โอบกอดลมหนาว ชมทะเลหมอก ใช้ชีวิตช้าๆ ริมโขง
คงเป็นที่อื่นไปไม่ได้ นอกจาก ... "เชียงคาน"
ลมหนาวปีนี้ กำลังจะพัดมาแล้ว ผู้ซึ่งรักการท่องเที่ยวแบบเราก็ไม่รอช้า รีบจัดทริปทันทีจ้า "เชียงคาน" เป็นคำตอบแรกในใจเราเลยล่ะ อยากไปใช้ชีวิตช้าๆ ค่อยๆ เดินไปพร้อมกับเข็มวินาที ซึมซับกับวิถีชีวิตเรียบง่ายริมแม่น้ำโขงอันแสนสงบ เดินกินของอร่อยๆ ยามค่ำคืน มันช่างเป็นความสุขที่หาได้ยากยิ่งในเมืองกรุง
![](/f/38929/618eac6d8800ce1b40745158.jpg)
จริงๆ แล้วจังหวัดเลย สถานที่ท่องเที่ยวเยอะจริงๆ แต่ทริปนี้เราอยากไป Slow Life ที่เชียงคานเท่านั้น ทริปเชียงคาน 3 วัน 2 คืน ของเราจึงได้เกิดขึ้น โจทย์ของเรา คือ อยากไปถึงตอนเช้า ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น เพื่อทันดูทะเลหมอก เราเลยเลือกที่จะไปรถบัสค่ะ เพราะเวลา ได้ตามแพลนพอดีเป๊ะ ช่างเหมาะสมที่สุด และสะดวกที่สุดจ้า แต่ถ้าไปเครื่องบิน เครื่องจะไปลงสนามบินเลย ซึ่งอยู่ อ.เมืองนะคะ ต้องต่อรถไปเชียงคานอีกต่อนึง ประมาณ 1 ชั่วโมงจ้า และเวลาบินก็ไม่เป็นไปตามแพลนด้วย
สำหรับการเดินทางในเชียงคาน สะดวกสบายมากๆ เลย เพราะ สถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ บนถนนคนเดิน ก็จะใช้จักรยานในตอนกลางวัน และเดินในช่วงเย็น สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวที่ห่างไกลออกไป ก็ใช้บริการรถสกายแลป ซึ่งสกายแลปนี้ หน้าตาจะคล้ายๆ รถตุ๊กตุ๊ก แต่คันใหญ่กว่า และนั่งหันหน้าเข้าหากัน น่าจะนั่งได้ไม่เกิน 4 คน เราติดต่อสกายแลปไว้ก่อนเดินทางเลย โดย search หาใน facebook เนี่ยแหละค่ะ ซึ่งก็แจ้งไปว่า เราจะไปไหนบ้าง วันไหน กี่คน แล้วพี่คนขับจะคิดราคามาให้ ง่ายดายที่สุด
และแล้ว วันเดินทางก็มาถึง ... เราแอบตื่นเต้นเพราะไม่ได้ขึ้นรถบัสมานานมากๆ เลยเลือกรถของ บขส. เพราะจะมีแวะกินข้าวต้มระหว่างทาง จะได้ลงไปยืดเส้นยืดสาย แปรงฟัน ล้างหน้าหน่อย เริ่มเดินทางจากหมอชิต รถออกเวลา 20.00 น. กว่าจะถึงเชียงคานก็ ตี 5 กว่าๆ ข้อดี คือ รถจะมาจอดที่เชียงคานเลย ใกล้ถนนคนเดินมากๆ สามารถเดินไปยังถนนคนเดิน หาของกินตลาดเช้าได้สบายๆ เลยล่ะ แต่เราจะไปดูทะเลหมอกค่ะ เลยนัดรถสกายแลปที่ติดต่อไว้ ให้มารับที่จุดจอดรถบัส ลงจากรถบัสปุ๊บ ก็ขึ้นรถสกายแลปที่มาจอดรอรับทันที สบายสุดๆ เลยเนอะ ^^
Day 1
สถานที่แรกที่เราจะไป คือ ภูทอก สถานที่ชมทะเลหมอกที่สวยที่สุดในเชียงคานนั่นเอง ซึ่งระหว่างทางที่ไปภูทอก รถสกายแล็ปก็ขับฝ่าหมอก และลมหนาว หน้าเราปะทะลมหนาวเต็มๆ ณ อุณหภูมิ 14 องศาเซลเซียส แบบนี้เลยที่ถูกใจ รถทุกคันจะไปได้แค่จุดจอดรถ วางกระเป๋าเดินทางไว้บนรถได้เลย จากนั้นทุกคนต้องต่อรถกระบะขึ้นไปภูทอกค่ะ ไปกลับคนละ 25 บาท
พอขึ้นไปบนภูทอก ทันรอพระอาทิตย์ขึ้นพอดี คนก็เยอะนะ แต่ไม่ได้หนาแน่น จนต้องเบียดกัน เพราะเราเลือกมาวันจันทร์ เลยถ่ายรูปได้สบายหน่อย หมอกเยอะกำลังงามเลยแหละ
![](/f/38929/618e9d4b256c8f1b462c1c45.jpg)
![](/f/38929/618e9d08256c8f1b462c1c44.jpg)
![](/f/38929/618e9cef5e48241b2bb96467.jpg)
![](/f/38929/618e9d825e48241b2bb96468.jpg)
หลังจากถ่ายรูป และซึมซับอากาศหนาวๆ เต็มอิ่ม เราก็กลับลงมายังจุดจอดรถ มาทานมื้อเช้ารองท้องกันก่อน มีชาวบ้านขายของกินเต็มเลย เลยกินนี่กันไป ข้าวจี่ญวน และ ข้าวจี่
![](/f/38929/618f94a02a5bfc1b28554cf5.jpg)
![](/f/38929/618f962b8800ce1b4074516d.jpg)
จากนั้นก็นั่งสกายแลปคันเดิมไปที่ถัดไป นั่นคือ สกายวอล์คเชียงคาน นั่นเอง ซึ่งเพิ่งเปิดอย่างเป็นทางการ วันที่ 1 ธ.ค. 2563 นี่เอง โชคดีสุดๆ ที่เปิดก่อนเราไปพอดี ซึ่งที่นี่นับได้ว่าเป็นแลนด์มาร์คใหม่ของเชียงคานเลย ทางเดินจะเป็นกระจกใส ด้านล่างเป็นจุดที่แม่น้ำเหืองไหลมาบรรจบแม่น้ำโขง ซึ่งกั้นพรมแดนไทยลาว รถทุกคันจะจอดยังจุดจอดรถ และนั่งรถกระบะขึ้นไปเหมือนภูทอกเลยค่ะ ไปกลับคนละ 20 บาท และด้วยความเป็นพื้นกระจก เราจะต้องใส่ถุงคลุมรองเท้า 30 บาท แต่พี่คนขับรถของเรามีให้บริการผู้โดยสารฟรีค่ะ เลยไม่ต้องจ่าย ^^
เราไปถึงตอน 9 โมงเช้า หมอกยังหนามากๆ ทำให้มองไม่เห็นวิวภูเขา และแม่น้ำเบื้องล่างเลย แต่ไม่เป็นไร เราชิลล์ 55 นั่งรอจนหมอกจางไปจ้า ในที่สุด หลังจากนั่งรอไป 1 ชั่วโมง หมอกก็เริ่มจาง ได้เวลาชมความงาม และความเสียวของสกายวอล์คแล้ว ถ้าใครกลัวความสูง อาจจะเสียวหน่อยน้าา เพราะสูงประมาณตึก 30 ชั้นเลยจ้า แต่ถ้าไม่กลัว ก็จะได้รูปแบบเราเลย มันช่างดีจริงๆ ได้เห็นวิวธรรมชาติท่ามกลางอากาศหนาวๆ แบบนี้ นี่ทริปเชียงคานเพิ่งเริ่มต้นเองนะ ทำไมมันดีต่อใจเช่นนี้
![](/f/38929/618e9dc45e48241b2bb96469.jpg)
![](/f/38929/618e9dd02a5bfc1b28554ccf.jpg)
![](/f/38929/618e9e012a5bfc1b28554cd1.jpg)
![](/f/38929/618e9de32a5bfc1b28554cd0.jpg)
![](/f/38929/618e9e312a5bfc1b28554cd2.jpg)
หลังจากนั้น เราก็ให้สกายแลปไปส่งเราที่เกสท์เฮ้าส์บนถนนคนเดิน จบการใช้บริการสกายแลป 600 บาทแต่เพียงเท่านี้ หลังจากนี้การเดินทางของเราในเชียงคาน คือ 2 เท้า และจักรยาน
![](/f/38929/618eae082a5bfc1b28554cd3.jpg)
ที่พักของเราทริปนี้ ทั้ง 2 คืน คือ เชียงคานเกสท์เฮ้าส์ คืนละ 600 บาท ตั้งอยู่บนถนนชายโขง ด้านหน้าติดถนนคนเดิน ด้านหลังติดถนนเล็กๆ ริมแม่น้ำโขง ซึ่งตอนนี้เป็นเวลาเกือบๆ เที่ยงพอดี เราไปเช็คอิน และฝากกระเป๋าไว้ก่อน แล้วเดินไปทานอาหารร้านดังของเชียงคาน "เฮือนหลวงพระบาง" ซึ่งขึ้นชื่อว่ารออาหารนาน เราเลยไปทานมื้อเที่ยงเลยจ้า คนจะน้อยหน่อย ทานไป ชมวิวแม่น้ำโขงไป อาหารอร่อยดี จานใหญ่มากอ่ะ ไป 2 คน ทานแทบไม่หมด
![](/f/38929/618f8efb5e48241b2bb9648f.jpg)
![](/f/38929/618f8f105e48241b2bb96490.jpg)
![](/f/38929/618f8f262a5bfc1b28554cee.jpg)
หลังจากหนังท้องตึง หนังตาก็หย่อน เดินกลับไปที่พัก เข้าห้องพักได้พอดี ก้อได้เวลางีบหลับจ้า เพราะนอนบนรถทัวร์ไม่เต็มอิ่มเลย และตอนบ่ายที่เชียงคานร้อนมาก แม้จะเป็นฤดูหนาวก็ตาม แดดแรงจริงๆ นะ พักผ่อนก่อนดีกว่า
พอประมาณ 5 โมงเย็น ถนนคนเดินก็เริ่มขายของแล้ว แต่จะคึกคักประมาณ 6 โมงเย็น ช่วงฤดูหนาวจะมีถนนคนเดินทุกวันเลย ซึ่งวันธรรมดาก็จะดีหน่อย ตรงที่คนไม่แน่นจนเกินไป เราชอบแบบนี้แหละ ^^
Day 2
วันนี้ เราแพลนเที่ยวบนถนนคนเดินในตอนกลางวัน ดูบ้านเรือน และวิถีชีวิตของผู้คนในเชียงคาน ปั่นจักรยานเที่ยว และหาของกินอร่อยๆ เลยเริ่มต้นวันจากการเช่าจักรยาน คันละ 50 บาทต่อวัน
![](/f/38929/618f924c2a5bfc1b28554cef.jpg)
การปั่นจักรยานริมโขงในเชียงคาน คือ ดีมาก ลมเย็น สบาย แต่แดดจะเริ่มแรงตอนช่วง บ่าย 2 เป็นต้นไป เราก็ขี่ทะลุซอยนั้้น ซอยนี้ หาของกินอร่อยๆ เจอร้านไหนน่ารักๆ ก็ถ่ายรูป
![](/f/38929/618f925d2a5bfc1b28554cf0.jpg)
![](/f/38929/618f92812a5bfc1b28554cf1.jpg)
![](/f/38929/618f92942a5bfc1b28554cf2.jpg)
![](/f/38929/618f92b45e48241b2bb96491.jpg)
![](/f/38929/618f99cf3e16f94c82a60719.jpg)
![](/f/38929/618f94072a5bfc1b28554cf4.jpg)
![](/f/38929/618f93e02a5bfc1b28554cf3.jpg)
![](/f/38929/618f94445e48241b2bb96493.jpg)
มาดูอาหารกัน เริ่มจากร้านแรก "ลุกโภชนา"
![](/f/38929/618f974a5e48241b2bb96494.jpg)
![](/f/38929/618f97252a5bfc1b28554cf7.jpg)
![](/f/38929/618f96b73e16f94c82a60716.jpg)
![](/f/38929/618f96dd8800ce1b4074516e.jpg)
ร้านถัดไป "ป้าบัวหวาน ข้าวปุ้นน้ำแจ่ว"
![](/f/38929/618f98db8800ce1b4074516f.jpg)
ต่อด้วย "จุ่มนัวยายพัด"
![](/f/38929/618f98a35e48241b2bb96495.jpg)
"เฟื่องฟ้า บะหมี่โบราณ"
![](/f/38929/618f998c5e48241b2bb96496.jpg)
"สังขยาคุณแม่" ยามบ่าย
![](/f/38929/618fa2035e48241b2bb964a1.jpg)
ตระเวนกินทั้งหมดนี้ คือ อิ่มมากมาย ประมาณ 16.00 เราก็ขี่จักรยานไป แก่งคุดคู้ กันต่อ ไม่ไกลมากนะคะ ขี่จักรยานไปได้สบายๆ บนถนนเล็กๆ เลียบแม่น้ำโขง เป็นทางสำหรับจักรยาน และเดินเท้าเท่านั้น ปลอดภัยดีค่ะ ไม่ต้องกลัว
แล้วเราก็มาถึงแก่งคุดคู้ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ถ้าน้ำลง จะเห็นแก่งที่ชัดเจน มองไปฝั่งตรงข้ามที่ถูกกั้นด้วยแม่น้ำโขง นั่นคือ ประเทศลาว ใกล้กันนิดเดียวเองเนอะ
![](/f/38929/618f9bbf5e48241b2bb96498.jpg)
![](/f/38929/618f9b388800ce1b40745170.jpg)
![](/f/38929/618f9b873e16f94c82a6071a.jpg)
![](/f/38929/618f9b995e48241b2bb96497.jpg)
![](/f/38929/618f9ba68800ce1b40745171.jpg)
![](/f/38929/618f9bf23e16f94c82a6071b.jpg)
อยู่ตรงนี้ไปประมาณชั่วโมงนึงค่ะ แล้วก็ขี่กลับ แต่ตอนกลับอาจจะมืดนิดนึงนะ แต่แสงพระอาทิตย์ตกสวยมากๆ เลย
![](/f/38929/618f9c802a5bfc1b28554cf8.jpg)
มื้อเย็นวันนี้ ถนนคนเดินเช่นเคยค่ะ ชอบ อร่อยไปหมดเลย
Day 3
เช้าวันถัดไป เราตื่นแต่เช้ามากๆ ค่ะ เพราะจะตักบาตรข้าวเหนียว ซึ่งเราต้องแจ้งที่พักไว้ก่อน เค้าจะจัดชุดตักบาตรข้าวเหนียวไว้ให้ ชุดใหญ่ 100 บาท ซึ่งต้องลงมารอตอน 6 โมงเช้านะ พอ 6 โมงเช้าเป๊ะ เราก็ลงมาเพื่อรอตักบาตรค่ะ เซอร์ไพร์ส เกสท์เฮ้าส์มีผ้าถุง และผ้าคาดบ่าลายไทยๆ ให้ยืมใส่ด้วยอ่ะ ซึ่งมีสีและลายให้เลือกเยอะมาก เราก็เลือกให้เข้ากับสีเสื้อกันหนาว ส่วนผู้ชายจะเป็นผ้าคาดบ่าลายผ้าขาวม้าอย่างเดียวค่ะ คือ เฮ้ย ดีงามสุดๆ เข้ากับบรรยากาศมาก
![](/f/38929/618f9dce3e16f94c82a6071c.jpg)
![](/f/38929/618f9de18800ce1b40745172.jpg)
หลังจากตักบาตรข้าวเหนียวเสร็จ เราก็เดินจากเกสท์เฮ้าส์ไม่กี่ก้าว เพื่อไปดูหมอกจ้า เป็นจุดชมวิว ซึ่งหมอกหนามาก ไม่ต้องขึ้นภู ก็ได้เจอหมอกเต็มๆ
![](/f/38929/618f9e408800ce1b40745173.jpg)
![](/f/38929/618f9e532a5bfc1b28554cf9.jpg)
ทุกเช้าจะมีหมอกมาทักทายแบบนี้ ทริปนี้ เลยได้เจอหมอกเต็มๆ ไปเลยจ้า อากาศก็หนาวสมใจ อาหารเช้าวันนี้เรากินเหมือนเมื่อวานค่ะ ร้านไหนอร่อย คือ ไปซ้ำ 55
แม้ตอนเช้าจะหมอกหนา แต่สายๆ ฟ้าสวยแจ่มแบบนี้เลยนะ และอากาศก็ยังเย็นอยู่
![](/f/38929/618fa1523e16f94c82a60720.jpg)
ส่วนอาหารกลางวัน เดินผ่านเลยขอลองร้านนี้ "14 อีกครั้ง" ตั้งแต่มายังไม่ได้ลองปลาแม่น้ำโขงเลย เลยจัดไปค่ะ ร้านนี้อาหารจานเล็กหน่อย เลยได้ลองหลายอย่าง
![](/f/38929/618f9f2c2a5bfc1b28554cfa.jpg)
![](/f/38929/618f9f392a5bfc1b28554cfb.jpg)
![](/f/38929/618f9f563e16f94c82a6071d.jpg)
หลังจากมื้อเที่ยง เราพักผ่อนที่เกสท์เฮ้าส์ โดยเช็คเอาท์ไว้แล้ว แต่ฝากกระเป๋าไว้ได้ค่ะ ก็นั่งเล่นที่ระเบียงของเกสท์เฮ้าส์ซึ่งอยู่ริมโขงแบบนี้เลย นั่งมองแม่น้ำโขง ปลดปล่อยอารมณ์ไปกับความเรียบง่ายของเมืองเล็กๆ อันแสนสงบเช่นนี้
![](/f/38929/618fa0c23e16f94c82a6071e.jpg)
![](/f/38929/618fa10e5e48241b2bb9649a.jpg)
นั่งไปนานแค่ไหนไม่รู้ รู้ตัวอีกที แดดร่มแล้ว ก็ได้เวลาเดินถนนคนเดินอีกแล้วสินะ อิอิ เพราะ ข้อดีของการกลับด้วยรถบัส ก็คือ รถจะออกจากเชียงคาน ในเวลา 18.30 ซึ่งเดินไปได้เลยจ้า เลยมีเวลาไปหาของอร่อยกินก่อน แล้วเดินกลับไปเอากระเป๋า แล้วเดินไปจุดจอดรถบัสค่ะ ถึง กทม. ประมาณตี 3 กว่าๆ
ทริปนี้ ถ้าหากมีเวลาน้อย และไปรถบัสแบบเรา สามารถปรับเป็น 2 วัน 1 คืน ก็ได้นะ เพราะที่เที่ยวไม่ได้เยอะ แต่บรรยากาศอ่ะ เยอะมาก แต่ถ้ามีเวลา ก็ไปใช้ชีวิตช้าๆ แบบเราเลยค่ะ
Travelholic
วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 เวลา 09.44 น.