ภูกระดึง ตึงขาตรึงใจ…...
ภูกระดึง ภูกระดึง ภูกระดึง…...ท่องไปท่องมาสามรอบ จะเริ่มต้นไงดี เริ่มต้นงี้แล้วกัน เมื่อธันวาคมปี 2563 เรามาที่นี่และคิดไว้แล้วว่าจะต้องมาอีก เพราะเหมือนยังเติมไม่เต็ม การรอคอยไม่นานเหมือนที่คิดไว้ มกราคม 2565 เรามาที่นี่อีกครั้ง คิดว่าครั้งนี้น่าจะเติมจนเต็มนะ การเดินขึ้นภูกระดึงครั้งแล้วครั้งเล่า ก็เก็บเกี่ยวความสุข ความประทับใจกลับไปทุกครั้ง….....
ขอย้อนเวลาไปเมื่อประมาณธันวาคม 2538 ค่ำคืนบนลานกางเต็นท์ภูกระดึง ภาพจำเลือนลางมากๆ พวกเราเจ็ดคนนั่งล้อมกองไฟเล็ก ท่ามกลางอากาศหนาวจัดๆ เราเจ็ดคนเพิ่งจบการศึกษาระดับอุดมศึกษา นัดกันไปเที่ยวเพื่อเป็นการร่ำลากันครั้งสุดท้าย ก่อนที่ทุกคนจะไปตามหาเส้นทางชีวิตของตัวเอง
กองไฟเล็กๆ มีสามง่ามปักสองข้างพาดด้วยไม้คาน ห้อยหม้อสนามที่มีถั่วเขียวต้มน้ำตาลกำลังจะเดือด มีสุราพื้นบ้านใส่จอกเดียววนกันไปรอบวง พูดคุยเรื่องราวสี่ปีกว่าๆในรั้วมหาวิทยาลัย กับชีวิตที่กำลังจะเดินไปข้างหน้า ประเดี๋ยวประด๋าวก็มีเจ้าคำหล้า กวางเจ้าถิ่นเดินผ่านไปผ่านมาเหมือนมันอยากมานั่งฟังด้วย
เริ่มดึกเริ่มเย็นขึ้น ซักพักมีเสียวหมาหอนหมาเห่า รอบๆบริเวณที่เรากำลังนั่งคุยกันอยู่ ในกลุ่มเพื่อนทักมาว่า หมาใน มันมากันหลายตัว ออกไปดูกัน ชักชวนกันไปดู ส่วนตัวเราเหมือนมีอะไรดลใจให้ไม่อยากไปดู อิดออดขอนั่งอยู่นี่แหละ กับสมาชิกอีกหนึ่งคนก็ไม่อยากไปดูด้วย สรุป เหลือเราสองคนนั่งอยู่ ข้างกองไฟ กับอากาศที่กำลังหนาวเลย…......
หลายเรื่องราวบนภูกระดึงที่น่าประทับใจ นี่เป็นหนึ่งในความประทับใจขั้นสุด เป็นช่วงเวลาไม่นานมาก กับคนที่เราแอบชอบตอนเรียนและมีช่วงเวลาที่ดี โดยบังเอิญ มันไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ มันก็เลยดีงามที่สุด….....
จะมาเล่าความทำไม ก็คือคิดอะไรได้ก็อยากจะบันทึกไว้ ส่วนเรื่องราวการเดินทางสู่ภูกระดึงครั้งนี้นั้น ไม่มีส่วนใดๆเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตแม้แต่นิดเดียว อ้ออออ มีเรื่องเดียวคือสถานที่เกิดเหตุมันคือที่เดียวกันแค่นั้น อันนี้ขอเพ้อเจ้อก่อนเข้าเรื่อง…....
9 มกราคม 2565 สิบแปดนาฬิกา โดยประมาณเราขับรถออกจากแม่กลอง มุ่งหน้าสู่ผานกเค้า เป็นครั้งแรกที่ขับรถมาเที่ยวภูกระดึง ด้วยเหตุปัจจัยหลายอย่าง ครั้งนี้ก็ครั้งที่หกแล้วที่เราได้มาเยือน กะว่าค่ำไหนนอนนั้น เหนื่อยเมื่อไหร่ก็หาที่นอน ไม่ฝืน เอาแค่ไปถึงที่ทำการตอนเช้าตรู่เป็นพอ
ประมาณเฉียดเที่ยงคืน เริ่มง่วง เหนื่อย เพลีย ป้ายตามทางก็บอกตลอด ง่วงจอดพัก ตัวเบ้อเร่อ ตามนั้น ไปได้ประมาณอำเภอชุมแพ เข้าปั๊ม นอนยาวยาวไป ตื่นเมื่อไหร่ก็ค่อยว่ากันต่อ เอารถตู้มาก็สบายไปอย่าง ไม่ต้องเสียสตางค์ค่าที่พัก นอนมันบนรถเลย อากาศก็เย็นสบาย
บอกเล่าเส้นทางการขับรถมาภูกระดึงนิดนึง จากแม่กลอง เข้ากรุงเทพ วิ่งผ่านรังสิต เข้าสระบุรี เลี้ยวขวาไปโคราช ถึงแยกสีคิ้วออกซ้ายไปตามป้ายชัยภูมิ จากนั้นวิ่งตามป้ายแก้งคร้อ ไปต่อชุมแพ แล้วก็มีป้ายภูกระดึงจุดหมายปลายทาง ขับรถเองเหนื่อยโคตร นั่งรถทัวร์มาดีกว่าเยอะ…..
ต่อนะ ประมาณตีสามนิดๆ ก็ตื่นแล้ว งัวเงียสลึมสลือ ล้างหน้าล้างตา แล้วไปต่อจากชุมแพ ไปอีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว ภูกระดึง ขอดีใจสามครั้ง…...
เรื่องการติดต่อลงทะเบียน ชำระค่านู้น นี่ นั้น ก็ยังเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือ มีตรวจผลการฉีดวัดซีนด้วย ตามาตราการป้องกันโรคระบาด ค่าใช้จ่ายต่างๆ ไปย้อนอ่านจากตรงนี้ได้ https://th.readme.me/p/36069 จริงๆ เป็นกุศโลบายขายของเก่า เผื่อใครยังไม่ได้อ่านเนอะ…...
แล้วก็ได้เวลาเดินขึ้นภู ทุกอย่างเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา คือ เหนื่อย…....ดูรูปเอาแล้วกันไม่ต้องพูดซ้ำ เพราะบางซำก็พูดไม่ออก ยิ่งซำแฮก กับช่วงขึ้นหลังแป เหนื่อยโฮกเลยจ้า…....
การเที่ยวบนภูกระดึงครั้งนี้ตั้งใจว่าจะไม่เดินแล้ว เดินมาห้ารอบแล้วภูกระดึง ถ้ารวมๆที่เดินขึ้นๆลงๆ ก็น่าจะเกิน สองร้อยกิโลแล้วล่ะ ขอปั่นจักรยานเที่ยวบ้าง เมื่อคิดจะปั่นก็ไม่ต้องเร่งรีบเร่งรัดเวลาตัวเองเท่าไหร่ ปล่อยไหลสบายๆ วันแรกขึ้นมาถึงก็ไม่ได้ไปไหนเลยรอลูกหาบขนสัมภาระมาให้ กางเต็นท์ ไปจองจักรยานสำหรับวันพรุ่งนี้ กินข้าวแล้วก็นอน ก่อนนอนไปเก็บดาวมาฝากนิดหน่อย รอจัดเต็มวันที่สองทีเดียว…....
เกือบลืม ช่วงเย็นใกล้อาทิตย์ตก ว่างๆอยู่เลยชวนกันเดินไปเที่ยวใกล้ๆ อ่างเก็บน้ำวังกวาง จากที่พักไปสามร้อยเมตรเองใกล้มาก มาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เคยได้ไปซักที โอ้โหหหหหหห สวยอ่ะ…
ภาพชุดอ่างเก็บน้ำวังกวาง…
แอบไปเก็บดาวก่อนนอน…
ให้ข้อมูลค่าเช่าจักรยานนิดนึง ราคา 410 บาทต่อหนึ่งวัน เริ่มตั้งแต่ 08:00-20:00 น ปั่นไปได้ตามเส้นทางที่กำหนด ห้ามออกนอกเส้นทางเด็ดขาด ถ้าทำเบลอ มั่วซั่วไปในทางที่เค้าไม่ให้ไป จะถูกถีบลงเขา อันนี้ล้อเล่นนะ เค้ามีบทลงโทษอยู่แล้ว
ภาพตัดมาที่ผานกแอ่น เช้าวันอังคาร ย้อนนิดนึง การเดินขึ้นภูกระดึงครั้งนี้ มีเป้าหมายอยู่บ้างแต่ก็เตรียมใจไว้แล้วล่ะว่าคงไม่ได้ตามเป้า คืองี้…...
ความตั้งใจเกิดจากปี 2563 ที่ขึ้นครั้งล่าสุด แล้วไม่เจอใบเมเปิลแดง ครั้งนี้ก็ไปหาข้อมูลมาอย่างดี กะว่าช่วงปีใหม่น่าจะกำลังแดงแจ๋เต็มต้น ปีใหม่คนเยอะแน่ๆ งั้นหลังปีใหม่ซักอาทิตย์น่าจะยังทันหน่าเพื่อมันคลาดเคลื่อนบ้าง เลยตั้งใจกันข้ามปีเลยว่าจะมาเก็บเมเปิลแดงให้ได้
กาลกลับไม่เป็นดั่งที่คาด พ่อเจ้าประคุณ แดงแจ็ดแจ๋ตั้งแต่ต้นธันวายันกลางเดือน อันนี้ตามข่าวของอุทยานตลอดๆ แล้วไงดีล่ะที่นี้ ช่วงธันวาก็มีโปรแกรมไปโน่น ไปนี่ แล้วอ่ะ ทำใจคำเดียว ก็วางแผนการเดินทางไว้หมดแล้ว ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น
ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นกันก่อน สวยสบัดช่อ สวยไม่บันยะบันยัง สวยโคตร ไม่เคยทำให้ผิดหวังเลยจริงๆ ภูกระดึง…....
เก็บดาวตอนตีห้ากว่าๆที่ ผานกแอ่นช่วงรอพระอาทิตย์ขึ้น…
แจ่ม…....
หลังจากกลับจากผานกแอ่น ก็ได้เวลาปั่น ปั่น แล้วก็ปั่น เอาหลักๆก่อนเลยจะไปตามเมเปิลที่น้ำตกถ้ำใหญ่ ออกมาถึงองค์พระ ยังไม่ได้ไปไหนไกลเลยประมาณ ไถลไปดูน้ำตกเพ็ญพบใหม่ก่อนดีกว่า เผื่อฟลุ๊คจะมีแดงแจ๋เหลืออยู่บ้าง จอดจักรยานไวันที่องค์พระเดินเข้าไปประมาณ 2 กิโล แค่ที่แรกก็ไม่เข้าเป้าซะแล้ว น้ำไม่มี เมเปิลเขียวอี้ ได้เท่าไหร่เท่านั้น ได้เท่าไหร่เท่านั้น ท่องไว้ เดินแบกความผิดหวังเล็กๆ ออกมา มุ่งสู่น้ำตกถ้ำใหญ่ เป้าหมายหลักจริงๆ
ไหว้พระก่อนเที่ยว…
น้ำตกเพ็ญพบใหม่ น้ำน้อยมาก ไว้ค่อยมาแก้ตัวใหม่รอบหน้า…
ที่น้ำตกถ้ำใหญ่ แม้เมเปิลจะไม่แดงคาต้นดั่งที่ใจฝัน แต่ก็หลงเหลือความงามแบบคลาสสิคไว้ให้ชื่นชมอยู่บ้าง น้ำอาจจะไม่มีแต่มีความสวยงามตามท้องเรื่อง ไปชมภาพกันเลยดีกว่า
น้ำตกถ้ำใหญ่ สวยแบบคลาสสิค…
เพลิดเพลินเจริญเมเปิลร่วงหล่นตามโขดหินอยู่หลายเพลานาที พอได้แล้วหิวข้าวแล้วด้วยไปต่อดีกว่า เราออกจากน้ำตกถ้ำใหญ่ ใช้เส้นทางตัดข้ามไปผานาน้อยเลยทีเดียว ไม่ปั่นไปทางเส้นสระอโนดาต เพื่อมุ่งหน้าสู่ผาหล่มสัก เพราะครั้งที่แล้วเพิ่งไปมาเลยใช้เส้นทางใหม่ ไปปั่นวิ่งเลียบหน้าผา แล้วไปสุดที่ผาหล่มสักเหมือนกัน
ปั่น ปั่น ปั่น………
ตอนแรกตั้งใจไปหาข้าวกินที่ผาเหยียบเมฆ ไปถึง อ่าวววว ร้านปิดหมดเลยปั่นยาวไปผาหล่มสักเลย กว่าจะถึงเกือบบ่ายสอง หิวมากกกกก จัดชุดใหญ่ กินเสร็จเรียบร้อย ยืมเสื่อที่ร้านข้าวไปนอนพักเอาแรง กะว่าประมาณสามโมงกว่าค่อยปั่นย้อยไปผาเหยียบเมฆ แล้วไปเก็บพระอาทิตย์ที่ผาจำศีล หน้าผาเล็กก่อนถึงผาหมากดูกจุดชมพระอาทิตย์ตกที่เลื่องลือชื่อชั้นอีกแห่งนึงของภูกระดึง กลัวคนจะเยอะ
เก็บเล็กผสมน้อยระหว่างทาง…..
เพลิดเพลินที่ผาเหยียบเมฆ…..
รอจนหมดแสงสุดท้ายของวันที่ผาจำศีล ก็เหมือนจะสิ้นสุดการเดินทางครั้งนี้ มากมายความประทับใจที่ได้มาเยือนภูกระดึง…....
ความคาดหวังว่าจะได้ชื่นชมเมเปิลแดง กลับเป็นแดงเข้มที่ร่วงหล่นบนพื้นดิน
ทะเลหมอกยามเช้ากับอาทิตย์ดวงกลมที่ผานกแอ่น กลับเป็นอาทิตย์สีส้มเจิดจรัสบนผานกเค้า
ปั่นจักรยานชมธรรมชาติให้เพลิดเพลิน กลับต้องตะบี้ตะบันปั่นไปหาข้าวกินที่ผาหล่มสัก
อ่างเก็บน้ำวังกวาง ห่างจากแคมป์ไปสามร้อยเมตร ห้าครั้งที่ผ่านมายังไม่เคยไปก็เพิ่งได้ไปสัมผัสครั้งแรก โคตรจะตรึงใจ…......
ยังมีความทรงจำดีๆอีกมากมาย ที่เราเอากลับบ้าน….....
เหมือนเดิมทุกครั้งที่กลับจากภูกระดึง แล้วเราจะเจอกันอีกครั้งแน่นอน
…จบบริบูรณ์….......
เดี๋ยวไปตามกันต่อนะ กลับจากภูกระดึง ไปแอบเดินเดี้ยงๆ อยู่เชียงคาน….....
คน ฟ้า ป่า น้ำ
วันอังคารที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2565 เวลา 20.19 น.