นกันค่ะ เพราะที่นี่มีลักษณะเป็นภูเขาสูงที่สามารถชมทัศนียภาพอันงดงามของแม่น้ำโขง, เมืองสานะคาม ประเทศลาว และแก่งคุดคู้ได้อย่างชัดเจน เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวและช่างถ่ายภาพมืออาชีพให้เก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกหรือเป็นความทรงจำได้ดีเลยทีเดียวค่ะ

พอใกล้พระอาทิตย์ขึ้น วิวก็สวยงามไปอีกแบบค่ะ มีทั้งภูเขาและต้นไม้ 

ส่วนหมอกบาง ๆ ก็เริ่มปกคลุมเป็นทะเลหมอก

ชมพระอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางทะเลหมอก สวยงามมากจริง ๆ ค่ะ 

และถ้ามีดอกหญ้าขึ้นมาเยอะ ๆ นี่แหล่มเลย ^^

ก่อนนั่งรถกระบะท้องถิ่นลงมาข้างล่างก็ถ่ายรูปสวย ๆ อีกสักรูปหนึ่ง 

ชอบภาพนี้ที่สุดแล้ว ถ่ายเองก็ชอบ เพื่อน ๆ ชอบภาพนี้กันมั้ยคะ? ^^

พอนั่งรถกระบะของท้องถิ่นลงมาข้างล่างและแวะซื้อของที่ระลึกนิด ๆ หน่อย ๆ แล้วก็นั่งรถสามล้อเครื่องต่อไปยัง “วัดพระพุทธบาทภูควายเงิน” ค่ะ เมื่อเราเดินทางมาถึงบริเวณด้านล่างของวัดก็ต้องติดต่อให้คนที่อาศัยในวัดหรือบริเวณใกล้เคียงกับวัดให้ขับรถกระบะลงมารับเรา เนื่องจากทางขึ้นไปยังวัดสูงชันจนรถสามล้อเครื่องไม่สามารถขับขึ้นไปได้ค่ะ

“วัดพระพุทธบาทภูควายเงิน” เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2300 ซึ่งจุดเด่นของที่นี่ก็คือรอยพระพุทธบาทที่ประดิษฐานอยู่บนหินพร้าหรือหินลับมีด มีลักษณะเป็นรอยแตกเหมือนรอยพระพุทธบาทจริง นอกจากนั้นยังมีพระเจ้าใหญ่พุทธฉันพรรณรังสีที่เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นสีขาวองค์ใหญ่ถือได้ว่าเป็นที่เคารพบูชาของผู้คนมาตั้งแต่อดีต ต่อมาในปี พ.ศ.2478 ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานนั่นเอง เมื่อไหว้พระกันเสร็จแล้วก็อย่าลืมแวะมาให้อาหารกระต่ายกันได้นะคะ ซึ่งอาหารของกระต่ายก็จะมีขายทั้งผักกับอาหารเม็ด บอกเลยว่ากระต่ายน่ารักมาก ๆ เชื่องสุด ๆ เพราะทางวัดเลี้ยงแบบอิสระมาก ๆ ทำให้คุ้นเคยกับนักท่องเที่ยวพอสมควรเลย เว้นแต่กระต่ายดุที่ทางวัดจะขังกรงแยกไว้ต่างหาก

รอยพระพุทธบาทบนหินพร้าที่ผู้คนตั้งแต่ครั้งอดีตเคารพบูชาค่ะ

พระเจ้าใหญ่พุทธฉันพรรณรังสี พระพุทธรูปปูนปั้นสีขาวองค์ใหญ่

กระต่ายน้อยเชื่อง ๆ น่ารัก ๆ ให้อาหารก็ได้ เล่นก็ดี คุ้นเคยกับนักท่องเที่ยวสุด ๆ ค่ะ

หลังจากให้อาหารกระต่ายจนพอใจแล้วก็มาชมวิวเมืองเชียงคานอีกมุมหนึ่งของวัดค่ะ

เมื่อไหว้พระ, ให้อาหารกระต่าย และชมวิวเมืองเชียงคานกันแล้ว ก็มีพี่คนขับรถคนเดิมขับรถมาส่งด้านล่างตรงที่รถสามล้อเครื่องจอดอยู่ เราจำราคาเหมาไป-กลับไม่ค่อยได้ว่าเท่าไหร่ แต่น่าจะประมาณ 30 - 50 บาทค่ะ เสร็จแล้วก็นั่งรถสามล้อเครื่องต่อไปยัง “แก่งคุดคู้” ค่ะ

“แก่งคุดคู้” มีลักษณะเป็นแก่งหินใหญ่ขวางอยู่กลางลำน้ำโขงบริเวณช่วงโค้งพอดี ทำให้มีกระแสน้ำเชี่ยวไหลผ่านแก่ง แต่ว่าในช่วงมีน้ำนั้น น้ำจะท่วมจนไม่เห็นแก่งนั่นเองค่ะ ซึ่งช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการมาเที่ยวชมแก่งคุดคู้ก็คือช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนพฤษภาคม เพราะเป็นช่วงเวลาที่น้ำแห้งจนมองเห็นเกาะแก่งที่โค้งสันทรายริมแม่น้ำอย่างชัดเจนค่ะ แต่ถ้าต้องการสัมผัสธรรมชาติทั้งสองฝั่งของแม่น้ำโขงที่บริเวณแก่งคุดคู้อย่างใกล้ชิดล่ะก็... ที่นี่ก็ให้บริการเช่าเรือยนต์ล่องแม่น้ำโขงค่ะ โดยใช้เวลาล่องเรือไป-กลับประมาณ 1 ชั่วโมง นอกจากนั้นแล้วยังมีร้านขายอาหารประเภทส้มตำไก่ย่าง ลาบ แต่เมนูอาหารที่ห้ามพลาดเลยก็คือพล่ากุ้งเต้น, กุ้งทอด และต้มยำปลา ส่วนของที่ระลึกที่ควรซื้อติดไม้ติดมือเป็นของฝากก็คือมะพร้าวแก้วกับข้าวเปียกเส้นแบบห่อค่ะ

วิวธรรมชาติริมฝั่งแม่น้ำโขงบริเวณแก่งคุดคู้ มาช่วงสาย ๆ เที่ยง ๆ แดดก็จะร้อน ๆ หน่อย 5555 

แต่ดีหน่อยที่ไม่ค่อยมีคน เพราะมาวันธรรมดาค่ะ ^^

มาชมแก่งคุดคู้ในช่วงนี้ก็จะเห็นแก่งคุดคู้บริเวณช่วงโค้งของแม่น้ำโขงอย่างชัดเจนค่ะ

อีกมุมหนึ่งของแก่งคุดคู้ก็จะมีมุมถ่ายรูปค่ะ

รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมสำหรับไหว้บูชา และผีตาโขนกับพญานาคค่ะ

ห้องหุ่นผีตาโขน ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ซึ่งมีลักษณะเป็นเรือนไทยไม้มีใบกังหันลมติดอยู่ด้านบนค่ะ

อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำโขงเป็นชุมชน/บ้านเรือนของชาวลาวค่ะ

ภูเขากับสายน้ำโขงทั้งสองฝั่งเป็นเขตแดนกั้นระหว่างไทยกับลาวค่ะ

พอชมแก่งคุดคู้เสร็จแล้วก็นั่งรถสามล้อเครื่องกลับมากินอาหารกลางวัน แล้วก็เดินชมบรรยากาศเมืองเชียงคานตรงถนนคนเดินนิดหน่อย ก่อนจะกลับที่พักค่ะ ซึ่งตอนแรกเรากะว่าจะแวะไปเที่ยวชมหมู่บ้านวัฒนธรรมไทดำที่บ้านนาป่าหนาดด้วย แต่ว่ากลัวไกลเกินไปกับกลัวเงินไม่พอด้วยค่ะ เลยกลับที่พักดีกว่า อีกอย่างรู้สึกเหนื่อยด้วย ออกจากที่พักตั้งแต่เช้ามืด 5555 พอย้อนเวลากลับไป รู้สึกว่าตอนนั้นน่าจะแวะไปเที่ยวชมซะหน่อยดีกว่า ไหน ๆ มาเที่ยวแล้วทั้งที น่าจะมาให้คุ้มค่ะ

กลับมากินที่ร้านเดิมอีกแล้ว และนี่ก็คืออาหารกลางวันสุดหรูของเรา 

หรูตรงที่มีไข่กระทะเพิ่มมาด้วยค่ะ ปกติสั่งแค่ข้าวเปียกเส้นอย่างเดียว 5555

เดินชมบรรยากาศชุมชนบ้านไม้เก่า บริเวณถนนคนเดิน เสน่ห์ของเมืองเชียงคาน มีความสโลว์ไลฟ์อย่างแท้จริง พอได้มาเที่ยวแล้วรู้สึกอยากมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาก ๆ ค่ะ

หลังจากกินอาหารกลางวันและเที่ยวชมบรรยากาศเมืองเก่า ๆ รอบ ๆ ถนนคนเดินแล้วก็กลับที่พักค่ะ ตอนแรกว่าจะนอนหลับพักผ่อนซะหน่อย แต่นอนไม่หลับ เลยนั่งดูโทรทัศน์ไปเรื่อย ^^” จนกระทั่งตอนเย็นก็ออกมาที่พักเพื่อจะกินอาหารเย็น เดินเล่นซื้อของที่ถนนคนเดินนิดหน่อยแล้วก็กลับที่พักก่อนจะเดินทางกลับวันพรุ่งนี้ แต่พี่ผู้หญิงที่เป็นเจ้าของบ้านพักแนะนำว่าให้ลองไปนั่งเรือชมแม่น้ำโขงและพระอาทิตย์ตกดิน เราก็เลยนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานของพี่เขาไปส่งตรงที่เขาบริการล่องเรือชมบรรยากาศริมสองฝั่งแม่น้ำโขงค่ะ

รายชื่อคิวเรือพร้อมเบอร์ติดต่อสำหรับคนที่ต้องการนั่งเรือชมสองฝั่งแม่น้ำโขงค่ะ

เรือสำหรับชมสองฝั่งแม่น้ำโขงและพระอาทิตย์ตกดินเป็นเรือหางยาวค่ะ

ล่องเรือชมสองฝั่งโขงกันค่ะ

คลิปวิดีโอระหว่างล่องเรือชมแม่น้ำโขง เสียงเครื่องของเรือก็จะดังหน่อยค่ะ ^^

ชมวิวสองฝั่งโขงกันบ้างดีกว่าค่ะ เวลามาล่องเรือแม่น้ำโขงช่วงเย็น ๆ สักประมาณ 5 โมงก็จะเห็นพระอาทิตย์สะท้อนน้ำ หรือพระอาทิตย์ตกดิน สวยงามมาก ใครที่ชอบถ่ายพระอาทิตย์ตกดินขอแนะนำว่าให้ลองมานั่งเรือชมแม่น้ำโขงสักครั้งหนึ่งค่ะ

คลิปวิดีโอระหว่างล่องเรือชมแม่น้ำโขงอีกสักคลิปหนึ่งค่ะ 

เห็นบรรยากาศแบบนี้แล้วอยากย้ายมาอยู่ที่นี่จังเลย ชีวิต Slow Life มาก ๆ ค่ะ ^^

ชมพระอาทิตย์ตกดิน บอกเลยว่าสวยงามมากจริง ๆ ค่ะ ^^

หลังจากล่องเรือชมแม่น้ำโขงและพระอาทิตย์ตกดินแล้วก็ขึ้นฝั่งมาชมทะเลแดงริมฝั่งแม่น้ำโขงกันค่ะ ซึ่งทะเลแดงนี่จะเป็นสีของแม่น้ำโขงที่สะท้อนแสงพระอาทิตย์ตกดินนั่นเองค่ะ

เมื่อชมทะเลแดงริมฝั่งโขงเสร็จ เราก็นั่งกินอาหารเย็นและเดินเล่นให้อาหารย่อย บวกกับเที่ยวชมบรรยากาศยามค่ำคืนเป็นคืนสุดท้าย ก่อนจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ ในวันพรุ่งนี้เช้ากันค่ะ

สำหรับวันนี้เราก็รีวิวตามใจเพื่อนครบหมดทุกที่แล้ว หากใครที่ชอบท่องเที่ยวแบบสโลว์ไลฟ์ เรียบง่าย ๆ หรือต้องการหนีชีวิตเร่งรีบในเมืองหลวงล่ะก็...แนะนำว่าให้มาเที่ยวเชียงคานกันนะคะ เพราะนอกจากเราจะได้ชมวิถีชีวิตของผู้คนที่นั่นแล้ว ยังรู้สึกว่าการดำเนินชีวิตมีความเนิบช้า เหมือนได้พักผ่อนเพิ่มพลังชีวิตไปได้ตั้งเยอะเลยล่ะค่ะ ^^

Windy_love_Travel หญิงสาวผู้รักการท่องเที่ยว

 วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 18.07 น.

ความคิดเห็น