กลับมาอีกครั้งหลังจากที่เราพักการเขียนบทความรีวิวทริปเที่ยวกาญจน์ไปก่อน เนื่องจากรีวิวพิพิธภัณฑ์ 3 แห่งอย่าง “ศูนย์ประวัติศาสตร์เยาวราช”, “พิพิธภัณฑ์ราชทัณฑ์” และ “พิพิธภัณฑ์ศิริราชพิมุขสถาน” แทรกไว้ ถ้าทิ้งเวลาไปนาน เดี๋ยวจะลืม 5555 วันนี้ได้ฤกษ์เวลายามดีจึงกลับมาเขียนรีวิวเที่ยวกาญจน์ฯ กันต่อในทริป “ปักหมุดเที่ยวกาญจน์ กินอาหารป่า ชมธรรมชาติที่งดงาม” ซึ่งเป็นทริปเที่ยวจังหวัดนี้ครั้งที่ 4 ใน พ.ศ. 2563 เอาล่ะ...อารัมภบทมาเยอะแล้ว งั้นมาเที่ยวผ่านบทความไปพร้อมกันดีกว่าค่า!

ทริปนี้เริ่มต้นด้วยการกินอาหารเที่ยงที่ร้านอาหาร “โก๊ขิว ราชากบทอด” ร้านเดิมในอำเภอท่ามะกาอีกเช่นเคย ซึ่งอาหารที่สั่งก็เป็นเมนูเดิมบ้าง เมนูใหม่บ้างผสมกันไป ไม่ว่าจะเป็นไก่ผัดเผ็ดเหน่อไม้ดอง, ทอดมันปลากราย, หนังกบทอด, กะเพรากบ และต้มยำปลาคัง รสชาติอาหารไม่ต้องพูดถึง เพราะอร่อยอยู่แล้วค่ะ

หลังจากกินอาหารเสร็จ ก่อนจะนั่งรถไปเช็กอินข้าพักที่ “โรงแรมมาร์กาญ รีสอร์ท” โรงแรมแห่งเดิม จึงถ่ายรูปแมวนอนตากแดดบนโต๊ะค่ะ ดูท่าน้องแมวนอนสบายเชียว ใครมาอยู่ใกล้ไม่สนจริง ๆ ฉันจะนอน 5555

เมื่อเช็กอินเข้าที่พักแล้วก็พักให้หายเหนื่อยในห้องพักซะหน่อย หลังจากเดินทางมาไกล ตอนเย็นประมาณ 5 - 6 โมง เราก็นั่งรถมากินอาหารเย็นที่ร้านคาเฟ่ The Village Farm To Cafe' ร้านคาเฟ่เดิม ซึ่งเราสั่งเมนู “ซี่โครงหมูอบเท็กซัสขนาดเล็ก”, “ซุปเห็ดทรัฟเฟิล”, “น้ำเมลอน (น้ำผลไม้สกัดเย็น)” ก่อนจะปิดท้ายด้วยของหวานสุดอร่อยเมนูเดิมอย่าง “วาฟเฟิลกรอบเมลอนซอฟต์ครีม” อีกเช่นเคย หลังจากกินอิ่มแล้ว เราก็เดินไปถ่ายรูปบรรยากาศสวย ๆ ยามค่ำคืน โดยคืนนี้มีดนตรีในสวนให้ได้ฟังกันอย่างชิลล์ ๆ ด้วย จากนั้นก็เดินทางกลับที่พักค่ะ

เช้าวันรุ่งขึ้นเรานั่งรถออกไปกินอาหารเช้าที่ร้าน “ป้ายูรแกงป่า” ร้านอาหารเช้าเจ้าประจำ ซึ่งอาหารเช้าที่สั่งนั้นมีทั้งแบบกับข้าว กับแบบราดข้าว โดยเมนูกับข้าวได้แก่ หมูหวาน, กากหมูผัดพริกแกง และผัดเผ็ดหมูป่า ส่วนเมนูราดข้าว ได้แก่ ผัดไข่ไชโป๊ว และไก่ผัดเผ็ดหน่อไม้ดอง รสชาติเผ็ดจัดจ้านถึงใจมาก แนะนำว่าควรสั่งอาหารที่ไม่มีรสเผ็ดมากินด้วยนะคะ จะได้ไม่แสบท้องค่ะ

กินอาหารเช้าเสร็จแล้วก็มุ่งหน้าไปเที่ยวชม “น้ำตกเอราวัณ” ที่ “อุทยานแห่งชาติเอราวัณ” แต่คราวนี้ไม่มีผิดหวัง เพราะอากาศดี ไม่ร้อนจนเกินไป ท้องฟ้าแจ่มใส ไม่มีฝนตกเหมือนคราวก่อน เรากับพี่เลยขึ้นรถกอล์ฟไปยังทางเข้าน้ำตก ใกล้กับน้ำตกชั้นที่ 1 “ไหลคืนรัง” และร้านค้าสวัสดิการค่ะ (สามารถอ่านรีวิวน้ำตกเอราวัณฉบับเต็มได้ที่ “เที่ยว “น้ำตกเอราวัณ” ก่อนโควิดระบาดรอบ 2”)

เมื่อถึงทางเข้าน้ำตกแล้วก็มุ่งหน้าไปที่น้ำตกชั้นที่ 1 ทันที ซึ่งน้ำตกชั้นนี้ชื่อว่า “ไหลคืนรัง” เป็นน้ำตกชั้นเล็ก ๆ เหมาะสำหรับนั่งปิกนิกกับครอบครัวหรือเพื่อน ๆ เพราะมีร้านค้าสวัสดิการขายอาหารและเครื่องดื่มในราคาปกติ แต่จะมีความพิเศษตรงที่ไม่ใช้กล่องโฟม แต่จะใช้กล่องพลาสติกใส ๆ แทน หากต้องการซื้ออาหารหรือเครื่องดื่มจะต้องแลกคูปองก่อนนะคะ

ชมน้ำตกชั้นที่ 2 กันต่อ ซึ่งน้ำตกชั้นนี้ชื่อว่า “วังมัจฉา” อยู่ถัดจากน้ำตกชั้นที่ 1 “ไหลคืนรัง” มาแค่นิดเดียว แต่น้ำใสกว่า สวยกว่า และน่าเล่นกว่า เนื่องจากมีแอ่งน้ำให้ลงไปเล่นได้และฝูงปลาพลวงแหวกว่ายอยู่ในน้ำ คอยตอกขาให้จั๊กจี้เล่นค่ะ 5555

ถัดจากน้ำตกชั้นที่ 2 ขึ้นไป เจ้าหน้าที่อุทยานไม่อนุญาตให้นำอาหารกับเครื่องดื่มเข้าไป แต่หากจำเป็นต้องพกขึ้นไปจะต้องจ่ายค่ามัดจำลงทะเบียนก่อนแล้ว เจ้าหน้าที่จะทำสัญลักษณ์ไว้ให้และขากลับให้นำติดตัวลงมาด้วย เพื่อทิ้งในถังที่เจ้าหน้าที่เตรียมไว้ให้และรับเงินมัดจำคืน แต่ถ้าไม่นำกลับมาแสดงว่าทิ้งไว้ในป่าจะต้องจ่ายค่าปรับค่ะ

ก่อนเดินถึงน้ำตกชั้นต่อไปจะเจอสะพานและน้ำตกชั้นเล็ก ๆ ระหว่างทางที่เป็นช่วงปลายน้ำของน้ำตกชั้นที่ 3 ซึ่งสวยงามไม่แพ้กันค่ะ

ถึงน้ำตกชั้นที่ 3 แล้ว ซึ่งน้ำตกชั้นนี้ชื่อว่า “ผาน้ำตก” อยู่ห่างจากน้ำตกชั้นที่ 2 “วังมัจฉา” เพียง 100 - 200 เมตรเท่านั้น โดยน้ำตกชั้นนี้จะมีสายน้ำตกลงมาในระดับสูงจากหน้าผาจนถึงแอ่งน้ำเขียวสีมรกตอันกว้างใหญ่เบื้องล่าง สมกับชื่อน้ำตกจริง ๆ และเมื่อเข้าไปยืนเล่นน้ำข้างในบริเวณน้ำตกก็จะรู้สึกสดชื่นซู่ซ่าค่ะ

เดินต่อไปยังน้ำตกชั้นที่ 4 ซึ่งน้ำตกชั้นนี้ชื่อว่า “อกผีเสื้อ” ห่างจากน้ำตกชั้นที่ 3 เพียง 250 เมตรเท่านั้น แม้จะเป็นระยะทางสั้น ๆ แต่ก็ชันจนหลายคนเดินต่อไม่ไหว โดยน้ำตกชั้นนี้มีลักษณะเป็นเนินหินทั้ง 2 ก้อนบริเวณที่น้ำตกไหลผ่านลงมานั้นดูคล้ายกับเนินอกของนางผีเสื้อสมุทรในวรรณคดีไทยนั่นเอง เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเล่นสไลเดอร์ค่ะ

มุ่งหน้าเดินต่อไปยังน้ำตกชั้นที่ 5 ซึ่งน้ำตกชั้นนี้ชื่อว่า “เบื่อไม่ลง” สมกับชื่อน้ำตกจริง ๆ เนื่องจากน้ำตกชั้นนี้สวยมากจนเบื่อไม่ลง ยิ่งมีแสงแดดตอนสาย ๆ สะท้อนลงมากระทบกับผิวน้ำจนเป็นสีเขียวอ่อน ๆ ฟ้า ๆ ยิ่งสวยงามมากขึ้นไปอีกค่ะ

เดินขึ้นมาอีกเป็นน้ำตกชั้นที่ 6 ซึ่งน้ำตกชั้นนี้ชื่อว่า “ดงพฤกษา” เป็นน้ำตกที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์และมีม่านน้ำไหลแหวกม่านพฤกษาตกลงสู่เบื้องล่างค่ะ

เดินขึ้นเขาอย่างทรหดสู่น้ำตกชั้น 7 บอกเลยว่าเส้นทางโหดเอาเรื่องจริง ๆ ต่อให้มีบันไดให้ขึ้นสะดวกกว่าแต่ก่อนที่ต้องปีนป่ายเขาขึ้นมาก็ยังแทบหมดแรงเลยค่ะ 5555

ถึงน้ำตกชั้นที่ 7 แล้ว เย้ ๆ ^^ ซึ่งน้ำตกชั้นนี้ชื่อว่า “ภูผาเอราวัณ” เป็นน้ำตกชั้นบนสุดและชั้นสุดท้ายที่สวยงามมากที่สุด เนื่องจากเมื่อมองหน้าผาตรงหน้าไกล ๆ จะเห็นเป็นหัวช้างสามเศียรคล้ายกับช้างเอราวัณ จึงเป็นที่มาของชื่อน้ำตกชั้นนี้นั่นเองค่ะ

หลังจากถ่ายรูปน้ำตกชั้นที่ 7 แล้วจึงเดินกลับลงมายังน้ำตกชั้นที่ 1 และนั่งรถกอล์ฟต่อไปยังลานจอดรถ เพื่อเดินทางไปยังร้านอาหารชื่อ “บ้านคุณย่า” เพราะตอนที่ลงมาจากน้ำตกก็ใกล้ถึงเวลาอาหารมื้อเที่ยงพอดี ซึ่งร้านบ้านคุณย่าเป็นร้านอาหารเล็ก ๆ ที่สามารถมองเห็นภูเขาและป่าสีเขียวสวยงามทางด้านหลังร้าน โดยอาหารที่เราสั่งได้แก่ ผัดฉ่าปลาคัง, ทอดมันปลา​กราย, ไก่รวนเค็ม และผัดผักรวมมิตร รสชาติอร่อยกลมกล่อม และจัดจ้านแบบถึงพริกถึงขิงค่ะ

หลังจากกินอาหารกลางวันจนอิ่มแปล้แล้วก็กลับเข้าที่พัก เนื่องจากช่วงเช้าเดินขึ้นน้ำตกเอราวัณจนเหนื่อย จึงต้องมานอนตากแอร์ตลอดช่วงบ่าย 5555 พอบ่ายแก่ ๆ เย็น ๆ ก็ตื่นขึ้นมาเที่ยวต่อ เราจึงนั่งรถไปเดินเล่นที่ “ถนนคนเดินปากแพรก” ซึ่งเป็นถนนสายเล็ก ๆ สำหรับเลือกซื้อสินค้าพวกของกิน ของใช้ต่าง ๆ เปิดเฉพาะช่วงเย็นวันเสาร์ตั้งแต่เวลา 4 โมงเย็นไปจนถึง 3 ทุ่ม จากนั้นเราก็นั่งรถมากินอาหารเย็นที่ร้านอาหาร คีรีธารา” ใกล้กับสะพานข้ามแม่น้ำแคว เน้นอาหารไทยโบราณเป็นหลัก โดยเราสั่งเมนูต้มยำปลาคัง, ห่อหมกโบราณ และหลนเต้าเจี้ยว รสชาติอร่อยนัวกลมกล่อมกำลังดีค่ะ

เช้าวันรุ่งขึ้น เรานั่งรถไปกินอาหารเช้าที่ร้านข้าวราดแกงแห่งหนึ่ง แต่จำชื่อร้านไม่ได้ 5555 ซึ่งเมนูที่เราสั่งเป็นข้าวราดแกง และเมนูกับข้าว มีทั้งไข่ดาว, กุนเชียง, ไส้กรอก, หมูทอด และแกง 2 ชาม รสชาติอาหารรวม ๆ ถือว่าพอใช้ได้ค่ะ

จากนั้นก็นั่งรถย้อนกลับมาแวะร้าน “หอมคะน้าคาเฟ่” เพื่อซื้อเครื่องดื่มอย่างน้ำชามะนาวและกาแฟ และนั่งเล่นกินลมชมวิวอย่างชิลล์ ๆ ค่ะ

แวะซื้อเครื่องดื่มแล้ว เราก็มุ่งหน้าเดินทางต่อไปยัง “น้ำตกไทรโยคน้อย” เพื่อถ่ายรูปน้ำตกและรถไฟ โชคดีที่มาช่วงเช้า ๆ เลยได้ถ่ายรูปแบบไม่ติดคน และไม่ต้องแย่งมุมถ่ายรูปกับคนอื่น ๆ ค่ะ 5555

ชมน้ำตกไทรโยคน้อยแล้วก็มุ่งเดินทางต่อไปยัง พิพิธภัณฑสถานแห่งความทรงจำช่องเขาขาด” หรือเรียกกันอย่างสั้น ๆ ว่า “ช่องเขาขาด” ที่ตั้งอยู่บริเวณกองส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ์ หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา อำเภอไทรโยค ซึ่งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นอนุสรณ์สถานที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่เชลยศึกสงครามและกรรมกรหลายหมื่นคนที่เสียชีวิตจากการสร้างทางรถไฟสายมรณะในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยแบ่งพื้นที่จัดแสดงเป็น 2 ส่วนด้วยกันคือ นิทรรศการภายในอาคารและช่องเขาขาดเป็นสถานที่จริงทางด้านหลังอาคารค่ะ

ก่อนเข้าไปชมช่องเขาขาดทางด้านหลังอาคาร เราเดินชมนิทรรศการภายในอาคารที่จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับการสร้างทางรถไฟสายมรณะและความโหดร้ายป่าเถื่อนของสงครามผ่านสื่อมัลติมีเดีย ภาพถ่าย หุ่นจำลอง และสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ของเชลยศึกที่หลงเหลือมาในอดีตค่ะ

หลังจากชมนิทรรศการแล้วก็เดินออกมาทางด้านหลังและเดินลงบันไดไปยังช่องเขาขาดที่เชลยศึกสงครามร่วมกันสร้างขึ้นอย่างยากลำบาก ซึ่งบรรยากาศระหว่างทางนั้นเงียบสงบ มีการประดับธงชาติ และดอกป๊อปปี้อยู่เป็นระยะ เพื่อระลึกถึงผู้ล่วงลับให้คนรุ่นหลังได้ตระหนักถึงความเลวร้ายจากภัยสงครามค่ะ

เมื่อชมช่องเขาขาดแล้วจึงเดินทางกลับที่พักเพื่อเก็บกระเป๋าพร้อมทั้งเช็กเอาท์ออกจากโรงแรม และเดินทางกลับไปกินอาหารเที่ยงที่ร้าน “ครัวจ่าพอง” ในจังหวัดนครปฐม ซึ่งเมนูที่สั่งได้แก่ สามชั้นทอดน้ำปลา, ปลากะพงทอดน้ำปลา, กบทอดกระเทียม, ข้าวผัดปู และต้มยำปลาคัง หลังจากนั้นก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพค่ะ

หลังจากที่เรารีวิวทริปเที่ยวเมืองกาญจน์ครบทั้ง 4 ทริปแล้ว เป็นอย่างไรกันบ้างคะ? ชอบทริปไหนหรือต้องการเที่ยวชมสถานที่เที่ยวที่ไหนกันบ้างเอ่ย? ใครที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวแบบครบรสทุกแนว ลองแวะเข้ามาเที่ยวกาญจนบุรีกันได้ รับรองว่ามีครบแน่นอนค่ะ ^^

ความคิดเห็น