หมายเหตุ: แต่จริงๆแล้ว ในทริปครั้งนี้ ผมมาที่ภูกระดึง 4 วัน 3 คืนน๊ะครับ
แต่ในคืนแรกนั้น ผมกางเต้นท์นอนที่ด้านล่างของอุทยาน เพราะว่าเดินทางมาถึงอุทยานประมาณบ่าย 2 โมง ก็เลยไม่นับครับ
และในวันแรกนั้น ผมมีการซ้อมเดินขึ้นไปที่ "ซำแฮก" และก็เดินลงมาด้วยครับ
และนี่ก็เป็นครั้งที่ 3 แล้ว ที่ผมได้มาเดินขึ้นภูกระดึงครับ

14 ธันวาคม 2566

หลังจากที่ผมนั้นขับรถมาถึงที่ทำการ "อุทยานแห่งชาติภูกระดึง" ในเวลาประมาณบ่ายสองโมง แน่นอนว่า ถ้าผมนั้นต้องการที่จะเดินขึ้นในวันนี้เลยก็ได้ แต่ผมนั้นเห็นว่ามันสายมากแล้ว และผมอยากที่จะเดินขึ้นในช่วงเช้า พร้อมกับเพื่อนร่วมทางแย่ะๆมากกว่า
ผมจึงเดินวนหาที่กางเต้นท์นอน ที่ด้านล่างของอุทยาน และผมก็ได้พบกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ที่กางเต้นท์อยู่ก่อนแล้ว (เค้ามีทั้งกางเต้นท์บนพื้น และกางเต้นท์บนหลังคารถกระบะ 4x4 น๊ะครับ)
และหลังจากเดินตรวจสอบบนพื้น ว่าไม่มีมด แมลง หรือปลวกแล้ว ผมก็ทำการกางเต้นท์ อยู่ใกล้ๆกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ทันที (ขออภัย ที่ไม่ได้ถ่ายรูปบรรยากาศมาให้เห็น)

และหลังจากที่ได้ทำการพูดคุยกับคนที่กางเต้นท์อยู่ใกล้ๆนั้น ก็ได้ทราบว่า ทุกคนนั้นเคยมาเดินขึ้นที่นี่หลายครั้งมากแล้ว (บางคนก็ 7 ครั้ง บางคนก็มากกว่า 10 ครั้ง จนทำให้คนที่ขึ้นมาแค่ 2 ครั้ง อย่างผมนั้น ขิงไม่ออกเลย ฮ่าฮ่าฮ่า)

และสำหรับกางเต้นท์นอนที่ด้านล่างของอุทยานนั้น ก็สะดวกสบายอย่างมาก เพราะมีห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกล และร้านอาหารที่เปิดขายจนถึง 2 ทุ่ม
และนักท่องเที่ยวที่ประสงค์จะมาเดินขึ้นในวันรุ่งขึ้นนั้น ก็สามารถเข้ามาได้ตลอด 24 ชั่วโมงครับ

และหลังจากที่ผมกางเต้นท์เสร็จแล้ว ผมก็ไปลองซ้อมเดินขึ้นซำแฮก แล้วก็เดินลงครับ

15 ธันวาคม 2566

และหลังจากที่ตื่นนอนที่ผมคิดว่า ตื่นเช้ามากแล้ว ผมก็เดินไปที่จุดจำหน่ายตั๋ว แล้วก็พบว่า
"ห๊ะๆๆๆ ทำไมคนมันมาแย่ะกันจังว๊ะ"
และหลังจากเข้าคิวซักพักใหญ่ๆ เพื่อซื้อตั๋วแล้ว ผมก็ต้องรีบไปเข้าแถวเพื่อนำกระเป๋าเป้ใบใหญ่ พร้อมด้วยเต้นท์นอน ไปให้ลูกหาบนั้น แบกขึ้นให้ เพราะในครั้งนี้นั้น ผมตั้งใจว่า จะแบกกล้องถ่ายรูปอย่างเดียว (2 ครั้งแรกนั้น เปรี้ยวไปหน่อย แบกเองหมดเลย จนแทบไม่ได้ถ่ายรูป)

และหลังจากที่ได้ลูกหาบแล้ว ผมก็กลับมาเก็บเต้นท์ แล้วก็ได้พบกับน้องตัวนี้ ที่มาแกาะอยู่ (แน่นอนว่าหลังจากถ่ายรูปแล้ว ผมก็เอาใบไม้มาเขี่ยออก และไปปล่อยไว้ที่ต้นไม้ใหญ่)

อ่าๆๆๆ ถ่ายป้ายแล้วกลับบ้านได้ ฮ่าฮ่าฮ่า

เพื่อนร่วมอุดมการณ์คับคั่งครับ

อ๊ะๆๆๆ เจอผีเสื้อกลางคืนตัวใหญ่ นอนอยู่บนถนน ก็เลยจับมาปล่อยข้างทาง จะได้ไม่โดนเหยียบครับ

เวลาประมาณ 08:37 "สตาร์ท โต่ะ"

ผู้ช่วยครับ

"แซ๊ะ"

หูยๆๆๆ คุณยายครับ (ไม่แน่ใจว่าเค้าเป็นนักท่องเที่ยว หรือแม่ค้าข้างบนน๊ะครับ)

พักก่อนๆ

"และผมก็พบกับน้องที่น่ารัก 2 คนนี้ครับ"
"เป็นน้อง 2 คนที่ ผมบังเอิญได้เจอกันบ่อยมาก ไม่ว่าจะไปจุดเที่ยวตรงไหน ก็เจอกันตลอดเลยครับ"
"แต่จริงๆแล้ว ก็ไม่ได้แค่น้อง 2 คนนี้น๊ะครับ คนอื่นๆ ก็เจอวนไปวนมาอยู่บนนั้น และก็พูดคุยทักทายกันเหมือนรู้จักกันมานานแล้วครับ ฮ่าฮ่าฮ่า"

เวลาประมาณ 09:00

เวลาประมาณ 09:20

อ่าๆๆๆ แหล่งความเจริญ ฮ่าฮ่าฮ่า

กินครับ

อ่าๆๆๆ ส่วนอันนี้ "ห้ามพลาด" ครับ
"ว่ากันว่า แตงโมของที่นี่ อร่อยที่สุดแล้วครับ"

ถ่ายวิวด้านล่างซักหน่อย

ชมนก ชมไม้ ชิวๆกันก่อน

อ่าๆๆๆ เจดีย์หิน

คุณลุงสุดแกร่งครับ

ถ้าเหนื่อยนัก ก็พักก่อน แล้วค่อยไปต่อครับ

เวลาประมาณ 10:24

เวลาประมาณ 10:33

เวลาประมาณ 10:57

เวลาประมาณ 11:07

เวลาประมาณ 11:25

เจอผีเสื้อ "แซ๊ะ"

เวลาประมาณ 11:53

กิน เพิ่มพลังครับ

ถ่ายรูป

เวลาประมาณ 12:19

เฮ้ยๆๆๆ บันได

บันไดอีกแล้ว !!!

"บันไดคู่ พิฆาตจักรวาล"

แล้วหลังจากที่ข้าพเจ้านั้น โดนเจ้าบันได ที่เป็นดั่งเครื่องจักรสังหารไปแล้วนั้น ข้าพเจ้า ก็แทบไม่ได้ถ่ายรูปอีกเลย
จนกระทั่ง

และนี่ ก็คือทิวทัศน์ ที่เป็นดั่งเสมือนรางวัลให้กับผู้พิชิต "เย้ๆ"

"ครั้งหนึ่ง แต่ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย"

และผมก็สามารถเดินทางถึง "หลังแป" ได้ในเวลาประมาณ 13:10 (เริ่มเดินตอน 08:37)
รวมเวลาในการเดินขึ้นทั้งหมดประมาณ 4 ชั่วโมง 27 นาที

และสำหรับคนที่มาเดินแบบ 2 วัน 1 คืนนั้น ผมแนะนำว่า ให้มาเช่าจักรยาน ปั่นที่หลังแปเลยครับ

แผนที่คร่าวๆ บนภูครับ

และแน่นอนว่า เมื่อถึงหลังแปแล้ว มันก็ยังไม่ได้สิ้นสุดการเดินทางครับ เพราะท่านจะต้องเดินไปยังจุดกางเต้นท์ที่อยู่ไกลออกไปประมาณ 3.5 กิโลเมตรครับ

เริ่มเดินกันต่อครับ

มันเป็นทางเดินฝุ่น ที่ 2 ข้างทางนั้น มีแต่ต้นสนครับ

ต้นสนที่โดนไฟป่าเผา ก็ยังเห็นได้อยู่ครับ

เดิน เดิน และก็ เดิน ครับ

พอหายเหนื่อย เวลาเดินชิลล์ๆ ก็ถ่ายรูปครับ

จุดแว่ะถ่ายรูปยอดฮิตครับ (โชคดีมากน๊ะครับ ที่น้องรอดจากไฟป่ามาได้)

ผีเสื้อน้อยๆๆๆ

เวลาประมาณ 14:16
ในที่สุด ก็ถึงแล้วครับ
รวมเวลาการเดินของผมทั้งหมดก็คือ 5 ชั่วโมง 21 นาที (เวลาเริ่มเดินคือ 08:37)

แสตมป์ครับ อิอิ
หมายเหตุ: สำหรับที่ภูกระดึงนั้น จะมีแสตมป์ของข้างล่าง 1 ดวง และข้างบน 1 ดวง ที่ไม่เหมือนกันน๊ะครับ อย่าลืมแสตมป์ให้ครบทั้ง 2 ดวงน๊ะครับ

สำหรับเต้นท์จองออนไลน์ จะเป็นเต้นท์แบบนี้น๊ะครับ

อ๊ะๆๆๆ ที่กางเต้นท์ประจำของเราไม่ว่างแล้วๆๆๆ

"กระเป๋าเรามาหรือยังน๊าๆๆๆ"
แล้วผมก็ไปนั่งรอสัมภาระ ที่จ้างลูกหาบแบกขึ้นมาครับ

วันนี้ผมใช้เต้นท์ตัวเล็ก ที่มักจะเอาไปทริป เดินป่า ปีนเขาครับ

และในส่วนของอาหารนั้น ผมขอบอกว่า ถ้าเป็นอาหารหลักประมาณนี้ จะราคา 60 บาทครับ (เหมือนกับว่า เค้าตรึงราคาเอาไว้น่ะครับ เพราะมันเป็นราคาเดียวกับข้างล่าง และอุทยานอื่นก็ราคาประมาณนี้ แต่สำหรับเมนูอื่นๆนั้น จะถูกอัพราคาทั้งหมดน๊ะครับ)
แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้น ก็อยากจะบอกว่า สำหรับรสชาติ และปริมาณนั้น อร่อย และได้แย่ะพอสมควรครับ

และสำหรับน้ำดื่มนั้น ขวดเล็กจะราคา 30 บาท ขวดใหญ่ 50 บาท
ดังนั้น ผมจะซื้อขวดใหญ่ และก็คอยเอามาเติมในขวดเล็กเอาน่ะครั

ถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกกันครับ

บรรยากาศยามค่ำคืนครับ

16 ธันวาคม 2566

และก็ตื่นตั้งแต่ตี 5 เพื่อเดินไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ "ผานกแอ่น" กันครับ
แต่สำหรับความแตกต่างของครั้งนี้ก็คือ เมื่อก่อนนั้น ในตอนตี 5 จะมีเสียงนกหวีด และประกาศแจ้งให้นักท่องเที่ยว ตื่นขึ้นมาเดินกัน แต่ในคราวนี้นั้น ไม่มีแล้ว (แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะเวลาประมาณตี 5 ก็จะมีเสียงคนเดินไปเดินมา จนเราตื่นเองอยู่ดี)

เวลาประมาณ 06:37 ถึงแล้วครับ

รอครับ

ระหว่างรอ ก็เดินถ่ายรูป

คนแย่ะพอสมควรครับ

หมอกจ๋าๆๆๆ วันนี้จะมีมั๊ยๆๆๆ

เวลาประมาณ 07:04 อ๊ะๆๆๆ ขึ้นแล้ว

"แซ๊ะ" "แซ๊ะ" "แซ๊ะ"

กลับดีฟ่าๆๆๆ

และสำหรับอีก 1 ไฮไลท์ ของการมาเที่ยวภูกระดึง นั่นก็คือ การเดินถ่ายรูปพืชพรรณข้างทาง ระหว่างทางเดินกลับลานกางเต้นท์ จากภานกแอ่น นั่นเอง
เพราะเนื่องจากว่า มันยังเป็นเวลาเช้า และแสงแดดอ่อนๆ ที่สาดส่องลงมานั้น จะยิ่งทำให้ภาพที่ได้นั้น สวยกว่า ในเวลาปกติ

ลานวัดพระแก้วครับ

เดินต่อครับ

ถึงห้างสรรพสินค้าแล้วครับ

รับประทานอาหารเช้ากันครับ

น้ำเต้าหู้ ปลาท่องโก๋ ก็มีครับ

อ๊ะๆๆๆ เจอน้องที่ลานกางเต้นท์

เวลาประมาณ 09:50 
และหลังจากนั้น ผมก็เดินหลงทาง ไปทางน้ำตกกับเค้าครับ (จริงๆตั้งใจจะไปเดินทางริมผา แต่เห็นคนเดินมาทางนี้กันทุกคน ก็เลยเดินตามๆเดค้ามาครับ ฮ่าฮ่าฮ่า)

ชิลล์ๆ เดินไป ถ่ายรูปไปครับ

เดินท่ามกลางต้นไม้ที่ร่มรื่นครับ

อ่าๆๆๆ มีอันนี้ด้วยๆๆๆ

ถึงแล้ว "น้ำตกเพ๊ญพบใหม่"

ที่นี่เป็นน้ำตก ที่คนนิยมมาถ่ายรูปใบเมเปิ้ลกันนั่นเหลอะครับ
แต่ในวันที่ผมไป มันแห้งเกือบหมดแล้วครับ

น้ำตก ก็มีน้ำนิดเดียว

และระหว่างทางที่เดิน ก็มีต้นเมเปิ้ลอยู่หลายต้นเลยครับ

สะพานไม้

อันนี้เค้าชี้ให้ถ่ายครับ

เวลาประมาณ 12:00 ถึงแล้วน้ำตกถ้ำใหญ่

ที่มีน้ำนิดเดียว

หมายเหตุ: สำหรับตามความคิดของผมน๊ะครับ ผมคิดว่า การเดินน้ำตกที่นี่ ที่ถูกต้องก็คือ ต้องเริ่มเดินจาก "น้ำตกถ้ำใหญ่" ครับ
เพราะว่า ในระหว่างทางนั้น ทุกท่านจะพบต้นเมเปิ้ลอยู่หลายต้นเลยครับ ถ้ามากันกลุ่มใหญ่ๆ ก็ช่วยกันเก็บใบเมเปิ้ลที่ร่วงตามพื้น เพื่อไปนอนถ่ายรูปเท่ห์ๆ ที่ "น้ำตกเพ็ญพบใหม่" ได้ครับ (คงจะไม่ได้มีดราม่าหรอกมั้ง ถ้าไม่ได้ไปขย่มต้น ให้ใบมันร่วงลงมาน่ะครับ ฮ่าฮ่าฮ่า)

และเมื่อผมนั้นเดินออกมาจาก "น้ำตกถ้ำใหญ่" แล้ว ผมก็เลือกเดินในเส้นทางริมผา ตามแผนการเดิมครับ
แต่คนส่วนใหญ่นั้นจะเลือกเดินไปทาง สระมรกต น๊ะครับ
แต่นั่นก็เป็นเพราะว่า ผมนั้นไม่ได้เตรียมน้ำ และอาหารกลางวันมา ผมนั้นจึงต้องเลือกเดินริมผา ที่มีร้านอาหารตลอดทางครับ
ดังนั้น คนที่จะเลือกเดินในเส้นทาง สระมรกต เพื่อไป "น้ำตกถ้ำสอเหนือ" นั้น จะต้องเตรียมน้ำและอาหารมาให้พร้อมน๊ะครับ

และในส่วนของเส้นทางเดินนี้ ก็จะเป็นทางเดิน โล่งๆแบบนี้ครับ
อย่าลืมเตรียมหมวกมาด้วยน๊ะครับ
และสำหรับสภาพอากาศนั้น ก็จะร้อนชื้น ครับ (เพราะเมื่อผมนั้นใช้ฝาปิดหน้าเลนส์ พอเปิดออกมาจะถ่ายรูป เลนส์มีไอน้ำเกาะเลยครับ ต้องรอให้แห้ง ถึงจะถ่ายได้ต่อครับ)

เวลาประมาณ 12:44 ถึงแล้วครับ ทางริมผ

เติมพลังกันครับ

วิวริมผาครับ

เจอช้างด้วยครับ

เดินกันต่อครับ

เวลาประมาณ 13:38 ผาเหยียบเมฆ

การขี่รถจักรยานเสือภูเขาที่นี่ ก็สนุกเหมือนกันครับ
แต่พอดีคราวที่แล้วผมขี่มาแล้ว คราวนี้ ก็เลยอยากลองเดินดูมั่งครับ

เวลาประมาณ 14:08 ก็ถึง ผาแดง ครับ

พักหน่อยๆๆๆ

อ่าๆๆๆ หินหัวเต่า ที่ไม่เคยเหงาครับ (เพราะในระหว่างเดินกลับ ในตอนที่มืดมากแล้ว ผมยังเห็นคนมาเปืดไฟถ่ายรูปอยู่เลยครับ)

เดินต่อครับ เพราะการเที่ยวภูกระดึง ก็คือ การ เดิน เดิน และก็ เดิน ครับ

เวลาประมาณ 14:50 ถึงแล้วครับ ร้านค้าของ ผาหล่มสัก
สรุปว่า ผมใช้เวลาเดินจากลานกางเต้นท์ มาถึงที่นี่นั้น ก็ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 5 ชั่วโมง

เนื้อหอมจริงๆ ป้ายนี้

อ่าๆๆๆ ต่อแถวๆ ครับ
วันนี้ถือว่าคนไม่แย่ะเลยครับ เพราะว่า ผมเคยมาเดินช่วง 5 ธันวา ขอบอกว่า แถวนี้ยาว จนต้องขดไปขดมาเลยครับ

ขออนุญาติ ถ่ายรูปเท่ห์หน่อยครับ
หมายเหตุ: จริงแล้วในวันนั้นผมถ่ายรูปมุมนี้ที่มีคนอยู่หลายคนมาก แต่ไม่กล้าโพสครับ ถ้าใครเห็นแล้วจำได้ ก็ส่งข้อความมาขอรูปได้น๊ะครับ (สวยไม่สวย ก็ว่ากันไปครับ ฮ่าฮ่าฮ่า)

ลองใส่แสงปลอม เข้าไปหน่อย

ลองเปลี่ยนมุมบ้าง

วิวที่ผาหล่มสักครับ

ถ่ายลูกสนหน่อยๆๆๆ

อ๊ะๆๆๆ แสงจริงเริ่มมาแล้วๆๆๆ

และในระหว่าง ที่ทุกคนนั้นกำลังถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน และช่างภาพ ที่ต้องใช้ความทุ่มเทในการถ่ายรูปในมุมที่ยากกว่าเดิม
เพราะกิ่งสนที่เห็นนั้น มันใหญ่ และห้อยลงมามากกว่าเดิมแย่ะมาก จนทำให้กิ่งของมันนั้น บังหัวคน
นั่นจึงทำให้คนถ่ายรูปนั้นจะต้องนอนราบไปบนก้อนหินตรงนี้ (ไม่ได้นั่งถ่ายสบายๆ เหมือนเมื่อหลายปีก่อนแล้ว)

ทันใดนั้นเองทุกคนก็ร้อง "เฮ้ยๆๆๆ" ออกมาพร้อมกัน

เพราะว่าพระอาทิตย์นั้น อยู่ๆก็ถูกบดบังจากเมฆ

จนทำให้แสงสีส้มอันสวยงามนั้น หายไปทันที

ยังจะมีหน้ามาโผล่แอบดูอีกๆๆๆ
"แต่นั่นก็เป็นเรื่องธรรมดา ที่ผู้ที่ชื่นชอบในการถ่ายภาพนั้น รู้อยู่แล้วว่า แสงธรรมชาตินั้น ก็ไม่อาจสวยได้ทุกวัน"

Reader: แหม๋ๆๆๆ เอาความจริง
Writer: ฮือๆๆๆ ไอ้พระอาทิตย์ วันนี้ข้าอุตส่าห์เดินมาตั้ง 5 ชั่วโมงเลยน๊ะโว๊ยๆๆๆ ทำไมทำกับข้าอย่างนี้ๆๆๆ ฮือๆๆๆ

และหลังจากนั้น นักผจญภัยที่เหลืออยู่นั้น ก็ออกเดินทางกลับลานกางเต้นท์ โดยการเดินกันเป็นกลุ่มๆ เพราะว่า ทางนั้นจะมืดมาก

แต่ในระหว่างทางขากลับนั้น ท่านพระอาทิตย์ ก็ไม่ได้ใจร้ายเท่าไหร่นัก เพราะว่าท่านยังส่งเพลง "แสงสุดท้าย" มาขับกล่อม ให้กับเหล่านักผจญภัย ที่หันหลังกลับมามองนั่นเอง
(ในรูปมีพระจันทร์จิ๋วด้วยน๊ะ อิอิ)

17 ธันวาคม 2566

และในวันเดินทางกลับ ผมก็เลือกที่จะมาชมพระอาทิตย์ขึ้น ที่อ่างเก็บน้ำใกล้ๆ กับลานกางเต้นท์
เพราะว่า ที่อ่างเก็บน้ำแห่งนี้นั้น จะมีหมอกสีขาวปกคลุมในตอนพระอาทิตย์ขึ้น มันจึงเป็นภาพที่จะมีความละมุน และสวยงามมากๆๆๆ

"อ่าวๆๆๆ ไหนๆ หมอกของข้าๆๆๆ"

และเมื่อผมนั้นพบกับภาวะวิกฤต ผมก็รีบใช้วิชา "In to the Wild" ทันที

"In to the Water" ด้วยๆๆๆ
และหลังจากนั้น ผมก็ได้ทำการตรวจสอบข้อมูลจากทุกกลุ่มใน Facebook และผมก็ได้ทราบความจริงว่า ทั้งวันก่อนหน้าหลายวัน และวันหลังจากนี้อีกหลายวัน ที่ตรงนี้ มันก็มีหมอกสีขาวๆตอนเช้าทุกวันเลย T_T

Writer: อะไรว๊าๆๆๆ นี่ข้าเป็นตัวไล่หมอกเหรอเนี่ยๆๆๆ

และในระหว่างเดินทางกลับลานกางเต้นท์

"บรื้นๆ"
มาได้ยังงัยว๊ะ

บรรยากาศยามเช้าครับ
และหลังจากที่เก็บเต้นท์เรียบร้อยแล้ว ผมก็ทำการจ้างลูกหาบ เพื่อแบกของลงอีกครั้ง

ถ่ายรูปก่อนกลับ

เดินต่อครับ

ถ่ายรูปๆ

เดิน

เดิน

และก็ เดิน

ชอบรูปนี้

ถึงหลังแปแล้ว

ถ่ายวิวสวยๆก่อนเดินลง

อัยย่ะ หนุ่มน้อย ผู้พิชิตภูกระดึง

"ย๊ากๆๆๆ บันไดคู่ พิฆาตจักรวาล อีกแล้ว"
"แต่คราวนี้ข้าเดินลงโว๊ยๆๆๆ ฮ่าฮ่าฮ่า"

"แตงโม แตงโม แตงโม"
จงอ่านประโยคนี้ โดยไม่ใส่ทำนอง

ก่อนกลับครับ

คำถามที่ผมสงสัยก็คือ ในถังน้ำมันนั้น มีของอยู่หรือเปล่า

ถ่ายวิวก่อนกลับ

"ขอให้มีสุขภาพที่แข็งแรง"
Writer: ครับ

"และหลังจากนั้น ขาผมก็เดี้ยงไปหลายวัน"

และผมก็แว่ะกินข้าวก่อนกลับที่ร้านเจ๊กิม

つづく

แบกกล้อง

 วันอังคารที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 เวลา 16.59 น.

ความคิดเห็น