ผมเดินข้ามแม่น้ำเนวาอีกครั้งสู่ฝั่งเมืองเก่าเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งเป็นการข้ามแม่น้ำเนวาเป็นครั้งสุดท้าย เบื้องหน้าผมในขณะนี้คือพระราชวังฤดูร้อนเฮอร์มิเทจ แต่ผมเลือกที่จะเดินผ่านไปก่อน เพราะสิ่งที่เป็นสุดยอดต้องเก็บไว้เป็นที่สุดท้าย แต่สถานที่ที่ผมจะไปก็ใช่ว่าจะสำคัญน้อยไปกว่า เพราะนั่นคือโบสถ์แห่งการฟื้นคืนชีพ (The Catherdral of the Resurrection) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ โบสถ์หยดเลือด (The Saviour on the Blood) โดยคำว่า หยดเลือด ไม่ใช่มาจากยอดโดมจำนวนมากที่มีลักษณะคล้ายหยดน้ำ หากแต่มาจากการสาดกระจายของเลือดอันเกิดจากเหตุการถูกลอบปลงพระชนม์จนสวรรคตของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2
หมุนเข็มนาฬิกาย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ.1881 พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2 ถูกลอบปลงพระชนม์ โดยการปาระเบิดเข้าใส่ขบวนรถม้าพระที่นั่ง ณ สถานที่แห่งนี้ ซึ่งคาดว่ามาจากหลายสาเหตุ แต่หลักๆน่าจะเกิดจากบรรดาเจ้าขุนมูลนายที่ไม่พอใจต่อการที่พระองค์มีพระราชดำริในการปลดปล่อยทาส จึงชวนให้นึกถึงการปลดปล่อยทาสในบ้านเรา ซึ่งเป็นพระปรีชาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หลวง ที่ทำให้ไม่เกิดความสูญเสียใดๆ
จากการสวรรคตของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2 ทำให้พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 3 จึงมีพระราชดำริให้สร้างโบสถ์แห่งนี้ขึ้นบนสถานที่ที่พระบิดาถูกลอบปลงพระชนม์ โดยคัดเลือกสถาปนิกที่มีชื่อเสียงที่สุดในสมัยนั้นมาออกแบบการก่อสร้าง ความสูงของยอดโบสถ์ที่ 81 เมตร จึงสื่อถึงปีค.ศ. 1881 ที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2 ถูกลอบปลงพระชนม์
เพราะมีต้นแบบสถาปัตยกรรมมาจากมหาวิหารเซ็นบาซิล ในกรุงมอสโก ทำให้เมื่อแรกเห็นก็ชวนให้ผมนึกถึงวันแรกๆในกรุงมอสโกที่เดินเที่ยวชมมหาวิหารเซ็นบาซิลกับน้องเน แต่ในวันนี้ เวลานี้ผมกลับต้องมาเดินเที่ยวเพียงคนเดียว แต่เอ๊ะ หญิงสาวที่กำลังเดินตรงมาหาผมนี้หน้าตาคุ้นๆ ใช่แล้ว น้องเนนั่นเอง คิดถึงน้องเน น้องเนก็มา แหมมันช่างบังเอิญอะไรขนาดนี้ อยากหาคนถ่ายรูปให้พอดี เธอบอกว่าเพิ่งมาจากวิหารคาซาน พร้อมโชว์รูปภายในวิหารให้ดู เห็นแล้วก็ชวนให้รู้สึกเสียดายที่เมื่อเช้าผมไปเยือนวิหารคาซานในเวลาเช้าเกินไป จึงไม่มีโอกาสได้เข้าไปชมความงามภายใน และแม้วันนี้จะเดินเที่ยวเองเกือบทั้งวัน แต่อย่างน้อยที่โบสถ์หยดเลือดก็ได้เดินเที่ยวด้วยกันอีกครั้ง แต่เอาเข้าจริงๆ หลังจากที่ถ่ายรูปกันที่หน้าโบสถ์ น้องเนก็กลายเป็นน้องเท และจากผมไปอีกครั้ง
พลาดการชมภายในวิหารคาซาน ผมจึงไม่ยอมพลาดที่จะเข้าไปชมภายในโบสถ์หยดเลือดเป็นการซ้ำสอง แม้จะมีต้นแบบมาจากมหาวิหารเซ็นบาซิล ภายในโบสถ์หยดเลือดนี้ก็มีความแตกต่างค่อนข้างมาก เพราะภายในไม่ได้แบ่งเป็นห้องเล็กห้องน้อยตามยอดโดมแบบมหาวิหารเซ็นบาซิล แต่เป็นห้องโถงกว้างที่สุดแสนอลังการ โดยตกแต่งด้วยวัสดุหลากหลายชนิด ในการบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซู ทั้งหินอ่อน หินแกรนิต ทองแดง โดยเฉพาะโมเสคที่มีอย่างมากมาย จนได้รับการยกย่องให้เป็นโบสถ์ที่มีงานโมเสคที่ใหญ่ที่สุดในโลก
เมื่อออกจากโบสถ์หยดเลือด ฝนก็เทลงมา ร่มที่พกอยู่ในเป้ตลอดการเดินทาง จึงถูกกางขึ้นเพื่อให้สองขาได้ก้าวเดินต่อไปสู่จุดหมายสุดท้ายของวันนี้ นั่นคือพระราชวังฤดูหนาวเฮอร์มิเทจ แต่สายฝนนอกจากไม่บางลงแล้ว แต่กลับเทหนักขึ้นจนร่มคันน้อยของผมไม่อาจต้านแรงไหว สุดท้ายจึงต้องเข้าไปหลบฝนภายใต้ชายคาของอาคารนิว เฮอร์มิเทจ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มพระราชวังฤดูหนาว
การยืนหลบฝนนั้นไม่สูญเปล่า เพราะสามารถชมความงดงามของสถาปัตยกรรมการก่อสร้าง ซึ่งด้านหน้าอาคารนั้นมีความโดดเด่นจากบรรดารูปสลักหินสีดำของชายร่างกำยำที่เห็นกล้ามเนื้ออย่างเด่นชัด ยืนแบกคานด้านหน้าของอาคารไว้ คนที่ร่วมชะตากรรมยืนหลบฝน จึงใช้เวลานี้ถ่ายรูปคู่กับรูปสลักหินกันอย่างครื้นเครง
กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง
วันเสาร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2564 เวลา 10.33 น.