เซี่ยงไฮ้ หางโจว ดิสนีย์แลนด์ หุบเขาเทวดา สตูดิโอเหิงเตี้ยน
เที่ยวเอง 6 วัน 5 คืน ไม่เกิน 20,000 บาท
หนึ่งใน Dreamlist ของเรา คือ ไป Disneyland ทั่วโลกค่ะ ซึ่งเราขาดแค่เซี่ยงไฮ้ กับโตเกียว พอประเทศจีนฟรีวีซ่า แน่นอนว่า เซี่ยงไฮ้ คือ เมืองแรกในประเทศจีนที่ต้องไปเยือน
ทริปนี้ เราเดินทางเที่ยวด้วยตัวเอง ไม่ได้ไปทัวร์ เห็นหน้าหมวยๆ แบบนี้ อ่านภาษาจีนไม่ออกสักตัว และฟังพูดภาษาจีนไม่ได้เลย เราใช้เวลาแพลน 1 คืน ซื้อตั๋วล่วงหน้าแค่ 9 วันก็บินละจ้า เหตุเกิดจาก เอ๊ะ ทำไมบินใกล้ขนาดนี้ ตั๋วถูกนะ แถมเดือนพฤศจิกายน เป็นช่วงอากาศดีมากด้วย ว่างพอดี จะรอช้าทำไม รีบจองตั๋วทันที ไม่ต้องจองข้ามปี มันดีตรงนี้
วางแผนไว้ 6 วัน 5 คืน ถึงเซี่ยงไฮ้ 5.30 ด้วย Air Asia กลับจากหางโจว 23.20 ด้วย Thai Lion Air ค่ะ บินตรงทั้งขาไปและกลับ โอ๊ย เวลาก็ดีไปอีก เที่ยวได้เต็มๆ 6 วันไปเลย
หลังจากซื้อตั๋วเครื่องบินเสร็จ แพลนก็งอกมาเรื่อยๆ อุ๊ย หุบเขาเทวดาก็อยากไป สตูดิโอเหิงเตี้ยนก็ต้องไป เลยไปมันให้ครบเนี่ยแหละ โปรแกรมเราเลยออกมาแบบนี้ค่ะ
อุณหภูมิทริปนี้ ตั้งแต่ 10-22 องศาเซลเซียส อากาศกำลังเย็นๆ สบายๆ แต่เจอฝนพรำ 2 วันแรกที่เซี่ยงไฮ้ค่ะ ค่าเงินช่วงที่เราไป (พฤศจิกายน 2567) 1 หยวน = 4.8 บาท ตอนเที่ยวก็คิดเป็น 5 บาทละกัน เพื่อความง่ายในการคำนวณ
ก่อนจะเล่าโปรแกรมแต่ละวัน แนะนำสิ่งที่ควรรู้สำหรับการเที่ยวจีนด้วยตัวเองกันก่อน
การใช้จ่ายเงิน
ชอบการจ่ายเงินที่จีนมากๆๆๆๆๆ สามารถจ่ายได้หลายวิธีด้วยกัน แต่เราเตรียมตัวไปแค่ 3 วิธีนี้ค่ะ
1. โหลดแอพ Alipay จ่ายเงินได้ทุกที่ที่มีโลโก้ Alipay ได้เลย
- ลงทะเบียน แล้วผูกบัตรเครดิต เดบิต หรือ travel card ต้องทำไว้ตั้งแต่ไทยเลยนะคะ เพราะจะมี otp ยืนยันตัวตน เครื่องนึงผูกได้หลายบัตรค่ะ เผื่อบ้ตรใดมีปัญหา และบัตรนึงก็ผูกได้หลายเครื่องด้วย
- กรณีที่ใครไม่มีบัตรเครดิต เดบิตใดๆ ก็สามารถยืมเลขบัตรของสามีภรรยาพ่อแม่พี่น้องเพื่อนฝูง ผูกกับ Alipay เราได้เลย แต่ขออนุญาตเค้าก่อนนะคะ และจ่ายเงินคืนเค้าด้วย ^^
- โดยตอนกรอกวันที่หมดอายุบัตรต้องใส่เป็น ค.ศ. นะ (iPhone เรา ถูก set เป็น พ.ศ. อัตโนมัติ ต้องเข้าไปแก้ที่ calendar ของมือถือก่อนค่ะ)
2. โหลดแอพ Truemoney จ่ายเงินได้ทุกที่ที่มีโลโก้ Alipay เช่นกัน
- เติมเงินไทยเข้า wallet ไว้ เหมือนซื้อของที่ 7-11 เป๊ะ (แต่อยู่ไทยเราไม่ได้ใช้แอพนี้นะ เพิ่งโหลดเพราะไปจีน)
3. เงินสด
- ติดตัวไว้นิดหน่อยค่ะ เผื่ออินเตอร์เน็ตมีปัญหาตอนนั้นพอดี หรือเวลาจ่ายมัดจำ เราจะมัดจำด้วยเงินสด แล้วก็ได้เงินสดคืน สะดวกดี (เราแลกไปแค่ 300 หยวน)
จริงๆ ยังมีการจ่ายผ่าน unionpay และ wechatpay ได้อีกด้วย แต่เราทำแค่ 3 ข้อที่บอกไป ก็ใช้ได้ตลอดทริปแล้วค่ะ สะดวกสบายมากๆ ไม่ว่าจะซื้อของ นั่งรถเมล์ รถไฟใต้ดิน ใช้ Alipay โลด
การซื้อ Sim สำหรับใช้อินเตอร์เน็ต
เราซื้อ esim ผ่านทาง trip ค่ะ เค้าจะส่ง qr code มาให้ทาง email แล้วเราทำการสแกน qr code เพื่อ setting ตั้งแต่อยู่สนามบินประเทศไทยนะคะ ไปถึงใช้งานได้เลย และเล่นได้ทุก social (สำหรับ tiktok ให้ปิด location ในแอพ tiktok ก่อนไปจีนจ้า)
การดูแผนที่
โหลดแอพ Amap ไว้เลยค่ะ แต่เวลา search สถานที่ต่างๆ ต้องไปก๊อปชื่อภาษาจีนมาวางนะคะ หรือเข้าไป setting app Amap ในโทรศัพท์ เลือกเป็นภาษาอังกฤษค่ะ ก็จะ search เป็นภาษาอังกฤษได้ (อันนี้เรารู้หลังจากกลับจากเซี่ยงไฮ้) โลเคชั่นตรงเป๊ะๆ แอพดูง่ายสุดๆ ซูมเข้าไปเห็นกระทั่งทางม้าลาย ไฟจราจร ซึ่งการเดินทางของเรา คือ นั่งใต้ดิน และเดินเป็นหลัก ดังนั้น เราจะใช้วิธีนับเลยว่า ต้องเดินไปอีกกี่ไฟจราจร ง่ายมาก
การนั่ง Metro หรือรถไฟใต้ดิน
โหลดแอพ Metroman China มาใช้ค่ะ จะมีแผนที่รถไฟใต้ดินทุกเมืองของประเทศจีนเลย การใช้งานก็ง่ายมาก แค่เลือกเมืองก่อน จากนั้นเลือกสถานีเริ่มต้น และสถานีปลายทาง แอพจะบอกให้หมดว่าจะต้องนั่งสายไหน ต้องเปลี่ยนขบวนมั้ย กี่สถานี ราคากี่หยวน ซึ่งค่า Metro ถูกมาก เริ่มต้น 3 หยวน นั่งไกลมาก เป็นชั่วโมงยังแค่ 7 หยวนเอง
การซื้อตั๋วรถไฟใต้ดิน
1. สามารถใช้ qr code ของ Alipay สแกนเข้าออกได้เลย ซึ่งวิธีนี้ ทุกคนในทริปจะต้องมีโทรศัพท์ Smart Phone และโหลด Alipay เป็นของตัวเอง (ใครไม่มีบัตรเครดิตเพื่อทำการผูกกับ Alipay ย้อนไปอ่านหัวข้อ "การใช้จ่ายเงิน" นะคะ)
2. ใช้วิธีกดซื้อบัตรที่ตู้เหมือนบ้านเราเลย จะไปสถานีไหน เอาบัตรกี่ใบ แล้วสแกนจ่ายเงินด้วย Alipay ไม่ต้องตกใจนะคะ เพราะที่ตู้มีฟังก์ชั่นเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษด้วย ถ้าไม่มี Alipay กันทุกคน ใช้วิธีนี้ก็ง่ายดี
ปล. รูปนี้ หน้าตาตู้ที่หางโจว
การนั่งรถไฟความเร็วสูงข้ามเมือง
อันนี้ก็สะดวกมากๆๆๆๆ และดีมาก ตอนนี้คือชอบการนั่งรถไฟข้ามเมืองมากอ่ะ จะไปซื้อตั๋วที่สถานีก็ได้ หรือจองก่อนล่วงหน้าก็ได้ เราจองจากแอพ trip จะแพงกว่าไปซื้อที่สถานีค่ะ เพราะมีค่าธรรมเนียมในการจอง แต่ก็ได้ตั๋วชัวร์ๆ ไม่ต้องไปลุ้น และไม่เสียเวลาด้วย เรานั่งข้ามเมืองทั้งหมด 3 เที่ยว มีเที่ยวนึงทำการเปลี่ยนเวลาที่สถานีด้วย เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง
ถ้าหากจองผ่านแอพ จะมี email ส่งมาให้ ในนั้นจะบอกว่านั่งขบวนไหน เวลาอะไร นั่งตู้ไหน ที่นั่งเลขอะไรครบ ไม่ต้องไปแลกรับตั๋วใดๆ นะคะ แต่ถ้าไปซื้อตั๋วที่สถานี จะได้เป็นกระดาษแผ่นเล็กๆ มา ซึ่งบอกรายละเอียดทั้งหมดเช่นกัน
อย่างรูปนี้ ก็คือ นั่งตู้ที่ 5 ที่นั่ง 8D (ติดทางเดิน) และ ตู้ที่ 5 ที่นั่ง 8F (ติดหน้าต่าง) พอไปที่ชานชาลา ก็ขึ้นให้ตรงตู้นะคะ
การเข้าสถานีรถไฟ จะเริ่มจากการเช็คพาสปอร์ตก่อน ซึ่งมันเจ๋งตรงที่ เจ้าหน้าที่จะรู้จากพาสปอร์ตเลยค่ะ ว่าเราจะไปไหน รอบกี่โมง คือมันเริ่ดมาก ล้ำสุดๆ ไม่ต้องบอกอะไรเค้าเลย ดังนั้น จะพูดจีนไม่ได้ก็ไม่ใช่ปัญหา สำหรับชาวต่างชาติจะต้องไปต่อแถวช่องที่มีเจ้าหน้าที่ยืนเท่านั้นนะคะ เพราะช่องอื่น เค้าจะสแกนบัตรประชาชนจีน หลังจากนั้นก็ผ่านด่าน Security Check สแกนกระเป๋า เป็นอันเสร็จสิ้น แค่นี้เลย ง่ายมาก
ส่วนเรื่องระยะเวลาบอกไม่ได้ว่านานแค่ไหน ขึ้นอยู่กับสนามบินใหญ่มั้ย และช่วงเวลานั้นคนเยอะมั้ย แต่เอาเป็นว่า ควรถึงสถานีรถไฟก่อน 1 ชั่วโมง คือ ชัวร์สุด ยังไงก็ไม่ตกรถไฟค่ะ
พอได้เข้ามาแล้ว สถานีสะอาดสะอ้าน ใหญ่โตเหมือนสนามบินเลย และเราก็สามารถดูจอแบบสนามบินได้เลยว่า ขบวนรถไฟของเรา ต้องไป gate ไหน เราไม่จำเป์นต้องอ่านภาษาจีนออกนะคะ ดูแค่เลขขบวนรถไฟ อย่างของเรา คือ G2189 เวลา 7.28 ไป gate 15B เราก็เดินหา gate 15B แค่นี้เลย
แต่ถ้าเป็นสถานีเล็กหน่อย เช่น ที่เมือง Shangrao จะมีชานชาลาบอกเพิ่มค่ะ เพราะเข้า gate เดียวกัน แต่แยกเป็น 2 ชานชาลา เช่น ของเราขบวนที่ G1676 รอบเวลา 12.17 เข้า gate 6B ชานชาลา 12 ซึ่งอีกขบวน G324 เข้า gate 6B เหมือนกัน แต่พอเข้าไปจะแยกเป็นชานชาลา 11 เป็นต้นค่ะ
ระหว่างนี้ก็ไปนั่งรอหน้า gate ได้เลย ฟีลสนามบินเลยค่ะ อย่าไปเดินเล่นเพลินล่ะ ซึ่ง gate จะเปิดก่อน 15 นาที และปิดก่อนเวลารถไฟออก 3 นาที ดังนั้นเผื่อเวลากันด้วยนะ
เมื่อถึงเวลา 15 นาทีก่อนรถไฟออก ขบวนรถไฟของเราที่จอหน้า gate จะเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีเขียว ก็ไปต่อแถวเช็คพาสปอร์ตอีกรอบ เพื่อเป็นการรีเช็คว่าเรามาถูก gate มั้ย ถ้าเข้าผิด gate เจ้าหน้าที่คงจะแจ้งตรงนี้แหละ จากนั้นก็ผ่านเข้าไปชานชาลาได้เลยค่ะ เมื่อรถมาถึง ก็เข้าตู้ของเรา และนั่งตามที่นั่งที่ได้รับตอนซื้อตั๋วเลย
แนะนำสิ่งที่ควรรู้ถ้าหากจะเที่ยวเองในประเทศจีนเรียบร้อยแล้ว ไปแต่ละโปรแกรมกันเลย
Day 1 : Shanghai City Tour
วันนี้เรามาถึงมหานครเซี่ยงไฮ้ ตอน 5.00 ซึ่งมาก่อนเวลา 20 นาที ใช้เวลาที่ ต.ม. ค่อนข้างนานค่ะ กว่าจะเสร็จ ได้ขึ้นรถไฟก็ 6.30 แล้ว
ซึ่งวันนี้เป็น Shanghai City Tour ของเรา ก็เลยซื้อตั๋วรถไฟใต้ดินแบบ One Day Pass ไปเลย จะเข้าออกกี่รอบก็ได้ ภายใน 24 ชั่วโมง ราคาคนละ 18 หยวน เพราะเราดูจากโปรแกรมแล้ว ถ้ากดทีละเที่ยวจะใช้ประมาณ 30 หยวน แค่จากสนามบินเข้าเมือง ก็ 7 หยวนแล้ว ดังนั้น ซื้อแบบตั๋ววันเลย คุ้มกว่าเยอะ ซึ่งการซื้อตั๋ววัน เราเดินไปซื้อที่เคาน์เตอร์ค่ะ โดยพิมพ์ในแอพ translate ว่า one day pass เค้าแจ้งราคามา 18 หยวน โอเค ตรงกับข้อมูลที่หามา สแกน Alipay จ่ายตังค์ได้เลย
มาถึงโรงแรม ฝากกระเป๋าไว้ เพราะยังไม่ถึงเวลาได้เข้าห้องพัก แล้วออกไปเที่ยวกันเลย เพราะนอนมาบนเครื่องเรียบร้อยแล้ว
The North Bund & The Bund
ที่แรกเรามา The North Bund กันก่อน ซึ่งเป็นหนึ่งจุดไฮไลท์ของเซี่ยงไฮ้
พิกัด : สถานี International Cruise Terminal (line12) Exit 3 แล้วเดินข้ามถนนเข้าสวนสาธารณะเลยค่ะ
ถ่ายรูปเสร็จ เดินริมอ่าวไปเรื่อยๆ เลย ตลอดทาง คือ วิวดีมาก สวยมาก เห็นหอไข่มุกตลอดแนว ซึ่งวิวนี้ ไม่ได้อยู่ตรง The Bund นะคะ แต่เป็นระหว่างทาง The North Bund ไป The Bund ค่ะ
ประมาณ 15 นาที เราก็จะเดินไปถึง The Bund ซึ่งจุดถ่ายรูปยอดนิยม คือ ตรงสะพาน Waibaidu Bridge แต่เราว่าสวยสู้วิวระหว่างทางริมน้ำที่เดินมาไม่ได้เลย เพราะตรงที่เราถ่าย จะเห็นพาโนรามามากกว่า (ถ้าหากพักที่ East Nanjing ก็เดินริมน้ำย้อนกลับค่ะ ก็จะไปถึง The North Bund เช่นกัน
แนะนำให้มาถ่ายตรงนี้นะคะ สวยมาก เป็นซอกตึก ที่มองไปเห็นหอไข่มุกพอดี
หลังจากถ่ายรูปเสร็จ ฝนก็เริ่มตกพรำๆ ตกๆ หยุดๆ ตลอดทั้งวันเลยจ้า กางร่มบ้าง ไม่กางร่มบ้าง ยังเที่ยวได้ปกติ แต่ท้องฟ้าไม่สวยเลย เมฆมาเต็มค่ะ
Nanjinglu
เราจะไปที่ Nanjinglu กันต่อ หรือที่เรียกว่า ถนนนานจิง ที่ทุกคนต้องมาเมื่อมาเซี่ยงไฮ้ Nanjinglu เป็นถนนช้อปปิ้ง ร้านอาหาร แหล่งรวมของฝาก และโรงแรมมากมาย คล้ายๆ สยามสแควร์บ้านเรา น่าจะเป็นย่านที่คึกคักที่สุดแล้ว และถ้าหากจะพบคนไทยด้วยกัน ก็ย่านนี้นั่นเอง ซึ่งจาก The Bund สามารถเดินเข้าถนน Nanjing Road (E) ได้เลย
เราไปทานอาหารจีนยอดฮิตในหมู่คนไทย เมนูเป็นภาษาไทยเลยค่ะ และได้ลด 10% สำหรับคนไทยด้วย เมนูนี้ คือ Spicy Beef เผ็ด จัดจ้าน สะใจมาก ทานกับข้าวร้อนๆ อร่อยมาก และที่สำคัญคือ อาหารจีน portion ใหญ่มาก มาเป็นชามใหญ่ๆ เลย เหมือนจะเป็นหม้อละ ไป 2 คน สั่งได้แค่อย่างเดียว มื้อนี้ ลดราคาแล้ว 55 หยวน
ทานเสร็จ ไปเดินเล่นกัน
Miniso สาขาถนนนานจิง คือ ใหญ่มาก มีหลายชั้นเลย
ถัดไปเราจะไป 1000 trees วิวยอดฮิตใหม่ใน Social ซึ่งเริ่มต้นจากสถานี East Nanjing Road แล้วจะต้องมาเปลี่ยนสถานีที่ West Nanjing Road ซึ่งสถานีนี้ต้องเดินออกจากสถานีมาก่อนนะเพื่อเปลี่ยนสาย คือ มันไม่เชื่อมกันที่ใต้ดินแบบสถานีอื่น แล้วต้องสแกนบัตรเข้าใหม่นะคะ แต่ในแอพไม่ได้บอกว่าคิดตังค์แยกนะ จุดนี้เราเลยไม่มั่นใจว่าคิดตังค์ค่าตั๋ว metro แยกมั้ย เพราะเราใช้ตั๋ววัน เข้าออกกี่รอบก็ได้ เลยไม่ได้ต้องจ่ายเงินเพิ่มใดๆ
ซึ่งสถานี West Nanjing Road เป็นที่ตั้งของ Starbucks ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เอารูปมาฝากค่ะ
1000 Trees
พิกัดเช็คอินใหม่ในเซี่ยงไฮ้ หนีไม่พ้น 1000 trees ซึ่งที่นี่เป็นโครงการรักษ์โลกขนาดใหญ่สุดอลังการที่เป็นทั้งห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร ที่แสดงงานศิลปะ ที่พัก และสวนสาธารณะริมน้ำ ซึ่งต้องการเปลี่ยนมุมมองของตึกสูงในเซี่ยงไฮ้ ให้เป็นเหมือนภูเขาที่มีต้นไม้ปกคลุม
พิกัด : สถานี Jiangning Road (line13) Exit 1 เมื่อออกมาจากสถานี ให้เดินเลี้ยวขวาแล้วเดินตรงไปเรื่อยๆ เลยค่ะ ก็จะเห็นอาคารนี้เอง
จุดถ่ายรูปปกติ คือ บนสะพาน แต่อีกจุดที่เราจะเห็นใน Social นั่นคือ ในสวนฝั่งตรงข้ามกับ 1000 trees เราอยากจะไปจุดนั้นด้วย ก็เลยเดินข้ามสะพานเพื่อข้ามแม่น้ำไปฝั่งตรงข้ามค่ะ แต่ๆๆๆ สวนนั้น ไม่ใช่สวนสาธารณะจ้า แต่เป็นสวนของอพาร์ทเมนท์ฝั่งตรงข้ามนั่นเอง สามารถเดินเข้าไปได้ค่ะ เราว่าเค้าคงชินแล้ว แต่จะหาประตูออกไปสวนยากนิดนึง เพราะประตูจะต้องมีบัตรสแกนเข้าออกด้วย เราเลยเปิดรูปให้เจ้าหน้าที่อพาร์ทเมนท์ดู เค้าก็น่ารักมากค่ะ พาเดินออกไปที่ประตูนึงที่ไม่ต้องใช้บัตรสแกน พอถ่ายรูปเสร็จ ก็เดินกลับออกมาทางเดิมนะคะ ก็จะได้วิว 1000 trees แบบพาโนรามานั่นเอง
Xiantiandi
เดินเล่นต่อที่ย่านนี้ จะเป็นแหล่งช้อปปิ้งที่แตกต่างออกไป ไม่ได้คึกคักแบบ Nanjinglu ค่ะ แต่เราไม่ใช่สายช้อปปิ้ง เดินๆ ดูบ้านเมืองเล่นแป๊บๆ พอ เดินไปเจอร้านเบเกิลเจ้าดังพอดี อ่ะ จัดไป
พิกัด : สถานี Xintiandi (line13/line10) Exit 6
Yu Yuan Market
ช่วงนี้พระอาทิตย์ตกไวค่ะ 17.00 ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว เราก็มาถึง Yu Yuan Market ซึ่งเป็นถนนคนเดินที่ใหญ่มาก ของกินเยอะมากจ้า แน่นอนว่ามื้อเย็น เราก็ฝากท้องไว้ที่นี่แหละ ชอบที่สุดละถนนคนเดิน ^^
พิกัด : สถานี Yuyuan Garden (line10) Exit 1
The Bund at Night
สิ่งนึงที่ต้องทำเมื่อมาเซี่ยงไฮ้ นั่นก็คือ มาดูแสงสียามค่ำคืน ซึ่งฝั่งหอไข่มุกจะเปิดไฟ เล่นแสงสีต่างๆ แต่เสียดายที่วันนี้ฝนตกปรอยๆ แทบทั้งวัน ตกๆ หยุดๆ ยังดีที่ยังเที่ยวได้ แต่ทำให้ท้องฟ้าไม่เปิด หอไข่มุกของเราหายไปครึ่งนึง ฮือออ T T
พิกัด : สถานี East Nanjing Road (line2/line10) Exit 3
เหนื่อยมากวันนี้ เดินไป 3 หมื่นก้าวจ้า ได้เวลาพักผ่อนเก็บแรงค่ะ
Day 2 : Shanghai Disneyland
วันนี้เราไปดิสนีย์แลนด์ค่ะ ซึ่งที่เซี่ยงไฮ้ คือ แห่งที่ 5 ของเราแล้ว ขาดอีก 1 แห่ง คือ โตเกียว ก็จะครบทั่วโลก เปิด 8.30 เราไปถึง gate เกือบ 9 โมง เพราะจาก Metro สถานี Disney Resort เดินไกลมาก กว่าจะถึงทางเข้า ซื้อตั๋วไปก่อนเรียบร้อยจากแอพ Klook สแกนก็เข้าได้เลย เล่นไปได้เยอะมาก 8 อย่าง รวมถึงดูพาเหรดอีก 2 โชว์ และดูพลุรอบ 20.15 ด้วย ครบ
พลาดไม่ได้กับน่องไก่งวง เรากินทุกดิสนีย์แลนด์เลย ที่เซี่ยงไฮ้ 88 หยวนค่ะ
มาดูพาเหรดกันบ้าง เราดูทั้งรอบบ่ายๆ และรอบเย็น
ปิดท้ายด้วยพลุค่ะ ซึ่งช่วงที่เราไป มีจุดพลุพิเศษฉลองวันเกิดมิกกี้และมินนี่ด้วย
พลุจบ ก็เดินตามๆ กันออกไปที่ Metro ค่ะ รถไฟใต้ดิน จะหมดประมาณ 22.00 นะคะ ถ้าหากมีการเปลี่ยนขบวน ก็ต้องเปลี่ยนให้ทันก่อนรถไฟขบวนสุดท้ายนะ
Day 3 : Wangxiangu หุบเขาเทวดา
วันที่ 3 ของทริปแล้ว เราร่ำลาเซี่ยงไฮ้ ไปหุบเขาเทวดา วั้งเซียนกู่ (Wangxiangu หรือ Wangxian Valley) เป็นหมู่บ้านริมผา สถานที่ท่องเที่ยวระดับ 4A ของมณฑลเจียงซี ที่เป็นการผสมผสานระหว่างธรรมชาติ และวัฒนธรรมเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว ซึ่งเราเคยเห็นรูปแล้วสวยมาก พอดูการเดินทาง นั่งรถไฟความเร็วสูงจากเซี่ยงไฮ้ไป 3 ชั่วโมง ไม่ได้นานมาก โอเค ไปค่ะ
เราเช็คเอาท์แต่เช้า แล้วนั่ง Metro ไปสถานี Shanghai Hongqiao เพื่อนั่งรถไฟความเร็วสูงจากเซี่ยงไฮ้ ไปสถานี Shangrao (ซ่างเหรา) เราซื้อตั๋วไปล่วงหน้านะคะจากแอพ trip เพื่อความสะดวก และไม่ต้องลุ้นว่าตั๋วจะเต็มมั้ย แต่จริงๆ คือ มาซื้อที่สถานีก็ได้แหละ รอบเยอะมากค่ะ (เรานั่งรถไฟรอบ 7.28 แต่ตอนนี้ถ้าเลือกใหม่ได้ จะไปสายกว่านี้สักชั่วโมงนึงค่ะ ^^)
ใช้เวลา 3 ชั่วโมงก็มาถึงเมืองซ่างเหรา รถไฟมาถึงก่อนเวลา 5 นาทีด้วย อย่านั่งเพลินนะคะ ถ้าใกล้เวลาแล้ว ต้องคอยดูหน้าจอนะ จะมีบอกว่าถึงสถานีอะไร
จากสถานีซ่างเหรา จะไปหุบเขาเทวดา แนะนำให้นั่งแท๊กซี่ไป ประมาณ 50 กม. ใช้เวลา 1 ชั่วโมง ถ้าเรียก didi ปกติ จะประมาณ 140 - 150 หยวน เราใช้วิธี WeChat ไปยังเบอร์ติดต่อของโรงแรมล่วงหน้า โดยแจ้งวันเวลาที่เราไปถึงเมืองซ่างเหรา เพื่อให้เค้าเรียกแท๊กซี่ pool ให้ค่ะ ก็คือ นั่งรวมกับคนอื่นด้วย 4 คน แค่คนละ 35 หยวนเท่านั้นเอง เค้าจะส่ง WeChat ของคนขับมาให้ เราก็คุยกับคนขับได้เลย ไม่ต้องกังวลกับแอพ WeChat นะ เพราะสามารถ translate ในแอพได้เลย
เราพักที่ Shangrao Yungujuju ซึ่งอยู่ด้านนอกหุบเขาเทวดา ห่างกันเพียง 10 นาที คืนละ 850 บาท ห้องตรงปก และมีอาหารเช้าเป็นหมี่ผัดให้ด้วย และถ้าจะไปเที่ยวหุบเขาเทวดา เจ้าของจะขับรถไปส่ง พอจะกลับก็ WeChat บอกให้เค้ามารับค่ะ
เรามาถึงเที่ยง เช็คอิน เก็บของอะไรเสร็จ ไปทานอาหารเที่ยงกันก่อน ต้องบอกว่า อาหารจีนนอกจากจานใหญ่แล้ว ก็อร่อยมาก รสชาติดีมาก ไม่หวานไป ไม่เค็มไป แต่...มันมากค่ะ อย่างจานนี้ ปลานึ่งมะนาว 70 หยวน แต่ที่ได้มา คือ ปลานึ่งมะนาวในน้ำมันชัดๆ ฮือ
นั่งเล่นรอในห้องประมาณชั่วโมงนึง จนบ่าย 3 เจ้าของโรงแรม ก็ให้คนไปส่งเราที่หุบเขาเทวดา ไปซื้อตั๋วที่หน้าทางเข้าได้เลย คนละ 120 หยวน (ราคาอัพเดทปัจจุบัน 120 หยวนเท่ากันทุกวันค่ะ) เดินเล่น ถ่ายรูปกันไป ไม่ต้องรีบมาแต่เช้านะ เพราะไฮไลท์ คือ ตอนเปิดไฟหลังพระอาทิตย์ตกนั่นเอง
ช่วงนี้พระอาทิตย์ตก 17.00 ทั้งหมู่บ้านก็จะเริ่มทยอยเปิดไฟ และสักพักทั้งหุบเขาก็เต็มไปด้วยแสงไฟ สวยมากๆ เลย
มีการแสดงโชว์ด้วยนะ ทั้งการร่ายรำ และโชว์ที่เราชอบ คือ กระบองไฟ
และไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีอะไรทาน เพราะมีอาหารขายเยอะมากค่ะ มีทั้งแบบ Street Food ไปจนถึงหม้อไฟที่น่าทานมาก มาสัก 4 คนกำลังดี เรามา 2 คนลงเอยที่ Street Food นั่นเอง กินไปหลายอย่าง ซึ่งน่องห่านย่างหม่าล่า อร่อยมาก อันละ 15 หยวนเอง
เราอยู่ถึงประมาณ 2-3 ทุ่ม ก็ให้เจ้าของโรงแรมมารับกลับ พักผ่อน พรุ่งนี้เดินทางต่อจ้า
Day 4 : Hengdian
วันนี้เป็นวันชิวที่สุดของทริป ตื่นมามีอาหารเช้า เป็นหมี่ผัดใส่ไข่ดาว
เรา WeChat บอกคนขับรถให้มารับตอน 10.30 เพื่อกลับไปยังสถานีรถไฟซ่างเหรา คนละ 35 หยวนเหมือนเดิม เพื่อนั่งรถไฟความเร็วสูงไปสถานี Yiwu (อี๋หวู่) รอบ 12.17 ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงนิดๆ เท่านั้นเอง 13.30 ก็ถึงเมืองอี๋หวู่แล้ว
แต่จุดหมายปลายทางของเรา ไม่ใช่เมืองอี๋หวู่ แต่เราจะไปที่เมือง Hengdian (เหิงเตี้ยน) นั่นคือ ที่ตั้งของสตูดิโอ โรงถ่ายซีรีย์และหนังจีนพีเรียดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเราเป็นแฟนซีรีย์จีนค่ะ มีเหรอจะพลาดที่นี่ได้
มารู้จัก Hengdian World Studios กันก่อน จะมี 4 โซนหลักๆ ยอดนิยม คือ
1. Palace of Ming and Qing Dynasties
เปิด 8.30 - 16.30 ราคา 180 หยวน
2. Guangzhou Street + Hong Kong Street
เปิด 14.00 - 20.30 (Winter) 14.00 - 21.00 (Summer) ราคา 180 หยวน
3. The Palace of Qin
เปิด 8.30 - 16.00 (Winter) 8.30 - 16.30 (Summer) ราคา 190 หยวน
4. Qing Ming Shang He Tu
เปิด 9.30 - 16.30 (Winter) 9.30 - 17.00 (Summer) ราคา 180 หยวน
นอกจากนั้น ก็มีสวนสนุก Dream Valley ด้วยค่ะ เปิด 14.00 - 20.30 (Winter) 14.00 - 21.00 (Summer)
แต่ละโซน จ่ายตังค์แยกกัน หรือจะซื้อแบบเป็นแพ็คเกจ One Day ก็ได้ เลือกได้ 3 โซนหลัก (ไม่รวมสวนสนุก) ราคา 358 หยวน (เท่ากับ 2 โซน แถม 1 โซน)
เราจองจากแอพ trip ถูกกว่าไปซื้อหน้างาน ได้มา 2 คน ราคา 1,615 บาท ใช้ passport แทนตั๋วค่ะ (เหมือนรถไฟความเร็วสูงเลย) เดี๋ยวนี้พี่จีนใช้ระบบนี้หมด เวลาซื้อตั๋วออนไลน์ กรอกเลข passport แล้วยื่น passport แทนตั๋ว ข้อมูลการซื้อจะขึ้นหมด ตอนซื้อตั๋ว ยังไม่ต้องเลือกนะคะว่าจะไปโซนไหนบ้าง ไปคิดหน้างานได้เลย ซึ่งถ้าเราไปโซนไหน เจ้าหน้าที่จะพิมพ์เลข passport แล้วจะรู้เองค่ะว่าเราซื้อตั๋วแบบแพ็คเกจ และไปมากี่โซนแล้ว
จากสถานีรถไฟจะไปเมืองเหิงเตี้ยนยังไง
ง่ายมากค่ะ ให้เดินตามป้าย Bus แล้วไปที่ช่อง 7 จะมีรถ Shuttle Bus ที่หน้าตาแบบรถตู้จอดรออยู่ คนละ 35 หยวนจ้า แจ้งคนขับว่าจะไปโรงแรมอะไร แล้วขอ WeChat จากคนขับไว้นะคะ ไว้เรียกตอนกลับในวันถัดไป
ประมาณบ่าย 3 เราก็มาถึงโรงแรม Elan Hotel ซึ่งทำเลดีมาก ห้องสวย และใหญ่ด้วย จองมาในราคาคืนละ 540 บาท ได้อัพเกรดห้องฟรีไปอีกค่ะ
วิวฝั่งตรงข้าม คือ Hengdian World Studios โซน The Palace of Qin เลย เดินไปได้ไม่เกิน 5 นาที เราตั้งใจพักที่นี่ เพื่อใกล้ The Palace of Qin เนี่ยแหละ เพราะฉากในซีรีย์ส่วนใหญ่ คือ โซนนี้ค่ะ
ตั้งใจว่า มาที่นี่ต้องมาใส่ชุดฮั่นฝู เพื่อให้เข้ากับสถานที่สักหน่อย เย็นวันนี้เลยมาหาชุดไว้ก่อน พรุ่งนี้จะได้ไม่เสียเวลา เราข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม ก็เป็นร้านเช่าชุดแล้ว มี 2 ร้านติดกัน เราเลือกร้านกันสาดสีเขียว เข้าไปก็ดูชุด ลองชุด ได้มาราคาต่อรองแล้ว 170 หยวน รวมแต่งหน้าทำผม ค่าประกันชุด 200 หยวน เมื่อคืนชุดก็จะได้คืน (ส่วนของค่าประกัน เราจ่ายเป็นเงินสด พอคืนชุดปุ๊บ ก็ได้เงินสดคืนทันที สะดวกดี)
ร้านเปิด 8.00 ค่ะ แต่ Studio เปิด 8.30 ทางร้านแจ้งว่า เค้าแต่งหน้าให้ละเอียดมาก เราเลยขอให้ร้านเปิดพิเศษให้เรา 7.00 ได้มั้ย เพราะเราอยากไปแต่เช้า คนจะได้ไม่เยอะ ที่ร้านก็โอเค ไม่คิดตังค์เพิ่มใดๆ วางมัดจำเรียบร้อย เย้
เราก็เลยไปหาอาหารเย็นทานกัน เดินจากร้านเช่าชุดไปนิดนึง ก็จะผ่าน Dream Valley สวนสนุกของ Hengdian World Studios ค่ะ
อาหารเย็นวันนี้ ที่นี่จานเล็กลงมาหน่อย เลยสั่งได้ 2 อย่าง รวมข้าวด้วย มื้อนี้ 80 หยวน น่ากินมาก
Day 5 : Hengdian World Studios
ตื่นเช้ามา รีบข้ามถนนไปร้านเช่าชุดตามที่นัด 7.00 และเตรียมขนมปังที่ซื้อไว้ไปทานระหว่างแต่งหน้าทำผมด้วยเลย แต่งตัว 10 นาทีก็เสร็จ แต่แต่งหน้าละเอียดมาก เป็นชั่วโมงจ้า กว่าจะเสร็จ 8.40 และเราสามารถยืมพร็อพต่างๆ ไปได้นะคะ ร่ม พัด และรองเท้าได้หมดเลย อากาศเย็นสบาย ประมาณ 15 องศา เลยต้องใส่ฮีทเทคไว้ด้านใน เพราะชุดบางเบาซะเหลือเกิน
The Palace of Qin
จากนั้นก็รีบเดินไป The Palace of Qin เป็นที่แรก เพราะที่นี่เป็นที่ฮิตที่สุด คนเยอะที่สุดแน่นอน เลยต้องรีบมาที่นี่ก่อน เราใช้เวลาเดิน 5 นาทีก็ถึง ยื่น passport ได้เลย เจ้าหน้าที่จะรู้หมดค่ะว่าเราซื้อแพ็คเกจแบบไหนมา เพิ่งเปิดได้ 15 นาที คนเลยยังไม่เยอะ ได้ถ่ายรูปสบายๆ (ไม่ได้ใช้แอพลบคนเลยแม้แต่รูปเดียว) แล้วก็จริงค่ะ สายๆ ทัวร์เอย ทัศนศึกษาเอย มากันเพียบ
มาที่มุมแรก คือ กำแพงสูงๆ เชื่อว่า ใครดูซีรีย์จีน หรือภาพยนตร์จีน ต้องจำฉากนี้ได้ เพราะถ่ายหลายเรื่องมาก และเป็นฉากที่เวลาดูซีรีย์ แฟนเราบอกว่า อยากไปเห็นกำแพงนี้ ได้มาละนะ ^^
ตรงนี้ มีคนมาเป่าเครื่องดนตรี เพลงประกอบซีรีย์เรื่อง สามชาติสามภพ ป่าท้อสิบหลี่ด้วยค่ะ กรี๊ดเลย เพลงนี้เพราะมาก จำได้แม่นขึ้นใจ
เดินผ่านกำแพงสูงเข้ามา ก็จะเห็นลานกว้าง และพระราชวังในซีรีย์นั่นเอง
ได้เจอการแสดงของฮองเฮา และขันทีพอดี ออกมาเดินสร้างสีสันค่ะ
มาต่อที่สนามฝึกยุทธสักหน่อย
กำแพงเมือง องค์หญิงจะเข้าเมืองก็มาจ้ะ
ทริคของเรา คือ การใจเย็นค่ะ ถ้ามีคนกำลังเดินผ่าน คือ รอให้เค้าเดินผ่านกันไปก่อน ระหว่างรอ ก็เล็งมุมว่าจะถ่ายตรงไหน จะโพสอะไร พอเค้าเดินผ่านปุ๊บ ถ่ายปั๊บ เลยไม่เสียเวลา และได้รูปที่ไม่ติดคนเลย
ที่นี่มีเครื่องเล่นด้วยนะคะ Dragon Emperor 4D Ride เป็นเครื่องเล่น 4D ค่ะ ซึ่งเปิดเป็นรอบๆ เราเดินผ่านไปพอดี เลยเดินไปถามเจ้าหน้าที่ด้วยแอพ translate ว่าอันนี้คืออะไร นั่งรอแค่ 10 นาทีก็ได้เล่นแล้วค่ะ อย่าลืมไปเล่นกันนะ สนุก ตื่นเต้นดีนะ ตึกหน้าตาแบบนี้ มีมังกรสีดำด้านหน้า อยู่ใกล้ๆ กับที่ขายอาหารเลย
พอเล่นออกมา เราก็มาเดินทานอาหารต่อ อยู่ติดกันเลยค่า
Qing Ming Shang He Tu
ไปที่ถัดไป สามารถเดินจาก The Palace of Qin ไปยัง Qing Ming Shang He Tu ได้เลย ประมาณ 15 นาที ที่นี่ก็จะคุ้นกันมากแน่นอน จะเป็นพวกบ้านขุนนาง สวนจิบน้ำชาของคุณหนูทั้งหลาย และตลาดในเมืองหลวงค่ะ ซึ่งที่นี่คนไม่เยอะ ถ่ายรูปได้สบายๆ
มาดูบ้านขุนนาง และตลาดกันบ้าง ซึ่งห้องต่างๆ จะโล่งๆ นะคะ พอเวลาถ่ายซีรีย์ ทีมงานก็จะมาเซ็ทอัพพร็อพต่างๆ ขึ้นมา
แล้วก็เจอกองถ่ายค่ะ กำลังถ่ายเรื่องอะไรสักอย่าง เค้าจะกั้นที่ไว้แบบนี้
แต่ละที่ค่อนข้างใหญ่ค่ะ แต่ก็ไม่เกินความสามารถที่จะเดิน เพราะเราเดินเก่งอยู่แล้ว แค่นี้สบายๆ เสร็จจากที่นี่เพิ่งจะบ่าย 2 กว่าๆ เอง เราเลยไปที่ที่ 3 กันต่อ ซึ่งเราเลือก พระราชวังต้องห้าม (กู้กง) ฉบับจำลองค่ะ แต่อัตราส่วน 1:1 เลยนะ ก็คือ เท่ากับของจริงที่ปักกิ่งเลย แต่ด้านในห้องต่างๆ ก็จะเป็นห้องโล่งๆ เพื่อเอาไว้เซ็ทอัพถ่ายซีรีย์ให้เหมือนพระราชวังในสมัยก่อน ไม่ได้เป็นพิพิธภัณฑ์แบบที่ปักกิ่งปัจจุบัน ซึ่งที่นี่เค้าจะไว้ถ่ายพระราชวังสมัยราชวงศ์หมิง และราชวงศ์ชิงนั่นเอง ตอนเราดูซีรีย์ก็สงสัยนะว่า ไปถ่ายที่ไหน เพราะมันเหมือนพระราชวังต้องห้ามจริงๆ แต่ปัจจุบัน คือ พิพิธภัณฑ์กู้กงนั่นเอง
การเดินทางมาที่นี่ ไม่ได้ใกล้แบบเดินได้นะคะ (จากรูปแผนที่ของ Studios ที่เราโพสด้านบนไว้ คือ เบอร์ 1 เลย ซึ่งไกลจากเบอร์ 4 มาก) จะนั่งตุ๊กตุ๊กไปก็ได้ค่ะ แต่เราเลือกนั่งรถเมล์ไป เพราะออกมาเจอป้ายรถเมล์พอดี น่าจะเป็นรถ Shuttle Bus ของสตูดิโอ กำลังยืนงงๆ ใช้แอพอ่านป้ายอยู่ เห็นรถเมล์ผ่านมาพอดี ด้วยความรีบไม่ได้ถ่ายรูปไว้ เลยกระโดดขึ้นไป แล้วก้อชี้ให้ลุงคนขับดูว่า ผ่านที่นี่มั้ย เค้าพยักหน้าผ่านๆ โอเค ใช้ Alipay จ่าย คนละ 2 หยวน นั่งรถไปประมาณ 15 - 20 นาที คนขับก็ชี้ให้เราลงค่ะ
Palace of Ming and Qing Dynasties
แล้วเราก็มาถึง Palace of Ming and Qing Dynasties ประมาณบ่าย 3 คนไม่เยอะ รีบเข้ากันเลย
เราออกจากที่นี่ 5 โมงเย็น ฟ้าเริ่มมืดแล้ว มีแท๊กซี่จอดอยู่ด้านหน้า เลยนั่งแท๊กซี่ไปร้านคืนชุด ตรงข้ามโรงแรมค่ะ ใช้มิเตอร์ และจ่ายด้วย Alipay จ่ายไป 23 หยวน คืนชุด รับเงินมัดจำคืน แล้วข้ามถนนไปโรงแรม รับกระเป๋าที่ฝากไว้ แล้วส่ง WeChat แจ้งคนขับ Shuttle Bus ให้มารับที่โรงแรม 18.00 ค่ะ มาตรงเป๊ะ ไปถึงสถานีรถไฟอี๋หวู่ 19.20
แต่เราจองรถไฟเผื่อไว้รอบ 21.10 เพราะกลัวตกรถไฟ แต่มาถึงไว แล้วไม่มีร้านอาหารแถวนั้นเลย (ต่างจากสถานีรถไฟซ่างเหรา ร้านอาหารเยอะมาก) เราเลยไปเปลี่ยนรอบรถไฟเป็น 19.55 ซึ่งทำการจ่ายเงินซื้อตั๋วใหม่ และทำเรื่อง cancel ตั๋วเดิมที่ซื้อผ่านแอพ trip (ซึ่งตอนแอพ trip คืนเงินมา จะคืนเข้าบัตรเครดิตที่เราจ่ายไป ซึ่งคืนค่าตั๋วมาทั้งหมด ยกเว้นค่าธรรมเนียมการซื้่อตั๋วผ่านแอพไป 90 กว่าบาท)
ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงก็มาถึงสถานี Hangzhou East เมือง Hangzhou (หางโจว) เดิน 5 นาทีก็ถึงโรงแรม แต่ก่อนถึง เราแวะทานมื้อเย็นกันก่อน อาหารเมืองนี้ราคาค่อนข้างถูกเลย ทั้งหมดนี้ 43 หยวนเอง
Day 6 : Hangzhou
ตื่นมาดูวิวจากโรงแรมกันหน่อย มองจากหน้าต่างลงไป คือ สถานี Hangzhou East ที่มาเมื่อคืนนั่นเอง และสถานีนี้ก็มี Metro ด้วย และเป็นสายที่จะไปสนามบินด้วยค่ะ คือ สะดวกสบายมากๆ ใครมาหางโจว แนะนำพักโซนนี้นะ ราคาก็ถูกมากด้วย คืนละ 500 กว่าบาทเอง
วันนี้โปรแกรมเราชิวมากๆ แค่ไปเดินเล่นริมทะเลสาบซีหู ก็เลยลอง search หาร้านบุฟเฟต์ ไปเจอ Douyin (หรือแอพ TikTok จีน) รีวิวร้านบุฟเฟต์ Hotpot และซีฟู้ด ซึ่งอยู่ Metro สถานีเดียวกับทะเลสาบซีหูพอดี จัดสิคะ รออะไร
พิกัด ร้าน 威多港蒸汽海鲜自助 ชั้น 4 ห้าง 工联CC City Center สถานี Longxiangqiao ทางออก A
ร้านเปิด 11.00 เราไปถึงตั้งแต่ 10.30 ที่นี่จะให้จ่ายเงินก่อนเข้าร้าน คนละ 149 หยวน และมีค่าประกันความเสียหาย และอาหารเหลือ (มั้ง) 50 หยวนค่ะ พอทานเสร็จก็คืนทันที เราเลยจ่ายมัดจำเป็นเงินสดเช่นเดิม ทานได้ 2 ชั่วโมงค่ะ
ทุกโต๊ะจะมีทั้งหม้อนึ่งซีฟู้ด และหม้อ hotpot ซึ่งเค้าจะให้เป็นน้ำใสมา เราสามารถไปเอาก้อนหม่าล่ามาใส่เองได้ ใส่ไป 3 ก้อนเลย เข้มข้นสุด
มาดูไลน์อาหารกัน พวกเนื้อสัตว์ก่อน เยอะมาก จัดไว้แบบสวยงาม มีแม้กระทั่งกบ
โซนอาหารทะเล จะให้เราคีบขึ้นมาจากตู้สดๆ เลย สดมาก หวานมาก และตัวใหญ่มากค่ะ สดขนาด เปิดฝาปุ๊บ ปูไต่ออกมาจากหม้อนึ่งอ่ะ เราถ่ายคลิปไว้ทันพอดี 555
อาหารปรุงสุก ซูชิ ซาชิมิก็เยอะมากค่ะ
สุกแล้ว กินเถอะ 555 เราเน้นซีฟู้ดเป็นหลักค่ะ hotpot ก็ทานนะ แต่ไม่ได้ถ่ายรูป ส่วนอาหารปรุงสุกต่างๆ ชิมทุกอย่างแต่ไม่เยอะ เพราะท้องแน่นไปด้วยซีฟู้ดแล้ว
มีเบียร์ เหล้าจีน ไอศครีม ขนมด้วย คือ เยอะมาก เราก็จัดเบียร์กันไป 4 ขวดตั้งแต่เช้าเลย ^^ พอครบ 2 ชั่วโมง เราตักไอศครีมออกมานั่งทานหน้าร้านกันต่อ
อิ่มมากแล้ว บ่ายโมงครึ่งละ ไปเดินเล่นย่อยอาหารที่ทะเลสาบซีหูกันเถอะ วันนี้อุณหภูมิลดลงเหลือ 13 องศาค่ะ เย็นสบายมากๆ เราชอบอากาศประมาณนี้ ไม่หนาวเกินไป แค่ใส่ heattech และเสื้อไหมพรมก็เพียงพอ
เดินพ้นแหล่งช้อปปิ้ง ก็เป็นทะเลสาบซีหูที่เงียบสงบ ช่าง Contrast กันได้แบบลงตัวจริงๆ ช่วงบ่ายๆ อากาศดีๆ แบบนี้ ผู้เฒ่าผู้แก่ก็มาสมาคมกันที่ริมทะเลสาบ เล่นหมากรุกเอย เต้นรำเอย ร้องเพลง รำไทเก๊ก สนุกสนานมากๆ เป็นสีสันให้กับนักท่องเที่ยวอย่างเรา
เจดีย์กลางน้ำ สัญลักษณ์ของทะเลสาบซีหูค่ะ เห็นคนน้อยแบบนี้ เพราะทริคเดิม นั่งรอไปค่ะ คนเดินออกจากศาลาปุ๊บ แชะปั๊บ ระยะทางเดินริมทะเลสาบไปเรื่อยๆ จนถึงเจดีย์เหลยเฟิง (เจดีย์ตำนานรักนางพญางูขาว) ไกลมาก เราก็เดินชมวิวไปเรื่อยๆ ซึ่งใครเดินไม่ไหว มีรถด้วยนะคะ ราคาเท่าไรไม่แน่ใจ จะขับไปส่งถึงเจดีย์เลย
ชอบตู้ Vending Machine ของที่นี่ มีอยู่เยอะมากริมทะเลสาบ ซึ่งทั้งหมดจ่ายด้วย Alipay ค่ะ
เดินไประหว่างทาง เราก็จะเจอจุดถ่ายรูปเจดีย์เหลยเฟิงที่สวยที่สุด
เราเดินไปจนถึงเจดีย์เหลยเฟิงค่ะ แต่ไม่ได้ขึ้นไป เพราะแค่เดินมาก็เมื่อยแล้วอ่ะ ยิ่งพอดูเวลา เราใช้เวลาเดินมาพร้อมถ่ายรูปเกือบ 3 ชั่วโมง กรี๊ด ตอนนี้ 16.30 แล้ว ถ้าเดินขึ้นลงเจดีย์ แล้วเดินกลับไปที่เดิม มืดแน่ๆ เลยไม่ขึ้นเจดีย์ดีกว่า แล้วเราไม่ใช่สายวัด ก็เลยไม่ซีเรียสใดๆ ก็เลยเริ่มต้นเดินทางย้อนกลับ ถ่ายรูปยามเย็นต่อ
ขาไปเดินไปถ่ายรูปไปเกือบ 3 ชั่วโมง ขากลับ 1 ชั่วโมงถึง กลับมาถึงเจดีย์กลางน้ำ คือ 17.30 มืดแล้ว
เราก็เดินต่อไปยังแหล่งช้อปปิ้งที่เดิม ดูของฝากร้านนั้นร้านนี้ แล้วก็นั่ง Metro กลับไปโรงแรม เอากระเป๋าที่ฝากไว้ แล้วนั่ง Metro ไปสนามบินค่ะ
ทริปนี้ เป็นทริปที่แพลนไวมาก ปุบปับทริปสุดๆ แต่คุ้มมาก ประเทศจีนมีที่เที่ยวสวยๆ เยอะเลย ได้กลับมาเที่ยวจีนอีกบ่อยๆ แน่นอน ใครที่ยังคิดว่า ห้องน้ำจีนจะแย่มั้ยนะ คนจีนจะโวยวายมั้ยนะ บอกเลยว่า ไม่เลย ไปเที่ยวเถอะ ถ้าไปตามเมืองใหญ่ เข้าห้องน้ำในห้าง ห้องน้ำสะอาดมากๆ นะ และคนจีนก้อไม่ได้ช้งเช้งโวยวายอะไรแบบนั้นค่ะ
มาเรื่องค่าใช้จ่ายของทริปนี้กันบ้าง
เที่ยวขนาดนี้ไม่ถึง 2 หมื่นเลย ดีงามสุดๆ การฟรีวีซ่าจีนนี่ดีจริงๆ ^^
Travelholic
วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 เวลา 14.28 น.