ทริปนี้ถือเป็นทริปหนีร้อนจากเมืองไทย ไปหาไอเย็นที่เฉิงตูของผม ผมมีเวลาเที่ยวในเฉิงตู 5 วัน 4 คืน การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางกับคณะกรุ๊ปเล็กๆ ที่มีสมาชิก 10 คน และผู้นำทริปอีก 1 คนครับ

วันแรกของการเดินทาง เรานัดกันที่สนามบินดอนเมือง ตั้งแต่เวลา 04.30 น. กว่าจะ Check-in ผ่าน ตม. ฟ้าก็เริ่มสว่างแล้วครับ

ทริปนี้ผมเดินทางด้วยสายการบิน Air Asia เที่ยวบิน FD 556 ครับ

เที่ยวบินนี้บินตรงสู่เมืองฉ่งชิ่ง ดังนั้นผู้โดยสารส่วนใหญ่ ประมาณร้อยละ 95 (กะด้วยสายตาของผม) เป็นคนจีนครับ จะมีต่างชาติรวมถึงคนไทยเพียง 5 % เท่านั้น เมื่อก้าวเข้าสู่ประตูเครื่องบินเท่านั้นแหล่ะ ความวุ่นวายก็เริ่มขึ้น ไม่ต่างอะไรกับขึ้นรถ บขส.เลยครับ ทั้งเสียงดังโหวกเหวก ทั้งเดินกันให้ขวักไขว่ เวียนหัวมากๆ นึกปวดหัวแทนพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเลยครับ

เมื่อเครื่องบินทะยานสู่ฟากฟ้าเมืองไทย พนักงานเริ่มปฏิบัติหน้าที่กันอย่างแข็งขัน เช้านี้ผมได้ข้าวเหนียวไก่ย่างมาเป็นเสบียงครับ

ไฟล์ทขาไปนี้ ผมโชคดีได้นั่ง window seat และโชคดีขึ้นไปอีกคือได้นั่งฝั่งตรงข้ามดวงอาทิตย์ จึงทำให้สามารถเปิดม่านบังแดดได้ตลอดเส้นทางบิน หลังจากตุนเสบียงส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว ชะโงกหน้าออกไปดูวิวด้านนอก ปรากฏว่ามองไม่เห็นวิวเบื้องล่างเลย คล้ายเหมือนมีหมอกควันปกคลุมเต็มพื้นที่ไปหมด ผมเลยขอพักสายตาสักนิดหน่อย เพราะวันก่อนเดินทางผมได้นอนพักผ่อนน้อยมากครับ

เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกทีก็รีบชะโงกดูวิวที่หน้าต่าง ทัศนวิสัยด้านนอกเริ่มดีขึ้น มองเห็นภูมิประเทศด้านล่างแปลกตาหลายจุดเลยทีเดียว มีทั้งชุมชนเมือง ทิวเขาที่เต็มไปด้วยกังหันลม หรือแม้กระทั่งทิวเขาสูงที่ยังคงมีเศษหิมะปกคลุมอยู่บ้างเล็กน้อย

เพียงไม่นานนัก ทัศนวิสัยด้านล่างที่เปิดกลับถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกหนาทึบ มีเพียงยอดเขาบางยอดเท่านั้นที่โผล่พ้นกลุ่มก้อนเมฆหมอก มองดูไม่ต่างอะไรกับเกาะบนผืนมหาสมุทรเลยครับ

เวลาผ่านไปประมาณ 3 ชั่วโมง กัปตันเริ่มลดระดับเพดานบินลง เมื่อเครื่องบินบินต่ำกว่ากลุ่มเมฆหมอก ผมก็เริ่มเห็นความศิวิไลซ์ของเหมือนฉ่งชิ่ง ตึกสูงๆ ต่างแย่งกันผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด

ไม่นานนักเราก็มาถึงสนามบินฉ่งชิ่งครับ การจราจรทางอากาศที่นี่ค่อนข้างแออัด ตั้งแต่ผมนั่งเครื่องบินมา ผมไม่เคยเห็นเครื่องบินที่บินลงสนามบินแล้วต้องจอดรอเครื่องบินที่จะบินขึ้นอยู่กลางสนามบินเลย มีแต่เครื่องบินที่จะบินขึ้นต้องจอดรอจนกว่าเครื่องบินที่บินลงจะหลุดพ้นรันเวย์ไปแล้วถึงจะบินขึ้นได้ แต่ที่นี่ไม่ใช่ครับ ตั้งแต่ล้อเครื่องบินที่ผมนั่งมาสัมผัสกับสนามบิน ผมต้องจอดรอเครื่องบินที่จะบินขึ้นอยู่กลางสนามบินถึง 3 ครั้งเลยทีเดียว

เมื่อรับสัมภาระเรียบร้อยแล้ว ก็ออกเดินทางกันต่อสู่เมืองเฉิงตู คณะของผมออกมารอ Shuttle bus ด้านหน้าของอาคารสนามบินครับ

อากาศเย็นเอาเรื่องเลยทีเดียว ตอนที่อยู่บนเครื่อง ก่อนที่เครื่องจะลง กัปตันประกาศบอกว่าอุณหภูมิภาคพื้น 11 องศาครับ ตอนอยู่ภายในสนามบินก็ยังไม่ค่อยเท่าไร แต่พอออกมานอกสนามบินแล้วเล่นเอาสั่นเหมือนกัน ยืนรอสักพัก รถ Shuttle Bus ก็มาจอดเทียบตรงประตูทางออกของสนามบิน พวกเราจัดแจงขนของขึ้นรถให้เรียบร้อย จากสนามบินไปยังสถานีรถไฟฟ้า ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที Shuttle Bus ให้บริการฟรีครับ

จัดแจงซื้อตั๋วรถไฟฟ้าเพื่อไปลงที่สถานี Chong Qing Bei ค่ารถไฟฟ้าคนละ 5 หยวนครับ

เด็กน้อยบนรถไฟฟ้า มองกลุ่มพวกผมอย่างสนใจ จ้องตาไม่กระพริบเลยทีเดียว

เมื่อถึงจุดหมายปลายทางที่สถานีChong Qing Bei เราเดินออกจากสถานีรถไฟฟ้า เพื่อมุ่งหน้าสู่ที่จำหน่ายตั๋วรถไฟความเร็วสูง (ค่ารถไฟความเร็วสูง 96.5 หยวน ) เมื่อได้ตั๋วเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องต่อรถเมล์เพื่อมาลงที่สถานีรถไฟความเร็วสูง Chong Qing Bei ค่ารถเมล์คนละ 2 หยวนครับ

สถานีรถไฟดูโอ่โถงมากครับ ผมต้องเดินทางต่ออีกกว่า 2 ชั่วโมง เลยไปเดินหาของทานเล่นตามร้านค้าภายในสถานีรถไฟ ได้ขนมปังมาเป็นเสบียง ราคาก็ไม่ต่างจากบ้านเรามากนักครับ

การจะเข้าไปรอรถไฟในชานชาลา ไม่สามารถเข้าไปรอได้เลยนะครับ ที่นี่เขาจะอนุญาตให้ผู้โดยสารเข้าไปในชานชาลาก่อนรถไฟออกประมาณครึ่งชั่วโมงครับ

ที่นั่งภายในตู้โดยสารค่อนข้างกว้างสบายเลยทีเดียว แถวนึงจะมีที่นั่ง 6 ที่ แบ่งเป็น A,B,C และ D,E,F ครับ สำหรับความเร็วของรถไฟ ผมสังเกตว่าทำเวลาได้สูงสุด 197 กิโลเมตร/ชั่วโมงครับ

ระหว่างที่อยู่บนรถไฟ ผมเองก็งัดเสบียงที่ซื้อมาจากสถานีรถไฟขึ้นมารองท้องครับ แต่สำหรับใครที่ไม่มีเสบียงแล้วเกิดหิวขึ้นมากระทันหันก็ไม่ต้องตกใจ เพราะจะมีพนักงานมาขายอาหารในรถไฟด้วยครับ

ช่วงที่ผมเดินทางเป็นช่วงที่ดอกมัสตาร์ดกำลังเบ่งบาน ทำให้วิวสองข้างทางที่รถไฟผ่าน เต็มไปด้วยสีเหลืองสุดลูกหูลูกตา ราวกับปูพรมสีเหลืองเลยครับ

นั่งรถไฟความเร็วสูงประมาณ 2 ชั่วโมง 20 นาที ก็มาถึงสถานี Cheng Du Dong ซึ่งสถานีแห่งนี้อยู่ที่เมืองเฉิงตู จากนั้นรถที่ติดต่อไว้ก็มารับพาเข้าที่พักที่ LAZYBONES HOSTEL ครับ

LAZYBONES HOSTEL ซึ่งจะเป็นที่พักของผมถึง 3 คืนครับ

ด้านหน้าของ Hostel

การออกแบบภายในเก๋ไก๋ไม่เบาครับ

บริเวณ Lobby พนักงานพูดภาษาอังกฤษได้ดีทีเดียวครับ

มีมุมให้นั่งอ่านหนังสือ รวมถึงมุม internet ฟรีด้วย แต่ wifi ที่นี่ช้ามาก เปิดอะไรก็ไม่ค่อยออกครับ ที่สำคัญทั้ง Facebook และ Line เล่นไม่ได้ครับ เศร้าใจจัง

มีกระดานเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เขียนความรู้สึก รวมถึงการประกาศแชร์ต่างๆ ด้วย

มาดูพื้นที่ของห้องพักกันบ้าง ภายนอกออกแบบเก๋ไก๋อีกเช่นเคย ทาสีส้มจี๊ดจ๊าดเชียวครับ

มีไดร์เป่าผมส่วนกลางด้วย แต่ดูจากสภาพแล้วบอกเลย ไม่กล้าใช้ครับ

ผนังระหว่างทางเดิน ตกแต่งด้วยรูปแนว Art ครับ

มาดูในส่วนของห้องพักกันบ้าง ห้องนี้เป็นแบบ 2 เตียงครับ

สำหรับห้องผมเป็นแบบ 3 เตียง ภายในมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกบ้างเล็กน้อย เช่น ทีวี รองเท้าแตะเดินในห้อง เครื่องปรับอากาศแต่เวลานี้มันกลายเป็นเครื่องทำความร้อนไปแล้ว นอกจากนี้ยังมีเครื่องทำน้ำอุ่น รวมถึงผ้าห่มไฟฟ้าครับ

ภายในห้องน้ำ มีผ้าเช็ดตัวให้พร้อมครับ

พื้นที่รอบ Hostel มีพื้นที่สีเขียวไว้ให้ด้วย สนนราคาค่าห้องต่อคืน ประมาณ900 บาทครับ อ่อ ที่นี่มี Free Wifi ด้วย สัญญาณเต็มแต่เล่นเน็ตไม่ได้เลยครับ

สำหรับโปรแกรมในวันนี้ เรายังไม่จบอยู่แค่นี้ครับ บินมาตั้งไกลจะมานอนเล่นที่โรงแรมได้ไง ถ้าฟ้ายังไม่มืด เราก็จะเที่ยวกันถึงวินาทีสุดท้ายเย็นนี้เรานั่งรถเมล์เพื่อไปยังถนนโบราณจิ่นหลี่ ค่ารถเมล์ 2 หยวนครับ

หลังจากเบียดเสียดยัดเยียดกับคนจีนในรถเมล์สาย 57 สัก 15 นาที รถเมล์ก็มาจอดส่งเราที่ถนนโบราณจิ่นหลี่ครับ

จากป้ายรถเมล์ เราต้องเดินเท้าต่อนิดหน่อย เพื่อไปยังถนนโบราณจิ่นหลี่ ที่นี่เราเสียค่าเข้า 30 หยวนครับ

เราคงมาถึงค่อนข้างเย็นแล้ว จุดสำคัญภายในบางส่วนก็ปิดทำการแล้ว เลยไม่สามารถเข้าไปชมด้านในได้ คงได้แต่เดินชมบรรยากาศภายนอกเท่านั้น ตามทางเดินถูกประดับประดาไปด้วยโคมไฟหลากสีสัน ดูสวยงามมากครับ

เย็นนี้เลยลงมติว่าเราจะหาของทานกันที่นี่ ใครอยากชิมอะไรก็เลือกชิมกันตามอัธยาศัย บริเวณถนนโบราณมีร้านอาหารมาออกร้านกันอย่างมากมาย ลักษณะของร้านจะคล้ายๆ ร้านแผงลอย ที่ซื้อแล้วก็ถือเดินทานไปเรื่อยๆ ไม่มีโต๊ะให้นั่งทานในร้านครับ ราคาอาหารก็แพงพอสมควร ของทานเล่นแต่ละอย่างเฉลี่ยประมาณ 10 หยวน สรุปมื้อนี้ผมโดนค่าของทานเล่นไปหลายสิบหยวนเลยครับ อิ่มก็ไม่อิ่ม แถมของที่ผมตัดสินใจเลือกซื้อชิมก็ไม่อร่อยอีกต่างหาก เศร้าจริงๆ บรรยากาศของร้านค้าผมไม่ได้ถ่ายมาให้ชมเลยครับ เพราะคนเยอะมากๆ แถมต้องถืออาหารเดินทานไปด้วย ไม่สะดวกอย่างยิ่งเลยครับ

หลังจากนั้นผมเดินชมบรรยากาศกันต่อท้องฟ้าเริ่มมืดลงในขณะที่โคมไฟแต่ละดวงเริ่มเปล่งแสงขึ้น ช่วงที่มีแสงก็ว่าสวยแล้ว ยามพลบค่ำแบบนี้ก็สวยงามไม่แพ้กันครับ

หมดแรงสำหรับวันนี้ ก่อนเข้าที่พักเลยแวะซื้อมาม่ากลับมาทานที่ห้องก่อนเข้านอนครับ เพราะอาหารที่ซื้อทานเล่นที่ถนนคนเดินย่อยหมดท้องตั้งแต่ก่อนขึ้นรถเมล์กลับที่พักแล้วครับ

เช้าวันใหม่ผมใช้บริการอาหารเช้าของโรงแรมครับ

พื้นที่ด้านหลัง Lobby ออกแบบให้เป็นห้องอาหารและพื้นที่พักผ่อนของแขก มีบาร์และโต๊ะสนุกเกอร์ด้วยครับ

อาหารเช้าก็ถือว่าไม่แพงเกินไปABF 20 หยวน เลือกได้ว่าจะเอาไข่ตุ๋นหรือออมเลท นอกจากนี้ยังมีโจ๊กหมู,โจ๊กไก่ เมนูละ 12 หยวนครับ

หลังอาหารเช้า เรามุ่งหน้าสู่เมืองเล่อซาน เมืองนี้ห่างจากเฉิงตูประมาณ 122 กิโลเมตร สำหรับพาหนะในการเดินทาง เราได้ติดต่อขอเช่ารถไว้ครับ

ใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งก็มาถึงเมืองเล่อซาน เรามุ่งหน้าสู่จุดหมายแรกคือ หลวงพ่อโตเล่อซาน ก่อนจะถึงหลวงพ่อโตเล่อซาน จะผ่านอุโมงค์ต้นไม้ สวยงามมากๆ ครับ

ข้างๆ ของอุโมงค์ต้นไม้เป็นทางเดินเรียบแม่น้ำหมิ่งเจียง สามารถเดินไปยังท่าเรือสำหรับล่องชมทัศนียภาพของแม่น้ำหมิ่งเจียงได้ครับ

ก่อนเข้าไปสักการะหลวงพ่อโตเล่อซาน ต้องมาซื้อบัตรเข้าชมตรงบริเวณนี้ก่อน ค่าเข้าชมคนละ 50 หยวนครับ

บรรยากาศบริเวณด้านหน้าทางเข้า ผมมาถึงที่นี่ตั้งแต่เช้าตรู่ นักท่องเที่ยวยังไม่ค่อยเยอะครับ

ดอกแมกโนเลีย (magnolia) เริ่มบานกันเยอะเลย มีทั้งสีชมพูอ่อน และสีชมพูเข้มครับ

แผนที่เส้นทางการไปยังหลวงพ่อโตเล่อซานครับ

จากประตูทางเข้า แทบจะไม่มีเส้นทางราบให้เดินเลยครับ ทุกๆ ก้าวต้องออกแรงไปตามขั้นบันไดเพื่อเดินขึ้นไปยังด้านบน ด้านซ้ายมือจะเป็นหน้าผา ที่บางจุดจะมีการสลักพระพุทธรูปลงไปบนหินริมหน้าผา ส่วนด้านขวามือจะมองเห็นแม่น้ำหมิ่งเจียงครับ

แอ่งน้ำสลักเป็นรูปหัวมังกร และมีตัวมังกรเลื้อยอยู่รอบแอ่งน้ำครับ

มีรูปสลักหินเป็นเสือด้วยครับ

สลักเป็นพระองค์ใหญ่ มีไกด์จีนคอยบรรยาย แต่ผมฟังไม่รู้เรื่องครับ

กัดฟันเดินเฮือกใหญ่ เดินผ่านประตูนี้เข้ามา ก็เข้ามาใกล้พื้นที่ตั้งของหลวงพ่อโตเล่อซานแล้วครับ

หลุดประตูนี้มา เส้นทางก็ไม่ลำบากแล้ว มีพื้นที่เรียบให้เดินได้อย่างสะดวกครับ

พื้นที่ด้านใน จะมีอาคารหลักอยู่ 3 จุด จุดแรกเป็นที่ประดิษฐานของเทพต่างๆ ผมไม่รู้ว่าเป็นเทพอะไรบ้างครับ

จุดที่ 2 เป็นที่ประดิษฐานขององค์พระ และเทพอีกหลายองค์ ผมว่าในบรรดา 3 จุด จุดที่ 2 นี่สวยที่สุดครับ

จุดที่ 3 ตอนที่ผมไป ด้านในมีพระกำลังนั่งปฏิบัติธรรมอยู่ครับ

ด้านข้างของจุดที่ 1 และ 2 จะเป็นทางเดินไปสู่เจดีย์ครับ

ระหว่างทางที่จะเดินไปยังเจดีย์ มีการสลักแผ่นหินอยู่เต็มไปหมด

เจดีย์นี้ผมไม่รู้ถึงประวัติและความสำคัญเลยครับ รู้แต่ว่ากว่าจะเดินขึ้นไปยังเจดีย์ได้ เหนื่อยเอาเรื่องเลยทีเดียว อากาศที่ว่าเย็นๆ ผมงี้เหงื่อไหลเลย

และจุดที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่ก็คือ หลวงพ่อโตเล่อซาน ตั้งอยู่ที่ด้านหน้าของอาคารจุดที่ 1 ครับ

หลวงพ่อโตเล่อซานเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดในโลก พระเศียรสูงเท่าภูเขา พระบาทวางอยู่ริมแม่น้ำ พระหัตถ์วางบนเข่า พระพักตร์อิ่มเอิบ ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกร่วมกับเขาเอ๋อเหมยเมื่อปี 2539 ครับ

เล่ากันว่าหลวงพ่อไท่หงได้เดินทางมาถึงเมืองเสฉวนและพบว่าภูเขาเล่อซานตั้งอยู่อยู่บนทางผ่านของแม่น้ำสามสาย (แม่น้ำหมิงเจียง แม่น้ำซิงอีเจียง และ แม่น้ำตู้เจียง) จึงมักเกิดอุบัติเหตุเรือล่ม ทำให้มีผู้เสียชีวิตอยู่บ่อยๆ พระไท่หงจึงตั้งใจสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ขึ้นตรงจุดนี้เพื่อให้องค์พระคุ้มครองแก่ผู้เดินทาง ท่านจึงใช้เงินบริจาคจากชาวบ้านสร้างหลวงพ่อองค์นี้ขึ้น

หลวงพ่อโตเล่อซาน สร้างขึ้นโดยวิธีการแกะสลักภูเขาด้วยความสูงถึง 71 เมตร เฉพาะพระเศียร สูง 14.7 เมตร กว้าง 10 เมตร พระกรรณยาว 7 เมตร พระเนตรยาว 3.3 เมตร หลังพระบาทกว้าง 8.5 เมตร นิ้วพระบาทแต่ละนิ้วสูงท่วมหัวคน ใช้เวลาสร้างถึง 90 ปี เป็น 1 ในมรดกโลกของแผ่นดินมังกรครับ

เมื่อองค์หลวงพ่อโตเล่อซานสร้างเสร็จสิ้น ในบริเวณนั้นซึ่งเคยมีอุบัติเหตุเรือร่มอยู่เป็นประจำ ก็ไม่เกิดเหตุร้ายแรงต่อผู้ที่ใช้เส้นทางสัญจรนี้อีกเลย

สำหรับนักท่องเที่ยวคนใดที่อยากลงไปสัมผัสความยิ่งใหญ่อลังการของหลวงพ่อโตเล่อซานก็สามารถเดินลงไปชมด้านล่างได้นะครับ ตามเส้นทางซิกแซ๊กริมหน้าผาได้เลย แต่ผมขอชื่นชมอยู่ตรงด้านบนนี่ก่อนดีกว่า เพราะช่วงบ่ายผมมีโปรแกรมล่องเรือในแม่น้ำหมิ่งเจียงครับ

หลังจากใช้เวลาชื่นชมความยิ่งใหญ่ของหลวงพ่อโตเล่อซานอยู่นาน ผมคงต้องกลับออกไปด้านนอกเพื่อหาอาหารเที่ยงทานกันแล้วครับ

เห็นป้ายเขียนประตูทางออกทางด้านทิศใต้ ก็ไม่สนใจแหล่ะ เดินตามทางไปอย่างเดียว แต่ทำมั๊ย ยิ่งเดิน ยิ่งไกล แถมไม่ค่อยเห็นคนเดินออกกันมาบ้างเลย


ระหว่างเส้นทางที่ไปสู่ประตูทางออก มองเห็นสะพานโค้งที่อยู่ท่ามกลางสายน้ำและดงดอกมัสตาร์ดครับ ดอกมัสตาร์ดเป็นพืชตระกูลเดียวกับกะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ดอกมัสตาร์ดสามารถเอาไปสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหยได้ครับ

อีกจุดหนึ่งที่อยู่ระหว่างเส้นที่ไปสู่ประตูทางออกคือสุสานหมาฮ้าว มีลักษณะเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงของเก่า มีโลงศพหินขนาดใหญ่ 2 โลง และมีโถงถ้ำที่มีการแกะสลักผนังถ้ำเป็นลวดลายต่างๆ และภายในถ้ำยังเก็บโบราณวัตถุล้ำค่าไว้อีกด้วย

ท้ายสุดผมเดินสู่ประตูทางออก แต่เอ๊ะทำไม มันถึงได้ดูเงียบกริบซะเหลือเกิน สอบถามคนแถวนั้น ปรากฏว่า เรามาออกประตูผิดทางครับ จุดที่เราออกอยู่ห่างจากจุดที่เราเข้าไกลมาก ราว 1 กิโลเมตรเห็นจะได้ อารมณ์นี้เราหมดแรงที่จะเดินกลับไปยังประตูทางเข้าแล้วครับ เลยต้องอาศัยสามล้อพลังไฟฟ้าแถวนั้นพาเรากลับไปยังจุดที่รถจอดส่งเรา สนนค่าบริการคนละ 10 หยวนครับ

รถสามล้อไฟฟ้าพาเรามาส่งยังจุดที่เราจอดรถไว้ในตอนเช้า นึกในใจว่าดีแล้วที่เราไม่ฝืนเดินจากประตูทางออกมา เพราะมันไกลมากๆ เลยทีเดียว

เมื่อลงจากรถได้ ทุกคนก็มุ่งหน้าสู่ร้านอาหารโดยทันที นี่ถือเป็นมื้อแรกที่เราได้ทานอาหารร่วมกันแบบเป็นทางการครับ

กว่าจะสั่งอาหารได้แต่ละเมนูค่อนข้างยากเลยทีเดียว เพราะสื่อสารกันยากพอสมควร โชคยังดีที่มีสมาชิกในทริปถึง 3 คนสามารถพูดและฟังภาษาจีนได้บ้าง บางทีแม่ครัวพูดออกมาหนึ่งคำ ก็ต้องหันมาถามกันว่าเขาหมายถึงอะไร บางทีก็ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยอย่างสมาร์ทโฟนหาความหมายของคำนั้นๆ แต่ถ้ายังงงอยู่ ก็เข้าไปในครัว ไปชี้ๆๆ ว่าจะเอาอันนั้น อันนี้ผมละเหนื่อยแทนเพื่อนที่สนทนากับแม่ครัวเลยครับ

สำหรับเมนูนี้เป็นหมูทอดแบบกรอบนอกนุ่มในแล้วราดด้วยน้ำราดคล้ายผัดเปรี้ยวหวาน รสชาติจัดจ้านเลยทีเดียว อร่อยที่สุดของมื้อนี้เลยครับ

ตามมาด้วยไข่ทอดมะเขือเทศครับ

ผัดกะหล่ำปลี ที่ต้องทานทุกมื้อ เพราะว่าราคาถูกที่สุดแล้ว

เต้าหู้ไข่ผัดหมู

ผัดผักอะไรไม่รู้ครับ

ร้านอาหารที่เมืองจีนแบบที่สั่งกับข้าวเป็นชุดๆจะขายข้าวแบบ Buffet นะครับ เฉลี่ยตกคนละ 2 หยวน จะทานมากทานน้อยก็จ่ายเท่ากัน รวมถึงน้ำชาด้วยจะคิดเป็นรายหัว และอีกหนึ่งสิ่งที่เราต้องจ่าย เหมือนโดนบังคับยังไงไม่รู้ คือ ค่าพลาสติกที่หุ้มถ้วยชามครับ เฉลี่ยแล้วค่าพลาสติกที่ห่อถ้วยชามนี้ไม่เกิน 1 หยวนครับ

หลังจากเติมพลังกันเรียบร้อยแล้ว โปรแกรมต่อไปของผมคือการไปนั่งเรือในแม่น้ำหมิ่งเจียง เพื่อไปชมความอลังการของหลวงพ่อโตเล่อซานทางน้ำครับ

เรานั่งรถจากร้านอาหารมาไม่ถึง 3 นาที ก็มาถึงยังท่าเรือครับ ผ่านอุโมงค์ต้นไม้อีกครั้ง ขอเก็บบรรยากาศอีกสักหน่อย

จัดแจงซื้อตั๋วให้เรียบร้อย สำหรับตั๋วเรือ ราคา 70 หยวน เรือที่จะโดยสารเป็นเรือใหญ่ 2 ชั้นครับ

บรรยากาศที่มองออกไปจากท่าเรือ มองเห็นเมืองเล่อซานครับ

ภูเขาที่อยู่เบื้องหน้านี่แหล่ะครับ คือที่ตั้งของหลวงพ่อโตเล่อซาน

ใช้เวลานั่งเรือจากท่าเรือมาไม่นาน ก็มาถึงเขาที่หลวงพ่อไท่หงและชาวบ้านช่วยกันสลักหลวงพ่อโตเล่อซานไว้ในซอกเขา สองข้างซ้ายขวาของหลวงพ่อโตเล่อซานสลักเป็นเทพ 2 องค์ขนาบซ้ายขวาครับ

เส้นทางที่เดินลงจากบนเขา สลักเป็นบันไดซิกแซกลงมายังเบื้องล่าง ระหว่างเส้นทางก็ยังมีการสลักเป็นพระองค์เล็กๆ อีกด้วย

นี่ถ้าผมเดินลงมาตามทางเดินจนอยู่ระดับเดียวกับพระบาท ไม่รู้ว่าถ้าผมแหงนคอตั้งบ่าแล้วจะได้เห็นเศียรของหลวงพ่อโตเล่อซานหรือเปล่านะครับ แต่ดีที่ผมนั่งเรือและอยู่ไกลจากองค์พระใหญ่ เลยสามารถมองเห็นเศียรของพระใหญ่ได้อย่างสบายครับ

สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินลงมาจากบนเขา เมื่อเดินลงมาถึงพระบาทแล้ว หากจะเดินกลับ จะไม่สามารถเดินย้อนกลับขึ้นไปทางเดิมได้ (เพราะเส้นทางที่เดินลงมานั้นแคบมาก ถ้าหากเดินสวนกันก็จะลำบาก) การเดินกลับก็จะมีเส้นทางเดินที่ถูกกำหนดไว้แล้ว โดยเขาจะเจาะเส้นทางเข้าไปในหน้าผาและทำเป็นทางเดินออกสู่ระเบียงที่ขนานไปกับแม่น้ำแล้วก็จะสลักเจาะให้เป็นบันไดเดินขึ้นสู่ด้านบนคล้ายๆ กับเส้นทางที่เดินลงมายังเบื้องล่างครับ

ผมขอนินทาเรือที่ผมยอมจ่ายเงินเป็นค่าโดยสารเพื่อต้องการจะมาชมหลวงพ่อโตเล่อซานทางน้ำกันสักหน่อยครับ เรือนี้เหมือนเป็นเรือเช่าเหมาลำสำหรับให้นักท่องเที่ยวที่ต้องการมาถ่ายรูปคู่กับหลวงพ่อโตเล่อซานซะมากกว่า เพราะบริเวณหัวเรือจะแบ่งเป็นพื้นที่เฉพาะสำหรับผู้ที่ต้องการถ่ายภาพคู่กับหลวงพ่อโตเล่อซานในลักษณะท่าทางต่างๆ เช่น ท่าจับเศียรพระ จับพระกรรณ จับพระเนตร โดยอาศัยมุมกล้องของตากล้อง คนจีนอาจจะไม่ถือในเรื่องของการสัมผัสเศียรขององค์พระ แต่คนไทยถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากใครต้องการจะเข้าไปในพื้นที่เฉพาะ จะต้องจ่ายเงินเพิ่มเติมนอกเหนือจากค่าเรือ (ผมจำราคาไม่ได้) เพื่อเข้าไปยังตำแหน่งที่ดีที่สุด คือตำแหน่งที่อยู่ประจันหน้ากับองค์พระใหญ่ครับ ขามาเรือจะแล่นเข้ามาใกล้องค์พระค่อนข้างมากและจะแล่นเลยไปโดยที่ไม่จอด ผมเองถ่ายภาพมุมตรงไม่ได้เลย เนื่องจากเรือผ่านหน้าองค์พระค่อนข้างเร็วและตำแหน่งก็อยู่ใกล้กับองค์พระมากเกินไป กล้องผมเก็บรายละเอียดได้ไม่ครบ แต่ไม่เป็นไร ผมนึกในใจว่ายังมีขากลับอีกรอบนึง เมื่อเรือหันหัวกลับ ผมเองก็ประคองกล้องเตรียมจะถ่ายองค์พระมุมตรงอย่างใจจดใจจ่อแต่แล้วเรือดันมาจอดนิ่งอยู่กับที่ ในตำแหน่งที่องค์พระจะอยู่ตรงกับตำแหน่งหัวเรือ ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับพื้นที่เฉพาะที่ใครจะเข้าพื้นที่นี้จะต้องจ่ายเงินเพิ่ม ให้มันได้อย่างงี้ซิ ไอ้คนที่จ่ายเงินค่าเรือแต่ไม่จ่ายเงินค่าเข้าพื้นที่พิเศษ คงต้องถ่ายองค์พระในมุมเฉียงๆ เอา แต่ไม่เป็นไร ผมยังมีความหวังอีกนิดหน่อย ช่วงที่เรือขยับตัว เดี๋ยวเขาคงจะจอดให้พวกที่อยู่นอกพื้นที่พิเศษได้ถ่ายบ้าง แต่ผิดคาดครับ เรือเคลื่อนตัวออกไปเลย พวกที่อยู่นอกพื้นที่พิเศษ จึงมีเวลาเพียงเสี้ยววินาที ที่จะมีโอกาสได้ถ่ายมุมตรงของหลวงพ่อโตเล่อซานครับ ถือว่าเป็นวินาทีทองเลยก็ว่าได้ หลังจากที่เรือผ่านหน้าองค์พระไปแล้ว เรือจะมาจอดที่ฝั่งตรงข้ามกับท่าเรือ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มองย้อนกลับไปที่ภูเขาที่สลักหลวงพ่อโตเล่อซาน เห็นมุมกว้างของภูเขาลูกนั้น ก่อนที่จะพากลับที่ท่าเรือ เราใช้เวลาในการล่องเรือประมาณ 45 นาทีครับ

ขึ้นมาจากเรือก็มาช๊อปปิ้งของที่ระลึกจำพวกตุ๊กตาหมีแพนด้า เสื้อกันหนาวที่ตัดออกมาเป็นชุดหมีแพนด้า ซองใส่ปากกาหมีแพนด้า ทุกอย่างล้วนแต่เป็นหมีแพนด้าแทบทั้งสิ้น เราใช้เวลาในการช๊อปปิ้งอยู่นานพอๆ กับที่เราใช้เวลาในการล่องเรือเลยครับ

หลังจากที่ทุกคนได้หมีแพนด้าไปกันคนละ 5 ตัว 10 ตัวแล้ว ก็ออกเดินทางกันต่อสู่เมืองเป้ากว๋อ ซึ่งเป็นเหมือนเมืองที่เป็นประตูเพื่อขึ้นสู่เขาเอ๋อเหมยซาน ใช้เวลาเดินทางราว 1 ชั่วโมงครึ่งครับ

เมื่อมาถึงเมืองเป้ากว๋อก็ค่อนข้างเย็นแล้ว เราเลยเข้าที่พักกันก่อนเป็นอันดับแรก คืนนี้เราเข้าพักที่ Mount Emei Shanshen Hotel ครับ

โรงแรมจะอยู่ด้านในซอย ปากซอยก็จะมีร้านค้าอยู่มากมายครับ

ห้องพักที่นี่ดูดี ใหม่ และดูสะอาดกว่าที่ LAZYBONES HOSTEL หลายเท่าเลยครับ แถมราคาห้องพักยังถูกกว่าอีกด้วย ตกคืนละ 800 บาทเอง ห้องนี้พักได้ 2 คน ห้องน้ำเป็นแบบซีทรูด้วยครับ

ห้องผมเป็นแบบ 3 เตียงครับ ห้องกว้างขวางเลยทีเดียว ห้องน้ำก็ใหญ่โตพอสมควร อุปกรณ์อำนวยความสะดวกก็ดูดีกว่าที่ LAZYBONES HOSTEL เยอะเลย มีกาน้ำร้อน ทีวีจอแบน มี wifi ให้ด้วย เข้าเวปได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ก็ยังพอเช็คเมลแก้ขัดได้ครับ

หลังจากเก็บสัมภาระเข้าห้องพักเรียบร้อยแล้ว ก็ออกไปเดินสำรวจพื้นที่รวมถึงหาอาหารเย็นทานด้วยครับ ช่วงที่ผมไปมีการประดับโคมไฟเป็นรูปสิงห์สาราสัตว์ต่างๆ เยอะแยะมากมายเลยครับ

ร้านอาหารที่อยู่ละแวกหน้าที่พัก มีหลายร้านมากๆ ราคาก็ไม่แพงด้วยครับ

ข้าวจะมาเป็นโถ จะทานเท่าไรก็ได้ คิดราคาข้าวแบบ buffet โดยนับจำนวนหัวครับ

ผัดมะเขือเทศใส่ไข่อีกแล้วครับ

ผัดกะหล่ำปลี ต้องมีทุกมื้อครับ ถูกและอร่อย

คล้ายๆ ผัดวุ้นเส้น แต่เส้นใหญ่กว่า เหนียวกว่าครับ

อาหารจะเน้นไปทางผักเยอะ แถมน้ำมันเยอะด้วย เวลาสั่งต้องคอยบอกว่าให้ลดน้ำมันลงบ้างครับ

หลังอาหารเย็นก็เดินเล่นใกล้ๆ ที่พักนี่แหล่ะครับ เดินหาซื้อของฝาก ของใช้เล็กๆ น้อยๆ ครับ

ร้านค้าที่นี่จะมีทั้งร้านอาหาร ซุปเปอร์มาเก็ตเล็กๆ ร้านขายของฝากมากมาย สำหรับผู้ที่จะขึ้นไปบนยอดเขาเอ๋อเหมยซาน แนะนำว่าให้เช็คสภาพอากาศดูนิดนึงนะครับ ถ้าหากด้านบนยอดเขามีหิมะ แนะนำให้ซื้อเหล็กรัดเท้า สำหรับเดินบนหิมะไปด้วยจะดีมากๆ ราคาอยู่ที่การต่อรองครับ อย่างร้านที่ผมไปซื้อ เปิดราคามาที่ 10 หยวน แต่ผมซื้อหลายอันต่อรองได้เหลือ 8 หยวน เพื่อนในกลุ่มผมบางคนก็ไม่ซื้อ เพราะคิดว่าคงไม่มีหิมะ แต่ผมเห็นว่าราคาไม่แพงมากเลยตัดสินใจซื้อไว้ ถ้าซื้อแล้วไม่ได้ใช้ก็สามารถเก็บไว้ใช้ตอนไปออกทริปลุยหิมะที่อื่นก็ได้

เดินเล่นไปเรื่อยๆ จนไปหยุดที่ วัดเป้ากว๋อ แต่เข้าไปด้านในไม่ได้เพราะทางวัดปิดแล้ว เลยได้เดินชมแต่ภายนอกเท่านั้น ด้านนอกมีหอระฆังขนาดใหญ่ รวมถึงการสลักเขาเป็นเรื่องราวต่างๆ ผมอ่านภาษาจีนไม่ออกเลยไม่รู้ว่ารูปแต่ละรูป ผู้สร้างต้องการสื่อความหมายอะไร มีคนจีนเห็นผมถ่ายรูปก็พยายามเข้ามาอธิบายบอกเล่าเรื่องราว แต่ผมก็ฟังไม่ออก คงทำได้แค่เพียงพยักหน้า ทำเหมือนเราเข้าใจ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียน้ำใจจากเขาครับ

จากวัดเป้ากว๋อ ก็เดินถ่ายรูปเก็บบรรยากาศไปเรื่อยๆ จนมาจบที่ประตูเมืองเป้ากว๋อครับ

ระหว่างเดินกลับที่พัก ก็แวะซื้อเสบียงสำหรับไว้เป็นอาหารเช้าของพรุ่งนี้ครับ ที่น่าเจ็บใจคือ ผมไปเห็นเหล็กรัดเท้าเข้า ก็เลยสอบถามราคา พ่อค้าเปิดราคามาที่ 5 หยวนครับ 5 หยวนแบบไม่ต้องต่อรองเลย นึกแล้วเจ็บใจมากๆ ที่ซื้อของแพงมา นอกจากนี้แล้ว ยังมีท่อนไม้ไผ่ สำหรับเอาไว้พยุงตัวเวลาเดินขึ้นบนยอดเขา ร้านค้าแถวนี้จะขาย 1-2 หยวนครับ และหากใครที่ตั้งใจจะขึ้นไปไหว้พระโพธิสัตว์ด้านบน ลองสอบถามราคาธูปจากด้านล่างดูนะครับว่าราคาเท่าไร ถ้าถูกกว่า 40 หยวน แนะนำให้ซื้อไปเลย เพราะธูปด้านบนขาย 40 หยวนครับ

เมื่อกลับมาถึงที่พัก ก็เลยถามกับเจ้าหน้าที่ของโรงแรมว่า ช่วงนี้บนยอดเอ๋อเหมยซานมีหิมะด้วยเหรอ เจ้าหน้าที่บอกว่า ช่วงนี้ไม่มีทั้งหิมะและฝน "อย่างแน่นอน" ได้ยินเท่านั้นแหล่ะ ผมคงได้แต่ทำใจว่าโดนคนขายหลอกขายเหล็กมัดเท้าซะแล้ว

เช้าวันใหม่ผมออกจากโรงแรมตั้งแต่ 06.30 น. เพื่อเดินไปขึ้นรถที่สถานีขนส่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักมากนัก รถเที่ยวแรกที่จะพาขึ้นไปยังยอดเอ๋อเหมยซานจะออกเวลา 07.00 น. ครับ เมื่อมาถึงสถานีก็รีบจัดแจงซื้อตั๋วให้เป็นที่เรียบร้อย ตั๋วรถไป-กลับราคา 90 หยวนครับ ก่อนขึ้นรถจะมีเจ้าหน้าที่มาฉีกตั๋วสำหรับขาไป จากนั้นให้เก็บตั๋วไว้ให้ดีๆ นะครับ เพราะขากลับจะต้องเอาตั๋วขากลับมาแสดงด้วย (สมาชิกในกลุ่มทำตั๋วขากลับหาย ต้องซื้อตั๋วขากลับเพิ่ม เฉพาะขากลับขาเดียว 50 หยวน ครับ)

อาจจะเนื่องมาจากคนเต็มรถแล้ว รถเลยออกก่อนเวลา 10 นาทีครับ

เรานั่งอยู่บนรถกันนานพอสมควร รถเริ่มไต่ระดับความสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของหิมะเลย สักพักรถจะจอดแวะให้ผู้โดยสารได้พักเพื่อเข้าห้องน้ำ จากนั้นนั่งรถต่อไปอีกนิดหน่อยก็จอดอีกรอบ ให้เราลงไปซื้อบัตรเข้ายอดเขาเอ๋อเหมยซาน บัตรเข้าชมราคา 90 หยวน จุดนี้ทุกคนต้องลงไปเองนะครับ เพราะซื้อบัตรเข้าชมแล้ว เราต้องถือบัตรนั้นผ่านเครื่องอ่าน QR Code ช่วงที่เราเอาบัตรไปแปะกับเครื่องอ่าน QR Code เครื่องจะถ่ายรูปเราไว้ด้วยครับ

หลังจากนั่งรถต่อได้อีกสักครู่ใหญ่ ผมเริ่มเห็นมีเศษหิมะมาปกคลุมตามยอดไม้บ้างนิดหน่อย แต่พอรถยิ่งไต่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ตอนนี้ทิวเขาทั้งลูกก็ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนไปหมด ผมแอบดีใจเล็กๆ ที่ผมไม่เสียค่าโง่แล้ว เพราะอย่างน้อยคงจะได้มีโอกาสใช้เหล็กมัดเท้าแล้วครับ

รถมาจอดส่งผู้โดยสารที่เชิงเขาเอ๋อเหมยซาน จากจุดนี้นักท่องเที่ยวต้องเดินเท้าต่อไปตามขั้นบันไดเพื่อขึ้นไปยังสถานีเคเบิ้ลคาร์ ผมว่าผมมาเช้าแล้ว แต่พอมาถึงเชิงเขาต้องถึงกับตกใจ เพราะเจอกลุ่มนักท่องเที่ยวมากมาย เรียกได้ว่าต้องค่อยๆ ไหลไปตามฝูงชนครับ

เมื่อเริ่มเดินย่ำหิมะที่ปกคลุมอยู่ทุกๆ ขั้นของบันได รู้เลยว่ามันลื่นมากๆ ผมเลยถอยทัพ และงัดเหล็กมัดเท้าที่ผมซื้อไว้ออกมาใช้งานครับ

สำหรับเพื่อนในทริปของผมบางคนที่ไม่ได้ซื้อเหล็กมัดเท้ามา ก็คงต้องยอมเสียเงินซื้อ แต่ขอบอก ผมอยากขายเหล็กของผมให้เพื่อนมากๆ เพราะเหล็กมัดเท้าตรงเชิงเขาราคาสูงถึง 20 หยวนกันเลยทีเดียว กำไรเห็นๆ เท่าที่ผมเห็นร้านค้าที่นำอุปกรณ์เพื่อช่วยในการเดินบนหิมะมาวางขาย จะมีเหล็กมัดเท้า รองเท้าสานที่ทำจากฟาง และถุงเท้าครับ และเป็นธรรมดาที่ร้านค้าที่อยู่เชิงเขาจะขายแพงกว่าร้านที่ตั้งอยู่สูงๆ ขึ้นไป แต่ผมว่าก็ต้องยอมจ่ายแพงนะครับ เพราะเดินเท้าเปล่าแบบไม่มีอุปกรณ์ช่วย มันเดินลำบากมากๆ ถ้าหากจะไปซื้อร้านที่อยู่สูงๆ เพื่อให้ได้ราคาถูก มีหวังล้มก้นจ้ำเบ้าตั้งแต่ก้าวแรกแล้วครับ

ถ้าใครไม่อยากเดิน ก็สามารถนั่งเสลี่ยงได้ครับ

เมื่อพร้อม ก็ออกเดินกันครับ

มีร้านค้าขายของ ไม่ว่าจะเป็นของที่ระลึก หรือร้านอาหารว่างตั้งเรียงรายอยู่ตลอดเส้นทางครับ

กิ่งไม้ที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะถ้าเป็นสีดำผมจินตนาการเป็นกูลิโกะเลยนะครับ

เดินมาสักพักก็จะเป็นจุดชมวิว มองเห็นทะเลหมอกด้วยครับ

มีคนใช้บริการเสลี่ยงด้วย

เดินมาเรื่อยๆ ก็มาถึงบริเวณจุดจำหน่ายตั๋วเคเบิ้ลคาร์ ค่าเคเบิ้ลคาร์ขาขึ้นคนละ 65 หยวนครับ จากเชิงเขาที่เริ่มเดินจนถึงที่จำหน่ายตั๋ว ใช้เวลาประมาณ 40 นาทีในการเดินขึ้นรวมถึงแวะถ่ายภาพด้วย บริเวณจุดจำหน่ายตั๋ว มองออกไปเบื้องหน้าวิวสวยดีทีเดียวครับ

จากจุดจำหน่ายตั๋วเดินเท้าต่อนิดหน่อยก็จะพบสถานีเคเบิ้ลคาร์ ติดกับสถานีเคเบิ้ลคาร์จะเป็นพระวิหารเจียอิ่นเตี้ยนครับ

ก่อนที่จะเข้าไปในสถานีเคเบิ้ลคาร์ เราต้องปลดเหล็กมัดเท้าออกก่อนครับ

ขอบอกว่าคนเยอะมากกก กระเช้านึงสามารถบรรจุผู้โดยสารได้หลายสิบคน กะจากสายตาน่าจะประมาณ 50 คนได้ครับ

เมื่อประตูเคเบิ้ลคาร์เปิดออก ผมนี่รีบวิ่งขึ้นไปจองพื้นที่อยู่ตรงริมกระจกเลย เพราะจะได้เห็นวิวระหว่างที่เคเบิ้ลคาร์ค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นไปด้านบน เคเบิ้ลคาร์แหวกว่ายอยู่ท่ามกลางผืนป่าที่ปกคลุมไปด้วยหิมะเพียงไม่นานนักก็พานักท่องเที่ยวมาส่งที่สถานีปลายทาง หิมะที่เห็นอยู่เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ณ เวลานี้หิมะได้หายไปหมดแล้ว ท้องฟ้าจากที่ขมุกขมัว กลับกลายเป็นสีฟ้าขึ้นบ้างเล็กน้อย เริ่มเห็นแสงแดดบ้างแล้ว ผมเริ่มมีพลังอีกครั้ง เพราะก่อนหน้าที่จะเดินทาง ผมหาข้อมูลจากรีวิว รวมถึงสอบถามจากผู้ที่เคยมาที่นี่บอกว่า ท้องฟ้าบนยอดเขาเอ๋อเหมยซานจะปิดแทบทั้งปี จะมีเปิดบ้างประมาณ 1 เดือนเท่านั้น และอากาศบนยอดเขานี้จะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บางทีฟ้าเปิดอยู่ดีๆ สักพักก็จะถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกตลอดทั้งวัน

หลังจากเดินลงมาจากสถานีเคเบิ้ลคาร์ จะพบกับร้านอาหารที่รอบริการนักท่องเที่ยว ผมเองก็อุดหนุนข้าวโพดต้มร้อนๆ ทานคลายหนาวครับ

เห็นป้ายบอกทางก็พอรู้ครับว่า สถานที่แห่งนี้เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวชาวไทยเหมือนกัน

ยิ่งเดิน ฟ้ายิ่งเปิดครับ วันนี้ฟ้าเป็นฟ้าจริงๆ เบื้องหน้าผมตอนนี้เห็นเป็นทะเลหมอกสุดลูกหูลูกตาเลยครับ

แล้วผมก็มาถึงยอดของเขาเอ๋อเหมยซาน 1 ใน 4 ขุนเขาใหญ่ที่เป็นรากฐานของพุทธศาสนาในจีน ขุนเขาใหญ่ 4 แห่งประกอบด้วย เอ๋อเหมยซานในมณฑลเสฉวน, พู่ถัวซันในมณฑลเจ้อเจียง, จิ่วหัวซันในมณฑลอันฮุย และอู่ไถซันในมณฑลซันซี ภูเขาเอ๋อเหมยซานมีชื่อเสียงโด่งดังตั้งแต่สมัยชุนชิวจั้นกั๋วเมื่อหลายพันปีก่อน และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติเมื่อปี 1996 ครับ

นักท่องเที่ยวที่เดินทางขึ้นมาบนเขาเอ๋อเหมยซาน ไม่ควรพลาดที่จะขึ้นไปบนยอด "จินติ่ง" ถ้าพร้อมแล้ว ตามผมมาเลยครับ

จุดนี้เป็นที่ประดิษฐานของพระโพธิสัตว์องค์ใหญ่ สูง 21 เมตร สร้างด้วยทองสำริดทั้งองค์ เป็นองค์ทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก มี 10 พระพักตร์ ประดิษฐานอยู่บนหลังช้างตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนยอดเขาครับ

พระอาทิตย์อยู่ตำแหน่งเดียวกับพระพักตร์บนสุดพอดีเลยครับ ดูแล้วเหมือนพระพักตร์กำลังเปล่งรัศมีอยู่เลย

วัดหวาจั้ง ตั้งเคียงคู่อยู่กับพระโพธิสัตว์องค์ใหญ่ครับ

ที่เห็นอยู่นี่คือยอดหว่านฝอ ซึ่งเป็นยอดที่สูงที่สุดของเขาเอ๋อเหมยซาน ด้วยความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 3,099 เมตร ซึ่งตอนนี้อยู่ท่ามกลางทะเลหมอกที่ถาโถมเข้าใส่ยอดหว่านฝอ ดูไม่ต่างอะไรกับคลื่นซัดฝั่งเลยครับ จากจุดชมวิวบนยอดจินติ่งมองออกไปถึงยอดหว่านฝอ ดูเหมือนจะไม่ไกลเท่าไร ผมเลยลองเดินไปตามเส้นทางที่เขาทำไว้ แต่เดินได้สักพักก็ถึงเส้นทางตัน เลยได้แต่ยืนถ่ายรูปอยู่ที่ปลายสุดของเส้นทางเดินครับ

แล้วก็มาถึงยอดจินติ่งครับ "จินติ่ง" แปลว่า "ยอดทอง" เป็นที่ตั้งของวิหารทอง ซึ่งตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเลถึง 3,079 เมตร ภายในวิหารทองเป็นที่ประดิษฐานองค์พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ ประตูของพระวิหารแห่งนี้จะหันไปทางตะวันตก ซึ่งเป็นทิศของธิเบต ถิ่นกำเนิดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จุดนี้สามารถชมวิวได้แบบ 360 องศาเลยครับ

จากลานที่ตั้งวิหารทอง มองเห็นลานประลองยุทธ์ด้วยครับ

ที่เห็นนี่คือวิหารเงินครับ ภายในมีเครื่องรางมงคลที่ผ่านพิธีปลุกเสกแล้วให้ผู้ที่ศรัทธาได้เช่าไปบูชา จากที่ผมเคยดูรีวิว เดิมวิหารเงินจะมีสีเงินทั้งหลัง ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างอาคารซึ่งประกอบไปด้วยประตูหน้าต่าง ฝาผนัง รวมถึงหลังคาจะเป็นสีเงินทั้งหมด ปัจจุบัน ฝาผนัง ประตู หน้าต่าง ได้เปลี่ยนจากสีเงินเป็นสีน้ำตาลไปเสียแล้วครับ

ที่เห็นนี่คือสถานีเคเบิ้ลคาร์ขาลงครับ คนละจุดกับขาขึ้น

สังเกตดีๆ จะเห็นน้ำตกที่กลายเป็นน้ำแข็งด้วยครับ อยู่ด้านซ้ายมือของภาพ

ไม่อยากจะเรียกที่เห็นว่าทะเลหมอกเลยครับ เพราะเวลาขนาดนี้ แดดขนาดนี้ ไม่น่าเหลือหมอกแล้ว น่าจะเป็นเมฆมากกว่าครับ

เนื่องจากจินติ่งอยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเลถึง 3,079 เมตร จึงทำให้ปริมาณออกซิเจนค่อนข้างน้อย เวลาเดินขึ้นบันไดลงบันไดไปในแต่ละจุดบนยอดจินติ่ง จึงรู้สึกเหนื่อยง่ายครับ

ถึงแม้ยอดจินติ่งจะมีแดดแรงสักเพียงใดแต่เนื่องจากอากาศที่ไม่ร้อนจัดบวกกับฟ้าใสๆ ทำให้ผมรู้สึกเพลิดเพลินกับการถ่ายภาพจนลืมร้อนไปเลยครับ ผมใช้เวลาอยู่บนยอดจินติ่งนานพอสมควรแล้ว คงต้องเดินทางกลับกันแล้ว เพราะหนทางยังอีกยาวไกลกว่าจะกลับถึงเฉิงตูครับ

ผมเดินไปที่สถานีเคเบิ้ลคาร์ขาลง จัดแจงซื้อตั๋วให้เป็นที่เรียบร้อย ได้ตั๋วมาในราคา 55 หยวนครับ ขาลงนี่คนไม่มากเท่าขาขึ้นแล้ว เมื่อเคเบิ้ลคาร์เริ่มเคลื่อนที่ลงข้างล่าง บรรยากาศก็เปลี่ยนไปอีกแล้ว กลับมามีหิมะอีกครั้ง จากที่ร้อนๆ อยู่สักพัก กลับมาหนาวสั่นกันอีกแล้ว เมื่อออกจากสถานีเคเบิ้ลคาร์ มีฝนพรำๆ เล็กน้อย ผมกลับมาใช้เหล็กมัดเท้าอีกครั้ง เพื่อเตรียมเดินลงสู่ลานจอดรถเบื้องล่าง ขาลงนี่ทำเวลาได้ดีกว่าขาขึ้นครับ เพราะนักท่องเที่ยวไม่มากเหมือนเมื่อเช้า แถมวิวระหว่างทางก็ซ้ำกับขาขึ้น เลยไม่เสียเวลาแวะถ่ายภาพครับ

ระหว่างที่ขึ้นรถบัส รู้สึกเหมือนจะไม่สบายเลยครับ อาจเป็นเพราะร่างกายปรับตัวไม่ทัน เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวหิมะ เดี๋ยวฝน ผมงี้นั่งตัวสั่นตลอดเส้นทางเลยครับ

ผมกลับมาถึงเป้ากว๋อเกือบห้าโมงเย็น ตอนนี้ฝนหนาเม็ดกว่าตอนที่อยู่บนเขาเอ๋อเหมยซาน ผมรีบเดินกลับโรงแรมก่อนเป็นอันดับแรก คนขับรถที่คณะผมเหมามา รออยู่แล้ว แต่ผมขอเวลาเพื่อไปหาข้าวทานกันก่อน เพราะตั้งแต่เช้าจนถึงห้าโมงเย็น มีเพียงขนมปังและข้าวโพดต้มฝักเดียวที่ตกถึงท้องผม มื้อเย็นนี้ไม่มีแรงที่จะถ่ายภาพอาหารแล้วครับ หมดสภาพจริงๆ ทานอาหารเย็นเสร็จ คงต้องทานยาดักไว้เลย จากนั้นก็เดินทางกลับสู่เมืองเฉิงตูครับ

มาถึงที่พักที่ LAZYBONES HOSTEL ก็ค่ำแล้ว มาถึงก็ไม่มีอันทำอะไรแล้ว คงต้องแยกย้ายไปพักผ่อนครับ

เช้าวันใหม่ก่อนที่จะเริ่มโปรแกรมแรกของวัน ผมไปหาอาหารเช้าทานใกล้ๆ กับที่พักครับ

เช้านี้ได้เมนูแบบบะหมี่ และเกี๊ยว สนนราคาก็ไม่แพงมากนัก เมนูละประมาณ 8-10 หยวน ผมสั่งไปแต่เกี๊ยวน้ำ รสชาติน้ำซุบจืดสนิด เกี๊ยวเค็มปิ๊ดเลยครับ ระหว่างที่เคี้ยวเกี๊ยวต้องรีบซดน้ำซุบไปพร้อมๆ กัน รสชาติถือว่าเอื้อกันดีระหว่างเกี๊ยวกับน้ำซุบครับ

สำหรับโปรแกรมเช้านี้ ผมเดินทางสู่เมืองหยาอัน ( Ya'an ) เพื่อไปชมหมีแพนด้า ที่ศูนย์อนุรักษ์หมีแพนด้าครับ

ผมมาถึงที่นี่ค่อนข้างเช้ามากๆ เรียกได้ว่าน่าจะเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มแรกๆ ที่เข้ามาเยี่ยมชม สำหรับค่าเข้าชม 58 หยวนครับ

พอผ่านเข้าประตูไป ก็มีเหล่าตุ๊กตาหมีแพนด้ารอต้อนรับอยู่เต็มไปหมดเลยครับ

พื้นที่ภายในศูนย์อนุรักษ์หมีแพนด้าค่อนข้างกว้างเลยทีเดียว การจะเที่ยวชมควรวางแผนให้ดีๆ จะได้ไม่เสียเวลาครับ ด้านหน้าศูนย์ฯ จะมีแผนที่ภายในศูนย์สามารถขอติดตัวไปได้ครับ

บริเวณนี้เป็นศูนย์วิจัยครับ

บรรยากาศภายในร่มรื่นมากครับ มีต้นไม้ใหญ่ รวมถึงป่าไผ่เต็มไปหมดเลย

จุดแรกที่ผมแวะไปชมคือ แพนด้าแดงครับ ตัวเล็ก น่ารัก เห็นคนก็ไม่ตื่นด้วย แถมยังเดินมาให้ชมกันใกล้ๆ ด้วย

บริเวณนี้จะเป็น Giant Panda Cub Enclosure มีลูกหมีแพนด้าอยู่เต็มไปหมดเลย กรงนี้มีอยู่ประมาณ 8 ตัวครับ

ถัดมาเป็น Sub-Adult Panda Enclosure กรงนี้จะออกแบบให้มีต้นไม้ใหญ่ด้วย ก็เลยจะเห็นหมีแพนด้าปีนขึ้นไปนอนอยู่บนต้นไม้อยู่หลายตัวเหมือนกันครับ

ผมพยายามเดินตามหากรงลูกแพนด้าตัวเล็กๆ แต่ก็หาไม่พบ สอบถามแล้วได้ความว่า ลูกหมีแพนด้าเล็กๆ ทางศูนย์จะเอามาโชว์ช่วงช่วงเดือนสิงหาคมของทุกปีครับ

นอกจากมีหมีแพนด้าแล้ว ยังมีนกยูง และมีหงส์อีกด้วยครับ

ผมแอบขำตอนที่อยู่ๆ นกยูงก็ลำแพนหาง นักท่องเที่ยวทั้งฝรั่ง ทั้งคนจีน ต่างหันมาให้ความสนใจกับนกยูงกันใหญ่เลย ปล่อยให้แพนด้านั่งเคี้ยวใบไผ่อยู่โดยลำพัง ก็นกยูงเล่นมาขโมยซีนข้างๆ หมีแพนด้านี่เนอะ ทำไงได้

ภายในศูนย์อนุรักษ์หมีแพนด้ายังมีการตกแต่งสวนด้วยดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์ครับ แต่ละพันธุ์ก็แข่งกันออกดอกอย่างสวยงาม

เห็นหมีแพนด้าลวดลายแบบนี้แล้วอยากหิ้วกลับมาตั้งไว้ที่บ้านจังเลย

ช่วงระหว่างเดินกลับ ก่อนจะถึงลานจอดรถ เจอร้านค้าของที่ระลึกเกี่ยวกับหมีแพนด้าอยู่หลายร้านเลยทีเดียว สินค้าก็มีให้เลือกหลายอย่างเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตา เสื้อ magnet พวงกุญแจ ที่ใส่ดินสอ กระเป๋าสะพายเล็กๆ สินค้าและราคาจะใกล้เคียงกับที่ผมซื้อที่ท่าเรือที่ไปชมหลวงพ่อโตเล่อซานครับ แต่ที่นี่มีรูปแบบให้เลือกเยอะกว่า

หลังจากที่สมาชิกเกือบทั้งหมดในกลุ่มได้ทำสนธิสัญญาซื้อขายหมีแพนด้าเพื่อนำกลับเมืองไทยกันอีกฝูงใหญ่เสร็จเรียบร้อย คณะผมก็มุ่งหน้ากลับสู่เฉิงตูอีกครั้ง เพื่อไปยังเมืองโบราณหวงหลงซี ที่อยู่ห่างจากเฉิงตูราว 40 กิโลเมตรครับ ระหว่างทางผ่านไร่สตอเบอรี่ และมีร้านค้าแผงลอยมาวางขายสตอเบอรี่อยู่ข้างทางเต็มไปหมดเลยครับ

เมื่อเดินทางมาถึงเมืองโบราณหวงหลงซี จุดหมายแรกที่พวกเราไปคือร้านอาหารครับ เพราะสมาชิกแต่ละคนหิวกันมากๆ ครับ

กว่าจะได้ทานก็เหนื่อยกันอีกเหมือนเดิม แต่รอบนี้เหนื่อยน้อยหน่อย เพราะเราไปชี้ๆ เมนูอาหารตามโต๊ะลูกค้าคนอื่นๆ เอาครับ แต่ก็มีสั่งเมนูเพิ่มเติมบ้าง

เมนูนี้จะเป็นหมูหั่นชิ้นยาวๆ ทอดแล้วคั่วด้วยซีอิ้ว อร่อยดีครับ

เต้าหู้ผัด

ไข่เจียว รอบนี้เบื่อมะเขือเทศแล้วครับ เลยสั่งไข่เจียวเปล่าๆ มา

ข้าวโพดผัดกับอะไรสักอย่าง คล้ายๆ กับพริกหวานครับ

เหมือนผัดต้นหอมกับหมู

ไก่ผัดเผ็ดใส่มันและหมาล่าครับ ทานโดนหมาล่าที ลิ้นงี้ชากันไปเลย

หลังอาหาร ก็เริ่มสำรวจเมืองโบราณหวงหลงซีกันครับ

ผมเดินสำรวจไม่ได้มากครับ เพราะคนเยอะมากกกก บรรยากาศจะคล้ายๆ ตลาดสามชุกบ้านเรานี่แหล่ะครับ คือเป็นบ้านเก่าๆ แต่ละบ้านก็จะขายของ มีทั้งของทาน ของที่ระลึกครับ

มีทั้งของปิ้ง ย่าง ทอด อย่างปลา ปลาหมึก ไก่ย่าง แมลง ตั๊กแตน นอกจากนี้ยังมีสตอเบอรี่สด และสตอเบอรี่เคลือบน้ำตาลด้วยครับ

ใครอยากจะเช่าม้าขี่ชมบรรยากาศในเมืองก็ได้ครับ

ผมสู้กับฝูงคนไม่ไหว เลยออกมาเดินด้านนอก เพื่อจะทะลุไปยังแม่น้ำครับ

เดินมาถึงแม่น้ำแล้ว สามารถมองเห็นบรรยากาศเมืองโบราณฝั่งที่อยู่ติดริมน้ำได้ด้วยครับ

มีสะพานขนาดใหญ่ด้วย

ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำในจุดที่ผมอยู่ มองเห็นทุ่งดอกมัสตาร์ด และมีบริการขึ้นบอลลูนชมทิวทัศน์มุมสูงด้วยครับ แต่บอลลูนไม่ได้ลอยขึ้นสูงนะครับ เขาจะผูกเชือกบอลลูนติดไว้ครับ

ผมเดินขึ้นไปสำรวจบนสะพานนิดหน่อย แต่ด้านบนนั้นไม่มีอะไรมากครับ จากบนสะพานก็สามารถชมวิวของเมืองโบราณได้เช่นกัน ผมอยู่ที่เมืองโบราณจนเกือบห้าโมงเย็น คงต้องเดินทางกลับเฉิงตูแล้วครับ

หลังจากกลับสู่เฉิงตูเรียบร้อยแล้ว ยังพอมีเวลาเหลือ เลยวางโปรแกรมจะไปเดินเล่นที่ ถนนคนเดินกวานจ่ายเซียงจื่อ ( Kuan Alley/Zhai Alley) แต่วันนี้แบกกล้องใหญ่มาทั้งวัน ปวดเมื่อยไปทั้งตัว เย็นนี้เลยขอเดินสบายๆ ตัวเปล่าครับ

ฝั่งตรงข้ามของที่พักผม เป็นสถานีรถไฟใต้ดิน เราใช้รถไฟใต้ดินเพื่อเดินทางไปยังถนนคนเดินกวานจ่ายเซียงจื่อ ไปถึงก็ค่ำแล้ว เดินชมบรรยากาศได้นิดหน่อยครับ

บรรยากาศก็จะคล้ายกับถนนคนเดินทั่วไปครับ แต่ร้านค้าจะไม่ออกแนวโบราณเท่าจิ่นหลี่และหวงหลงซี ร้านส่วนใหญ่จะเป็นร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก จุดเด่นของที่นี่ที่ไม่เหมือนถนนคนเดินอื่นๆ คือ มีการตกแต่งผนังกำแพงให้เป็นรูปปั้นนูนสูงขึ้นมา นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของรูปนั้นๆ ได้

มุมนี้เป็นเหมือนห้องๆหนึ่ง ที่มีทั้งตู้ ทีวี เครื่องเล่นแผ่นเสียง โทรศัพท์ จักรเย็บผ้า ที่โม่แป้ง นูนออกมาจากกำแพงครับ

มุมนี้เป็นรถจักรยานของบุรุษไปรษณีย์ครับ มีการตกแต่งเป็นซองจดหมายขนาดใหญ่ที่กำแพงด้วย

มุมนี้เป็นภาพลอยนูนสูงครับ

มุมนี้เป็นคอกม้า มีหัวม้า และเท้าม้าลอยออกมาจากกำแพงครับ

มุมนี้เป็นรถสามล้อถีบครับ

จากเท่าที่สำรวจราคาของฝากมา ผมว่าที่นี่ราคาถูกสุดครับ สินค้าบางอย่างเปิดราคามาเท่ากับราคาที่ผมซื้อมาจากที่อื่นเลย

หลังจากเดินกันจนหมดแรงแล้ว ก็หาอาหารมื้อค่ำทานกันที่นั่นเลยครับ

วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ผมต้องเดินทางกลับแล้ว แต่เช้านี้ยังพอมีเวลาเหลือช่วงเช้า และอีก 1 สถานที่ที่ผมยังไม่ได้ไปคือ อูโหวฉือ หรือศาลเจ้าสามก๊กครับ

ก่อนออกเดินทางก็ต้องเติมพลังกันก่อน เช้านี้ผมได้ขนมจีบ ซาลาเปา เกี๊ยวน้ำ และน้ำเต้าหู้ ร้านก็อยู่ฝั่งตรงข้ามที่พักผมเองครับ

ผู้นำทัพของผมพยายามหาข้อมูลว่าศาลเจ้าสามก๊กนั้นอยู่ตรงไหนกันแน่ เพราะจากที่หาข้อมูลมาและดูจากแผนที่บอกว่าอยู่ติดถนนเลย และดูจากเส้นทางแล้วคล้ายกับที่ผมไปมาแล้ว คือที่ถนนโบราณจิ่นหลี่ ก็เลยตัดสินใจขึ้นรถเมล์สายเดิมเพื่อไปที่ถนนโบราณจิ่นหลี่อีกครั้ง แล้วไปสอบถามคนแถวนั้นว่าศาลเจ้าสามก๊กอยู่ที่ไหนกันแน่ ทุกคนก็ชี้มาที่บริเวณถนนโบราณจิ่นหลี่นี่แหล่ะครับ เพื่อให้เกิดความชัวร์อีกครั้ง เลยสอบถามเจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่ตรงประตูทางเข้า เขาก็ยืนยันเหมือนคนอื่นๆ คือ ศาลเจ้าสามก๊กอยู่ด้านครับ แต่ถ้าจะเข้าชมวันนี้ ก็ต้องจ่ายค่าบัตรผ่านอีกรอบ แต่รอบนี้ เสียค่าเข้าชม 60 หยวนครับ พวกเราชักเริ่มสงสัยว่าทำไมค่าเข้าชมถึงแพงกว่าวันแรกถึง 30 หยวน เจ้าหน้าที่อธิบายว่า วันแรกที่เราจ่ายค่าตั๋ว 30 หยวน เพราะเป็นวันปีใหม่ เลยลดค่าเข้าชม แต่วันนี้เลยวันปีใหม่แล้ว เลยคิดราคา 60 หยวนครับ

ลังเลอยู่นานว่าจะเข้าไปดีหรือไม่ เพราะวันแรกที่ผมมาที่นี่ ศาลเจ้าสามก๊กปิดแล้ว แต่คิดไปคิดมา เรามีโอกาสมาที่เฉิงตูเพียงครั้งเดียว จ่ายเงินเพิ่มอีกเพียง 60 หยวน ดีกว่าไม่ยอมจ่ายเงินตอนนี้ แล้วเกิดกลับเมืองไทยแล้วรู้ว่าด้านในมีอะไรเด็ดๆ จะเสียดายโอกาสที่ไม่ได้เข้าไปดู ถือซะว่า 60 หยวนเป็นค่าประสบการณ์ครับ

ตั้งแต่เดินก้าวเข้ามาด้านใน รับรู้ได้ถึงความสงบมากๆ ครับ บรรยากาศยามเช้าแบบนี้ ผิดกับวันแรกที่ผมมาถึงช่วงเย็นอย่างสิ้นเชิง ที่นี่แทบไม่มีนักท่องเที่ยวเลยก็ว่าได้ อาจเป็นเพราะยังเป็นช่วงเช้า และเป็นวันธรรมดาด้วย

จากประตูทางเข้า สามารถมองเห็นศาลเล่าปี่ได้เลยครับ ศาลเล่าปี่ดั้งเดิมสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.203 หรือตั้งแต่ตอนที่พระเจ้าเล่าปีสิ้นพระชนม์

รูปปั้นเล่าปี่

ด้านข้างของรูปปั้นเล่าปี่ เป็นรูปปั้นของเล่าขำ หรือ หลิวจ้าน โอรสองค์ที่ห้าของเล่าเสี้ยนครับ

รูปปั้นเตี๋ยวหุย

รูปปั้นกวนอู

โดยรอบของศาลเล่าปี่ มีรูปปั้นของเหล่าทหารเอกและเหล่าเสนาอยู่มากมาย ใครเป็นใครผมไม่รู้เลยครับ

ถัดมาจากศาลเล่าปี่ เป็นศาลขงเบ้ง ถือว่าเป็นไฮไลท์ของที่นี่ครับ เพราะขนาดบัตรเข้าชมที่นี่ยังเป็นรูปถ่ายรูปปั้นของขงเบ้งเลยครับ ภายในมีรูปปั้นของขงเบ้งอยู่ตรงกลางครับ

จูกัดเหลียง – ขงเบ้ง อัครมหาเสนาบดีแห่งแคว้นจ๊ก

ด้านขวาของขงเบ้ง เป็นรูปปั้น จูกัดเจี๋ยม ครับ

ด้านซ้ายมือของขงเบ้ง เป็นรูปปั้นของจูกัดสง ลูกชายของจูกัดเจี๋ยม หลานขงเบ้ง ที่ออกไปรบพร้อมพ่อและตายพร้อมกัน

เดินถัดออกมาเป็นศาลาตั้งอยู่ริมน้ำ ด้านในขายของที่ระลึกครับ

ประตูกลมด้านขวา เป็นทางเข้าของสวนบอนไซครับ

ด้านในสุดก็มีอีกหนึ่งศาลครับ แต่ไม่รู้ว่าเป็นศาลของใคร ภายในมีรูปปั้นอยู่ 3 องค์ และมีแผ่นหินแกะสลักด้วยครับ

บรรยากาศโดยรอบ

ผมใช้เวลาอยู่ในศาลเจ้าสามก๊กอยู่นานพอสมควรแล้ว เลยออกมาเดินเล่นดูบรรยากาศของถนนโบราณจิ่นหลี่ช่วงเช้าบ้าง ศาลเจ้าสามก๊กอยู่ติดกับถนนโบราณจิ่นหลี่เลย เดินทะลุถึงกันได้ครับ

บรรยากาศตอนเช้าแตกต่างกับตอนค่ำอย่างสิ้นเชิง ในวันแรกช่วงค่ำมีแต่ผู้คนขวักไขว่ ผมแทบถ่ายภาพไม่ได้เลย แต่มาช่วงเช้าแบบนี้ ถึงจะเงียบเหงาไปบ้าง แต่มันทำให้ผมสามารถเดินสำรวจถนนโบราณแห่งนี้ได้อย่างเพลิดเพลินครับ

ถึงเวลานัดหมายกับคนรถที่จะไปส่งผมยังสถานีรถไฟความเร็วสูง Cheng Du Dong แล้วครับ (ค่ารถไฟความเร็วสูง 96.5 หยวน )

เนื่องจากสมาชิกในทริปทำการขนส่งหมีแพนด้ากลับเมืองไทยเป็นจำนวนมากเกินไป ทำให้กระเป๋าที่งอกขึ้นมาใหม่เกิดขาดขึ้นมาอย่างกระทันหันระหว่างลำเลียงลงจากรถยนต์ตอนที่อยู่ในสถานีรถไฟความเร็วสูง เลยต้องทำการซ่อมแซมให้มิดชิด เพราะเกรงว่าหาก ตม.เมืองไทยพบเห็นว่ามีการขนส่งหมีแพนด้าข้ามชาติแล้วจะโดนยึดของกลางครับ

คนขับรถเป็นผู้กระชากกระเป๋า(งอก) จนหูกระเป๋าขาดและกินไปจนถึงเนื้อกระเป๋า เขาไม่รับผิดชอบใดๆ เลย เพียงแต่ยื่นกระสอบคล้ายถุงปุ๋ยมาให้เราแก้ขัดเท่านั้น สมาชิกในกลุ่มก็พยายามช่วยกันซ่อมกระเป๋ากันสุดฝีมือครับ ดีที่มีสมาชิกบางคนยังไม่ทิ้งเหล็กมัดเท้าที่ใช้ลุยหิมะ เลยเอาเชือกของเหล็กมัดเท้ามาเย็บกระสอบให้ดูเรียบร้อยและพอที่จะใช้งานได้เป็นการชั่วคราวครับ

ดีที่เราเผื่อเวลาให้มาถึงสถานี Cheng Du Dong ไว้ค่อนข้างเยอะ จึงมีเวลาเหลือพอจะไปเดินหาซื้อของเพื่อเอาไปทานบนรถไฟได้ ร้านค้าที่สถานี Cheng Du Dong มีเยอะกว่าที่สถานี Chong Qing Bei อีกครับ ผมได้ McDonald's สำหรับมื้อกลางวันนี้

นั่งรถไฟความเร็วสูงประมาณ 2 ชั่วโมง 20 นาที ก็มาถึงสถานี Chong Qing Bei จากนั้นเราต่อรถเมล์เพื่อไปยังสถานีรถไฟฟ้า Chong Qing Bei (ค่ารถเมล์ 2 หยวน) จากนั้นนั่งรถไฟฟ้าต่อไปยังสนามบินครับ (ค่ารถไฟฟ้า 5 หยวน)

ที่สนามบิน จะเปิดให้ผู้โดยสารเช็คอินก่อนเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง แต่เนื่องจากพวกเรามาถึงเร็ว เลยต้องมานั่งรออยู่แถวๆ ประตูของสนามบินครับ

ผมออกเดินทางจากสนามบินเมืองฉ่งชิ่ง เวลา 19.55 น. ด้วยเที่ยวบิน FD553 ใช้เวลาบินราว 3 ชั่วโมง ก็มาถึงสนามบินดอนเมืองโดยสวัสดิภาพครับ

ปล.เข้าไปให้กำลังใจและติดตามผลงานของผมเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/unclegreenshirt นะครับ

ความคิดเห็น