อินเดียที่ไม่เหมือนอินเดีย ดูยังไง๊ยังไงก็ไม่อินเดีย
แคชเมียร์ หนึ่งในเมืองที่น่าไปเยือนของอินเดีย ดินแดนในวงล้อมของสองวัฒนธรรม อินเดียและปากีสถาน
ฉันหลงรัก "แคชเมียร์" ตั้งแต่แรกเห็น ... แม้จะเป็นแค่ในรูปถ่าย
ในหัวไม่มีไอเดียอะไรเลยเกี่ยวกับบ้านนี้เมืองนี้ ได้ยินข่าวความไม่สงบบ้างประปราย
และท้ายสุดก็คือข่าวน้ำท่วมที่ดูน่ากลัวมากจากภาพข่าวที่สื่อสารออกไปทั่วโลก
แต่กระนั้นความฝันของฉันก็ไม่ได้หยุดพักเลย!
เดือนเมษายน ปี 2015 ฉันได้มีอากาสไปเยือนประเทศอินเดียอีกครั้งด้วยหน้าที่การงาน
ฉันต้องไปตะลุยอยู่มุมไบ และเดลลีราวหนึ่งสัปดาห์ มีเวลาเหลือก่อนกลับเพราะติดช่วงสงกรานต์พอดี
ก็เลยคิดว่า “เฮ๊ย! อินเดียตั้งกว้าง ยังเห็นไม่ครบเลย ต้องไปเยือนสักหน่อยสิ!"
ค่ะ! วลีเดิมๆ เพิ่มเติมคือความอยากไป 555 ว่าแล้วก็ไม่รอช้า กดตั๋ว Jet Airways มาครอบครอง – มีเวลา 10 วันเลือก 2 เมืองแปลกที่ไม่น่าเชื่อว่าอยู่ในประเทศอินเดีย หนึ่งในนั้นคือ “แคชเมียร์"
*Tips* ซื้อตั๋ว Jet Airways ซื้อยาวเป็นแพคเกจเลยจะคุ้มกว่าไปซื้อแยกสายการบินนั่นนู่นนี่ เว้นแต่เจอราคาโปรฯแรงกระชากใจอันนี้ ก็ต้องลองหาดูกันนะคะ
*อย่ากลัวสายการบินแขก ... มันไม่ได้แย่อย่างที่คิดค่ะ
ขอเลี่ยงไม่ปูพื้นให้ยาวนานมาเน้นเรื่องเที่ยวกันดีกว่า!
คราวนี้ขอใช้เวลา 5 วันอันแสนคุ้มค่าด้วยงบประมาณราคาไม่แรงตามธรรมเนียมนิยมพนักงานออฟฟิศเบี้ยน้อยหอยแครงอย่างเรา 555
ตารางการเดินทาง
Day 1: 10 APR – ทำงานเสร็จจากมุมไบ – บินเข้าเดลลีมานอนสวยๆ 1 คืนค่ะ (อันนี้ไม่นับเนอะ – ส่วนใหญ่ไฟลท์มาจากบ้านเรา ยังไงก็ต้องมาค้างเดลลี 1 คืนเลือกเวลาดีๆ ไปเที่ยวในเดลลีหรือจะขึ้นไปเที่ยวอักรา ทัชมาฮาลก็เริ่ดค่ะ)
Day 2: 11 APR – Flight 9W 603: 12.05 - City Tour กรุบกริบ – ชมทุ่งทิวลิปอลังการงานสร้าง – ชมป้อม ชมน้ำพุ และสวนสไตล์โมกุล – พักบ้านเรือแสนโรแมนติก! (ใช้บริการของ New Jacquline Houseboats-ของแท้ต้องมี New นำหน้านะคะคุณผู้ชม)
Day 3: 12 APR – Sonamarg – ขี่ม้าชมภูเขาหิมะและธารน้ำแข็งสุดสวย - ใครอยากลองเลื่อนหิมะ มาลองม่ะ! – ชมห้องแสดงผ้าแคชเมียร์แท้ๆและของที่ระลึกราคาดีมากๆ
Day 4: 13 APR – Pahalgam – ขี่ม้าปีนเขา ชมทัศนียภาพราวกับฉากหลังของภาพยนตร์ The Sound of Music (แต่จริงๆเป็นโลเคชั่นหนังแขกดึ่งดึ๋ยที่ฮิตมากๆ)
Day 5: 14 APR – Gulmarg –โอ้แม่เจ้า นี่มันเทือกเขาแอลป์ชัดๆ! – ยามเย็นล่องเรือชิการ่าจิบชาชมทะเลสาบ Nigeen Lake
Day 6: 15 APR – โบกมือลา สุกรียา แคชเมียร์ บินต่อไปเปิดเมืองแปลก ประเทศแขกก็มี Little Tibet! (น่าจะพอเดาได้ว่าไปไหนต่อเนอะ)
ค่าใช้จ่าย/ คน ไปกัน 2 สาว ราคาเบาๆตามนี้ค่ะ
1. ตั๋วเครื่องบิน – ขอตัดราคาที่ไฟลท์ BKK-DEL-SRI NAGAR-DEL-BKK นะคะ = 12,800 บาท (Jet Airways)
2. แพคเกจทัวร์ 5 วัน/ 4 คืน พร้อมที่พักบนบ้านเรือ New Jacquline Houseboats ( http://www.newjacqulinehouseboats.com/ ) รวมอาหารเช้า/เย็น พร้อมพ่อบ้านบริการสุดประทับใจ = 12,200 INR = 6,100 บาท ตอนนั้นคิดง่ายๆเลย 1รูปี = .50ตังค์
3. จิปาถะ – ขนม ของกิน – ทิป = 1,000 บาท
TOTAL: 19,900 บาท / คน
พร้อมแล้ว ไปลุยกันเลยค่ะ!!!
10 ข้อควรรู้ก่อนเดินทางสู่ “แคชเมียร์"
1. แคชเมียร์ เป็นดินแดนทางตอนเหนือของอินเดีย อยู่ในแคว้นจัมมู-แคชเมียร์ (คนอินเดียเรียกกัษมีร์) มีเมืองหลวงคือ ศรีนาการ์ (Srinagar) แต่คนแคชเมียร์ไม่นิยมเรียกตัวเองว่าเป็นคนอินเดีย แต่จะเรียกตัวเองว่า Kashmiri มีภาษาเป็นของตัวเองและนับถือศาสนาอิสลาม
2. ความประหลาดของแคว้นจัมมู-แคชเมียร์ คือมีเมืองหลวงหลักๆ 3 เมืองใหญ่ ได้แก่ จัมมู (นับถือศาสนาฮินดูพูดภาษาฮินดี) แคชเมียร์ (นับถือศาสนาอิสลามพูดภาษาแคชมีรี) และลาห์ดัค (นับถือศาสนาพุทธมหายานพูดภาษาลาดักกี้)
3. หนาวมากกกกกก 6 เดือน อีก 6 เดือนหนาวนิดหน่อยไปถึงร้อนนิดหน่อย มี 4 ฤดูเหมือนยุโรป เดือนทางท่องเที่ยวได้ตลอดปี แต่ที่น่าเที่ยวที่สุด คือฤดูใบไม้ผลิค่ะ ชวง มีนาคมถึงต้นเดือนพฤษภาคม อุณหภูมิประมาณ 20C อุณหภูมิต่ำสุดประมาณ 6 C และช่วงฤดูร้อน เดือนพฤษภาคม – เดือนสิงหาคม อุณหภูมิสูงสุด 29 C ต่ำสุด 10 C
4. อาหารการกิน – ถ้าไม่มีปัญหากับเครื่องเทศ อาหารแคชเมียร์ก็ไม่ยากเลยสำหรับคุณ – และที่ดีไปกว่านั้น คือพ่อบ้านที่บ้านเรือ พอจะทำกับข้าวไทยง่ายๆอย่างไข่เจียว ผัดผักได้ แถมแกงไก่และซุปผักของเค้าก็อร่อยดีใช้ได้เลยทีเดียว
5. ภาษา – ภาษาอังกฤษใช้สื่อสารกับผู้คนในแคชเมียร์ได้ดี (ขนาดกับคนอินเดีย คนแคชเมียร์ก็พอใจที่จะพูดอังกฤษใส่มากกว่าภาษาฮินดี)
6. ผู้คน – หนุ่มหล่อ สาวสวย นัยน์ตาชวนฝัน (เดี๋ยวๆๆ ไม่ใช่ประเด็นสิ 555) ผู้คนใจดี ส่วนตัวที่เจอมาทั้งคุณพ่อเจ้าของที่พัก คุณลูกชาย และคุณพ่อบ้าน คนขับรถ ผู้คนที่เจอใจดี ไม่โกง เจอนิดๆตอนเดินช๊อปปิ้งในเมือง แต่โดยรวมถือว่า ผู้คนน่ารัก
7. ความปลอดภัย – โคตรปลอดภัย ทหารเดินถือปืนกลเต็มเมือง! รถถังรถทหารเพียบ ด้วยความยังเป็นพื้นที่คุกรุ่นจากปัญหาภายใน (ไปค้น google ดูเนอะ) แต่ส่วนตัวคิดว่า มันไม่ได้ “เป็นพื้นที่สีแดง" หรือเสี่ยงอะไรขนาดนั้น โดยรวมส่วนตัวถือว่า ปลอดภัยค่ะ เที่ยวได้ ก่อนไปก็ดูอัพเดทข่าวสารซะหน่อยก็ดี เหะๆๆ
8. ที่พัก – แนะนำให้จองบ้านเรือ!!! ยังไงก็ขอให้ลองค่ะ โมเมนท์ที่ได้นั่งจิบชาสายตาทอดมองไปเบื้องหน้าสู่ทะเลสาบและยอดเขาอยู่ลิบๆ ... มันสุดยอดมาก!
9. ของฝาก – ผ้าแคชเมียร์! –ของแท้ไม่ใช่แค่ลอดแหวนได้ ของแท้ก็คือของแท้ แนะนำซื้อกับร้านที่มีการรับรอง ได้ลองจับของปลอมแล้ว โห นี่ขนาดปลอมนะ มันนุ่มมาก แต่พอได้จับของแท้ ก็เหอ... มันต่างกันอยู่นะเธอ!-ซื้อฝากเพื่อนฝากฝูง ซื้อเป็นผ้าวูลหรือฝ้ายลายสวยๆก็เริ่ดค่ะ เสื้อแบบแคชมีรีปักลายละเอียดยิบ ก็ดีงาม พวกน้ำมันแอพริคอท แอพริคอทแห้ง ก็ดี ไม่แพงด้วย แอลมอนด์สด/แห้ง หรือแบบน้ำมันก็เริ่ดค่ะ ถ้าใครชอบทำอาหาร ทำขนม หญ้าฝรั่น (Saffron) ของแคชเมียร์ก็ถือว่าคุณภาพดีระดับโลกเลยทีเดียว (ไม่แพงด้วย)
10. *ทิป* อันนี้สำคัญ! ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นคนขับรถ คนจูงม้า คนพายเรือ หรือพ่อบ้าน จะไม่เขินอายเลยเวลาเอ่ยปากขอทิป – ส่วนตัวนี่ยินดีให้แบบไม่ตะขิดตะขวงใจด้วยเพราะบริการดี ทำงานด้วยใจมากๆค่ะ แต่ใครไม่รู้อาจจะรู้สึกแปลกๆเวลาโดนทวงถามถึงทิป นี่ไม่รู้สึกแปลก รู้สึกดีที่เขาถามด้วยค่ะ 555 เพราะไม่แน่ใจ ทิปดีไหม๊ว๊า เค้าจะรับไหม๊ 555 (ทิปมาตรฐาน ประมาณ 100-200 รูปี หรือแล้วแต่เห็นสมควรค่ะ อย่างพ่อบ้านที่บ้านเรือ ทิปไปวันละ 100รูปี (50บาท) / คน ก็คนละ 500 /2 คนพ่อบ้านได้ไป 1 พันรูปียิ้มไม่หุบเลย)
Day 1: 10 APR – ทำงานเสร็จจากมุมไบ – บินเข้าเดลลีมานอนสวยๆ 1 คืนค่ะ ---ขอผ่านไม่เล่าเนอะ 555
Day 2: 11 APR – ออกเดินทางจากเดลลีสู่ศรีนาการ์-ชมทุ่งทิวลิปอลังการงานสร้าง – ชมสวนสไตล์โมกุล – พักบ้านเรือแสนโรแมนติก!
ใช้บริการ Jet Airways เป็นครั้งแรก (บินจาก กทม. มาส่วนตัวคิดว่าดีนะ) ถามว่า เต็ม 10 นี่ให้ Jet 8 คะแนนเลย บริการ / เครื่อง / ความสะอาด / อาหาร ดีงามนะไม่แย่เลย ผู้โดยฯแขกก็ดี แอร์ฯแขกก็ดี แถมโชคดีไม่เจอ “อาวุธชีวภาพทางกลิ่น" เลยตลอดการเดินทาง (หรือชินก้ไม่รู้) 555
Tips อินเดีย ใครเคยไปจะรู้ว่า security ที่สนามบินมีความเข้มข้นสูงมากๆ เพราะฉะนั้นเตรียมตัวเตรียมใจ จัดกระเป๋าไว้ให้ดีค่ะ อาจพบประสบการณ์ล้วงลูบควักแคะบ้าง (เจ้าหน้าที่ผู้หญิงตรวจผู้หญิง) – แรกๆอาจไม่ชิน นานๆไปจะรู้สึกชิลล์ไปเองค่ะ 555 ฉะนั้นแถวจะยาว รอจะนาน ควรเผื่อเวลาดีดีนะคะ
นั่งสวยๆ 1 ชั่วโมง40นาที ก็จะเข้าสู่เขต Jammu Kashmir เริ่มเห็นภูเขาหิมะ สวยมากๆ และกัปตันก็บินต่ำมากพอควร เหมือนอยากจะให้ผู้โดยฯได้สัมผัสความงามของภูเขาหิมะ – เวลา 12:05 น. เราก็แลนดิ้งอย่างสวยงาม ณ สนามบิน ศรีนาการ์, แคชเมียร์
คนขับรถของเรา มิสเตอร์ อะจาซ Ajaz พูดน้อย แต่ใจดี มีความยิ้มยากแต่ดูเลาๆว่าน่าจะขี้อาย และคงสงสัยสองชะนีนี่ก๋ากั่นแท้ เดินทางกันมาเองสองคน (จริงๆ คนไทยมาเที่ยวเองก็เยอะนะคะ ไม่ใช่ของแปลกสักเท่าไหร่ในแคชเมียร์) อะจาซ ถามเราว่าจะเข้าที่พักก่อนหรือจะไปเที่ยวเลยดี เรากำลังคึกไง แน่นอนว่าขอเที่ยวก่อน อะจาซไม่รอช้า พาเราเที่ยวกันก่อนเลย!
Pari Mahal หรือแปลเป็นภาษาอังกฤษกิ๊บเก๋ว่า The Fairies' Abode - สวนระเบียงเจ็ดชั้นตั้งอยู่บนยอดเขา Zabarwan มองลงไปเห็นวิวทิวทัศน์เมืองศรีนาการ์ และทะเลสาบดาล (Dal Lake)
สถาปัตยกรรมตามแบบอิสลามตามยุคสมัยราชวงศ์โมกุล ของจักรพรรดิ Shah Jahan คนเดียวกับที่สร้าง Taj Mahal นั่นล่ะค่ะ แคชเมียร์ในสมัยนั้นก็อารมณ์ สวิสฯบ้านเค้า เป็นเมืองตากอากาศ รักใครโปรดใคร ก็สร้างสวน สร้างน้ำพุให้กัน – สวนและน้ำพุเลยมีอยู่เยอะแยะมากมายกระจัดกระจายทั่วไปในแคชเมียร์
– ประวัติศาสตร์อินเดีย-Middle East น่าสนใจพอๆกับ จีน-มองโกล – แนะนำเลยถ้าใครชอบแนวนี้มาแคชเมียร์ไม่ผิดหวัง
บรรยากาศดี นั่งเล่นนอนเล่น คนท้องถิ่นก็มานั่งปิกนิกกัน อากาศดีมากๆค่ะ ราวๆ 15 – 20 องศา ฤดูใบใผลิกำลังมา ต้นไม้ดอกไม้สวยสด เดือนเมษายน เป็นช่วงเวลาที่น่ามาเยือนแคชเมียร์จริงๆ
สวนนิชาท (Nishat Garden) ลงมาจาก Pari Mahal ไม่ไกลก็จะพบกับสวนโมกุลที่ใหญ่เป็นอันดับสองของแคชเมียร์ นิชาทเป็นภาษาอูรดูแปลว่า “สวนแห่งความสุข"
สวนนี้ อาซาฟข่าน ได้สร้างให้กับน้องสาว นอร์จาร์ฮาล มเหสีของกษัตริย์ชาร์ฮังกีในปี ค.ศ.1633 ต่อมา กษัติรย์ชาร์จาฮาล (คนเดียวกับเจ้าของตำนาน Taj Mahal) ได้เสด็จมาชมสวนแห่งนี้และพระองค์ได้ตรัสกับ อาซาฟข่านถึง 3 ครั้งด้วยกันว่าสวนแห่งนี้งดงามชนิดไม่สามารถหาสวนแห่งใดในโลกนี้เทียบได้
ในปัจจุบัน สวนแห่งนี้ได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี มีไม้ดอกไม้ประดับสวยงาม น้ำพุธรรมชาติที่มีความใสสะอาด ได้รับความนิยมทั้งจากนักท่องเที่ยวและชาวแคชเมียร์มาพักผ่อนหย่อนใจกันเป็นจำนวนมาก
ชมทุ่งดอกทิวลิปอลังการงานสร้าง Indira Gandhi Memorial Tulip Garden
ในเดือนเมษายนของทุกปี แคชเมียร์จะมีการจัดงานเทศกาลดอกทิวลิปบาน สวนทิวลิปขนาดใหญ่ของแคชเมียร์ได้ชื่อว่าใหญ่ติดอันดับ 1 ของเอเชียแปซิฟิค และเป็นสัญลักษณ์การท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของแคชเมียร์อีกด้วยค่ะ
ดอกทิวลิปที่นี่เยอะมากและมีหลากหลายสายพันธุ์ กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา สารพันสี อากาศกำลังดี เดินถ่ายรูปกลางแดดได้สนุกมาก ผู้คนที่มาเที่ยวส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวอินเดียจากต่างเมืองเสียส่วนมากค่ะ จะหาฝรั่งหรือจีนพูดเลยว่าแทบไม่มี พอมีญี่ปุ่นและเกาหลีประปราย
เราใช้เวลาอยู่ในสวนทิวลิปประมาณสองชั่วโมงกว่าๆ ยังเดินได้ไม่ทั่วทุกส่วนเลยค่ะ 555 หมดแรงซะก่อน!
สวนชาลิมาร์ (Shalimar Garden) สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1619 โดย กษัตริย์ ชาห์ ฮัง กีร์ ซึ่งเป็นพระราชโอรส ของกษัตริย์อัคบาร์ โดยทรงสร้างสวนนี้เป็นของขวัญมอบให้แด่มเหสีผู้เป็นที่รักคือพระนาง นูร์จาฮาล (ป้าของพระนางมุมตัช เจ้าของตำนานทัช มาฮาล) งดงามไปด้วยไม้ดอกและไม้ประดับตามริมสองข้างทาง มีศาลาขนาดเล็กทั้งสองฝั่ง ตรงกลางมีธารน้ำและมีน้ำพุตั้งเป็นแถวเรียงลำดับกันลงมา
– สวนแห่งนี้อยู่ติดกับทะเลสาบดาล (Dal Lake) วิวสวยบาดตามาก อธิบายไม่ถูกเอาภาพไปชมค่ะ!
ที่พัก – ตามหลักของเรา “ถูกและดี มีรีวิวการันตีความดีงาม"
ขอแนะนำ New Jacquline Houseboats ( http://www.newjacqulinehouseboats.com/ ) ไปเจอโรงแรมนี้เข้าด้วยความบังเอิญของโลก
คือตั้งใจว่าจะจอง Jacqueline Houseboats ที่ Dal Lake ตามที่มีคนแนะนำมา
ทีนี้ Google ดู เอ้า ไปเจอเจ้านี้เข้า ส่งเมลล์ไปถามดู ปรากฏว่าถูกใจในความเร็วและคำตอบที่ครบถ้วนไม่งอแง
ก็เลยตัดสินใจทันทีจองกับที่นี่ทั้ง 5 วันและก็ไม่ผิดหวังค่ะ!
เจ้าของคือคุณพ่อ ชื่อ Mr. Maqsood Madari ตอนนี้ให้ลูกชายคนโตช่วยดูแลกิจการอยู่ ชื่อ คุณสามี! (555) หนุ่มแว่นสูงหล่อ หน้าตาดี ภาษาอังกฤษดีมากและมีภรรยาแล้ว วะฮ่ะๆๆๆ
แพคเกจที่เราเลือก คือแพคเกจทัวร์ 5 วันค่ะ แบบรวมอาหารเช้าและเย็น ไม่มีไกด์ คนขับรถพูดอังกฤษได้ และคอยช่วยเหลือดี รถที่ใช้ก็ดีเป็น Toyota Camry นั่งกันสองคน สบายสุดๆ!
*Tips* Nigeen Lake กับ Dal Lake มีบ้านเรือเป็นโรงแรมให้บริการอยู่หลายเจ้าค่ะ ใครชอบคึกคัก ใกล้ร้านค้า ร้านอาหาร เลือก Dal Lake นะคะ แต่ใครชอบเงียบสงบ ไม่พลุกพล่าน เลือก Nigeen Lake ค่ะ
อะจาซคนขับ มาส่งเราลงเรือเพื่อข้ามฟากมาส่งที่ Jacquline Houseboats ใช้เวลาประมาณ 10นาทีค่ะ – คุณสามี มารอต้อนรับพร้อมคุณพ่อ Maqsood และพ่อบ้านคู่ใจประจำเรือบ้านของเรา คุณลุงอัคบาร์ ที่รอต้อนรับเราด้วยชาร้อนและขนม
ห้องพักสำหรับ 2 คน ถือว่าสะอาดและดีมาก ห้องน้ำใช้ได้ ไวไฟดี ทีวีจอแบนอยู่ห้องรับแขกที่เป็นห้องกินข้าวด้วย คสามสะอาด 5 ดาว บริการของพ่อบ้านเอาไป 10 ดาวเลยค่ะ! รู้สึกเป็นมาดามมากๆ ตลอดระยะเวลาที่อยู่แคชเมียร์ โฮะๆๆ
เก็บกระเป๋าเข้าห้องพัก เรียบร้อย ระเบียงหน้าเรือก็กลายเป็นสวรรค์บนดิน...ชาร้อนๆ คุ๊กกี้แขกกรอบๆ กลิ่นความเย็นที่สายลมพัดผ่านมาจากยอดเขาที่ยังมีหิมะปกคลุมอยู่เบื้องหน้า เสียงของทะเลสาบ และเสียงเพลงแคชมีรีจากพ่อค้าที่พายเรือผ่านไปมา ขายของที่ระลึก..
เฮ้อ.................ขออยู่อย่างนี้ทั้งวันก็ได้นะ
Day 3: 12 APR – Sonamarg – ขี่ม้าชมภูเขาหิมะและธารน้ำแข็งสุดสวย - ใครอยากลองเลื่อนหิมะ มาลองม่ะ! – ชมห้องแสดงผ้าแคชเมียร์แท้ๆ
ตื่นเช้า อากาศเย็นๆ เย็นจนหนาวนะ ... คว้าเสื้อแจ๊กเก็ตได้ออกมาก็เจอลุงอัคบาร์ยืนรอยิ้มเผล่ถาม “What would you like for breakfast, mam?" อะฮือ นึกว่าอยู่โรงแรมเชอราตัน 555
เช้านี้ได้กินชานมกับขนปังอบแบบแคชมีรี ก็อร่อยดีนะ มีไข่เจียวด้วย อัคบาร์บอกว่าเย็นนี้จะทำอาหารไทยให้ลองชิม (เมื่อคืนแรกโดนอาหารแขกไปแล้ว 555) นั่งจิบชานม ดมอากาศยามเช้าได้สักพัก ก็ต้องออกเดินทางเพราะอะแจซมารับตอน 9โมงเช้า
วันนี้ไป Sonamarg หรือ ที่เค้าเรียกกันว่า “ทุ่งหญ้าสีทอง" แต่เดี๋ยวก่อน วันที่เราไปไม่มีทั้งทุ่งหญ้าและไม่มีทั้งสีทองค่ะ 555
ระหว่างทางไปSonamarg วิวทิวทัศน์สองข้างทางสวยสดงดงาม แต่ที่พลาดไม่ได้ก็เจ้าทุ่งดอกมัสตาร์ดสีเหลืองสดนี่ล่ะค่ะ!
คุณสามีมาbrief เราแต่เช้า ว่าถ้าเจอให้เช่าขี่ม้าราคามากกว่า 1,000 รูปี สำหรับ 2 คน ให้บอกปฏิเสธ ซึ่งก็จริงดั่งที่สามีว่าค่ะ เราเจอสองคน 3,000 รูปี และแน่นอนว่า เราไม่เอา 555 สะบัดบ๊อบเดินหนีทันทีทันใด ตั้งใจไว้ว่า “เดินไปก็ได้ฟระ แค่ขึ้นเขา 2 กม.เอง"
เดชะพระเจ้าทรงโปรดค่ะ มีชายหนุ่มวิ่งตามมา คงเห็นสองป้า ทำท่าทางจะปีนเขาเอาจริงๆ เลยวิ่งมาเสนอราคาที่ 2 คน 1,000 รูปี พี่นี่รีบตกลงเลย 555 ไม่ต้องเดินละเว้ย!!
พี่ม้าพร้อมคนจูง พาเดินไต่ระดับถนนลาดชันผ่านสองข้างทางที่เป็นลำธารน้ำและภูเขาหิมะสวยงาม ...
จนมาถึงจุดนึง คนเยอะมาก มุงกันเถิดเทิงราวกับมีงานคอนเสริ์ต มองขึ้นไปบนเนินหิมะขาวโพลนก็ปรากฏฝูงชนกำลังเล่นเลื่อนหิมะกันหนุกหนาน สนนราคาคนละ 100รูปี / 1รอบ พี่สาวอิชั้นก็จัดไป 1 รอบสวยๆ
เราใช้เวลาอยู่แถวๆนั้นราว สองชั่วโมงค่ะ โชคไม่ดีที่วันนั้นเราขึ้นไปมากกว่าจุดนั้นไม่ได้แล้ว จำไม่ได้ว่าฟิมะถล่มหรืออะไร ก็เลยได้แต่ถ่ายรูปเล่นอยู่
ถ่ายภาพเป็นที่ระทึก คุณน้อง Muzafa อายุ 22 ปี เจ้าของม้าผู้อารีและใจดีมากๆ ดูแลเทคแคร์สองสาวเป็นอย่างดี (ทิปไปอีก 500รูปี) 555
กลับมาถึงบ้านเรือ คุณลุงอัคบาร์ก็รอต้อนรับเราด้วยชานม นั่งพักขาชมบรรยากาศทะเลสาบ Nigeen ... เหม่อ เป็นอารมณ์อย่างหนึ่งที่ได้เรียนรู้จากแคชเมียร์ว่า มันมีความหมายอยู่เหมือนกัน ไม่ได้ว่างเปล่าเลย...
กินข้าวเย็นที่อัคบาร์เสริฟให้แต่หัวค่ำ ... คุณพ่อเจ้าของเรือก็มาเชิญไปชมห้องผ้าและชวนไปดูซื้อของที่ระลึก บ้านของคุณพ่ออยู่ไม่ไกลจากบ้านเรือมากนัก คุณสามีขับรถไปส่ง บ้านใหญ่มากกกกกกก (กอไก่ล้านตัว) - ได้เลือกรื้อเลือกชมผ้าพัชมีน่าของแท้และไม่แท้ คุณน้องAamir ผู้เป็นน้องชายของคุณสามีได้แนะนำทริควิธีการดูผ้าพัชมิน่าถ้าเป็นแคชเมียร์แท้ๆ ต้องมีสัมผัสแบบไหน (ซึ่งก็จริงดังว่ามันต่างกับผ้าวูลที่เค้าเอามาหลอกขายเราจริงๆ) - โดนผ้าพันคอกับเสื้อปักลายมา รับบัตรเครดิตซะด้วย โฮ๊ว...สบายใจ (ราคาดีต่อได้ไม่แพงด้วย)
อันนี้คุณพ่อ ภูมิใจนำเสนอ - Pashmina 100% with hand embroidery ปักมือละเอียดยิบ ราคา $12,000!!! (ประมาณ สามแสนบาทฝ่าๆ) เข้าใจความรู้สึกของ "ไม่ได้กินดมกลิ่นก็ยังดี" มากๆณ จุดนี้! 555
ปล. รูปคุณสามีและน้องอาเมียร์ ใครสนใจหลังไมค์มาขอได้ กรั่กๆๆDay 4: 13 APR – Pahalgam – ขี่ม้าปีนเขา ชมทัศนียภาพราวกับฉากหลังของภาพยนตร์อินเดียหลายเรื่อง
วันนี้เรานั่งรถออกไปไกลนิดหน่อยค่ะ ราวๆเกือบ 2 ชั่วโมง วันนี้เราจะไป Pahalgam พาฮาลแกม แปลว่า หมู่บ้านคนเลี้ยงแกะ ที่นี่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลราว 2,740 เมตร เป็นโลเคชั่นยอดนิยมสำหรับถ่ายทำภาพยนตร์ของชาวอินเดีย
ประเภทนางเอกพระเอกร้องเพลงดึ๋งดึ๋ย วิ่งจากเขาลูกนั้นไปเขาลูกนู้น ... นั่นล่ะ พาฮาลแกม! 555
ระหว่างทางเราได้แวะ 2 จุด จุดแรกคือทุ่งดอกแซฟฟรอน หรือหญ้าฝรั่น วัตถุที่แพงที่สุดในโลก เมื่อเทียบตามน้ำหนัก แซฟฟรอนอย่างดีชนิดเกรดมหาราชาแค่ไม่กี่กรัม มีราคาสูงกว่าทองคำเสียอีก!
ได้ชิมชาแคชมีรี (ชาแอลม่อนใส่หญ้าฝรั่น)
ชมและดม แถมซื้อกล่องเล็กๆติดมือมา แต่ที่น่าซื้อที่สุดคือแอลม่อนอบแห้งกับแอพริคอตตากแห้งนะคะ อร่อยมาก! (ไม่ได้ถ่ายรูปไว้ขออภัยค่ะ แต่พอจะเห็นในรูปมุมด้านซ้าย)
จุดที่สองเราแวะกินข้าวเที่ยงกัน แถวๆนั้นเต็มไปด้วยสวนแอปเปิลค่ะ ตอนที่ไปแอปเปิลยังไม่ออก ก็เลยได้แต่ดูตาละห้อยมองกิ่งเขียวๆ เพลินๆดี
ถึงพาฮาลแกม วันนี้ก็เช่นเคย เราต้องขี่ม้า ตอนแรกก็ดื้อไง จะเดิน ... แล้วพระเจ้าก็เมตตาอีกรอบ ส่งมนุษย์ม้าและน้องชายพร้อมม้าสองตัวมาช่วยไว้ทัน ราคาเท่ากันกับที่ Sonamarg...
แต่อยากจะบอกว่า นี่เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ได้ขี่ม้าปีนเขา!
ใช่แล้วค่ะ ปีนเขา ปีนจริงๆ ปีนแบบมุมเกือบ 90องศา รู้สึกเลยว่า “ม้าโคตรเทพ!" ฉลาดมากๆ มือไม้นี่เกาะบังเหียนแน่นเลย 555 รูปเริปไม่ได้ถ่ายเลยค่ะ กลัวหงายหลัง 555
พอถึงทุ่งไบสรัน (ที่เค้าชอบมาถ่ายหนังกันนั่นแหละ) พี่นี่โล่งอกเลยค่ะ รอดตายแล้ว 555 พี่นี่วิ่งลงไปบนทุ่งหญ้าไบสรันแบบหนังอินเดียเลย (ฮา) – ทุ่งหญ้าสีเขียวตัดกับฉากหลังเป็นภูเขาหิมะขาวโพลน – สวยอย่าบอกใครเชียว
(วิ่งไปมโนไปว่าตัวเองอยู่ในหนังเรื่อง Sound of Music 555)
ตอนขี่ม้าขากลับ กลับรู้สึกสนุก เพราะม้าฉลาดมาก เจ้าของม้าก็เทคแคร์ดี (รู้นะว่าจะต้องทิป 555-มาเที่ยวอย่าคิดมากเพื่อความสบายใจ) – ถ่ายภาพเป็นที่ระทึก สองหนุ่มนี้เป็นพี่น้องกัน จำชื่อไม่ได้แต่น้องชายหน้าตาน่ารักมาก 555
วันนั้นกลับถึงบ้านเรือ ... หลับเป็นตายค่ะ ...555 เกร็งกับม้าจนเหนื่อยแต่ก็สนุกมาก!
Day 5: 14 APR – Gulmarg –โอ้แม่เจ้า นี่มันเทือกเขาแอลป์ชัดๆ! – ยามเย็นล่องเรือชิการ่าจิบชาชมทะเลสาบ Nigeen Lake
เช้านี้ด้วยความขี้เกียจอย่างไม่น่าให้อภัย เราตื่นสายจนอดไปดุตลาดเช้า ... ไม่เป็นไรเราจะกลับมาอีก 555
อินเดียก็มีสกีรีสอร์ท! ต่อไปนี้ถ้าเจอคนอินเดียได้เป็นแชมป์โลกสกีก็อย่าตกใจ! สำนักข่าว CNN ถึงกับยกย่องให้กุลมาร์คเป็นสุดยอดแห่ง Winter Sports Of India เลยทีเดียว แถมยังรั้งตำแหน่งอันดับ 7 ของสุดยอดสกีรีสอร์ทในเอเชีย กุลมาร์คไม่ใช่เล่นๆ จริงจังมาก ณ จุดนี้ (คู่แข่ง ญี่ปุ่นและเกาหลีเชียวนะ)
จุดสูงสุดยอดกุลมาร์คมีชื่อว่า Apharwat Peak อยู่ที่ความสูง 4,390 เมตร (14,403 ft) ทำให้กุลมาร์คตำแหน่ง World Record อีกตำแหน่งหนึ่ง นั่นก็คือ Gulmarg Gondola ที่เป็นหนึ่งในสุดยอดกระเช้าลอยฟ้าที่มีความสูงที่สุดในโลก ที่ 3,979 เมตร เพราะฉะนั้น 1 กิจกรรมสำหรับคนไม่เล่นสกีอย่างอิชั้น นั่นก็คือการพิชิตยอดกุลมาร์คด้วยเจ้ากระเช้าลอยฟ้านี่ล่ะค่ะ!
Gulmarg Gondola มีสองสถานีด้วยกัน เวลาซื้อตั๋ว จะมีเฟรส 1 และเฟรส 2 – เฟรส 1 คือจาก Gulmarg ถึง Kungdoor (ไป-กลับ 700รูปี) และ เฟรส 2 คือ จาก Kungdoor ถึงยอด Aparwath (ไป-กลับ 900 รูปี) เบ็ดเสร็จ 2 สถานีอยู่ที่ 1600 รูปี (800บาท)
ทีนี้ ถ้าเราไปเที่ยวเอง แน่นอนค่ะ ช่วงเวลาที่คนเยอะๆ ต่อคิวนานแน่นอน แถมมีคนเสนอขายตั๋วผีอีกด้วย อย่าค่ะ อย่าหลงเชื่อคำแขกตาฟ้า เรามีวิธีซื้อตั๋วแนะนำ นี่เลย จองล่วงหน้าไปเลยก็ได้ค่ะ http://gulmarggondola.com/gondola_tickets.php แต่ส่วนตัวที่ไปเองวันนั้นเราก็ไปต่อแถวเอาไม่นานมาก 10 นาทีได้ค่ะ
สถานีแรก – Gulmarg ถึง Kungdoor ความสูง 3,080 เมตร คนจะเยอะหน่อย เต็มไปด้วยคน คน และคน – กินกรรมกรุบกริบ เช่น สกีสำหรับผู้เริ่มต้น สโนว์บอร์ดดิ้ง สโนว์โมบิล ไปจนถึง ปั้นตุ๊กตาหิมะ!
บริเวณนี้จะคึกคักสุด เพราะทุกคนที่มากุลมาร์ค ส่วนใหญ่มีไม่กี่คนที่จะขึ้นไปจนถึงสถานีที่ 2 และเราก็เป็น 2 คนในนั้นที่เลือกจะหนีฝูงชนตรงนี้ไปเที่ยวเฟรส 2 กันดีกว่า
สถานีสอง- Kungdoor ถึงยอด Aparwath ที่ความสูง 3,979 เมตร กระเช้าก็พาเรามาถึงจุดเกือบสูงสุดของยอดเขา Aparwath มองขึ้นไปอีกนิดจะเห็นจุดสูงสุดของยอดเขาที่ความสูง 4,200 เมตร (13,780 ft)
ณ จุดนี้ในวันที่อากาศดี จะสามารถมองเห็นยอดของ K2 ยอดเขาที่สูงเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจาก เอเวอร์เรสต์ – กิจกรรมบนนี้นอกจากสกีลงไปด้านล่างแล้ว ก็จะเห็นคนมาถ่ายรูปกัน เล่นปาบอลหิมะกัน บางคนก็ถึงกับปูเสื่อนั่งปิกนิกที่ความสูง 4,200เมตร ! ดูชิลล์มากๆ 555
ลั้นลาอยู่กับความกดอากาศด้านบนจนพอใจ ก็ได้เวลากลับลงกระเช้ามาละค่ะ
(รูปเหลืองเพราะกระจกกระเช้ามันเหลืองนะเออ...ของจริงมันช่างเจิดจ้ามาก เอาแว่นกันแดดดีดีติดไปด้วยนะจ๊ะ)
*Tips* มาเที่ยวกุลมาร์ค แน่นอน จะมีบรรดาชาวพี่แคชมีรีมาชี้ชวนคุณเล่นเลื่อนบ้าง ขี่สโนว์โมบิลบ้าง ลองเล่นสกีบ้าง เป็นไกด์ให้บ้าง ยังไงก็ตกลงราคาและเช็คราคากลางก่อนนะคะ อย่างลากเลื่อน หรือไกด์ราคากลางจะอยู่ที่ 600รูปี (300 บาทไม่รวมทิป)
อีกอย่างคือการเช่ารองเท้าบูทยาง (200 รูปี-100บาท)เพราะการย่ำหิมะด้วยรองเท้าธรรมดาอาจจะไม่น่าโสภาสักเท่าไหร่ (ส่วนตัวมีรองเท้าเทรคกิ้งสะเทินน้ำสะเทินบกลุยหิมะได้เลยปลอดภัยจากการลื่นล้มก้นจ้ำเบ้า 555)
กลับลงมาจากยอดเขาแอลป์ *ไม่ใช่*555 เราก็เดินทางกลับมาบ้านเรือของเราค่ะ
เย็นวันนี้เรามีนัดกับเรือล่องทะเลสาบยามเย็นกัน
คุณพ่อบ้านจัดเตรียมชาไว้ให้เราลงเรือล่องไปตามลำน้ำอันสงบบนทะเลสาบ Nigeen เสียงสวดมนต์จากการทำละหมาดดังแว่วมาไกลๆ อากาศเย็นๆมีลมอ่อนๆ พระอาทิตย์กำลังตก ลุงพายเนือร้องเพลงกล่อม จิบชาไปพลางๆ...
เป็น 1 ชั่วโมงที่คิดว่า "คุ้มเกิน" แล้วสำหรับการมาเยือนแคชเมียร์ในครั้งนี้
วันเดินทางกลับคุณพ่อเจ้าของบ้านเรือยังทำซึ้ง เอากำไลไม้สีฟ้าวาดลวดลายสวยกับน้ำมันหอมในขวดจิ๋วมาให้ พร้อมกอดอีกหนึ่งที
"Don't forget your family is here" - โอ้โฮ! น้ำตาจะไหล...
*อยู่ต่อเลยได้ไหม๊ 555*
หวังไว้ว่าจะมาเยือนอีกคราในหน้าร้อน ... “Insha Allah" - แล้วแต่ประสงค์ของพระเป็นเจ้า
สุกรียา (ขอบคุณ) "แคชเมียร์"
*The End* and to be continue in next journey!
ฝากเพจนิด ติดตามกันได้ค่ะ : https://www.facebook.com/ww4travel/
กดไลค์เหอะ ... อยากเจอ 555
Will Work For Travel
วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 15.11 น.