วันนี้เป็นวันแรกที่เราได้ตื่นสาย ก็คือแปดโมง คุณลุงขับรถพาเราไปเซโกเบียประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ตอนแรกคุณลุงจะพาไปเล่นสกี แวะที่ภูเขาแห่งหนึ่งก่อน แต่แพลนเปลี่ยนเลยตรงไปเซโกเบียเลย
ตอนอยู่บนรถ เราก็นั่งรถชมวิวเพลินๆ และเราเกือบจะเผลอหลับไปแล้ว แต่สะดุ้งลืมตาขึ้นมาเห็นภาพสะพานส่งน้ำขนาดใหญ่เสียก่อน ตาถึงกับสว่างทันที อ้าวถึงแล้ว ของจริงใหญ่กว่าที่คิดไว้มาก
เซโกเบีย เป็นเมืองเล็กๆ ในเขตการปกครองของ Castile and León มีสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากโรมันและที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือสะพานส่งน้ำซึ่งเป็นไอคอนของเมืองนี้ด้วย
Aqueduct of Segovia สะพานส่งน้ำสไตล์โรมันถูกสร้างมาเพื่อส่งน้ำจากแม่น้ำฟรีโอเข้าสู่ตัวเมือง ที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ถึงแม้เวลาจะผ่านมาสองพันกว่าปีแล้ว
ตรงจุดชมวิวสะพานเราจะได้สัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ของอารยธรรมโรมัน
เดินขึ้นสะพานไป จะทำให้ได้ใกล้ชิดสะพานส่งน้ำและได้เห็นวิวสวยๆของเมืองนี้
จากนั้นก็เดินไปตามถนนแคบๆ เพื่อไปวิหาร
มหาวิหารเซโกเวีย
อยู่บริเวณจัตุรัส Plaza Major ซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลาว่าการเมือง
โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับพระแม่มารีย์ สร้างขึ้นในแบบโกธิกสมัยช่วงกลางศตวรรษที่ 16
จากนั้นก็เดินไปดูปราสาท ตรงนี้อาจจะเห็นมุมปราสาทไม่เต็มอิ่ม คุณลงเลยบอกว่าเดี๋ยวขับรถพาไปดูข้างล่าง รับรองเห็นชัดแน่ๆ
ปราสาทอัลคาซ่า หรือที่หลายคนเยกว่าปราสาทแห่งเทพนิยาย
ปราสาทแห่งนี้ได้สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 13 แล้วได้รับการต่อเติมในศตวรรษที่15 และ 16 มีลักษณะเหมาะแก่การตั้งรับข้าศึกในอดีต เพราะมีทั้งช่องขนาดใหญ่ใช้สําหรับติดตั้งอาวุธ
แต่ถ้าถามว่าที่เราเห็นอยู่ตอนนี้หาได้คิดเรื่องเกี่ยวกับสงครามไม่ด้วย เมืองนี้ความรู้สึกเหมือนหลุดไปอยู่ในเทพนิยาย ไม่แปลกที่ใครๆ ก็คงรู้สึกแบบนี้ เพราะปราสาท Cinderella ของ Disney ได้รับแรงบันดาลใจมาจากปราสาทแห่งเมืองเซโกเบียที่สร้างอยู่บนภูเขานี้เอง
แต่จะว่าไป ได้มาเห็นปราสาทมุมนี้ สวยกินขาดจริงๆ
หลังจากถ่ายรูปเสร็จเราก็นั่งรถกลับมาดริด กลับไปเตรียมตัวเคาท์ดาวน์กันต่อ ก็เป็นอันจบทริปเซโกเบียสั้นๆ แบบครึ่งวัน แต่คุ้มค่าการได้มาเยือนสุดๆ
ความจริงทริปมาเที่ยวสเปนของเราครั้งนี้เราอยู่ 7 วัน ได้เที่ยวไป 6 เมืองคือ มาดริด เซบีย่า ซาลามังกา อาบีลา เซโกเบีย และโทเลโด โดยทุกเมืองเราได้เดินทางและเที่ยวเองหมดยกเว้นเซโกเบียที่คุณลุงพาไป ซึ่งการเที่ยวคนเดียวในต่างแดนต้องระวังตัวดีๆ พยายามตรวจเช็กสิ่งของมีค่าว่าอยู่ติดตัวตลอดหรือเปล่า ก่อนหน้านี้เราโคตรกังวลเลยกลัวว่าจะรอดไหมหลายรอบมาก เพราะเคยได้ยินมาว่ามีพวกล้วงกระเป๋าเยอะ เราเลยพกโทรศัพท์มาตั้งสี่เครื่อง ฮ่าๆ บ้าไปแล้ว แต่ขากลับยังอยู่ครบทุกเครื่องก็ดีไป การมาเที่ยวคนเดียวในวัย 20 ปี ครั้งนี้ได้สอนให้เรากล้าที่จะลุยมากขึ้น กล้าตัดสินใจ และได้มาเห็นว่าโลกนี้มันกว้างใหญ่จริงๆ มีอะไรให้ตื่นตาตื่นใจตลอด ไม่มีเวลามานั่งเหงาเลยด้วยซ้ำ
และการได้มาเที่ยวสเปนในช่วงเทศกาลปีใหม่แบบนี้ เราว่าสเปนสวยมากเลยนะ ทั้งในเมืองมาดริด และเมืองที่อยู่ห่างออกไป เราชอบมากทั้งสถาปัตยกรรม บ้านเรือนที่หลากหลาย นั่งรถผ่านธรรมชาติข้างทางก็ดีงาม ถนนหนทางดูเป็นระเบียบมาก และผู้คนที่ร่าเริงกับอาหารที่อร่อย ทำให้เราหลงรักประเทศนี้เข้าเต็มๆ และรอการได้กลับมาเยือนอีกครั้ง รู้สึกว่าประเทศนี้ยังมีอีกหลายเมืองให้น่าค้นหาอย่างบาร์เซโลน่า บาเลนเซีย กอร์โดบา แต่ก็ไม่รู้สถานการณ์โควิดจะดีขึ้นเมื่อไหร่ ตอนนี้เลยทำได้แต่นั่งอ่านทริปเก่าไปก่อน
ยังไงก็ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านนะคะ ถ้าได้เดินทางอีกจะเอาเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังอีกค่ะ แล้วเจอกันบันทึกการเดินทางครั้งหน้าค่า
Nali
วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 เวลา 10.50 น.