Annapura Base Camp 

ทริปในฝันบนเส้นทางเดิน 10 วันร้อยกว่ากิโล

การเดินทางมันทำให้เราได้รู้ว่า เราเป็นแค่สิ่งมีชีวิตเล็กๆๆๆๆ บนโลกใบนี้เอง เราตัวเล็กมากๆๆๆ เมื่อเทียบกับหลายๆ สิ่ง เราเกิดขึ้น คงอยู่ และสุดท้ายก็ดับไป ไม่มีอะไรให้ต้องยึดติด ยึดมั่นถือมั่น ไม่ต้องทะเยอทะยาน อยากได้ อยากมี อยากเป็น เราเป็นตัวเรา มีแค่นี้ อยู่แค่นี้ ก็พอแค่นี้เพราะสุดท้ายเมื่อเราดับไป เราก็เอาอะไรไปไม่ได้อยู่ดี


Day 1

  Bangkok – Kathmandu Nepal  

จุดเริ่มต้นการผจญภัยสุดรั่ว

การเดินทางของจริงเริ่มต้นขึ้นเมื่อก้าวเท้าออกจากประเทศไทย กับทริปที่จองไว้ข้ามปีและแผนการเดินทางที่ไม่มีการเตรียมตัวอะไรเลย (รู้แค่ว่าค่าพร๊อพแพงกว่าค่าทริป) เอาหล่ะ เชื่อเหอะ ว่ายังไงทริปนี้ก็ต้องสนุกแน่ๆ เมื่อคนรั่วๆๆ มาเจอกัน

แค่เริ่มออกจากบ้านก็ปวดหัวแล้ว ตีสี่ครึ่งกับกระเป๋า ใบเบ้อเร่อเฮ่อ ความสูงระดับอก ความหนักระดับหินพันชั่ง ซ้อนมอเตอร์ไซค์แว๊นซ์ไปขึ้นรถตู้เสียค่าที่สำหรับกระเป๋าอีก (แค่เริ่มเดินทางก็เพลียแล้ว) แล้วก็วาร์ปไปยังที่จุดจอดรถตู้ของสนามบินฯลฯ ภาระอันหนักอึ้งถือกระเป๋าอันหนักอึ้งกว่า 16.40 โล หนักแทบครึ่งตัวแว้วว ไปยังรถ shuttle Bus ของสนามบิน ไปลงประตู 5 แล้วสวรรค์ก็มีตา ได้ประสบพบเจอรถเข็นช่วยชีวิต สบายตัวแล้ว เข็นไปเช็คอิน โหลดกระเป๋า   !!! เสียดายอ่ะ การบินไทยให้ตั้ง 30 กิโล แบกมาแค่ 16.40 โลเอง แทบตาย  รอขึ้นเครื่องวนไป

เฮ้ย !!! รู้สึกดีตั้งแต่หย่อนก้นลงบนเบาะที่นั่งชั้นธรรมดาหรูหราสุดๆๆๆ เครื่องการบินไทย อาหารบนเครื่องบินโอเคอ่ะ ฉู่ฉี่กุ้ง ขนมหวาน ผลไม้ สุดฟิน กับอาหารมื้อสุดท้ายของเมืองไทย ที่สำคัญเติมโค้ก ได้ไม่อั้น 

ผ่านไป 4 ชม ไวเหมือนโกหก มาถึงสนามบินกาฐมานฑู เนปาล #เวลาที่เนปาล จะช้ากว่าไทย 1 ชม 30 นาที รู้สึกเหมือนชีวิตเร่งรีบมากฟุตฟิตฟอไฟกันแบบงงๆๆ คือกรุส์ฟังไม่รู้เรื่อง ภาษาไทยก็อ่อนหัด ภาษาอังกฤษนี่หนักกว่า เนียนๆๆไปกับเค้า เดี๋ยวก็รอด 555555

ยืนงงๆ เขียนใบตม. แล้วเดินผ่านตม. ออกมาแบบสง่างาม มาตายตรงตอนเข้าห้องน้ำ มองซะแทบอยากจะหายตัวไปกับกระเบื้องห้องน้ำ นินทาระยะเผาขน จนต้องบอกว่า  
กรุส์เนี่ย !!ผู้หญิง Women Understand ???

แล้วก็ยืนรอกระเป๋าวนไป ใบแล้วใบเล่า ไม่มาซะที เฮ่อ !!! มาเอามันใบสุดท้าย ออกมาจากสนามบิน รู้สึกเหมือนเป็นคนสำคัญเลยอ่ะแกรรร รู้สึกเหมือนมีพลังงานบางอย่างอยู่ข้างหลัง สายตากี่สิบคู่ยืนสบตาวิ้งค์ๆๆ ให้เราแบบ เฮ้ย !!ฉันมารับแก หน้าตาหน้าเอ็นดูเชียว

แล้วก็รีบจ้ำๆๆๆๆ มาหาไกด์ของเรา นางมีชื่อ “ ซารัน ” ไกด์ท้องถิ่นมารับพร้อมธรรมเนียมด้วยการคล้องมาลัยดอกดาวเรืองให้เราทีคอทีละคน 

  ขึ้นรถได้รู้สึกเหมือนในดอกไม้มันมียาอะไรสักอย่างทำให้เราเวียนหัว ทนไม่ไหวต้องถอดคล้องไว้ที่หัวเข่าแทน คนที่นี่ขับรถกันแบบน่าด่ามาก ปาดไปมา แซงแบบชิดๆๆ มอเตอร์ไซค์ตัดหน้ามาจอดแบบกรุส์จะข้ามมึงรอไปก่อน **** เฮ้ย !!!

คนขับก็ฟุตฟิตฟอไฟน่าจะภาษาเนปาลหรืออย่างใด แต่จับใจความได้ว่า ไปซะทีฉันจะไปแล้วนะ มีไปส่งลูกค้าเร็วๆ หลังจากผ่านการจราจรที่ค่อนข้างติดขัดมาได้ ก็มาถึงเกสต์เฮ้าท์ ตื่นเต้นกับธงที่เป็นเอกลักษณ์ของเนปาลอยู่หน้าโรงแรม

ขนเอากระเป๋าหนัก 16.4 โลขึ้นไปเก็บ ดีน่ะที่มีลิฟท์ ห้องพักเราโอเคมากๆ เลยน้า

เก็บของเสร็จก็ลงมาคุยรายละเอียดการเดินทางพรุ่งนี้  เจอกัน 8 โมงที่ห้องอาหารทานอาหารเช้าเสร็จเตรียมตัวเดินทาง  แล้วคืนนี้เราไปกินอาหารประจำชาติเนปาล Dal Bhat 

(ซุปถั่ว) ที่อร่อยที่สุด กินไปแบบมันคืออะไรแต่ก็กิน 55+เสร็จก็เดินตากฝนกลับที่พัก ระหว่างทางหลบฝนก็แวะช๊อปปิ้งวนไป ได้ผ้าบัฟมาตกใจแทบช๊อก 50 บาท คือมันหนาและอุ่นมาก กลับเข้าห้องนอนพัก พรุ่งนี้เตรียมเดินทางต่อไป.....


Day 2

Kathmandu – Pokhara 

ล้อหมุน ...


ออกเดินทางจากกาฐมาณฑุ ไปยังโพคารา เรานั่งรถบัส ใช้เวลาเดินทางประมาณ 8 ชม. รถวิ่งผ่านเส้นทางที่เป็นหุบเขา ถนนบางช่วงไม่มีไหล่ทาง กินยาแก้เมารถไป สะดุ้งตื่นทีก็หยิบกล้องถ่ายรูปไปเรื่อยๆ วิวระหว่างทางโคตระสวยงามโคตร ๆ

** รถจอดให้เข้าห้องน้ำเป็นระยะๆๆ การเข้าห้องน้ำ ต้องเกร็งลมปานสูดลมหายใจลึกๆ แล้วก็กลั้นหายใจไว้ก่อนเข้า  แต่ละทีสะบักสะบอมมากๆ เหม็นสุดๆ ทิชชู่เปียกมีความสำคัญสุดๆๆ **

แวะจุดพักรับประทานอาหารกลางวัน Remember Nepal, Visit Pokhara 

มี 2 ราคา (ไม่มีเนื้อสัตว์ ก็ 250 รูปี มีน่องไก่ เนื้อสัตว์ 350 รูปี โค๊กที่นี่ขวดละ 250 รูปี เลย์ 150 รูปี ราคาค่อนข้างแพง

แต่นั่งรถมานานๆ มันไม่รู้สึกหิวเลย กาแฟ ชาเขียว ใส่น้ำแข็งให้ประมาณ 2 ก้อนน้อยมากๆๆ ห้องน้ำที่นี่สะอาดกว่าที่นั่งรถผ่านๆ มา แล้วก็หลับยาวไป ถึงโพคาราประมาณ 4 โมงเย็น เข้าที่พัก

MAGNOLIA HOTEL  ที่นี่ไม่ลิฟท์อ่า  แบกกระเป๋า16.4 โล ขึ้นไปห้องพักชั้นสองสิแกรรรร  ยกกระเป๋าซะกล้ามแทบขึ้น

เก็บของเสร็จก็เหมือนเดิม ลงมาฟังแผนการเดินทางในวันพรุ่งนี้ ก่อนจะแยกย้ายกันไปเที่ยวที่ทะเลสาบ

อ้อ!!! ที่เนปาล เลี้ยงวัวกันข้างถนนเหมือนกับเลี้ยงหมาบ้านเรานี่แหละ คืออยู่กันข้างถนนเลยทีเดียว นอนกลิ้ง กันข้างถนนที่นี่

ที่นื่ถือเป็นแหล่งขายของสำหรับพวกชอบแทร็คกิ้งโดยเฉพาะ ราคาไม่แรงด้วยน้า

ทะเลสาบเฟวา (Phewa Lake) ทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ ภาพทะเลสาบความงามของเฟวาสะท้อนภาพยอดเขามัจฉาปูชเรที่มีรูปร่างคล้ายหางปลา

ตรงกลางทะเลสาบเป็นที่ตั้งของวัดบาลาฮี (Barahi Temple) ซึ่งมีสถูปสีขาวชื่อวัดบาลาฮีลอยเด่นตัดกับพื้นน้ำสีเขียว ก็ปิ้งๆๆ

(ถุงนอน -10 องศา ราคา 4000 รูปี) ประมาณพันกว่าบาทถูกกว่าที่บ้านเรามากๆๆ แล้ววันนี้ก็หมดไปกับการช็อปหมดเงินไปเกือบหมื่นรูปี ประมาณสามพันกว่าบาท เข้าที่พักโซ้ยมาม่าต้มยำกุ้งนั่งเมาท์
กันแบบขำๆ แยกย้ายเข้านอน เตรียมเดินทางไปจุดเริ่มเดินขึ้นยอด ABC ในวันพรุ่งนี้ ......


Day 3

Pokhara – Nayapul – Jhinu 1780 m

ระหว่างการเดินทาง

ทานอาหารเช้าของโรงแรมเสร็จ มีแอบจิ๊ก ไข่ต้มกับแอปเปิ้ล ไว้กินเพิ่มพลังระหว่างทาง  

รถบัสมินิคันเล็กๆ กับฝีตีนคนขับที่ค่อนข้างช่ำชองลุ้นซะเยี่ยวแทบเล็ด คือเหลือไม่ถึง 1ซม. รถจะตกไหล่ทางแล้ว ขนาดมีรถบัสขนาดเท่ากันสวนมา พ่อเจ้าประคู้นยังพาผ่านไปได้ 

ขึ้นรถบัสแบบมินิมากๆ อัดแน่นด้วยลูกหาบ II กลิ่นค่อนข้างแรงตั้งแต่ยังไม่เริ่มเดิน 55555

เมาทั้งทางโค้งและกลิ่นลูกหาบ ดับอนาถหลับไปตามๆ กัน  รู้สึกเริ่มเพลียตั้งแต่ยังไม่ เริ่มเดิน ใช้เวลาเดินทางนั่งรถประมาณ 3 ชั่วโมง เราก็รอดมาถึงเวลาเกือบเที่ยงวัน

ลงจากรถบัสได้ก็ต้องรีบแยกกระเป๋า เพื่อเตรียมส่งให้ลูกหาบ อะไรที่ไม่สำคัญกับชีวิตในตอนนี้ยัดๆ ใส่กระเป๋าให้ลูกหาบให้หมด เหลือไว้เฉพาะสิ่งสำคัญก็พอ

* * * ที่สำคัญในการ Treking ครั้งนี้ ต้องมีเสื้อกันลม กันฝน ใส่เป้ติดตัวเราไว้ด้วย เพราะสภาพอากาศที่นี่ไม่แน่นอนสักวัน แยกของเสร็จก็ทานอาหารกลางวันก่อนเริ่มเดิน เฮ้ย!!! ชอบอ่ะ เวลคัมดริ้งค์ ของที่นี่มันคือโค๊กรินใส่แก้วมาเสริฟ์  รู้สึกดีมากที่ได้กินโค้ก ซัดไปซะ 2 แก้ว อาหารมื้อนี้มีข้าวผัด + ผัดหมี่ + ผัดผักอะไรก็ไม่รู้

เมื่อท้องอิ่ม ก็เตรียมเดินทาง เส้นทางวันนี้เดินไม่ไกลมาก ไกด์บอกว่าเป็นระยะที่เดินน้อยที่สุด
 คืนนี้เราจะพักกันที่ Jhinu

... เส้นทางเดินการเดินทางของเรา

Pokhara – Nayapul – Jhinu 1780 m

Jhinu - Bamboo 2310m

Bamboo - Deurali 3230m

Deurali – A.B.C. 4130m

Trek Back to Bamboo 2130m

Bamboo 2130 to NEW BRIDGE

NEW BRIDGE to Pokhara


วันแห่งการวอร์มร่างกาย ‍: -

..... วันนี้เราจะเริ่ม Trek แค่เริ่มต้นเดินก็ฮือฮากันแล้ว กับบรรยากาศสองข้างทางที่ร้อนระดุด้วยแสงแดด แต่ไม่ร้อนเพราะอากาศมันเย็น เดินตามๆกันไป ส่วนผมเหรอปิดท้ายตามเคย

คิดจะเดินเร็วๆ ทำเวลากับเค้าเหมือนกันนะ แต่พอเห็นความสวยงามของธรรมชาติแล้ว คือมันเดินเร็วไม่ได้ (จริงๆ มันคือข้ออ้างนั่นแหละ) เดินไปถ่ายรูปไป จนโดนแซว (กลัวเมมจะเต็มตั้งแต่วันแรก 5555555

ทริปนี้เราใส่รองเท้าของ KEEN โอเคเลยน่ะ กับการเดินป่าระยะไกล ที่เจอทั้งหิน หิมะ ความร้อน ฝน 

ในแผนที่บอกเดินประมาณ 4 ชั่วโมง แต่เดินจริงๆ ตั้งแต่เที่ยงยันเกือบหกโมงเย็น ไม่ได้เรียกวอร์มแล้วแบบนี้ นี่แค่วันแรกระยะใกล้ที่สุด55555  ถ้าเดินตัวปลิวจะไม่บ่นเลย 

ที่นี่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ภูกระดึง มีโค้กขายตลอดเส้นทาง (ถ้ามีเงิน) ยิ่งสูงราคายิ่งแพง ระหว่างทางเดินผ่านน้ำตกบ้าง ลำธารบ้าง มองเห็นภูเขาหิมะไกลๆ ก็พอหายเหนื่อย

น้ำที่ไหลออกมาจาก ธรรมชาติ ใช้ล้างมือ ล้างหน้า เย็นสะใจ สดชื่นสุดๆ 

เดินเหนื่อยขาลากเลย ลากจริงๆนะแกรรรร คือต้องลากขาขึ้นบันได มันจะสูงจะชันไปไหน

เดินผ่านมาได้ประมาณ 2 ชั่วโมง สลับกันขึ้นบ้าง ลงบ้าง ฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก เปิดกระเป๋าหยิบชุดกันฝนออกมาใส่ด้วยความรวดเร็ว ตลอดทางก็เจอบันไดสลับเดินขึ้นลง

จนถึงที่พัก โอ๊ย !!! บร๊ะเจ้า จะไม่เดินขึ้นบันไดก็ไม่ได้ ที่พักอยู่สูงสุดเลย

คืนนี้พักที่ “ The New Hot Spring Garden ”

หน้าต่างห้องคือเห็นยอด A.B.C. เลยอ่ะ คุ้มค่าความเหนื่อยที่เดินมาทั้งวัน เอากระเป๋าจากลูกหาบ เข้าห้องพัก เก็บของอาบน้ำ เจอเซอร์ไพร์ส กำลังสระผม อยู่ๆน้ำไม่ไหล พอไหล ก็ลงมาเป็นหยดๆ อาบไปสั่นไปเป็นเจ้าเข้า กว่าจะอาบน้ำเสร็จเกือบสิบห้านาที

อาหารคืนนี้ผมสั่งพิซซ่า กับ ข้าวไข่เจียวไป เฮ้ย !!! พิซซ่าที่นี่โคตรอร่อยอ่ะ หรือเพราะผมหิวก็ไม่รู้ พี่ๆ บางคนเอามาม่า ปลาสลิดทอด หมูฝอย โอ๊ย สารพัดอาหารไทยมาวางกันเต็มโต๊ะ ใครว่ามาแล้วลำบาก ไม่ใช่แล้ว  แล้วเสียงก็เงียบหาย เพราะปากไม่ว่าง 55+  มาคุยกันอีกทีตอนทานผลไม้ ผลไม้ที่นี่คือแอปเปิ้ล กับทับทิม มันอร่อยอ่ะ หวาน กรอบ

หลังมื้อผลไม้ “ซารัน” มาบรีฟการเดินทางของวันพรุ่งนี้ให้ฟัง สรุปจากที่พูดประมาณ 10 นาที แปลได้คร่าวๆ อาหารเช้า 7 โมง เริ่มเดิน 8 โมง แยกย้ายกันไปนอน อ้อ!!! เค้าบอกให้เราอยู่แบบเงียบๆ อย่าส่งเสียงดัง เดินเข้าห้องผ่านไปยังไม่ทันจะ 10 นาที ด้านล่างเปิดผับขนาดย่อม #$&*^#@$$ งงเด่ะคือ 

เมื่อกี้เพิ่งบอกให้เราเงียบๆ แต่ที่นี่ เปิดผับแดนซ์กระจายกัน เรานอนฟังเพลงของเนปาลก็เพราะดีแหะ ฟังๆ เริ่มทนไม่ไหวต้องออกจากห้องพัก มาดูเค้าเต้นกัน ทั้งไกด์ทั้งลูกหาบ ไม่มีความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เต้นกันไปเพลงแล้วเพลงเล่า สักพักวงก็แตก เหมือนจะมีเรื่องกันเพราะแย่งผญ.ไทย 555555 ผมก็เผ่นเข้าห้องนอนเก็บแรง  เพราะพรุ่งนี้ต้องเดิน Trek ขึ้นบันไดเยอะมากกกกกก ....... และเส้นทางยาวไกลมาก....


Day 4

Jhinu - Bamboo 2310m

ฉันมาทำอะไรที่นี่ . . .

อาหารเช้ามื้อนี้ คือ แป้งแข็งๆ กับไข่ดาว โป๊ะหน้ามา มันเรียกอะไรไม่รู้ รู้แค่ว่ากินแค่นี้กรุส์ไม่มีแรงส์เดินแน่ๆ แต่ก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทนกินเข้าไป โชคยังดียังมีแม๊กกี้นมข้นหวาน กะล่อมกะแล่มพอให้ละเลียดเข้าปากไปได้

แค่เริ่มต้นเดิน ♂ ก็รู้สึกอยากร้องเพลง ฉันเหมือนคนไม่มีกำลังจะหมดแรง ........ เฮ้ย !!!! หาย ... เรี่ยวแรงที่มีหายไปไหนหมด คือบันไดทางขึ้นจะสูงไปไหน มองไม่เห็นปลายทางคืนนี้เราจะไปนอนพักที่ Bamboo แต่ระหว่างทางกว่าที่จะไปถึง Bamboo รู้สึกท้อแท้
หมดหวัง เจอแต่บันไดทางขึ้นๆๆๆๆ รู้สึกกระเป๋าหนัก ปวดไหล่ เจ็บหลัง สารพัดโรคเข้ามา

ที่ร้ายไปกว่านั้น เริ่มเดินยังไม่ทันไร รู้สึกเหมือนข้าสึกบุกประชิดกำแพงเมือง ต้องต่อสู้ดิ้นรนซะ เดินทางราบธรรมดายังพอทน นี่ต้องก้าวขึ้นบันไดทีละก้าว รู้สึกเหมือนขี้จะหลุด แล้วพลังขาก็มาปรับ ♂♂ สปีดเร็วยิ่งกว่าความไวแสง เพื่อตรงไปเข้าห้องน้ำยังจุดพักต่อไป

เส้นทาง CHHOMRONG บอกเลยมันคือนรกดีๆๆ เพราะมันขึ้นสุด แล้วมันก็ลงสุด
ขึ้นสุด ลงสุด วนเวียนกันเป็นกงจักรเลยทีเดียว ** กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ ...

พอเดินขึ้นมาถึงจุดพักเท่านั้นแหละ หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เฮ้ย +++ สวยงามสุดๆๆ

ส้มกิโลละ 500 รูปี ขายแพงมาก แต่ถามว่า?? กินไหม ก็ซื้อกินกัน แบ่งปัน วนกันไป เชื่อเหอะว่าพวกเราได้มาเยอะกว่า 1 กิโล ทั้งชิม ทั้งแจก ทั้งแบ่งกันไป แต่ถุงที่ชั่งกิโลก็ยังคงครบ 1 กิโล 555555 พอได้กินส้ม ร่างกายก็เริ่มดีขึ้น ก้มหน้าก้มตาเดินกันต่อไป

หลังจากผ่านช่วงชีวิตที่เลวร้ายที่สุดมาอย่างสะบักสะบอม ก็เริ่มมองเห็นความสวยงามด้านหน้า เพราะมันเป็นเส้นทางขาลง ก็ลงยาวไป เดินไปหลบม้า หลบขี้ควายไป เพราะมันมีอยู่เต็มเส้นทางที่เราเดิน บางทีก็คิดนะ ว่านี่เรามาแย่งที่ควายหรือเปล่า 555555

เด็กที่นี่น่ารักมาก ทักทาย “นมัสเต “ ก็ยกมือขึ้นไหว้ เหมือนหุ่นยนต์ถูกโปรแกรมไว้เลยส่งช๊อกโกแลตให้ยิ้มเขินถึงกับม้วนเลยทีเดียว แล้วก็วิ่งเข้าบ้านสงสัยจะเอาไปโชว์แม่ 

หลังจากผ่านหมู่บ้านมา เราก็เริ่มเดินเข้าป่า พร้อมทั้งสอดส่ายสายตาหาจุดที่พอจะปล่อย
ระเบิดได้ คือขี้มันตลอดทาง คิดซะว่าเป็นการ Check-in เผื่อขากลับจะได้ไม่หลง

ที่นี่เรารู้สึกเหมือนเดจาวู ทุกอย่างถูกตั้งเวลาไว้โดยอัตโนมัติให้มันเหมือนๆ กันใน
ทุกวัน เวลาประมาณ บ่ายโมง แสงแดดเริ่มจางหาย ท้องฟ้าเริ่มจะมืดครึ้ม บ่ายสองฝนจะตกลงมาแบบไม่ทันตั้งตัว ทำให้การเดินทางของเราต้องแปรเปลี่ยนไปตามสถานการณ์
วันนี้กว่าเราจะมาถึงจุดที่กินข้าวเที่ยงก็ปาไปเกือบบ่ายสอง

อาหารกลางวันวันนี้ ไม่รู้ว่าอร่อยหรือพวกเราหิวจนไม่มีแรงจะเดินแล้ว ยิ้มหน้าระรื่น
ทุกคนกับอาหารบ้านๆ หน้าตาธรรมดาที่สุด มันคือ “ ข้าวผัดทูน่ากับมันฝรั่ง ” กินกันแบบใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ไม่มีใครไม่เติม บ้างก็เติมข้าว บ้างก็มันฝรั่ง ส่วนผมชีวิตขาดโค๊กไม่ได้ ราคาโค๊กที่นี่ 300 รูปี (กินโค๊กก็เหมือนเพิ่มน้ำตาลให้ร่างกาย)

หลังกินข้าวเสร็จ พักเข้าห้องน้ำ ก็จัดเตรียมสัมภาระเตรียมตัวเดินทางต่อไป ขึ้นสุด ลงสุด วนๆกันไป เดินตากฝนกันไป 🤯

จนไปถึงโค้งสุดท้ายคือทางที่จะไป Bamboo มันคือต้องเดินลงบันไดกว่า 200 ขั้น 

แล้วเราก็ถึงที่พักคืนนี้ในเวลาเกือบหกโมงเย็น เดินตั้งแต่ 8 โมงเช้า ถึง 6 โมง

อากาศที่นี่ค่อนข้างเย็นไม่รู้กี่องศา รู้แต่ว่าหนาวมาก เพราะอยู่ในหุบเขา ที่พักนอนห้องละ 4 คน ห้องแคบมาก กระเป๋าแต่ละคนก็ค่อนข้างใหญ่ เบียดเสียดแบบเรารักกัน อาบน้ำร้อนที่อุณหภูมิ 40 องศา รู้สึกว่ามันร้อนนะ 🤧 แต่พออาบแล้วกลับรู้สึกเย็นสบาย ไม่ร้อน ออกมารีบใส่ลองจอน ใส่แผ่นแปะความร้อน กระโดดเข้าถุงนอน

สักพักลีฮาน ไกด์อีกคนก็มาตามไปกินข้าว วันนี้ผมกินข้าวไข่เจียว กับกระเพราที่เตรียมไปจากเมืองไทย บอกเลยว่าโคตรอร่อยอ่ะ 🏻  ทุกมื้อตอนเย็นจะจบท้ายด้วยผลไม้ คือ แอปเปิ้ลกับทับทิม และ “ซารัน” ก็จะมาบรีฟรายละเอียดของวันพรุ่งนี้ให้ฟัง ผมก็เหมือนเดิมฟังแค่กินข้าวตอนไหน ออกเดินทางกี่โมง พรุ่งนี้พักที่ไหน แค่นั้น แล้วก็แยกย้ายกันไปนอน .....


Day 5

Bamboo - Deurali 3230m

กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไป . . . สู้โว้ยยยย

อาหารเช้าของแต่ละที่ไม่ต่างกัน ขนมปังที่โป๊ะด้วยไข่ดาว วันนี้ผมกินโจ๊ก แล้วก็โอวัลติน ค่อยพอทำให้มีแรงเดินหน่อย วันนี้เราจะไปนอนกันที่ Deurali เพื่อปรับสภาพร่างกายก่อนเดินขึ้นยอด เส้นทางเริ่มต้น เมื่อวานเราลงมาสุด อยู่ในหุบเขา วันนี้เราก็ต้องเดินขึ้นสุด

🧐 ไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมจุดเริ่มต้นของวัน เค้าต้องให้เราขึ้น หรือมันเป็นมงคลชีวิต คือชีวิตจะได้มีแต่ขาขึ้น อยากจะบอกเหลือเกินว่า มาอยู่ที่นี่ผมเกลียดชีวิตขาขึ้นมาก แม่งงงง
ขึ้นสุด ลงสุด จะโหดไปไหนฟ่ะ แล้วชีวิตเส้นทางวันนี้จะเจออะไรอีก แง๊ แง๊ *#€$฿&

เส้นทางในแต่ละวันที่ผ่านมา นอกจากขึ้นสุด ลงสุด เจอฝนตกแล้ว 🤧 ก็ไม่มีอะไรเหมือนกันสักวัน 

สำหรับวันนี้ อากาศดี แดดไม่แรง เดินไม่เหนื่อย วิวสวยๆ ตลอดทาง ตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยต้นไม้ จนบางทีเราก็ใช้เวลาในการกดถ่ายรูปเยอะเกินไป 5555 แวะกดชัตเตอร์ตลอดทาง จนซารัน ต้องบอกให้เรา จ้ำๆๆๆๆ คือเป็นการเร่งเราไปในตัวไม่ให้เราพักนาน 

บรรยากาศระหว่างทาง งดงามมาก เพราะตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยป่าสนพันปีด้านซ้ายก็เป็นลำธารสีฟ้า น้ำตกที่กลายเป็นน้ำแข็งก็มี 

วันนี้ฟ้าเปิด ไม่มีเมฆามาบดบังทัศนวิสัยเลย จะมีบางช่วงที่ต้องไต่ขึ้นเขา แต่วันนี้ก็ชิวๆ

เราแวะพักทานอาหารกลางวันตอนเที่ยงกันที่ Himalaya(ที่ความสูง 2900m.) 

กับเมนูอาหารที่งงมากจ้า คือน้ำแกงเหมือนมัสมั่น มีไข่ต้มใส่อยู่ 1 ใบ ต้องเอาซอสแม๊กกี้มากินคู่กับไข่ต้มคลุกข้าว 5555 นั่งพัก เข้าห้องน้ำ แล้วก็ออกเดินทางต่อ 

บรรยากาศ เหมือนเราอยู่ผาหินกูบ ทำให้เสียเวลาตรงนั้นไปค่อนข้างเยอะ พ้นจากตรงนั้น ก็เหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในเหมืองแร่ ⛈ หรือโรงโม่หิน ยังไงยังงั้นเลยทีเดียว

ฝนก็กระหน่ำตกลงมาไม่คิด ใส่เสื้อ K2 กันลมกันฝนได้สุดยอดจริงๆ เดินชิวส์ๆ ถ่ายรูปวนไป

แล้วก็มาถึง Deurali ประมาณบ่ายสอง ชั่งใจว่าจะอาบน้ำหรือใช้ทิชชู่เปียกเช็ดดี และแล้วความหนาวก็ชนะทุกสิ่ง ไม่ทำอะไรสักอย่างกระโดดขึ้นเตียงกางถุงนอน ซุกตัวอยู่ในนั้นสักพัก 

จนฝนเริ่มซาลง เสียงโหวกเหวกภายนอกดังขึ้น #*$€ ฟ้าเปิดแล้ว มาๆถ่ายรูป

เฮ้ย !!! ฟ้าเปิดแล้วเห็นยอด เท่านั้นแหละลืมความหนาวหมดสิ้นดีดตัวขึ้นมา คว้าเสื้อกันหนาวมาใส่รีบออกมาถ่ายรูป บรรยากาศภายนอกสวยว่ะแกร๊รรร

ภูเขาหิมะเริ่มออกมาโชว์ ขาวๆ ปนดำๆ ดูลึกลับน่าค้นหา แอ๊คท่าถ่ายรูปกันวนไป ทั้งน้ำตก น้ำภูเขา ฟินๆๆ กันไป ผ่านไปอากาศก็เริ่มจะเบาบางมากกว่าเดิม บอกเลยว่า ณ จุดๆนี้ มีความสุขมาก มันดีจริงๆ อ่า คุ้มค่ากับการที่เราดั้นด้นเดินเท้าขึ้นมา

แล้วก็มาถึงเวลาทานอาหารเย็น เมนูของผมวันนี้คือ นูดเดิ้ลเกาหลี + โค๊ก (ฟินเฟร่ออ่ะแกรรร มาม่าร้อนๆ กับน้ำซุปแบบเกาหลี รสชาติบอกเลยเผ็ดชิหายยยย) กินคู่กับโค้กเย็นๆแบบไม่ต้องแช่ตู้ ปากชาลิ้นพอง

วันนี้เราขึ้นมาอยู่ที่ความสูง 3230m บางคนก็มีอาการปวดหัว เป็นไข้ ซารันไกด์ท้องถิ่นของเรา ก็เลยเอาเครื่องวัด ..... เรียกไม่ถูก วิธีการใช้งานคือ เอานิ้วเราเสียบเข้าไป แล้วมันก็จะมีข้อมูลขึ้นมาที่เครื่อง ของผมร่างกายปกติ ♂️ ออกซิเจนปกติ ไม่น้อยไม่มาก

ในกลุ่มมีน้องที่มีอาการ AMS มันคือแพ้ความสูง บอกก่อนเลย มันไม่ใช่อาการที่เดินขึ้นไปอยู่บนที่สูงแล้วขาสั่นๆ เพราะกลัวเน้อ 🤮🤧 มันคืออาการที่มาจากภายใน ซึ่งพอผมเห็นก็เริ่มกลัว ยิ่งขึ้นสูงอาการก็ยิ่งออก นั่งกินข้าวกันได้สักแพร๊บ น้องก็เกิดอาการปวดหัว เริ่มอ้วกอ๊าก แต่ทางพี่วาและซารันไม่อยากให้ทานยา อยากให้ร่างกายเราค่อยๆ ปรับสภาพได้เองมากกว่า แล้วคืนนั้นก็แยกย้ายกันไปนอน 🤤 เพื่อพักผ่อนเตรียมตัวออกเดินทางขึ้นยอด A.B.C. ในเช้าวันพรุ่งนี้ ...


Day 6

Deurali - A.B.C. 4130m

นาทีความเป็นความตาย ☠ 

เช้าวันนี้ตื่นมาแทบไม่อยากลุกจากถุงนอนเลย อากาศมันหนาว หนาวจนควันออกปากอ่ะแกรรร แต่ก็น่ะข้าศึกดันมาประชิดอะไรกันตอนนี้ ไปต่อคิวเข้าห้องน้ำแทบไม่ทัน ตอนที่เอาน้ำล้างตรูดดดด โอ๊ย +++ แทบร้องขอชีวิต  รู้สึกร่างกายถูกสต๊าฟไว้ มันชาไปหมดในนาทีที่เอาน้ำล้างตรูด 5555 กว่าจะตั้งสติดึงร่างกายที่เสียศูนย์เพราะความเย็นของน้ำออกมาจากห้องน้ำได้ แทบตายยยยย !!!! ☠️

ยังไม่หมดเช้านี้ยังต้องล้างหน้าแปรงฟันอีก น้ำก็เย็นยิ่งกว่าน้ำแข็งขั่วโลก 🤧 หรือจะไม่แปรงดีฟ่ะ แล้วสายตาก็พลันหันไปเห็นน้ำร้อนในห้องน้ำทำเนียนเลยเข้าไปแปรงฟันในห้องน้ำ รู้สึกร่างกายมันดีว่ะ

แล้วชีวิตประจำวันก็เริ่มขึ้นหลังล้างหน้าแปรงฟัน มันคือภารกิจการเก็บของใส่กระเป๋าใบใหญ่ เพื่อให้ลูกหาบแบกต้องเสร็จก่อน 7 โมงเช้าของทุกวัน บอกเลยการเก็บกระเป๋ามันเหนื่อยยิ่งกว่าการเดิน Trek แล้วก็เข้าห้องอาหาร อาหารยังคงเหมือนเช่นทุกวัน ☕️ 🍜 วันนี้ก็ยังคงกินโอวันตินกับมาม่าเหมือนเดิม

8 โมงเช้าของทุกวันคือเวลาออกเดินทาง เส้นทางวันนี้เดินขึ้นแบบนรกแตกอีกแล้ว (เดินขึ้นอีกแว้ว)

ด้านซ้ายเป็นลำธารสีฟ้าคราม ที่ถูกแซมด้วยหินที่มีหิมะแปะอยู่บนหิน อย่างสวยงามเลยทีเดียว เช้านี้ฟ้าค่อนข้างเปิด ถ่ายรูปกันไปตลอดทาง เล่นทำเอาเมมเออเร่อกันเลยทีเดียว

ยิ่งสูงยิ่งต้องเดินช้าลง ‍ ♂ เพราะเราเหนื่อยง่าย เดินไปสักพักเริ่มรู้สึกปวดหัว เหมือนร่างกายจะปริแตก (หรือผมกำลังจะอ้วนขึ้น ) 🤢 มโนวนไป แล้วก็มีน้องในทีมที่ไม่สามารถไปต่อได้ เพราะอ้วกและมีอาการปวดหัว ทำให้ซารันไกด์ของเราต้องพากลับลงไปนอนพักรอที่ Deurali

พวกผมก็เดินต่อไป บอกเลยตั้งแต่เดินมาจนถึงวันนี้ เส้นทางสายนี้ไม่ธรรมดา เพราะมาช่วงนี้ มันสวยมากๆ สวยมากๆ จริงๆ เดินช้าๆ ง่ายๆ ได้บรรยากาศสุดๆ แต่ยิ่งเดินอากาศก็ยิ่งหนาว อาการตัวแตกเริ่มหายไป อาการปวดหัว จะระเบิดเริ่มเข้ามาแทนที่ ลมพัดตลอดเวลา

ต้องกลั้นใจเดิน เดิน เดิน แล้วก็เดิน จนมาถึงจุดพีคที่ M.B.C. ความสูง 3700m รู้สึกแขนขาไร้เรี่ยวแรง

โดนหิ้วปีก 🤯 ขึ้นมานอนพักระหว่างรอกินข้าว ซัดยาพาราไป 2 เม็ด สลบเหมือดไม่ได้สติ ผ่านไปเกือบชั่วโมง ดีขึ้นอาการปวดหัวหายไป อาการหนาวเริ่มมาแทนที่

หลังจากพักปรับสภาพร่างกาย ก่อนจะไต่ขึ้นจุดสูงสุด A.B.C ที่พัก Base Camp ของเราในคืนนี้ เริ่มออกจาก M.B.C. 🕴🏻 ก็เดินแบบโซซัดโซเซ เดินเหมือนคนเมา เซไปเซมา รู้สึกร่างกายเริ่มไม่ไหว แต่ใจมันไม่ยอมหยุด มาถึงขนาดนี้แล้ว เหลืออีกแค่จุดเดียวก็จะถึงปลายทางความฝันแล้ว

🌧 แต่ !!! ยิ่งเดินก็ยิ่งไกล แล้วฝนก็เริ่มตกลงมาเรื่อยๆ ตามทาง ลมก็พัดแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ถึงหนึ่งนาที จากเม็ดสายฝนโปรยปรายเป็นเหมือนเม็ดโฟม (ยังคิดในใจใครมันเอาโฟมมาปาเล่น) ☃️ 🌨 แต่ในความเป็นจริงคือหิมะตก

ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งตกมากขึ้น จากเดิมที่เดินช้ายิ่งกว่าเต่า กว่าจะขยับได้แต่ละก้าว ก้าวทีนึงก็สั่นที สั่นเป็นนกเพนกวินเลยทีเดียว 🐾🐾 แล้วพายุหิมะก็บดบังทุกเส้นทางที่เราเดิน ตลอดเส้นทางถูกปกคลุมด้วยภูเขาหีม้าอันขาวโพลน เหยียบไปดังกึดๆ น่าฟังจริงๆ

จะหาที่หลบพายุก็เห็นมีแค่ก้อนหิน ที่ไม่สามารถเอาตัวเข้าไปหลบได้ อากาศก็เริ่มหนาวขึ้นเรื่อยๆ หิมะที่พื้นก็หนาขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายรู้สึกอ่อนแรง 🤧 น้ำก็ไหลเข้าตามร่างกาย ร่มที่ถือก็หนักอึ้งเต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน ในระหว่างทางก็มีคนเดินย้อนกลับลงมา ถามถึงระยะทาง บอกแค่ว่าไม่เกินครึ่งชั่วโมง

แต่เดี๋ยวนะ !!! คือร่างกายจะไม่ไหวอยู่แล้ว 🤯 ในหัวสมองตีกันพัลวัน จะลงไป M.B.C หรือจะก้าวเท้าต่อไปให้ถึง A.B.C. รู้สึกสมองชา แขนขาแทบก้าวไม่ออก สายตามองอะไรแทบไม่เห็น 🤢 พร่ามัวเห็นเงารางๆ ของคนสองคนที่พยายามตะเกียกตะกาย ไปให้ถึงฝั่งฝันเหมือนเรา พยุงประคับประคองกันไป จะหันหลังเดินกลับลงไป ก็ไม่รู้ว่าจะกลับไปถูกทางหรือเปล่า  ** ค่อย ๆ หายใจเข้า ออก ช้า ๆ ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าด้วยความสั่นของร่างกาย **

ผ่านไปหลายนาที ⏱ ก็ยังคงเดินย้ำอยู่เหมือนมันไม่ไปไหน แต่เราเดินมาไกลแล้วนะ หิมะตามพื้นหนาขึ้นกว่าเดิม อาจจะเยอะกว่าเดิม อากาศก็เริ่มจะเบาบางกว่า ที่สำคัญไม่มีรอยเท้าใครประทับลงบนหิมะก่อนหน้าเรา จะมีได้ยังไงล่ะ 🤧🤯😱 ทุกคนคงจะอยู่ที่พักอุ่นๆกับ ฮีสเตอร์แล้ว รู้สึกชีวิตถูกห้อมล้อมไปด้วยภูเขาหิมะที่ยิ่งใหญ่

แล้วพี่วาก็มาช่วยเราในนาทีที่หาทางไปต่อไม่ถูก OMG !!!! ไม่รู้แม้กระทั่งต้องเดินข้ามไปอีกฝั่ง ‍♂ เดินย่ำจนรู้สึกสติแทบหลุด พยายามฝืนเดิน ไปเรื่อยๆ ทั้งหนาว ทั้งชา ในหัวสมองมีแต่โค้กเต็มไปหมด แล้วเราก็พาร่างที่แทบจะไร้วิญญาณมาจนถึงป้าย A.B.C เราหยุดยืนถ่ายรูปที่ป้ายในสภาพที่พายุหิมะกำลังโหมกระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่ง ☠ แล้วสติเราก็หลุดไปในนาทีนั้น

** ตัดภาพไปที่ด้านบน A.B.C * หลังจากที่เราหมดสติไป 😱 ร่างผมก็ถูกพาขึ้นไปยังบ้านพักด้านบน Base Camp ในสภาพที่เหมือนลูกเพนกวินเปียกน้ำ 5555 นาทีชีวิต เป็นตายเท่ากัน ☠ เพราะเราหายใจร่อแร่มาก ชีพจรเต้นอ่อนแรง 🤒 พร๊อพทุกอย่างถูกยัดเข้ามาอยู่ในตัวเรา คาดว่าน่าจะเป็นมัมมี่ได้ รับรู้ได้ว่าน้ำใจยังมีอยู่ในทุกที่บนโลกใบนี้

ทั้งเพื่อนใหม่ที่เจอกันที่ช่วยเหลือทุกอย่าง สละเสื้อ 🧣🧤🧦🧥 หมวกไหมพรม และสาวชาวเนปาลที่เสียสละผ้าพันคอมาให้ และอีกหลายๆคน ที่เข้ามาช่วยต่อลมหายใจให้กับผม 🍲🍶 ทั้งซุปกะเทียมที่พยายามป้อนเข้าปาก ทั้งขวดน้ำอุ่นๆที่เอามาให้ประทัง ความหนาว แผ่นแปะความร้อน และอีกมากมายที่ทำให้ผมรอดชีวิต **

หลังจากความโกลาหลผ่านไป สิ่งที่ผมตอบทุกคนไปในยามไร้สติ สิ่งที่ผมอยากกินคืออะไร “ โค้ก “ คือคำตอบเดียวที่ผมเรียกร้อง 🤠 จนกลายเป็นวลีเด็ดของผมไปในทริปนี้

แล้วความโกลาหลก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อนั่งอยู่ดี ๆ ผมก็หลับแบบไม่ได้สติ และพี่หมอในกลุ่มที่เดินทางมาด้วยกัน คลำหาชีพจรของผมแทบไม่เจอ แบบอ่อนแรงมาก เมื่อเจเพื่อนร่วมทริป อุ้มผมฝ่าความหนาวเย็นเข้ามานอนในห้องนอน สารพัดอุปกรณ์ป้องกันความหนาวก็ยังคงอยู่ในตัวผมเหมือนเคย ผ่านไปไม่นาน ผมก็สร้างภาระอีก คือ อ้วกซุปกะเทียมที่เพื่อนพยายามป้อนในตอนแรกออกมาจนเลอะถุงนอนไปหมด ** น่าจะเพราะอาการแพ้กะเทียมด้วยแหละ ** จนเดือดร้อนไปทั่วห้อง แล้วผมก็หลับไปอย่างมีความสุข

ทิ้งภาระไว้ให้บัดดี้คู่หูที่ตอนแรกเหมือนจะแย่ แต่กลายเป็นว่า สตรองอึดและถึกมากจริงๆ ผ้าพันคอ หมวก และทุกอย่างที่อยู่บนตัวผมเลอะเทอะไปหมด $%€¥ ผมระวังเรื่องและกลัวจะเป็น AMS แต่ผมไม่มีอาการแพ้ AMS แต่แพ้ความหนาวราบคาบเลย 💀 แต่ ในนาทีชีวิตความเป็นความตายผมก็ยังคงเรียกหา “ โค้ก ” 5555+


Day 7

Trek Back to Bamboo 2130m

ชีวิต ... หลัง ... รอดตาย

ตีสี่กว่า ๆ ทุกคนก็ตื่นกันเพื่อที่จะไปชมความสวยงามของพระอาทิตย์ขึ้น สมองผมสั่งให้ผมลุกขึ้นเพื่อไปถ่ายรูปแต่ร่างกายยังคงนอนนิ่งสนิทเหมือนคนตาย ผ่านไปจนกระทั่งเสียงดังขึ้นอีกครั้งในเวลาที่ทุกคนวิ่งวนเก็บของใส่กระเป๋าเพื่อให้ลูกหาบ สติของผมก็เริ่มกลับมาหลังจากที่หายไปหลายชั่วโมง

ตื่นขึ้นมาพร้อมความมึน เบลอ ในสมองตีกันยุ่งไปหมด อาการเจ็บคอเริ่มตามมา อาการปวดหัวค่อยๆ จางไป ความหนาวในร่างกายเริ่มลดลง แขน ขา เริ่มมีแรง ‍♂ ลุกขึ้นเดินไปยังห้องอาหาร เช้านี้ผมทานได้แค่โอวัลติน

มีแต่คนเข้ามาถามว่าผมไหวไหม ถ้าเอาจริงๆ คือ ผมรู้ว่าสภาพร่างกายผมไม่ไหว แต่ใจมันไม่อยากเป็นภาระ อยากจะเดินเองมากกว่า วันนี้จุดพักค้างแรมของเราอยู่ที่ Bamboo ใช้เวลาเดินทางประมาณ 9 ชั่วโมง 

พยายามตะเกียกตะกายเดินลงมาเรื่อยๆ แล้วผมก็ได้ถ่ายรูปกับป้ายผู้พิชิตสมความตั้งใจด้วยสติสัมปัญชัญญะครบ 100%

สภาพร่างกาย ไม่น่าจะถึง 20% เดินไปถ่ายรูปไปค่อยๆ ก้าวทีละก้าวสองก้าว แล้วก็พัก 😥

ผมว่าผมคิดถูกนะที่ผมเลือกที่จะเดิน เพราะเส้นทางการเดินขาลงในวันนี้มันโคตรสวยเลย ☃☃ หิมะขาวโพลน

วันนี้ผมเดินตัวปลิว ♂ กระเป๋าผมไปอยู่ที่ไกด์ เพราะสภาพร่างกายผมแย่มาก ๆ หน้าซีด ความหนาวยังคงแวะเวียนมาเยือนผมเรื่อยๆ ยิ่งเดินยิ่งเหนื่อย 

กว่าผมจะลงมาจนถึงจุดพักของ M.B.C ก็เกือบสิบเอ็ดโมง แวะนอนพักอีก 20 นาที  เข้าห้องน้ำประมาณตดไม่ได้เพราะขี้พุ่งสุดๆ  แล้วถึงเริ่มเดินลงต่อ

จาก M.B.C เดินลงมาเรื่อยๆ ทั้งลงสุด ขึ้นสุด ผ่านเหมืองแร่ น้ำตก มันคือเส้นทางเดิน ของเมื่อวานที่ผมเพิ่งเดินผ่านไป เดินผ่านลำธารน้ำสีฟ้าที่เบื้องหลังเป็นภูเขาหิมะ  Check-in ข้างทางไปเรื่อยๆ (ขี้มันทุกที่)

จนลงมาถึงจุดพักที่ Deurali ประมาณบ่ายสองกว่าๆ ซารัน รอเราอยู่ที่นี่ ผมขอแอปเปิ้ล 2 ลูก เป็นอาหารกลางวัน เพราะไม่มีความรู้สึกอยากทานอาหาร เพราะเข้าปากออกตูด จนร่างกายอ่อนล้า พอได้จิบโค้กเป็นระยะๆ ผมรู้สึกว่าร่างกายเริ่มดีขึ้น มีแรงเดินมากขึ้น

ซารันยังคงแสดงความห่วงใยให้ตลอด เสนอให้ผมขึ้นหลัง ให้ลูกหาบแบกผม ผมมาคิดดูแล้ว ถ้าผมขึ้นหลังลูกหาบ ผมคงอาการแย่กว่าเดินเองแน่ๆ เพราะผมคงทนกลิ่นไม่ไหว ผมเลยปฏิเสธซารันไปว่าผมไหว 5555555 ++ ทั้งที่แขนขาแทบจะหมดแรงแล้ว

จาก Deurali ก็เดินลงมาเรื่อยๆ ระหว่างทางฝนก็เริ่มตกลงมาเป็นระยะ แวะพักเข้าห้องน้ำที่ Himalaya แล้วก็เดินต่อไปยัง DoVan ฝนยังคงตกหนักขึ้น ผมใส่แค่เสื้อ K2 คลุมไว้ก็พอไหวอยู่ แล้วในที่สุดผมก็เดินลงมาจน ถึง Bamboo ทั้งๆ ที่แทบจะขาดอากาศหายใจหลายต่อหลายครั้ง

วันนี้ถือว่าเดินค่อนข้างหนัก ร่างกายฟื้นขึ้นมา เริ่มเดินตั้งแต่ 8 โมงเช้า ลงมาถึง Bamboo เกือบหนึ่งทุ่ม เพราะฝนตกและทางเดินค่อนขาลงค่อนข้างอันตราย แล้วก็เข้าที่พักเปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำร้อนในราคา 200 รูปี ก่อนจะทานอาหารเย็น แล้วก็นอนพักร่างปรับสภาพร่างกายที่ค่อนข้างบอบช้ำ ขึ้นไปสู่จุดสูงสุดและลงมาอยู่จุดต่ำสุดในหุบเขา ร่างกายเลยปรับสภาพไม่ค่อยทัน แต่อย่างน้อยเราก็ก้าวผ่านความตายมาได้อย่างหวุดหวิด ...


Day 8

Trek Back to New Bridge 1200m

ความฝัน ที่ต้องแลกมาด้วยชีวิต

ตื่นเช้ามาวันนี้รู้สึกร่างกาย สดชื่นกว่าเมื่อวาน คงเพราะลงมาอยู่ที่พื้นที่ราบแล้ว อากาศไม่หนาวมากเหมือนเมื่อคืนก่อน ๆ อาหารเช้าวันนี้ผมทานเป็นข้าวต้มกับโอวัลติล เพื่อให้ร่างกายมีแรง แต่ทว่า อาหารเช้าที่ไกด์เตรียมให้ก็ยังคงเหมือนเดิม คือขนมปังแข็งๆ ราดหน้าด้วยไข่ดาว 

เส้นทางเดินวันนี้นรกแตกมากๆๆ คือเริ่มต้นทางเดินด้วยบันไดราวๆ 200 ขั้น กว่าจะรอดพ้นบันไดได้ใช้เวลานานมาก ‍♂ ทั้งปวดขา ทั้งหายใจไม่ออก

แล้วทุกอย่างก็ผ่านพ้น เมื่อเดินขึ้นมาสุดทางของบันไดลงไปยัง Bamboo หันหลังกลับไปมอง

วันนี้ฟ้าเปิด ยอดเขามัชฉะส่งยิ้มให้เราด้วยความสวยงาม ทำ ให้เรามีแรงเดินต่อ

เส้นทางวันนี้เดินไม่ไกลเท่าไหร่ แต่มันต้องขึ้นบันไดสุดๆๆ คือเหมือนวันที่มา ขึ้นสุด ลงสุด
สัก 2-3 รอบ แดดค่อนข้างแรง ระหว่างทางเดินก็ผจญภัยกับขี้วัว ขี้ม้า ขี้ควาย วนไป

สภาพร่างกายวันนี้ประมาณ 70% กินอะไรเข้าไปอ้วกพุ่งตลอด รู้สึกเหมือนเลิกยาที่ถ้ำกระบอก คืออ้วกพุ่งในระยะที่ไกลมาก ใครเห็นก็ตกใจต้องหยุดดู สภาพร่างกายค่อนข้างเหมือนซอมบี้ มากๆ เดินไปพักไป กินโค้ก แฟนตา สไปร์ท มันแทบทุกจุด

ก้าวข้ามทุกขีดจำกัด ลูกหาบแห่งยอดเขา ที่แม้จะต้องแบกหามหนักแค่ไหน แต่ขาก็ยังคงก้าวต่อไปข้างหน้า ** ถ้าไม่อยากตายแนะนำให้จ้างลูกหาบ **

ตั้งใจไว้เลยว่าวันนี้จะซื้อส้ม สัก 1 กิโล 500 รูปี ก็ยอมฟ่ะ เอาไว้เดินกินระหว่างทาง แล้วผมก็มาเจอส้มที่จุดพัก กิโลละ 300 รูปี ดีใจยิ่งกว่าถูกล๊อตเตอรี่

นั่งพักกินส้มจนหนำใจก็เริ่มเดินทางต่อ แต่รอบนี้ผมมีซารัน ไกด์ของเรามาเดินร่วมทางด้วย จะพักถ่ายรูปอะไรเยอะมากก็ไม่ได้ 😩 ค่อนข้างเกรงใจ

ป้าบีสาวแกร่งวัย 50 + ที่ลื่นล้มบนยอด ABC ทำให้ไม่สามารถเดินลงเองได้ ต้องขี่ม้าลงมาแย่งส้มผมไป 1 ลูก 5555 (ป้าบอกว่าค่าม้าแพงกว่าค่าทริปอีกว่ะ) กลับไปต้องทำงานใช้หนี้ค่าขี่ม้าที่ ABC ไปอีกหลายเดือนเลยทีเดียว

เดินผ่านมาได้สักพัก ร่างกายผมคงเริ่มจะประท้วงส้มที่กินเข้าไป ก็อ้วกพุ่งออกมาในระยะประมาณพุ่งหลาวได้ ซารันคงตกใจมาก ถึงกับออกตัวแรงเอาเป้ผมไปสะพายให้ 

แล้วก็ต้องเดินขึ้นบันได CHHOMRONG ที่ยาวสุดๆ เดินสวนกันไปมาทั้งคน ม้า วัว ควาย

ก็มาถึงจุดพักทานอาหารกลางวัน รอดตายไปอีกวันแล้วสิเรา **

อาหารวันนี้ก็พอได้อยู่ มีมันฝรั่งให้ แกงไก่ เครื่องเทศไม่แรงเท่าไหร่ กินเสร็จก็นั่งพัก ได้แปบเดียว ซารันก็มาเร่งให้รีบเดิน คงกลัวว่าฝนจะตกแหง่ๆๆๆ ☀

แต่ทางจากนี้ค่อนข้างง่ายๆ เพราะเป็นขาลงอย่างเดียว ยาวไป ตอนขึ้นก็ลำบากเหนื่อยล้าปวดขา ขาลงหนักกว่า บางคนก็ปวดเข่า ลงทีเข่าแทบทรุด 

วันนี้เดินค่อนข้างไกลอีกวัน เพราะเราไปพักที่ New Bridge พอตกบ่ายฝนก็เริ่มตกลง 🌧🌧 วันนี้ตกหนักมาก ระหว่างทางที่เดินไม่มีที่หลบฝน ต้องจ้ำกันอย่างเดียว ใช้ระยะเวลาเดินฝ่าสายฝนมาประมาณครึ่งชั่วโมง ก็มาเจอเพื่อนๆที่จุดพักหลบฝน นั่งพักขาหลบฝน คว้าแฟนต้าน้ำส้มมากินเพิ่มพลัง ก็เดินทางต่อ

กว่าจะมาถึงที่พัก New Bridge ผมก็อ้วกไประหว่างทางอีกหลายรอบ ถือซะว่าเป็นการ Check-in ไปในตัว แล้วก็มาถึงที่พักประมาณบ่ายสามกว่าๆ เข้าที่พักได้ เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จผมก็กระโดดเข้าถุงนอน ตั้งใจจะไปอาบน้ำเอาพรุ่งนี้ทีเดียว กินยาพาราไป 2 เม็ด หลับยาวยันเช้า 😴 ข้าวเย็นก็เสียสละให้เพื่อนๆ กินแทนกันไป…..


Day 9

NewBridge - Kathmandu Nepal 

ความไม่สมบูรณ์แบบ กับ ความสุข 

เช้านี้เราตื่นมาด้วยสภาพร่างกายที่ค่อนข้างโอเค คงเพราะได้นอนเต็มที่ บรรยากาศยามเช้าของที่นี่ดีมากๆ ไม่หนาวไม่ร้อนจนเกินไป  ท้องฟ้าสวยมากๆ 

ใช้เวลาเดินออกมาจนถึงหมู่บ้าน รถบัสมารอรับกลับเข้าเมือง

ใช้เวลาเดินทางนั่งรถบัสจาก Pokhara มาถึง Kathmandu Nepal ใช้เวลาเดินทางประมาณ 8 ชม. เหมือนกับขามายังไงยังนั้นเลย กลับเข้าเมืองเราก็เข้าพักที่เดิม แต่ไม่ได้ไปเที่ยวไหน นอนพักเอาแรงเพื่อพรุ่งนี้จะได้เดินทางกลับประเทศ


Day 10

Kathmandu Nepal - ฺBangkok

กลับบ้านเรา คนที่รักรออยู่

ทริปนี้อาจจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่เราโคตรมีความสุขเลย กับเส้นทาง Annapura BaseCamp 

อย่ารอเวลาที่จะออกเดินทางเลย มาผจญภัยกันเถอะ แล้วจะได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น
ได้รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้ ได้ฝึกทักษะการเอาตัวรอด การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และมีเรื่องเล่า
ที่เกิดขึ้นกับตัวเองต่างๆ มากมาย ถ้ามัวแต่มีข้อจำกัด อันนี้ก็ไม่ได้ อันนั้นก็ไม่ใช่ มันก็จะไม่ได้ไปไหนและไม่พบเจออะไรก็จะอยู่แต่ในกรอบเดิมๆ พบเจออะไรเดิมๆ ชีวิตมันก็จะไม่ได้เรียนรู้อะไรสักที
เราโชคดีจากการเดินทางทุกครั้ง ขอให้เราโชคดีแบบนี้ตลอดไป
ขอบคุณที่ตัวเองยังแข็งแรงและมีชีวิตอยู่เพื่อที่จะได้ออกเดินทางไปเรื่อยๆ
ป่ะ!!! ออกจาก Comfort Zone ไปผจญภัยกันเถอะ!!!


.. เพราะการเที่ยวเยอะๆ มันช่วยทำให้เราลืมเรื่องไม่สบายใจได้ระยะหนึ่ง 🙂

ช่องทางการติดตาม อัปเดตข่าวสารกันได้ที่

Fanpage :

Website" class="redactor-autoparser-object">https://www.facebook.com/EnvyJ... : https://envyjourney.com/

YouTube : เที่ยวให้คนอิจฉา

Tiktok : @envyjourney

เ ที่ ย ว ใ ห้ ค น อิ จ ฉ า

 วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2565 เวลา 13.36 น.

ความคิดเห็น