รถตู้พาเรากลับมาส่งที่ปากเมงรีสอร์ท หลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าล้างาพอเป็นพิธี เราก็เดินทางต่อเพื่อเข้าเมืองตรัง ที่พักสำหรับคืนสุดท้ายเราจองที่โรงแรมระดับตำนาน นั่นคือโรงแรมธรรมรินทร์ เพราะเป็นโรงแรมเก่าแก่ ตั้งอยู่ใจกลางเมือง หน้าสถานีรถไฟตรัง อีกทั้งเป็นโรงแรมที่ผมคุ้นหูมาตั้งแต่เด็ก เพราะออกสื่อโฆษณาทางโทรทัศน์เมื่อราว 40 ปีที่แล้วบ่อยมาก โดยเป็นเจ้าของเดียวกับปลากระป๋องปุ้มปุ้ย
แม้จะมี GPS บนมือถือ แต่ก็เป็นอย่างงี้แทบทุกครั้งเมื่อขับรถในเขตตัวเมือง ผมจะต้องหลง กว่าจะหาโรงแรมเจอก็เล่นเอาขับรถออกนอกทางไปหลายครั้ง โรงแรมแห่งนี้เป็นโรงแรมเก่าแก่จริงๆ แม้จะดูไม่ทันสมัยเหมือนโรงแรมที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ แต่ภายนอกและห้องพักโดยรวมก็อยู่ในสภาพที่ใช้ได้ หลังจากเอากระเป๋าเข้าห้องพัก เราก็ออกท่องราตรีกันทันที
การท่องราตรีที่ว่านี้ไม่ใช่การไปเที่ยวผับเที่ยวบาร์ แต่คือการไปเดินถนนคนเดินหน้าสถานีรถไฟตรัง บรรยากาศโดยรวมดูคึกคักดี มีขายทั้งของกิน เสื้อผ้า และของแฮนด์เมค แต่เดินจนสุดถนนแล้ววกกลับมาตั้งต้นใหม่เราก็ไม่ได้อะไรติดมือมาสักอย่าง
ผมจึงชวนแท่งไปหาข้าวต้มกินกัน ระหว่างทางผ่านโรงแรมศรีตรัง ซึ่งเป็นโรงแรมเก่าแก่อีกหนึ่งแห่ง ตั้งอยู่บริเวณหน้าสถานีรถไฟ เป็นห้องแถว แต่บรรยากาศและการตกแต่งคลาสสิคมาก จนแท่งถามว่าทำไมผมไม่เลือกพักที่นี่ คำตอบคือ อยากจะพักเหมือนกัน แต่ที่นี่ดันใช้สิทธิ์เราเที่ยวด้วยกันไม่ได้!
จากที่คิดจะกินข้าวต้มร้านใกล้ๆ เรากลับเดินไปไกลแล้วเลือกที่จะเข้าร้านฮวดโอชา เป็นร้านห้องแถว ดูบรรยากาศแล้วน่าจะเป็นร้านเก่าแก่ อีกทั้งคนที่นั่งกินก็เป็นคนมีอายุ จึงน่าจะการันตีว่าเป็นร้านอร่อยที่อยู่คู่กับเมืองตรังมานาน
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ผมสั่งหมีผัดมาทาน หน้าตาดูแปลกเพราะแม้จะเป็นหมี่ผัด แต่ก็มีน้ำคลุกคลิก รสชาติอร่อยมาก อีกทั้งซาลาเปาไส้สังขยาแบบฉบับเมืองตรังก็อร่อย แถมเป็นซาลาเปา 2 ลูกสุดท้ายของวันนี้ โชคดีที่ได้กิน คุ้มกับที่เดินมาไกล
เหมือนเช่น 2 เช้าที่ผ่านมา เช้านี้ผมยังคงตื่นแต่เช้า และออกเดินชมสถานที่ต่างๆในขณะที่เพื่อนร่วมทางยังคงขอนอนอย่างมีความสุข ผมออกจากโรงแรมธรรมรินทร์ แล้วเดินชมบ้านเรือนเก่าแก่ที่ตั้งอยู่บริเวณสถานีรถไฟ ซึ่งแต่ละหลังมีความสวยงามจากกรอบบานหน้าต่างและระเบียงที่ยื่นออกมา
ที่หน้าสถานีรถไฟมีรถตุ๊กตุ๊กหัวกบ อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองตรังจอดอยู่ ซึ่งนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวตัวเมืองตรังนิยมว่าจ้างให้พาเที่ยวรอบเมือง ทีแรกเราก็วางแผนไว้เช่นนั้นเหมือนกัน แต่เมื่อคิดสะระตะแล้ว การเช่ารถขับแม้จะมีค่าใช้จ่ายสูง แต่โดยรวมก็น่าจะคุ้มค่ากว่าในแง่ของการที่สามารถใช้เวลาที่มีอยู่เพียงแค่ 3 วัน เพื่อเที่ยวในจังหวัดตรังให้ได้มากที่สุด จึงตัดการนั่งตุ๊กตุ๊กหัวกบออกจากโปรแกรม
ผมเดินต่อไปที่ตลาดสดเทศบาล ซึ่งตั้งห่างจากสถานีรถไฟไม่ไกล ตลาดเช้าที่นี่คึกคักไม่ใช่น้อย หลังจากใส่บาตรเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาเดินชมตลาด แม้อาหารทะเลสดๆจะมีมาก แต่โซนของสดนั้นไม่เดิน เพราะเดินไปก็ไม่สามารถซื้ออะไรกลับไปได้ ผมจึงตรงเข้าไปยังโซนขายอาหาร โดยเฉพาะพวกขนม ของกินเล่น น่าจะเบาๆไม่หนักท้อง เพราะอย่างไงเสียมื้อเช้าสุดท้ายของทริปนี้เราก็ต้องเทพื้นที่กระเพราะให้หมูย่างกับติ่มซำ อาหารขึ้นชื่อของเมืองตรัง
ผมได้ขนมวงๆคล้ายโดนัท กับขนมปั้นเป็นลูกกลมๆคล้ายขนมไข่เต่ามากินเล่น พร้อมด้วยกุ้งทอดที่ทอดเป็นแพบนใบเล็บครุฑมาทาน อร่อยมากจนกลัวว่าจะอิ่มจนไม่เหลือที่ในกระเพราะ จากนั้นก็ซื้อขนมจีบแบบเมืองตรังกลับไปเป็นของฝาก แต่อย่างหลังนี่คงซื้อไม่ถูกร้าน เพราะไม่อร่อยเอาเสียเลย
ผมกลับโรงแรม แท่งพร้อมอยู่แล้วที่จะออกเดินทาง หลังจากเช็คเอ้าท์เรียบร้อย เราก็ขับรถตรงไปยังแลนด์มาร์คของเมืองตรังกันก่อน ที่วงเวียนพะยูน อย่างที่บอก แม้ว่าทริปนี้จะไม่ได้เห็นพะยูนจริงๆสักตัว แต่ก็เจอรูปปั้นพะยูนทุกวัน เพราะเป็นสัตว์สัญลักษณ์ของจังหวัด
ด้านหนึ่งของวงเวียนเป็นสวนสาธารณะทับเที่ยง มีพื้นที่ไม่กว้างมากนัก แต่ก็พอเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวตรัง
แล้วก็ได้เวลาไปจุดหมายหลักของเช้านี้ นั่นคือการไปลิ้มลองหมูย่างเมืองตรัง ซึ่งมีขายกันหลายร้านมาก จนไม่รู้ว่าควรไปร้านไหน ถามเพื่อนที่อยู่ตรังก็ไม่ได้คำตอบอะไร เพราะตอบมาว่าไปกินร้านไหนก็ได้ รสชาติเหมือนกันหมด จึงใช้วิธีเปิดหาในแผนที่ เห็นร้านพงษ์โอชามีหลายสาขามาก น่าจะเป็นร้านชื่อดังและอร่อย จึงเลือกไปร้านพงษ์โอชา สาขา 1 เมื่อไปถึง โอโห้ลูกค้าเต็มร้านเลย จึงน่าการันตีถึงความอร่อย และราคาที่ยุติธรรม
เราสั่งหมูย่างมา 1 จาน พร้อมด้วยติ่มซำที่หลากหลาย โดยวางเป็นเข่งๆ อยากกินเข่งไหนก็เลือก ทางร้านจะนำไปนึ่งหรือทำให้สุก แล้วจึงนำมาเสริฟ นอกจากนี้ยังมีของทอดพวกปาท่องโก๋ด้วย แต่เราไม่เลือกเพราะรู้สึกจะพื้นๆไป โดยเลือกหมี่กรอบ โดยเป็นหมี่เส้นหนาทำเป็นก้อนแล้วนำไปทอด พร้อมด้วยโกปี๊เย็น หรือกาแฟผสมชา มื้อเช้านี้จึงอิ่มอร่อย อร่อยเช่นนี้จึงซื้อหมูย่างกลับไปเป็นของฝากอีก 1 กล่อง แถมได้ส่วนลดจากเราเที่ยวด้วยกันอีก 40% ออกจากร้านแล้วรู้สึกเสียดายน่าจะซื้อกลับบ้านไปมากกว่านี้
ตลอดกรเดินทางทริปนี้ สถานที่เกือบทั้งหมดผมเป็นคนเลือก ยกเว้นที่ต่อไปนี้ที่แท่งเป็นคนเสนอ นั่นคือ ขนมเปี๊ยะซอย 9 เพราะโดยปกติมาจังหวัดตรัง ของฝากขึ้นชื่อก็คือ เค้กตรัง แต่แท่งบอกว่าซื้อขนมเปี๊ยะร้านนี้ไปเป็นของฝากดีกว่า เพราะอร่อย กำลังได้รับความนิยม เที่ยวด้วยกันขนาดนี้จึงไม่ต้องถามอะไรกันมาก จัดไปครับ
ร้านขนมเปี๊ยะซอย 9 เป็นร้านห้องแถวเพียง 1 ห้อง ตั้งอยู่ในซอย 9 ของถนนเพชรเกษม ไม่ไกลจากร้านพงษ์โอชา แม้จะมีหน้าร้านเพียงแค่คูหาเดียว แต่ที่จอดรถเป็นลานกว้างมาก แถมมีห้องน้ำสะอาดและสวยงาม แบบนี้รองรับลูกค้าได้เยอะเลย ขนมเปี๊ยะมีหลายไส้มาก ทั้งถั่ว มันม่วง งาดำ และที่กำลังมาแรงเอาใจนักท่องเที่ยวคือไส้หมูย่าง โดยเป็นขนมเปี๊ยะแบบอบ แป้งคล้ายพั๊ฟ จึงกรอบ เราซื้อไปคนละหลายกล่อง
กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง
วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2564 เวลา 09.35 น.