' เหนื่อยเรียน เบื่อสอบ อยากออกไปเที่ยว


นี่มันปิดเทอมนะ ทำไมไม่มีเวลาให้ขยับตัวไปไหน

ชีวิตเร่งรีบเกินไป ทนไม่ไหวแล้ว '






หลังจากความคิดนี้เกิดขึ้น เราก็ทักไปหารุ่นพี่ที่สนิทว่า

เราอยากนั่งรถไฟ ตากลม สบายๆ พี่ไปด้วยกันมั้ย พี่เค้าตกลงในทันที (แอบตกใจเหมือนกัน ทำไมพี่ไปง่ายจัง)

หลังจากสอบเสร็จ สารภาพตามตรงเราไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย (ขอโทษจริงๆค่ะ TT)

คิดแค่ว่าจะนอนตีพุงอยู่บนเตียงตามประสาคนอดนอนมาหลายคืน

ปรากฏพี่เค้าทักมาแปะกระทู้ในพันทิปเต็มเลย เราก็เห้ยแย่แล้วลืมไปสนิท

จะปฎิเสธก็ไม่ได้เป็นฝ่ายชวนเอง สี่ทุ่มคืนวันนั้นเราสองคนตกลงกันว่า



.... จะไปเนียนเป็นสาวงามโพธาราม หนึ่งวัน ....



++ วันที่ 17 เดือนกรกฎาคม ปี 2558 ++
เราสองคนนัดเจอกันตอน 9 โมงเช้า ที่หัวลำโพง
เพื่อจะขึ้นรถไฟสาย กรุงเทพ-หัวหิน รอบ 9.20 น. ถึงราชบุรี 11.23 น.




วันนี้คนค่อนข้างพลุกพล่าน เพราะมหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีรับน้องรถไฟ

เรานี่แทบอยากเปลี่ยนจุดหมายไปเชียงใหม่เลย

ก็แหมเฟรชชี่แต่ละคนหน้าใสวัยละอ่อนโดนใจซะขนาดนั้น



เมื่อเข้าไปข้างในเราก็เลือกช่องขายตั๋วที่ว่างอยู่หนึ่งช่อง พูดอย่างมั่นใจ

ไปโพธารามค่ะพี่ ผลคือไปช่อง 12 นะน้อง

เอ่อ มันแบ่งช่องยังไงเนี่ย ตอนนี้ยังไม่รู้เลย

เราสองคนเดินไปช่องที่พี่พนักงานบอก คราวนี้เราได้ตั๋วรถไฟสมใจแล้ว เย่ !!



รูปตั๊วค่ะ ตอนอยู่ที่หัวลำโพงไม่ค่อยได้ถ่ายรูป เพราะรีบไปกินข้าว กลัวตกรถไฟ



ขบวนนี้ไง ที่เราจะไปกัน

แต่ !! ได้มาละยังไงต่อ ดูตรงไหนว่าต้องไปชานชาลาที่เท่าไหร่
เราสองคนพยายามจะดู แต่ดูยังไงก็ดูไม่ออก เลยถามพี่พนักงาน
(จริงๆเราชอบทำทุกอย่างด้วยตัวเองนะ ไม่ชอบถาม แต่เรามีวีรกรรมพาเพื่อนตกรถไฟ
ขึ้นขบวนผิดมาแล้ว เราเลยไม่อยากเสี่ยง) ชานชาลาที่เจ็ดตรงนั้น พี่เค้าก็ชี้ๆให้ดู

พอเข้ามาด้านใน พบม.เทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ กำลังจะขึ้นรถไฟปฐมนิเทศ ค่ายบูรฉัตร จ.ราชบุรี


ขึนขบวนเดียวกับเราเลย



ระหว่างทางเดิน เราบังเอิญเจอพี่ที่ชมรมในมหาลัย

พี่เค้าช๊อคมาก ที่เราไปกันสองคน เพราะเราค่อนข้างเอ๋อ

พี่ที่มาด้วยก็เหมือนกัน เผลอๆหนักกว่า (555)

เราสองคนโดนยิงคำถามสารพัดคำถามด้วยความเป็นห่วง

ตอนนั้นเราตระหนักได้เลยว่า เราขาดการเตรียมตัว

ถ้าตกรถไฟเราไม่รู้ว่ารถตู้อยู่ไหน หมดกี่โมง เราไม่รู้จะไปเที่ยวไหน

(กระทู้ที่แปะๆมา เรายังไม่ได้อ่าน แผนที่ก็ไม่ได้หา)

เรารู้อย่างเดียวคือเราจะไปไปโพธาราม แค่นั้นไม่พอจริงเหรอ ??

ก่อนจากกันพี่ชมรมแนะนำให้เราไปเที่ยวหัวหินแทน

โพธาราม ไม่มีอะไรให้เที่ยวหรอก



สิ้นสุดการรอคอย



.. ปู้น ๆ เสียงสัญญาณรถไฟสายกรุงเทพ-หัวหินมาเทียบชานชาลา ..

มาช้าสมเป็นคำร่ำลือจริงด้วย เรากับพี่รีบขึ้นไปหาที่นั่งอย่างตื่นเต้น






++ 9.53 น. รถไฟออกจากสถานีหัวลำโพง ++



ในตู้โดยสารที่นั่งทุกที่ถูกจับจอง เราได้นั่งที่สี่คน ฝั่งตรงข้ามมีคุณลุงชาวราชบุรี กับพี่วิศวะศิลปากร

ระหว่างทางคุณลุงคุยกับเรา พอรู้ว่าเราจะไปโพธาราม ลุงก็ตกใจว่าไปทำไม มันไม่มีที่เที่ยวหรอกนะ

ไปลงหัวหินไม่ดีกว่าหรอ คุณลุงพูดเหมือนพี่ที่ชมรมเลย ตอนนั้นความสงสัยเราคูณสิบ

โพธารามไม่ดีตรงไหน ถ้าไม่ดีทำไมในพันทิปถึงมีรีวิวตั้งหลายกระทู้ล่ะ

ใจเราอยากถึงโพธารามเร็วๆ เราอยากไปให้เห็นกับตา

แต่ก็เป็นไปไม่ได้ สโลไลฟ์ในรถไฟต่อไปนะแก



บรรยากาศตอนอยู่บนรถไฟ



ยัง ยังอีก ยัง ไม่เลิกเห่อตั๋วอีก



แต่ละคนก็มีงานอดิเรกที่แตกต่างกัน บ้างก็นอน บ้างก็ฟังเพลง เราว่าเราชอบความเป็นรถไฟนะ


มันทำให้เพื่อนได้ใกล้เพื่อน คนรักใกล้คนรัก สายตาพ่อแม่ที่มองลูก สารพัดที่ไม่เห็นในการเดินทางแบบอื่น



ส่วนเรา ก็อ่านหนังสือไป มองวิวไป ไม่รู้ทำไมอ่านหนังสือบนรถไฟ ทำให้อินมากกว่าอ่านในห้องสี่เหลี่ยม



วิวสองข้างทาง อากาศบนรถไฟค่อนข้างอบอ้าวเหมือนกัน วันที่ไปไม่มีลมเลยค่ะ



พอเบื่อๆ พี่เราก็ไปเดินเล่นโบกี้อื่น ยืดเส้นยืดสาย



ขาดไม่ได้คือการถ่ายรูปเล่น ผลัดกันถ่ายไปมา เผลอจริงๆนะ (หราาาา)



พอถึงบ้านโป่ง เรากับพี่ก็เริ่มเตรียมตัว ดูแผนที่ เช็คของ เก็บขยะ


เรียกว่าอยู่ไม่สุขเลย คุยกันไปเรื่อย เช่าจักรยานมั้ย หารีวิวดูอีกทีเพื่อนความชัวร์ ท่ารถตู้ล่ะ

พอเริ่มกังวล เราสองคนก็หันหน้ามามองกัน นี่เรามาพักผ่อน สบาย ๆ คิดมากไปก่อนทำไม

เท่านั้นแหละ บรรยากาศกลับมาครึกครื้นตามเคย (:


++ 12.30 นาฬิกา รถไฟถึงสถานี โพธาราม จังหวัดราชบุรี ++

หลังจากนั่งรถไฟมาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ในที่สุดเราก็มาถึง
จังหวัดที่มีคำขวัญว่า คนสวยโพธาราม คนงามคือเราสองคนเอง (เอ้ยไม่ใช่)

' คนสวยโพธาราม คนงามบ้านโป่ง
เมืองโอ่งมังกร วัดขนอนหนังใหญ่
ตื่นใจถ้ำงาม ตลาดน้ำดำเนิน
เพลินค้างคาวร้อยล้าน ย่านยี่สกปลาดี '

ตอนลงมา รถไฟขบวนที่นั่งมา ก็ยังไม่ได้ออกไป รอให้อีกขบวนสวนมาก่อน



สองขบวน สวนกันแล้ว



มาตั้งไกล จะพลาดการถ่ายรูปกับป้ายได้ยังไง ต้องจัดหน่อย เสียดายมากันสองคน


ให้เซลฟี่คงไม่รอด ต้องผลัดกันถ่าย ไม่มีรูปคู่เลย



บรรยากาศภายในสถานีค่ะ สะอาด น่านั่ง น่าใช้บริการ



ภายในสถานี มีแผนที่เมืองโพธาราม แนะนำที่กิน ที่เที่ยว ตอนแรกที่ดูแผนที่ก่อนจะมาถึง


คิดว่าแต่ละที่ไกลกันมาก แต่พอมาจริงๆ ทุกที่ติดกันหมดเลย สามารถเดินได้ สบายๆ






ส่วนอากาศ วันที่ไปคิดอย่างแรกว่า ลงจากรถไฟ แดดคงจ้า เมฆสีฟ้าลอยสวย

แต่ความเป็นจริง วันนั้นครึ้มมากจ้าาา ฟ้ามืดมาแต่ไกล คอยลุ้นว่าฝนจะตกหรือเปล่า

ทำให้ถ่ายภาพยาก ไม่มีแสงเลย แต่ข้อดีคือเดินสนุก ไม่ร้อน

++ วัดโพธาราม ++

ที่นี่คือที่แรกที่เราจะไปกัน เหตุผลข้อแรก วัดนี้อยู่ใกล้สถานีรถไฟมาก
เรานั่งรถไฟผ่านมา มองไปก็เห็นค่ะ เดินสองนาทีถึงไม่หลงแน่
เหตุผลอีกข้อ เอาฤกษ์เอาชัย (เราสองคนตั้งชื่อทริปว่า ขอให้พระคุ้มครอง ฮ่าๆ)

จากภาพจะเห็นว่าอยู่ชิดสนิทกับทางรถไฟ



ภายในวัด สงบมาก ไม่มีใครเลยนอกจากเราสองคน หลังจากสวดมนต์ ไหว้พระ ขอพร


เสร็จ เราก็เดินชมรอบๆ แต่เดินกันไม่นาน ความหิวก็เข้าครอบงำ ไปหาข้าวกินกันเถอะ






ทางติดรถไฟที่เราเข้ามาคือหลังวัด คราวนี้เราสองคนเดินออกหน้าวัด

เพราะหน้าวัดเป็นตลาด เราจะไปหาอะไรกินกันที่แถวตลาดสด



ระหว่างทางที่เดิน รู้สึกว่า ที่นี่ไม่ค่อยมีคน อาจเป็นเพราะวันนี้คือวันศุกร์ เวลาทำงาน



หอนาฬิกา ตั้งเด่นเป็นสง่า



มื้อนี้สั่งสุกี้น้ำ ได้สุกี้แห้ง แต่ไม่เป็นไร ตอนนี้กินอะไรก็เหมือนกัน






หลังจากกินข้าวกันเสร็จแล้ว แน่นอน ไม่อิ่มค่ะ เราเลยจะไปลุยกันที่



++ ร้านเต้าหู้ดำ แม่เล็ก เจ้าแรกในโพธาราม ++



ร้านจะอยู่ในถนนราษฎรอุทิศ เราเปิด GPS แล้วเดินตาม (ที่จริงไม่จำเป็นหรอก)


เข้าซอยมาจะเห็นป้ายสีเหลืองเด่นเป็นสง่า มาถูกที่แล้วค่าา



นี่ไงเต้าหู้ดำ หอมมาก เต้าหู้อันนี้เนี่ยเอาไปต้มกับน้ำพะโล้ กลิ่นใช่เลย



ที่ร้านมีให้ชิมด้วย กินเข้าไปคำแรก อร่อยมาก นุ่มลิ้น ปกติเป็นคนไม่กินเต้าหู้ แต่กินเข้าไปแล้วชอบเลยค่ะ



ป้าคนที่ขายใจดีมาก ชวนคุย ประกอบกับมีพี่ผู้ชายคนนึง ขี่จักรยานมาเที่ยวที่นี่เหมือนกัน


พี่เค้าบอกว่า เมื่อเช้าไปวัดขนอน เค้าเชิดหนังใหญ่ไปแล้ว สวยมาก แล้วก็แนะนำให้เราว่า ถ้าอยากนั่งร้านกาแฟ

แถวนั้นมีร้าน Do นม กับร้านกาลนาน



เราสองคน ซื้อมาหนึ่งอัน แบ่งกัน เพราะว่าคงไปหาอะไรกินกันเพิ่มอีก



เดินไปกินไป



ศาลเจ้ากวนอู อยู่ซอยเดียวกับเต้าหู้ดำ แต่ว่าเราไม่ได้เข้าไป ลังเลระหว่างที่นี่เป็นบ้านจีนๆหรือศาลเจ้า


เราสองคนสรุปว่าเป็นบ้าน จ้าาาาา



แมวน้อยหน้าศาลเจ้า

หลังจากพออยู่ท้อง เราสองคนอยากเดินเล่นเรื่อยเปื่อย
เลยเดินกันแบบไม่มีจุดหมาย ซึมซับบรรยากาศกันเงียบๆ

ห ยุ ด ความวุ่นวายทั้งหลายในเมืองกรุง



ที่นี่ส่วนใหญ่เป็นบ้านไม้ ให้ความคลาสสิก



รู้สึกว่าจังหวะการเดินตัวเอง ค่อยค่อย ช้าลง ช้าลง



ถนนไม่ค่อยมีรถ นานๆทีโผล่มาหนึ่งคัน สงบมาก






เดินกันยังไงก็ไม่รู้ เจอร้าน Do นม เฉยเลย



ด้านหน้าร้าน



มาดู (เค้าทำ) นม จริงๆด้วย



ที่นั่งภายในร้านจะมีแบบเก้าอี้ กับแบบเรียกไม่ถูก ดูจากรูปแล้วกัน



เก้าอี้ ด้านหลังร้านจะมีสวนเล็กๆ นั่งได้เหมือนกัน ห้องน้ำที่นี่ก็สะอาดดี



นอนได้ สบายมากค่าาา เลือกที่นั่งตามใจชอบเลย



มุมนี้อยู่ตรงหน้าร้าน ตอนนี้ ฉันก็เริ่มจะหลงรักโพธารามแล้วเหมือนกัน



เราเลือกเมนูนม ก็มาร้านนมนี่หน่า แต่ว่าเราว่าเฉยๆนะ ไม่ได้พิเศษอะไร ไว้โอกาสหน้าลองเมนูอื่น



เราสองคนอยู่ร้านนี้กันนานมาก ไม่รู้ตัวเลย ปล่อยเวลาเรื่อยเปื่อย Slow Life สุดๆ ทางร้าน


เปิดเพลงคลอ ฟังเสียงน้ำตกเล็กๆในร้านไหล เหมือนได้พักจากการเดินเหนื่อยๆ

บรรยากาศก็อย่างในรูป ชวนให้อยากนั่งเฉย ๆ ไม่อยากไปไหนแล้วน้า

ลืมบอกไป ที่นี่มีแผนที่เดินเล่นในเมืองโพธารามแจกด้วยค่ะ

++ วัดไทรอารีรักษ์ ++
คือจุดหมายถัดไป

เดินด้วยกัน เดินได้ไกล มีเรื่องราวมากมายเล่าสู่กันฟัง



เจออะไร ก็หยุดดูบ้าง ถ่ายรูปเล่นบ้าง เหมือน เวลา จะไม่มีความสำคัญกับที่นี่



ศาลาตรงข้ามวัด มีแก๊งคุณปู่วัยรุ่นเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว ตั้งวงเล่นหมากรุกกันอยู่ ท่าทางน่าสนุก


มีหลายวงด้วย ดูปู่เถียงกัน หลานก็เผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัว



กำแพงวัด วัดนี้เค้าเชื่อกันว่า เป็นวัดโบราณมีอายุราวสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย



วัดนี้ในอดีต ว่ากันว่าเป็นชุมชนที่ชาวมอญ



เจอป้ายนี้แล้ว ผู้หญิงสองคนคงไปต่อไม่ได้ ไปที่อื่นกัน



หน้าวัดจะเป็นเขื่อนริมแม่น้ำแม่กลอง



เราเดินลัดลงไปข้างล่าง ที่ติดกับแม่น้ำเลย ฟ้าตอนนี้มืดมากค่ะ กลัวว่าฝนจะตก



ครึ้มมาก ฟ้าไม่เป็นใจเท่าไหร่



ตอนนี้เริ่มมีแมลง บินเข้าหน้า เข้าตา ไปหลายตัว



ใกล้ชิดธรรมชาติมากกว่าที่เคย



เมื่อเดินเลียบแม่น้ำมาเรื่อยๆ เราจะกลับมาที่เดิม หอนาฬิกา ณ จุดเริ่มต้น



มองเห็นแต่ไกล



ชักภาพ เป็นที่ระลึก



หน้าหอนาฬิกา มีสนามออกกำลังกาย



ตอนเย็นๆ คงมีคนออกมาวิ่งเยอะแน่ ๆ วิวก็ดี มองไปเห็นแม่น้ำ


ชักอิจฉาชาวโพธารามแล้วสิ

ที่สุดท้ายในวันนี้ De Pain (เดอ ปัง)
เรากะอยู่ร้านนี้รอรถไฟ เพราะร้านใกล้สถานีมาก
ได้ยินเสียงสั่นกระดิ่ง เสียงประกาศรถไฟ

หน้าร้าน เกือบเดินผ่านแหน่ะ ดูวิวเพลิน



เข้าไปปุ๊บ สิ่งแรกที่คิดคือ ร้านแต่งน่ารักดี



ที่นั่งรองรับคนได้เยอะ แต่ตอนเราไปเป็นช่วงไม่มีคน



ขนมในร้านแต่ละอย่าง น่าทานมาก



เราสองคนสั่ง บานานา เครปมาแบ่งกัน



ตอนแรกไม่ได้คาดหวังอะไร แต่พอกินไปคำแรก อร่อยมาก ครีมทะลัก ฟินสุดๆ



หลังเมนูแรกหมดไปรวดเร็ว ก็ต่อกันที่ขนมปังปิ้ง ตอนแรกจะสั่งแผ่นเดียว แต่ทางร้านขายเป็นคู่



เราสั่งหน้า โอวัลติน กับ แยมสตอเบอรี อร่อยกรอบนอก นุ่มใน หน้าเยอะดีค่ะ






สี่โมงกว่าๆ เราก็ออกไปรอรถไฟสายเดิม ที่สถานีโพธาราม

เพื่อจะขึ้นรถไฟสาย



++ กรุงเทพ-หัวหิน รอบ 16.20 น. ถึงกรุงเทพ 19.00 น. ++



รถไฟมาเกือบห้าโมงเย็น เราก็ขึ้นไปจับจองที่นั่งเหมือนเดิม

แต่คราวนี้รถไฟโล่งกว่าขามามาก ได้โอกาสชมวิว นั่งให้ลมโกรกแล้ว



ไม่ค่อยได้ถ่ายรูป จับมือถือเลย เราอยากเก็บภาพนี้ไว้ ในตาตัวเองมากกว่า ฮ่าๆ (อารมณ์ไหน)



การเดินทางสิ้นสุดลงแล้ว ทริปนี้บางคนอาจมองว่าเป็นทริปกิน (เราก็ว่างั้น)


แต่ว่าเราได้อะไรจากทริปนี้เยอะเหมือนกัน อาจเป็นเพราะชีวิตทุกวันที่เจอเร่งรีบ

เราเลยหลงรักชีวิตช้า ๆ ของที่นี่ เหมือนเรียกพลังในตัวเองกลับมาด้วย (:



.. ที่ทุกที่ สวยงามในตัวเองนะ ถึงใครจะบอกว่าที่นั่นไม่มีอะไร

แต่ความไม่มีอะไรของมันเนี่ยแหละ ที่เป็นสเน่ห์ดึงดูดรอให้คนมาสัมผัส

อย่างเช่น โพธาราม เมืองที่ใครต่อใครก็ถามโพธารามมีอะไร ..





จบไปแล้ว กับรีวิวท่องเที่ยวครั้งแรก เย่ ติชมได้ตามสบายเลยค่า

รับฟังทุกความเห็น (^^)




สรุปค่าใช้จ่าย



รถไฟ 0 บาท

สุกี้แห้ง 30 บาท

เต้าหู้ดำ 20 บาท

นมปั่น 40 บาท

บานานาเครป 99 บาท (/2)

ขนมปัง 1 คู่ 35 บาท (/2)



รวม : 153 บาท

ความคิดเห็น