ทริปนี้ เกิดขึ้นจากความรู้สึกหมดไฟในการใช้ชีวิต 10 เดือนเต็มที่เราไม่ได้ออกไปต่างจังหวัดเลยตามมาตราการล็อกดาวน์ ทริปที่จองไว้ก็ต้องเป็นอันต้องล่มจากสถานการณ์ covid-19 ระลอกใหม่ .. หลังจาก มาตรการต่างๆเริ่มผ่อนคลายลง เราได้รับวัคซีนครบสองเข็ม เราจึงตัดสินใจออกเดินทางอีกครั้ง เดินทางเพื่อหาแรงบันดาลใจ ฟื้นฟูค่า HP  ให้กับตัวเองสักหน่อย เลยตัดสินใจเก็บกระเป๋า จองตั๋ว ลุยเดี่ยวเที่ยวคนเดียว กันที่ จังหวัดเชียงใหม่ ทริปนี้จะโดดเดี่ยว จะสนุก จะเหงา ขนาดไหน ตามเราไปเที่ยวได้เลยค่ะ ..


Route Plan แพลนคร่าวๆ สำหรับทริปเชียงใหม่ 2 วัน 2 คืน

Day 1 : เดินทางถึงจังหวัดเชียงใหม่ > อำเภอแม่ออน (แม่กำปอง) > อำเภอเมือง
Day 2 : อำเภอเมือง > Chiang Mai Skyview (อำเภอสันกำแพง) > อำเภอเมือง > เดินทางกลับกรุงเทพ

Place to Visit :

- หมู่บ้านแม่กำปอง
- ผาน้ำลอด-โครงการหลวงตีนตก
- น้ำพุร้อนสันกำแพง
- ถ้ำเมืองออน
- บินพารามอเตอร์ที่ Chiang Mai Skyview

Place to Eat :
- ไส้อั่วแม่นิ่ม
- ไข่ป่าม ร้านพ่ออุ้ยแม่อุ้ย
- Teddu Coffee
- ระเบียงวิว
- Hinoki Cafe

Place to Stay :
- Hinoki Hotel


ขอบคุณรูปภาพจาก https://www.topchiangmai.com



คืนวันที่ออกเดินทาง: 21ตุลาคม 2564

การเดินทางไปเชียงใหม่ของเราในครั้งนี้ เป็นครั้งแรกเลยที่เราจะเดินทางโดยรถไฟขบวนด่วนพิเศษ ในเส้นทาง ‘อุตราวิถี’ กรุงเทพ-เชียงใหม่ .. โดยขบวนรถทั้ง 4 เส้นทาง มีดังนี้

1. ขบวนรถด่วนพิเศษอุตราวิถี (กรุงเทพ – เชียงใหม่ – กรุงเทพ)
2. ขบวนรถด่วนพิเศษอีสานวัตนา (กรุงเทพ – อุบลราชธานี – กรุงเทพ)
3. ขบวนรถด่วนพิเศษอีสารมรรคา (กรุงเทพ – หนองคาย – กรุงเทพ)
4. ขบวนรถด่วนพิเศษทักษิณารัถย์ (กรุงเทพ – ชุมทางหาดใหญ่ – กรุงเทพ)

สำหรับการจองตั๋วตอนนี้ง่ายมาก นอกจากโทร. 1690 หรือจองผ่านเว็บไซต์ รฟท. แล้ว ตอนนี้สามารถจองผ่าน Application ที่ชื่อว่า SRT D-Ticket ได้แล้ว โหลดได้ทั้ง android และ iOS (สามารถจองล่วงหน้าได้ 30 วัน) หากชำระผ่านบัตรเครดิต/เดบิต จะได้ QR Code สามารถยื่นให้เจ้าหน้าที่บนขบวนรถตรวจสอบได้เลยค่ะ แต่ถ้าชำระผ่านช่องทางอื่นๆ (ปัจจุบันชำระเงินได้ที่สถานีเท่านั้น) เราจะได้ Resevation Code มา เราสามารถไปออกตั๋วและจ่ายเงินได้ที่สถานี (ภายในเวลาที่กำหนด) และถ้าหากสถานีไหนมีเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติสามารถเอา QR Code ไปสแกนที่เครื่องเพื่อออกตั๋วได้ค่ะ

16.30 น. เราออกเดินทางมาที่ สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) เพื่อเตรียมตัวออกเดินทางเพราะรถไฟขบวนนี้ค่อนข้างออกตรงเวลา .. ในช่วงโควิด เที่ยวรถไฟจะมีให้บริการน้อยลง และตู้เสบียงจะไม่มีให้บริการนะคะ ควรเตรียมตัวหาอะไรทานมาให้เรียบร้อย หรือซื้อเสบียงตุนไว้ทานได้เลยค่ะ

เราจองขบวนด่วนพิเศษ CNR ชั้น 2 ขบวนที่ 9 ตู้ Ladies and children ออกจากสถานีเวลา 18.10 น. ถึงสถานีเชียงใหม่เวลา 07.15 น. .. ส่วนอัตราค่าโดยสาร ชั้น 1 เหมาห้อง 2,453 บาท เตียงล่าง 1,653 บาท เตียงบน 1,453 บาท ชั้น 2 เตียงล่าง 1,041 บาท เตียงบน 941 บาท ค่ะ

สำหรับชั้น 2 เมื่อเดินเข้ามาในตู้โดยสารจะแบ่งที่นั่งออกเป็น 2 ฝั่ง (ฝั่งซ้ายและฝั่งขวา) ที่นั่งเลขคู่จะเป็นเตียงล่าง ที่นั่งเลขคี่จะเป็นเตียงบน ใครชอบมองบรรยากาศระหว่างทาง แนะนำให้จองเตียงล่าง ฝั่งขวา ค่ะ เพราะ ฝั่งขวาจะเห็นวิวสวยๆได้มากกว่า ฝั่งซ้ายจะติดสายไฟฟ้าค่ะ

พอขึ้นรถไฟมาได้ประมาณนึง ท้องฟ้าด้านนอกก็เริ่มมืดแล้ว พนักงานประจำตู้จะทยอยปรับเบาะนั่งเป็นเตียงนอนให้เรา มีหมอนและผ้าห่มให้พร้อมค่ะ และแอร์ในตู้ขบวนก็เย็นฉ่ำมาก .. ตอนเช้าประมาณหกโมงเจ้าหน้าที่ก็จะมาปลุกเราเพื่อเก็บเตียงอีกครั้งค่ะ .. รถไฟขบวนนี้จอดน้อย หยุดจอดเฉพาะสถานีที่สำคัญๆหรือที่เป็นสถานีใหญ่ๆเท่านั้น ไม่ต้องกลัวว่าจะหลับเพลิน ตอนที่ จนท. มาตรวจตั๋วเค้าจะถามว่าเราจะลงที่ไหน พอใกล้ๆจะถึงสถานีนั้นเค้าจะเดินมาเรียกให้เราเตรียมตัว

สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกในขบวนรถก็จะมี ปลั๊กไฟ 220 โวลต์ พร้อมไฟอ่านหนังสือทุกเตียงนอน, กล้องวงจรปิดทุกตู้โดยสาร, จอแสดงเส้นทางการเดินรถและตำแหน่งปัจจุบันของขบวนรถ พร้อมทั้งบอกว่าห้องน้ำว่างหรือไม่ว่าง เป็นต้น

ประตูเลื่อนได้อัตโนมัติ ใช้แค่ปลายนิ้วสัมผัส มีแม่บ้านคอยทำความสะอาดอยู่ตลอด ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม รถไฟขบวนนี้ถึงได้สะอาด

ห้องน้ำมีทุกตู้โดยสาร โดยแบ่งเป็น ห้องน้ำ 2 ห้อง แบบโถฉี่ 1 ห้อง และอ่างล่างมือ 2 อ่าง ใช้แบบระบบสูญญากาศเหมือนบนเครื่องบินเลย

คืนนี้ เราจะใช้ชีวิตบนรถไฟประมาณ 13 ชั่วโมง เหมือนจะนานแต่เอาจริงๆขบวนนี้เป็นขบวนรถนอน เราใช้เวลากับการนอนก็ 7-8 ชั่วโมงแล้ว .. สำหรับคืนนี้เราขอตัวไปพักผ่อนก่อนเจอกันอีกทีตอนเช้านะคะ Good night ~zZ

ขอบคุณภาพจาก เพจ ทีมนั่งรถไฟ กับนายแฮมมึน https://www.facebook.com/Thaitrainstory


วันแรกของการเดินทาง : 22 ตุลาคม 2564


 อรุณสวัสดิ์ ~ เมื่อคืนหลับสบายมาก ถึงจะมีเสียงล้อกับรางบ้างแต่ก็ไม่เป็นปัญหาใดๆต่อการนอนของเราค่ะ รู้สึกพักผ่อนได้เต็มที่มากกว่าการนั่งรถทัวร์ด้วย ชอบซะแล้วล่ะ! .. 07.15 น. จะเป็นกำหนดการที่เราจะถึงสถานีรถไฟเชียงใหม่แต่ขบวนของเรามาถึงเลจไป 45 นาที รถไฟขบวนของเราจึงเข้าสู่สถานีรถไฟเชียงใหม่ตอน 8 โมงตรงแทน ระหว่างนี้ ใครอยากจะทานอาหารเช้า ใครอยากจะอาบน้ำที่สถานี หรือใครจะซักแห้ง ก็ตามอัธยาศัยได้เลยค่ะ ..

สำหรับมาตราการเข้าจังหวัดเชียงใหม่ทางรถไฟ ที่สถานีไม่ได้มีนโยบายการกักตัวค่ะ เค้าจะตรวจที่เราลงทะเบียน CM-CHANA และตรวจวัดอุณหภูมิ แค่นั้นเลย แนะนำให้ลงทะเบียน CM-CHANA ตั้งแต่อยู่บนขบวนรถไฟนะคะ จะได้ไม่เสียเวลายืนออสแกนกัน

ส่วนเราตอนนี้นัดกับพี่ประดิษฐ์ คนขับรถแดงที่เราจองเหมาไว้จากเพจแบงค์รถนำเที่ยวเชียงใหม่ ที่จะมารับเราที่สถานีรถไฟในตอน 8 โมงเช้า ..

เรามาถึงเลจจึงไม่มีเวลาแวะทานอาหารเช้าเลย เราจึงให้พี่ประดิษฐ์พาเราไปยังจุดหมายแรกของทริปนี้เลย นั่นก็คือ หมู่บ้านแม่กำปอง หมู่บ้านที่กำลังฮอตฮิต จนได้รับรางวัลหมู่บ้านท่องเที่ยวโฮมสเตย์ยอดเยี่ยมในปี 2020 โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

ก่อนจะไปหาอะไรทาน ด้วยความที่เรามาคนเดียวก็อยากจะมีรูปอ่ะเน๊อะ จึงขอให้พี่ประดิษฐ์ช่วยถ่ายรูปตรงมุมมหาชนให้หน่อย เราเลยได้รูปตรงกำแพงร้านลุงปุ๊ด&ป้าเป็งเพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าเราได้มาถึงหมู่บ้านแม่กำปองเรียบร้อยแล้ว

สตรีทฟู้ดที่แม่กำปองเป็นอะไรที่ต้องไม่พลาด อย่างร้านแรกที่เรามาลอง คือ ไข่ป่าม ร้านป้ออุ้ย-แม่อุ้ย กระทงละ 20 บาทเท่านั้นเอง

จากนั้น เราจึงแวะไปลอง ไส้อั่วแม่นิ่ม ร้านดังแห่งแม่กำปอง ไส้อั่วสูตรเฉพาะแม่นิ่ม มันน้อย หมูเน้นๆ หอมเครื่องสมุนไพร นอกจากนั้น ยังมีอาหารเหนือลำๆให้ลิ้มลอง  และยังมีส้มตำขายด้วยนะเออ ร้านหยุดทุกวันพุธนะคะ

เมื่อเติมพลังเรียบร้อยเราจึงเดินขึ้นไปยัง วัดแม่กำปอง หรือ วัดคันธาพฤกษา วัดแห่งเดียวในแม่กำปอง เพื่อมาชมอุโบสถกลางน้ำ

ขากลับเราก็ไม่ลืมแวะดูร้านของฝากแฮนด์เมคสุดน่ารักที่ร้านแมวดอย แกลเลอรี่ ถูกใจทาสแมวอย่างแน่นอน

เราเดินย้อนกลับขึ้นมาเรื่อยๆเพื่อมา Teddu coffee คาเฟ่สุดชิคประจำแม่กำปอง คาเฟ่ที่แฝงตัวอยู่ท่ามกลางธรรมชาติสุดร่มรื่น เคล้าคลอเสียงของน้ำตกฟังแล้วสบายใจ .. ทางเดินเข้าไปที่ร้านจะเป็นบันไดหินลงไปเหมือนกำลังเดินไปเที่ยวในป่าเลยค่ะ

เมล็ดกาแฟที่นี่เป็นออแกนิก ปลูกเอง เก็บเอง คั่วเอง คอกาแฟต้องไม่พลาด .. ที่ร้านแบ่งโซนเป็น Indoor และ Outdoor นั่งจิบกาแฟ แลดูน้ำตกกันไป

วันนี้ เราสั่งเป็นเมนู ‘ชาพีช’ หอมพีชมาก หวานกลมกล่อมลงตัว อร่อย! ราคาแก้วละ 85 บาท

ทางร้านยังมีจุดขาย คือ สะพานแขวน เรียกได้ว่าเป็นมุมถ่ายรูปยอดฮิตขอคาเฟ่นี้ แต่ต้องสั่ง order ก่อนถึงจะเดินขึ้นสะพานแขวนได้ฟรี หรือติดต่อค่าขึ้นสะพานแขวนที่เค้าเตอร์ 100 บาท/ท่าน

ร้านเปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 9.30 น. - 16.30 น. หากวันไหนร้านปิด หรือปิดเร็วกว่ากำหนด ทางร้านจะโพสต์แจ้งผ่านทางเพจ จะผ่านทางเพจ Teddu Coffee - Teddu Inn Meakampong

ถึงเวลาที่เราต้องมูฟออกจากโซนหมู่บ้านแล้ว .. เราเดินกลับไปยังลานจอดรถของหมู่บ้าน เพื่อให้พี่ประดิษฐ์ขับรถพาเราขึ้นไปยังน้ำตกแม่กำปอง น้ำตกสายเดียวที่ไหลผ่านกลางหมู่บ้านแม่กำปอง

ตอนนี้แม่กำปองเหมือนเป็นหมู่บ้านคาเฟ่ไปแล้ว มาถึงที่นี่คงจะไม่แวะไม่ได้กับ ร้านระเบียงวิว คาเฟ่น้องใหม่ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆร้านดั้งเดิมอย่างร้านกาแฟชมนกชมไม้ สองร้านวิวเทพ ที่สามารถชมวิวหมู่บ้านแม่กำปองได้เหมือนกัน เลือกได้เลยว่าจะเข้าร้านไหน หรือไปอุดหนุนทั้งสองร้านเลยก็ได้จ้า ~

ถึงเวลาอันสมควรที่จะต้องออกจากหมู่บ้านแม่กำปองแล้วเพื่อไปยังสถานที่ต่อไป ผาน้ำลอด-โครงการหลวงตีนตก แต่ปรากฏว่า วันนี้ผาน้ำลอดและโครงการหลวงยังไม่เปิดให้เข้าชม อดเลย! .. เราจึงไปเดินเล่นที่ร้านสวัสดิการโครงการหลวงตีนตกแทน หรือใครจะมาแวะทานข้าวเที่ยงที่นี่ก็ได้เหมือนกันนะ

เรานั่งรถต่อไปอีกประมาณ 30 นาที เพื่อไปเที่ยวที่ น้ำพุร้อนสันกำแพง ตั้งอยู่ที่อำเภอแม่ออน ซื้อตั๋วเข้าก่อนเลย ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท ผู้สูงอายุ 20 บาท และรถยนต์ 40 บาท

ที่นี่นอกจากจะมาแช่น้ำพุร้อนแล้ว กิจกรรมที่พลาดไม่ได้เลย คือ การต้มไข่ กระชอมละ 40 บาท มีให้เลือกระหว่างไข่ไก่และไข่นกกระทา .. ทริคเล็กๆน้อยๆสำหรับการต้มไข่ ถ้าอยากได้แบบไข่ลวกต้องต้ม 3 นาที ไข่ยางมะตูมต้องต้ม 5-6 นาที ไข่สุกต้องต้ม 10-15 นาที แต่ถ้าเป็นไข่นกกระทาต้องต้ม 7 นาที สุกแบบพอดีแน่นอน อายคอนเฟิร์มค่ะ!

จุดหมายสุดท้ายก่อนที่เราจะเข้าที่พักกัน ก็คือ ถ้ำเมืองออน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากน้ำพุร้อนสันกำแพง

จากจุดจอดรถต้องเดินขึ้นบันได 187 ขั้น เข้าสู่ปากถ้ำ ก่อนที่จะต้องเดินลงเข้าสู่ถ้ำ เส้นทางค่อนข้างชันและแคบแม้จะมีบันได บางช่วงต้องแทรกตัวหลบผนังหินภายในถ้ำ การเยี่ยมชมควรใช้ความระมัดระวัง

ภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อยที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ และมี “พระธาตุนมผา” ซึ่งเป็นหินงอกบรรจุพระเกศาขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า

ถ้ายังมีแรงเหลือจะขึ้นไปนมัสการหลวงพ่อทันใจบนยอดเขาได้นะ จากปากถ้ำเดินไปอีกทาง ขึ้นบันไดไปอีก 700 ขั้น แต่แรงเราไม่เหลือแล้ว ขอบายก่อนนะ .. ทั้งหมดที่ไปพี่เค้าไม่ฟิกเวลา จะแวะที่ไหน อยากไปที่ไหนบอกได้หมด เป็นกันเอง ใจดี และปลอดภัย ถ้าใครอยากเหมารถแดงแบบเราก็สามารถติดต่อผ่านเพจแบงค์รถนำเที่ยวเชียงใหม่ ได้เลยค่ะ

สำหรับที่พักคืนนี้ของเรา เราพักกันที่ โรงแรมฮิโนกิ (Hinoki Hotel) โรงแรมไม้หอมฮิโนกิ สไตล์ญี่ปุ่น โรงแรมสีขาวตัดกับของตกแต่งสีน้ำตาลที่ดูมินิมอลสุดๆ มีห้องให้เลือกพักหลากหลายแบบทั้ง

- Superior Room
- Japanese Style Junior Suite
- Deluxe Room
- Premium Deluxe Room
- Executive Suite Room

ห้องพักที่เราพักเป็นห้อง Japanese Style Junior Suite (Twin Bed) จองผ่าน FB ของโรงแรมโดยใช้สิทธ์เราเที่ยวด้วยกัน เราจ่าย 60% รัฐจ่าย 40% จากราคาห้องพักคืนละ 1,260 บาท รวมอาหารเช้า เราจ่ายเพียง 756 บาท เออ!คุ้มดี สำหรับการพักคนเดียว เชคอินได้ตั้งแต่ 14.00 น. และเช็คเอ้าท์ได้ถึง 11.00 น. อาหารเช้าให้บริการแต่ตั้งแต่ 07.00 น. - 10.00 น. ที่  Hinoki Cafe

แม้ที่นี่จะเดินทางลำบากสักหน่อย อยู่โซนนอกเมืองนิดๆแต่ไม่ไกลมาก สำหรับคนที่ไม่มีรถส่วนตัว แต่เราก็ยังเลือกที่นี่ เพราะ ที่นี่มี ‘ออนเซ็น’ (แยกชายหญิง) ให้นอนแช่กับแบบฟินๆ สามารถใส่ชุดว่ายน้ำหรือแช่แบบญี่ปุ่นแบบเปลือยกายเลยก็ได้นะ อิอิ ..

แถมที่นี่ยังมีบริการฟิตเนส ซาวน่า และสระว่ายน้ำ เป็นบริการส่วนกลางของโรงแรม เปิดให้บริการตั้งแต่ 9.00 น. - 21.00 น. ไม่มีค่าบริการเพิ่มเติม ให้เฉพาะผู้เข้าพักของโรงแรมเท่านั้น ..

หากใครสนใจ สามารถติดต่อสอบถาม/สำรองห้องพัก ได้ที่ Tel. 081-6038889 Line ID : @Hinoki และสามารถจองผ่าน Facebook : Hinoki Hote

ส่วนมื้อค่ำวันนี้เรา random ร้านมาจากการเดินมาที่หน้าปากซอยแล้วดูว่าจะเข้าร้านไหน เราเลยมาหยุดที่ร้าน ห้อยขาเดอะคิทเช่น ที่อยู่ระหว่างร้านน้องฟลุ๊คกับร้านภูเก็ตซีฟู้ด เป็นร้านกาแฟที่มีร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่ชั้นบน บรรยากาศของร้านเหมือนร้านนั่งชิลล์ มีอาหารพื้นเมืองขาย .. เราสั่งเป็นยำวุ้นเส้นหมูยอและน้ำพริกหนุ่มผักลวกมาทาน รสชาติอร่อย ราคาไม่แพง ดนตรีเพราะ และมารู้ทีหลังว่า เจ้าของร้าน คือ พี่เอกกาแฟดรัม มือกลองวง crescendo นี่เอง

แต่ตอนขากลับต้องเดินเข้าซอยมาคนเดียวแอบน่ากลัว ไฟทางไม่ค่อยสว่างและเป็นผู้หญิงเดินคนเดียวในทางเปลี่ยวๆ เลยแอบกลัวหน่อยๆ พยายามรีบจ้ำ มองหน้ามองหลังตลอดเวลา สุดท้าย เราก็กลับถึงที่พักอย่างปลอดภัย ~ สำหรับคืนนี้ขอตัวไปนอนก่อนนะ ฝันดีงับทุกคน ..


วันสุดท้ายของการเดินทาง : 23 ตุลาคม 2564

วันสุดท้ายแต่ยังไม่ท้ายสุด เราต้องจบทริปกันแบบสวยๆ ฟินาเล่กันไปเลย ~ บอกเลยว่า ที่เที่ยวไปเมื่อวานแค่ออเดิร์ฟเป็นผลพลอยได้ของทริปนี้เท่านั้น แต่ Main corse จริงๆอยู่ที่เช้านี้กับการเปิดประสบการณ์ใหม่ๆในมุมมองแบบ Bird Eye View บนความสูงกว่า 1,500 ฟุตกับการบิน Paramotor ที่ Chiang Mai Skyview กันค่ะ ..

สนามที่ใช้บินนี้ ตั้งอยู่ที่ Dutch Farm อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ เราจองล่วงหน้าผ่านทางเพจ ChiangMai Skyview มาค่ะ คนละ 3,500 บาท ถ้าต้องการช่างภาพขึ้นไปถ่ายภาพเราจากบนฟ้าด้วยจ่ายเพิ่ม 2,500 บาทค่ะ (ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลง) .. ถ้าวันที่เราจองสภาพอากาศไม่ดี ทำให้ไม่สามารถบินได้ สามารถเลื่อนวันใหม่ได้ภายใน 180 วัน สามารถเปลี่ยนที่จะบินได้ถึง 3 ที่เลย คือ เชียงใหม่ เชียงราย น่าน แต่ต้องแจ้งล่วงหน้า

รอบบินของเรา คือ 7.00 น. - 9.00 น. มีบริการรับ-ส่งถึงที่พักฟรีในบริเวณตัวเมืองเชียงใหม่ ซึ่งผู้หญิงตัวคนเดียวแบบเราต้องใช้บริการรับ-ส่งอย่างแน่นอน ^^ .. ในเรื่องของความปลอดภัย พี่ๆนักบินทุกคนมี license ที่ได้รับการรับรองจากกรมการบิน จะคอยดูแลและให้คำแนะนำต่างๆกับเราเป็นอย่างดี .. ในราคาที่เราจ่ายไปรวมค่าการประกันภัยไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ

ก่อนที่เราจะบิน จะต้องชั่งน้ำหนัก น้ำหนักที่รับได้สูงสุด 110 กิโลกรัม และแต่งองค์ทรงเครื่องด้วยชุดนักบินสีแจ่ม เท่ฝุดๆ มีหมวก มีแว่นกันลม ให้พร้อม

ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีรูปสวยๆ เพราะ เค้ามีบริการกล้อง GoPro ให้ยืม ตั้งค่าใช้งานเรียบร้อย ได้ทั้งภาพวีดีโอพร้อมสแนปภาพนิ่งให้ทุกๆ 5 วินาที พอบินเสร็จเค้าจะโอนไฟล์ให้เราเลย .. เราจะใช้เวลาบินประมาณ 15-20 นาที เพราะฉะนั้น ใช้เวลาตรงนี้ให้คุ้มค่ามากที่สุดนะ

ปล. กว่าจะได้เห็นภาพสวยๆแบบนี้ เราต้องเจอกับฟ้าฝนที่ไม่เป็นใจ เชียงใหม่ฝนตกหนักตั้งแต่ตีสาม ใจก็ตุ่มๆต่อมๆว่าเช้านี้จะได้บินไหม นอนไม่หลับกันเลยทีเดียว ตีห้าฝนหยุดแอบดีใจ หกโมงพี่อรมารับที่โรงแรมเตรียมไปสนามเปิดประตูขึ้นรถปั๊บฝนตกหนักเข้าไปอีก จะมาเสียเที่ยวเพราะฝนไม่ได้นะ ได้แต่ภาวนาในใจ นั่งรอฝนซ่าอยู่ที่สนามพักใหญ่ๆ เหมือนฝนจะซ่าให้เราพอจะบินได้ มีลุ้นล่ะ แล้วเราก็ได้บิน !! พอถึงคิวเราบิน ฝนก็หยุดตกให้ ดีใจมากๆเลย บินทะลุเมฆ หมอก กันไปเลย ..

ถ้าถามว่าคุ้มไหมกับเงินที่เสียไปในเวลาเพียงสั้นๆ ตอบได้เลยว่า คุ้มเกินคุ้ม .. ต้องมาลองเองแล้วจะรู้ ถ้าหากใครสนใจทำกิจกรรมแบบเราก็สามารถติดต่อตามนี้ได้เลยค่ะ

หลังจากทำกิจกรรมเสร็จ พี่อรก็มาส่งที่โรงแรม ตอนนี้เรามีเวลาเหลือประมาณ 2 ชั่วโมงก่อนกลับ เราจึงไปทานอาหารเช้าที่ Hinoki Cafe เมนูอาหารเช้าที่เราเลือก คือ ข้าวผัดหมู และเราสั่งบราวนี่ และ Strawberry Milk มาทานเพิ่ม ค่าเสียหายอยู่ที่ 115 บาท ใจจริงตั้งใจอยากจะทานดังโงะ แต่วันนี้ไม่มี เสียดายจัง !

หลังจากทานอาหารเช้าเรียบร้อย เราขึ้นไปเก็บของเพื่อเตรียมตัวเชคเอ้าท์ พร้อมเรียก Grab ไปยังสนามบินเชียงใหม่ .. ขากลับเราเลือกกลับสายการบิน Air Asia .. Flight บินของเราออกเดินทางเวลา 13.05 น. ไปถึงสนามบินดอนเมืองเวลา 14.20 น. ค่ะ .. ขออำลาทริปนี้ด้วยภาพปีกเครื่องบินตำแหน่งที่นั่ง 22E ค่ะ

ขอบคุณ Sony A6500 + Lens Tamron 17-28 mm f2.8 และ Iphone 11 ที่ทำให้เราได้ภาพสวยๆตลอดทริปนี้

แต่งภาพโดยโปรแกรม Lr

ขอบคุณทุกๆคนที่ติดตาม หากผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ยินดีน้อมรับทุกคำติชม

สามารถติดตามการเดินทางของเราได้อีกหนึ่งช่องทาง
PAGE : https://www.facebook.com/KeepGoingThailand

และฝากกด LIKE และกด SUBSCRIBE เพื่อเป็นกำลังใจให้การทำวีดีโอการเดินทางของเราในครั้งต่อๆไปด้วยนะคะ
YOUTUBE : https://www.youtube.com/channel/UC8BYq-uSUDO23GYAQ-Ck3kQ

รับชมการบินพารามอเตอร์ในรูปแบบวีดีโอเราก็มีนะจ๊ะ 

.. เจอกันการเดินทางครั้งต่อไป .

สรุปค่าใช้จ่าย สำหรับทริปนี้ (สำหรับ 1 คน)

ค่ารถไฟ 1,041 บาท
ค่าบินพารามอเตอร์ 3,500 บาท
ค่าช่างภาพถ่ายทางอากาศ 1,500 บาท (ลดราคาให้จาก 2,000 บาท)
ค่าเครื่องบิน 522.50 บาท (ขอคืนในภายหลังตามสิทธิ์เราเที่ยวด้วยกัน จากราคาเต็ม 1,306.25 บาท)
ค่าที่พัก 756 บาท (ใช้สิทธิ์เราเที่ยวด้วยกัน จากราคาเต็ม 1,260 บาท)
ค่าเหมารถแดง 1,100 บาท
ค่านมชมพู @ระเบียงวิว 60 บาท
ไส้อั่ว 90 บาท
ไข่ป่าม 20 บาท
ค่าชาพีช @Teddu 85 บาท
ค่าอาหารร้านห้อยขาเดอะคิทเช่น 148 บาท
ค่า Grab ไปสนามบิน 256 บาท

รวมทั้งสิ้น 9,078.50 บาท

In My Eye

 วันพฤหัสที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2564 เวลา 22.50 น.

ความคิดเห็น