…..ปลายปีที่แล้ว ภาพๆ หนึ่งได้ผ่านเข้ามาในสายตา กระทบกระจกตาส่งข้อมูลไปที่สมองจนต้องหยุดชะงักไปชั่วขณะ หัวใจก็รับรู้ได้ในเวลาเดียวกันส่งแรงสั่นสะเทือนเบาๆ ไปทุกอณูของร่างกาย ค่อยๆหลับตาเอนกายลงบนที่นอน ปล่อยจิตวิญญาณเข้าไปอยู่ในภวังค์ วังวนความงามเหล่านั้น.......ไม่นานนักเสียงเรียกร้องจากภายในก็กระหึ่มขึ้นทันที "ไปเว้ยเพื่อน!! เรามีปาร์ตี้"
ประสบการณ์ใหม่ๆ หลากหลายอารมณ์เกิดขึ้นในทริปนี้ แต่สิ่งที่ได้รับมา มีค่าเกินคำบรรยายจริงๆ
ติดตามบันทึกเรื่องราวการเดินทางอื่นๆ ได้ที่นี่ครับ https://www.facebook.com/maxzpacker/
เริ่มกันเลย!!
วางแผนกันแบบไม่รัดกุมมากนัก เนื่องจากเวลาของสายการบินที่เราจองกับราคาที่ถูกลงจากปกติมาหน่อยทำให้มีเวลาทริปนี้ 6 วัน 5 คืน
อธิบายคร่าวๆ ตามนี้
วันที่ 12 พ.ค. 59 : ออกเดินทางจากสนามบินดอนเมือง มุ่งสู่ สนามบินที่บาหลี ต่อเครื่องภายในประเทศไปลงที่เกาะลอมบอกแล้วเดินทางต่อไปที่พักในหมู่บ้านบริเวณภูเขาไฟ
วันที่ 13-15 พ.ค. 59 : Trekking 3D2N พิชิตจุดสูงสุด 3,726 เมตรจากระดับน้ำทะเล จากนั้นเดินทางต่อ ไปที่เกาะกิลี
วันที่ 16 พ.ค. 59 : Snorkling 3 เกาะ ตามล่าเต่าทะเล นั่งเรือกลับมาที่บาหลี
วันที่ 17 พ.ค. 59 : เดินทางกลับประเทศไทย
Agency
เราได้เลือกจองกับ RUDY TREKKER เหตุผลที่เลือกเจ้านี้ เพราะเค้ามีเรือส่วนตัวไปส่งเราที่เกาะกิลีได้เลยและเราก้ขี้เกียจจะเปรียบเทียบหลายเจ้า เพราะถูกชะตากับเจ้านี้ด้วยแหละ จริงๆแล้วที่นี่ยังมีเอเจนซี่เยอะมากกว่า 40 แห่งให้เลือกนะ ลองหาดู ส่วนราคาก็อยู่ที่ คนละ 275 usd จะได้ไกด์ 1 คนละก็ลูกหาบประกบคู่ต่อคน ซึ่งเราไปกัน 4 คนก็เลยมีลูกหาบ 4 คน และเนื่องจากทราบมาอยู่บ้างแล้ว ว่าที่นี่ค่อนข้างโหด พวกเราเลยตัดสินใจจ้างลูกหาบเพิ่มอีก 1 คนเพื่อแบกสัมภาระของเรา ในราคา 20 usd ต่อวัน นอกจากนี้ธรรมเนียมของที่นี่คือการให้ทิป ไกด์และลูกหาบ มีขั้นต่ำอยู่ที่ ไกด์ 15 usd ลูกหาบ 10 usd ต่อทริปนึง เชื่อเถอะครับ ว่าให้เค้าไปเถอะ เค้าแบกของทุกอย่างให้เรากินอยู่อย่างสบายในสถานที่ลำบากแบบนั้น ถือว่าคุ้มมากๆ
ได้ประกาศนียบัตรมาด้วย
Booking flight
เราเลือกเดินทางสายการบินระหว่างประเทศ
BKK -> DPS [ Air Asia ] 06.15 - 11.30
DPS -> BKK [ Air Asia ] 12.00 - 15.15
และภายในประเทศ
DPS -> LOP [ Wings Air ] 15.00 - 15.30 แต่มีเหตุทำให้ต้องซื้อตั่วใหม่อีกใบเพราะตกเครื่อง เดี๋ยวไว้เล่าเพิ่มเติมอีกที
DPS -> LOP [ Lion Air ] 16.10 - 16.40 เครื่องบินภายในประเทศต้องระวังไว้หน่อย เพราะดีเลย์ที่นี่เป็นเรื่องปกติมากกกกกกก
โรงแรมที่พัก
ค่อนข้างหาได้ง่าย เพราะมีที่พักเยอะมาก อาจจะจองไปก่อนก็ได้ แต่พวกเราขอไปหาเอาดาบหน้า เพื่อเพิ่มความตื่นเต้น
คืนแรก เราพักของเอเจนซี่ที่หมู่บ้าน Senaru
คืนที่สองสาม เรานอนเต๊นท์บนเขา
คืนที่สี่ Coconut dream บนเกาะ Gili Trawangan
คืนที่ห้า Solaris guta hotel ที่เมืองกูต้า บาหลี
การเตรียมตัวก่อนเดินทางและสิ่งที่จำเป็น
1) เป้ 2 ใบ ใบเล็กอันนึงไว้ใส่น้ำกับกล้องตอนเดินขึ้นยอดเขา
2) รองเท้าเดินป่า เอาแบบยึดเกาะดีๆ นะ
3) ไกเตอร์ เอาไว้กันหินทรายเข้ารองเท้าตอนเดินขึ้นยอดเขา
4) รองเท้าแตะ
5) เสื้อผ้า แขนยาวหรือฮีทเทคติดมาสักตัวสองตัว ตอนเดินเหงื่อออกร้อนนิดๆ แต่กลางคืนหนาวมาก
6) เสื้อหนาวกันลม ทางเดินขึ้นลมแรงมากกกกกและหนาวสุดๆ
7) เสื้อกันฝน ติดมาเผื่อไว้
8) หมวกกันหนาว หมวกกันแดด กลางวันแดดออก กลางคืนหนาวจับใจ
9) ผ้าบัฟ ป้องกันฝุ่นได้เยอะ
10) แว่นตาดำ กันฝุ่นเข้าตา กันแดด
11) ถุงมือ ถุงเท้า เอาแบบถุงเท้าฟุตบอลมาไว้กันหนาวก็ดีนะ
12) ไฟฉายคาดหัว เลือกแบบ 80 ลูเมนขึ้นไปนะ เอาแบบที่ใช้ได้นานกว่า 4 ชม.
13) ทิชชู่เปียก ไว้ชำระล้างร่างกาย
14) ครีมกันแดด จัดเต็มมาได้เลย ไม่งั้นพัง
15) ยาสามัญ ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาแก้ปวด ยานวดหรือสเปรย์ฉีดเลยยิ่งดี
16) น้ำพริก เอาไว้ช่วยชีวิตเวลาอาหารมันไม่ถูกปาก
17) กล้อง สามารถเห็นทางช้างเผือกได้ด้วยตาเปล่าเลยย
18) Power bank สนามบินเค้าให้พกได้ไม่เกิน 30,000 mAH สองอัน
19) ปลั๊กต่อแบบกลม ของที่นี่เค้าไม่เหมือนบ้านเรา
20) แป้งโยคี ประโยชน์หลายอย่างเลยตัวนี้
21) Trekking pole ไม้เท้าพยุง สำคัญมาก เชื่อเถอะ ดีที่เอเจนซี่เราเตรียมไว้ให้เลยรอดตาย
22) Passport และเงิน
23) เตรียมร่างกายและหัวใจให้พร้อม
ปล. ครั้งแรกกับการรีวิว ผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ ณ ตรงนี้ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะอยากรีวิว ทั้งที่ไปเที่ยวมาหลายที่ แต่ที่นี่ที่เราไปมายังไม่ค่อยมีคนไทยไปมากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติโซนยุโรป เลยอยากนำเสนอให้คนไทยได้ไปกันมากขึ้น ถ้าคุณมีหัวใจรักการผจญภัย ก็ลองท่องเที่ยวไปกับพวกเราผ่านตัวหนังสือและภาพถ่ายไปก่อน จากนั้นก็ เวลาของคุณแล้ว
บ่ายที่ร้อนระอุ…. แม้แต่นกยังหาร่มเงาไม้พักพิง เสียงของความวุ่นวายในชุมชนเมืองเซแซ่ง รถลาไหลคืบคลานแย่งชิงพื้นที่ มองออกไปทางไหนก็เจอแต่ความยุ่งเหยิง ความสงบสุขอยู่ที่ใด? ผมคอยถามตัวเอง... คำตอบคงไม่ใช่สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าเป็นแน่
11 พ.ค. 2016
...22.00 หยิบจับของยัดใส่กระเป๋าเตรียมพร้อมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนออกเดินทาง ชาร์จพลังงานทุกอุปกรณ์ รวมทั้งร่างกาย
12 พ.ค. 2016
...03.00 ตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย ล้างหน้าตาล้าง โยนกระเป๋าขึ้นรถ มุ่งหน้าสู่ดอนเมือง
...04.00 พร้อมหน้าพร้อมตา เช็คอิน โหลดกระเป๋าเรียบร้อย ผ่าน ต.ม. เข้าไปด้านใน
P : "เ- ี้ยยยยย กุลืมเอามีดสวิสโหลดวะ โดนยึดไปเรียบร้อย"
M : "เอ่อออ ทำใจวะ ร่ำลามันซะนะ 555"
.
…06.00 Take off ถึงเวลาร่ำลาเมืองไทยไปตามล่าฝันที่ "อินโดนิเซียยยยยยยยยย พวกเราจะไปพิชิต ภูเขาไฟ ด้วยกานนนน "
.
.
.
...11.30 โดยประมาณก็มาถึง สนามบินเดนปาซาร์ บาหลี จากนั้นเดินไปต่อเครื่องบินภายในประเทศ
P : "เอ้ย พวกเมิง เดินกันไปก่อนเลยนะ"
M : "ทำไมวะ เกิดไรขึ้น"
P : "กูทำสายรัดกระเป๋าหายว่ะ"
M : "เมิงจะกดแฮททริกละนะ - ึส"
...13.15 เค้าท์เตอร์เปิดละ ไปเช็คอินโหลดกระเป๋าเรียบร้อย เดินขึ้นด้านบนมีแค่ 5-6 เกตเท่านั้น เกตพวกเราต้องไปคือเกต 3 แต่วิวเกต 4 ใกล้ๆสวยกว่าเลยไปถ่ายรูปกันตรงนั้นก่อน สนามบินแห่งนี้เจ๋งมาก รันเวย์ติดกับทะเล แช๊ะๆๆ ถ่ายรูป อัพเฟซ คุยไลน์ เรื่อยเปื่อย รอเครื่องออก 15.00
...14.40 ป้ะเพื่อน ไปรอตรงเกต 3 เข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวเตรียมไว้ดีกว่า
...14.50 ทำไมมันไม่ประกาศสักทีหว่า เดินไปดูหน้าจอขึ้น Last call ของสายการบินอื่น ก็ยังไม่เอะใจ
...14.55 ฝรั่งเดินมาหน้าเกต คุยกับพนักงานดูวุ่นวาย เลยเดินไปถามไฟล้ทบ้าง
Crew : "พวกคุณไปอยู่ที่ไหน ตอนนี้เครื่องได้บินออกไปแล้ว"
M : "@#!!!#-={replace88}amp;+&#$(%@!!^)^--$@!#$()"
ทำไมไม่มีประกาศว้า ฟังอยู่ตลอดหรือไม่ได้ยินวะ เถียงไปสักพักจนต้องทำใจ เดินลงมาซื้อตั๋วใหม่ ยังดีที่ราคาถูกกว่าเดิมหน่อย แค่ห้าร้อยกว่าบาทต่อคนเท่านั้น ต้องทำใจเพราะเราพลาดด้วยไม่ได้ดูเวลาเปิดเกต ยอมรับสภาพกันไป โอเคๆ เมจเสสไปบอกเอเจนซี่ ว่าเราเลื่อนเวลาไปหน่อยนะ ได้ไฟล้ทใหม่เป็น 16.10 คงจะถึงประมาณ 16.40 คราวนี้รอมันใกล้ๆ นี่ละ
...15.40 เวลาที่เกตต้องเปิดละ เดินไปถามพนักงานบอกเครื่อง ดีเลย์ ห๊ะ อะไรนะ 20 นาที เออๆ นั่งรอ
...16.00 เดินเค้าไปถามอีกรอบ เครื่องดีเลย์อีก 40 นาที นอนแมร่งตรงนี้ละ
…16.40 ในที่สุดก็ได้ขึ้นเครื่องสักที บรื้นๆ ไปต่อคิวใช้รันเวย์ นานเชียว พอบินขึ้นไป 10 นาทีเองมั้งก็ถึงแระ เกาะลอมบ๊อก
...17.30 โอ้วววว คนต้อนรับเยอะมาก อย่างกะนักกีฬากลับประเทศ แล้วเอเจ้นตรูอยู่ไหนเนี่ยย เดินเข้าไปในดงอ่านทีละป้าย ในที่สุดเอเจ้น ตะโกนเรียกชื่อผม ผมหันควับ เยส คนแถวนั้นเฮขึ้นมาเล็กน้อย เพราะผมเลตพี่แกมาสองชั่วโมงกว่า คงจะเมาท์ไว้สินะ
ล้อหมุนเดินทางต่อกันเลยยาวๆ อีกประมาณ ชั่วโมงกว่า เราก้มาถึงตัวเมืองที่เราจะแวะมาแลกเงิน ราศีจับทันทีมีเงินห้าล้านกว่าในมือ
จากนั้นก็ไปกินข้าวกันเลย อยากจะลอง บินตัง แล้ววววว เรามาแวะที่ร้านนี้ พี่คนขับรถเราเค้าบอกว่าอร่อย Yessy café พี่ที่ร้านเค้าบอกว่า ควรจะดื่มชาด้วยเพราะจะช่วยให้ฟื้นพลัง หลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทาง
เดินทางกันต่อยาวๆ ทุกคนเริ่มหลับผลอย ผมนั่งหน้าหลับได้ไม่เต็มตา บางจังหวะต้องชวนพี่เค้าคุย กลัวว่าเค้าจะพาเราเข้าข้างทาง เหมือนพี่เค้าเริ่มจะไม่ไหวแล้วเหมือนกัน เลยขอลงไปละหมาดแปป
ในที่สุดก็มาถึงโรงแรมของเราแล้วววว
ดีกว่าที่คิดไว้เลย รับ welcome drink คนอินโดชอบถาม Tea or coffee? เอ่อ กาแฟตอนนี้ก็ไม่ต้องนอนละครับ จากนั้นทางเอเจ้นก็เข้ามาอธิบายสำหรับวันพรุ่งนี้ ซึ่งเราสามารถเอาของที่ไม่จำเป็นฝากไว้ที่นี่ได้ เอาเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น ทำให้เราต้องจัดกระเป๋ากันใหม่ อาบน้ำเข้านอน เพราะพรุ่งนี้เราจะไปลุยกันแต่เช้า ..... เหมือนทั้งโรงแรมจะมีแค่เรากรุ๊ปเดียวในค่ำคืนนี้ พรุ่งนี้เส้นทางที่น่าค้นหารอเราอยู่ ....ราตรีสวัสดิ์คืนแรก
แสงสว่างเริ่มสาดส่องเข้ามาผ่านผ้าม่านผืนใหญ่ พระอาทิตย์ไม่เคยผิดสัญญาเฉกเช่นเคยยังคอยปลุกมนุษย์ผู้หลับใหลในทุกอรุณ ลืมตาขึ้นมามองออกไปท้องฟ้าวันนี้สดใส ดั่งคำกล่าวตอนรับนักเดินทาง
Trekking Day 1
ตื่นเช้าขึ้นมาวันนี้จัดการมื้อเช้าเรียบร้อยก็ออกเดินทางกันเลย
รถตู้ที่จะพาเราไปหมู่บ้าน Sembalu
เด็กน้อยกำลังเดินเท้าเข้าสู่รั้วโรงเรียน
นี่คือ ราชินีแห่งเกาะลอมบ๊อก ที่เราจะไปพิชิต ดูไม่สูงเท่าไรนะเนี่ยย
ไม่นานนัก เราก็มาถึงหมู่บ้าน ซึ่งต้องมาลงทะเบียนที่นี่กันก่อน
จากนั้น ไกด์ของเรา ซาอี้ก็จัดการแจกน้ำคนละขวด พร้อมกับปรับ trekking pole ให้เหมาะกับการเดินทางในช่วงแรก
การเดินทางในช่วงแรก หรือ ครึ่งเช้านั้นจะเป็นการเดินแบบสบายๆ ผ่านทุ่งหญ้าสะวันนา ซึ่งแดดตอนเช้าก็ไม่ได้ร้อนมากมาย
มีทางชันบ้างเป็นระยะ ซึ่งก็ไม่ได้หนักหนาสาหัส
ผ่านจุดพักแวะเป็นระยะจนท้องเริ่มร้อง ต้องการพลังงานเข้ามาเสริม ก็มาถึงที่พักกินข้าวกลางวันของเราพอดี ซึ่งคณะลูกหาบของเราได้มาถึงก่อนแล้ว เตรียมทำอาหารพร้อมกับกรุ๊ปอื่นๆ
และนี่คืออาหารของเรา ห๊ะ!!! ซาอี้.... อยู่ที่นี่ต้องกินแต่ผักหรอ ทำไมคนอื่นได้กินเนื้อ กินข้าว จำใจกินไปพร้อมความหวังว่ามันจะเป็นแค่ ออร์เดริฟ ....ฝรั่งข้างๆ มันนินทาให้เพื่อนมันฟังว่า บางกรุ๊ปก็ได้กินอาหารไม่เหมือนกันนะ T_T
ด้วยความหิว พวกเราซัดกันเรียบ ยกเว้น บุรุษผู้ไม่กินผักได้แต่นั่งเขี่ย 555
ผ่านไป 20 นาทีเห็นจะได้....และแล้ว ซาอี้ ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง จัดชุดใหญ่มาเลย คือกินหมดตอนนี้ ไม่รู้จะไปถ่ายออกตรงไหน
หลังจากกินกันอิ่มแล้ว ก็นั่งพักอีกสักพัก เพราะว่าทางต่อจากนี้ซาอี้บอกว่าจะเริ่มหนักขึ้นแล้ว จะเริ่มชันขึ้นมาหน่อย
พอมาถึงตรงนี้ก็เตรียมตัวไว้ได้เลย เพราะหลังจากนี้มีหอบ
ท่านี้คือการใช้ trekking pole ที่ถูกต้อง(เพื่อนผมมันใช้ท่านี้คลานขึ้นยอดเขา ไม่งั้นโดนลมพัดร่วงแน่)
เดินต่อมาสักระยะ ก็จะมีแต่ทางขึ้น ขึ้น ขึ้น ละก็ขึ้น แต่ยังดีที่เมฆหมอกเป็นใจ แวะมาเยี่ยมเยียน คลุ้งไปทั้งบาง อากาศก็เริ่มเย็นขึ้น สดชื่นนนนนน
จนมาถึงจุดนี้ เรียกได้ว่า อย่าได้เงยหน้าให้ท้อ ก้มหน้าก้มตาเดินพอ ขนาดใส่รองเท้ามาเต็มสูบ ยังสู้พี่ลูกหาบไม่ได้ เดินอย่างก๊ะเหาะ นึกว่าเดินอยู่พารากอน หรือยังไงยังงั้น
หลังจากที่กลั้นใจ หอบสังขารขึ้นมาทีละก้าว นั่งพักทุก 5 นาที ก็ขึ้นมาถึงระยะ 2600m. จนได้ ณ เวลา บ่ายสี่
เดินผ่านแค้มปิ้งที่ตอนนี้ โดนทะเลหมอกโหมกระหน่ำเข้าใส่
วันนี้เราจะพักกันก่อนที่นี่ และเช่นเคย ลูกหาบผู้ไม่เคยเหน็ดเหนื่อยมาถึงก่อนเรา ตั้งเต๊นท์ เตรียมอาหารไว้ให้เรา
หมอกก็แวะมาเยี่ยมตลอด เริ่มหนาวแล้ววว
และนี่คือ ห้องน้ำสุดหรูท่ามกลางขุนเขา ตกดึก เพื่อนผมทนไม่ไหวจนต้องมาจัดหนักไปหนึ่งรอบ
หลังจากสายหมอกได้ผ่านพ้นไป ก็เผยโฉมหน้าราชินีและทะเลสาป
ถ่ายรูปเล่นกันไปเรื่อยๆ จนมืดค่ำ วันนี้ซักแห้งด้วยทิชชู่เปียก เตรียมตัวเข้านอนแต่หัววัน เพราะพรุ่งนี้เราจะตื่นกันตี 2 เพื่อไปพิชิตยอดภูเขากัน .... ซาอี้แบก บินตัง มาให้ 4 กระป๋องหลับสบายกันเลยทีเดียวววว อ้อ ณ จุดๆ นี้ เห็นทางช้างเผือก ทอดยาวข้ามเขา เมฆก็เป็นใจแหวกช่องว่างให้เรามองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เพียงแต่แสงจันทร์ยังคงสว่างเลยเห็นได้ไม่ชัดนัก แต่น้องตัวดีดันถ่ายมาไม่ติด T_T เศร้าแพ๊พพ ...... เราหลับกันสบายอย่างย่ามใจ เพราะเห็นยอดเขาอยู่แค่เอื้อม โดยที่ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ ภัยพิบัติกำลังมาเยือนพวกเรา
ภูเขาสูง ตระหง่าน เทียมผืนฟ้า
อีกเมฆา พัดผ่าน ท่ามเราสอง
แดดอ่อนๆ โลมเล้า จิตใจพอง
อยากจะปรอง ครองรัก นานเท่านาน
"Good morning... hello ... hello....Good morning" เสียงแว่วที่ค่อยๆ ดังขึ้นในยามนิทราหลับใหล ปลุกให้ตื่นขึ้นมา ท้องฟ้ายังคงมืดดำสนิท เปล่งประกายทางช้างเผือกพาดยาวสองฟากฟ้า....
Trekking Day 2
ณ เวลา 02.30 ประเทศ อินโดนิเซีย
พวกเราตื่นขึ้นมาพร้อมเตรียมอุปกรณ์ออกเดินทาง ซาอี้บอกให้เราเอาเฉพาะกล้องและน้ำไปเท่านั้นพอ
!!อย่าลืมไกเตอร์,ไฟคาดหัวและไม้เท้าพยุงชีวิตด้วยนะ พวกเราออกเดินทางกันสายไปหน่อย เพราะระหว่างที่เราเตรียมตัว นั่งเดินทางคนอื่นๆ ก็ได้เดินทางไปไกลลิบแล้วว รีบเชียว
เดินมาได้ไม่กี่ร้อยเมตรก็ถึงกับร้อง โอ้ว เริ่มแล้วหรือเนี่ย ตามที่เค้าบอกมาว่า หินร่วนๆ ที่เดินไปข้างหน้าสามก้าวถอยหลังสองก้าว ก็พยายามเดินขึ้นไปเรื่อยๆ ตอนนี้อย่าหวังจะได้หยิบกล้องออกมาถ่าย เพราะมันมืดมาก
ลากสังขารท่ามกลางความหนาวเหน็บมาเรื่อยๆ เหนื่อยก็พักจนมาถึงขอบปล่องภูเขาไฟจนได้ เฮ้ ดีใจไปหนึ่งเปาะ เราจะได้เดินทางค่อนข้างราบบ้างแล้ว คราวนี้ติดสปีดเลยครับ เดินพลิ้วๆ มาถึงจุดพักก่อนจะขึ้นไปบนยอด
มองดูจากตอนมืดๆ เห็นแสงไฟหรี่ๆ บนยอดเขา คุยกันกับเพื่อน อีกนิดเดียวแล้วนี่หว่า ดูไม่น่าเกินกิโลนึง เลยถามซาอี้ ไกด์ของเรา ซึ่งก็ให้กำลังใจเหลือเกิน
U : " Sa-i How long? " (ทั้งทริปเพื่อนผมพูดอยู่สามประโยค Hello/Thank you/How long?)
Sa-i : "ยังอีกไกลจากตรงนี้ไปอีก ชั่วโมงกว่า ตรงนี้คือที่โหดสุดแล้ววว"
U&M : "ห๊ะ แค่นี้อ่านะ"
Sa-i : " Yes. take a rest "
พอพักจนพอมีแรง ก็เริ่มเดินกันต่อ แล้วก็เป็นไปตามปากซาอี้จริงๆ ไอ่อันเมื่อกี้ที่เราเจอมาตอนต้นคือไม่ใช่ที่เค้าพูดถึงกัน แต่มันคือตรงนี้ต่างหาก มันเป็นอะไรที่ลื่นไถลมาก เดินขึ้นไปแล้วไหลลงมา แล้วจะต้องผ่านจุดช่องแคบประมาณ 2 เมตร ที่สองฟากคือเหวทั้งน้าน
ด้านซ้ายอาจจะดีหน่อยคืออาจจะพอปีนขึ้นมาได้ แต่ด้านขวาคือภูเขาไฟ อย่าได้หวังจะขึ้นมา (อันนี้สังเกตจากตอนเช้านะ ตอนนั้นเดินขึ้นตอนกลางคืนมองไม่เห็นอะไร)
นอกจากนั้นยังไม่พอ ลมยังแรงได้อีก ช่างโหดร้ายกับมนุษย์เดินดินอย่างเราเสียจริง จังหวะลมพัดแรง เราก็ต้องหยุดเอาไม้เท้าปักยึดไว้อยู่อย่างนั้น
เสียงลมกระทบผ่านเสื้อผ้า พั่บๆๆๆๆๆๆๆ ต้องรอจนกว่าลมจะเบาถึงจะเดินต่อได้ เวลาที่เห็นก้อนหินก้อนใหญ่ระหว่างทาง เหมือนดั่งโล่กำบัง ต้องเดินเข้าไปหลบลมหนาวอยู่ตรงนั้นให้หายเหนื่อย จะนั่งพักแต่ละทีก็ต้องทนพายุทรายที่โดนลมพัดเข้าหน้าเข้าตาอยู่ตลอดด้วย
มองไปด้านบนก็เหมือนภาพซ้ำ เดินไปนานเท่าไรก็เหมือนยังอยู่ที่เดิม T_T อยากจะกลับตอนนี้ก็ถอยไม่ได้แล้ว....
ฮึดอีกหลายร้อยรอบ ค่อยๆ ก้าวทีละก้าวละกัน เพื่อนผมมันใช้วิธีจับไม้เท้าสองมือค้ำเดินไปทีละก้าวอย่างทุลักทุเล มองกี่ทีก็ขำ 5555 เดินไปพักไปเรื่อยๆ จนฟ้าสว่าง เราไปไม่ถึงยอดก่อนพระอาทิตย์ขึ้น เฮ้อออ
อ้อ ที่ทรมานกว่านั้นคือ ตอนเราขึ้นมาจุดยอดนี้ 4 คน ดันเอาน้ำมาขวดครึ่ง!!! ให้ตายสิ โรบิ้นนน แย่งกันกินละคร้าบบ 555 สุดท้าย ซาอี้ผู้ผ่านสนามรบนี้กว่าร้อยครั้งก็แบ่งน้ำให้เรากิน ขอบคุณคร๊าบบบ
และ และ และ และ และ แล้ววววว เราก็มาถึงจุดสุดยอดดดดด ที่ความสูง 3,726 เมตรจากระดับน้ำทะเล ถามว่าคุ้มมั้ยกับหนทางที่ผ่านมา บอกตรงๆ ผมพูดไม่ออกจริงๆ ผมเคยได้ยินเรื่องราวของสวรรค์ที่เป็นเพียงแต่ตัวหนังสือหรือคำกล่าวอ้าง แต่ ณ ตอนนี้ ผมสัมผัสมันอยู่ตรงหน้านี่แล้วว
ผมนี่ถึงกะเข่าอ่อนจนไม่อยากจะลุกไปไหนเลย จะมีแค่เจอคณะชาวจีนที่แย่งครองพื้นที่ถ่ายรูปซะครอบคลุมอาณาจักร หึหึ
ต่อจากนี้ขอบรรยายด้วยภาพละกันนะครับ ว่าทางขึ้นที่เราผ่านมาเมื่อคืนเป็นเยี่ยงไร
ดูความชันเอานะคร๊าบบบ
ทางที่มันโหดก็คือตรงนี้ละครับ เพื่อนผมถึงกะร่วงไปหลายรอบ คนนี้มันสายขึ้น เดินขึ้นปานจรวด แต่ขาลงอย่างก๊ะเต่า
ตรงข้ามกะอีกคน นั่นเค้าสายลงเหมือนกับผม พลิ้วกันเลยทีเดียว เนื่องจากใช้ทักษะการสับขาหลอก แหะๆ ลองชมคลิปดูนะครับ นี่คือตอนลง ลองจิตนาการดูว่า ขาขึ้นจะเป็นเยี่ยงไร
ด้วยความที่เป็นสายลงกะเพื่อน ก็เลยรุดหน้านำกลุ่มไปไกลมาก ทางลงนี่สนุกดีนะ สไลด์ไปเรื่อยๆ จนเกิดเหตุ T_T
คือเรื่องของเรื่องตอนแรกผมกะเพื่อนก็ตามกันมาติดๆ ทีนี้ผมหยุดจัดแจงกระเป๋าสักพักให้เพื่อนไปก่อน ผมก็ตามลงไปแซงคนนั้นทีคนนี้ที มาด้วยความเร็วจนถึงทางแยก ซึ่งต้องไปทางซ้าย(มารู้ทีหลัง) บวกกับทางที่ลื่นด้วยหินทรายทำให้ผมหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดันเอนมาด้านขวาแล้ว
ข้างหน้าคือผาตัดระยะประมาณ เมตรกว่าๆ ทำไงละครับ โดดสิคร๊าบบบ ตุ๊บ!!
ยังดีที่ข้างล่างเป็นหินทรายเลยไม่เจ็บมาก ยังไม่เอะใจ เดินลงไปต่อ เพราะเห็นเหมือนทางไปต่อได้ เดินไปสัก 100 เมตร เริ่มแปลกใจ ทำไมต้นไม้สูงที่เราเคยถ่ายรูปมันอยู่ด้านบนหว่า
เดินไปอีกนิด ชัดเจน!! ตกเขา ผิดทาง ทำไงดีวะเนี่ยย ตะโกนเรียกคน แต่ตอนนั้นไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ หรือ ไม่ได้ยินก็ไม่รู้ เอาวะ ลงต่อไปคงจะไม่มีสิ้นสุดเป็นแน่ ตัดสินใจเดินขึ้นกลับมาตรงที่จุดตก ด้วยพลังอันน้อยนิดต้องดึงรูดกิ่งไม้บริเวณนั้นเพื่อให้ขึ้นมาได้
จนสุดท้ายวกกลับมาจุดเดิมได้ เพื่อนผมอีกสองคนเพิ่งเดินผ่านจุดที่ผมตกไปพอดี โอ้ววว คราวนี้ไม่ผิดทางแล้วว โล่งง เดินเข้าไปทัก เพื่อนถึงกับงง ไปทำอะไรมา เห็นเดินมาก่อนตั้งนานแล้ว เอ่อออ พี่ตกเขาว่ะ 555
จากนั้นไม่นานก็มาถึงที่พักประมาณ 9 โมงกว่าๆ ซาอี้บอก เราจะพักกินอะไรกันนิดหน่อยแล้วเดินทางต่อ
M : "ซาอี้ ต่อจากนี้เดินลงอย่างเดียวใช่ป่าว อีกกี่ชั่วโมง"
Sa-i : "ใช่ อีกสามชั่วโมงก็ถึงทะเลสาป เราจะพักกันแค่ 15 นาที เด๋วมืดซะก่อน"
M : "สามชั่วโมง ก็ไม่เห็นจะมืดเลยนี่นา"
Sa-i : "พอเรากินข้าวกลางวันที่ทะเลสาป เล่นน้ำ แล้วเราต้องเดินขึ้นไปที่พักคืนนี้อีก สามชั่วโมง หน่ะ"
ALL : "ห๊าาาาาาาาาาาาาาาาาา"
ขอพักไว้แค่ครึ่งนึงก่อนนะครับ สำหรับวันที่สองแล้วจะมาต่ออีกทีพรุ่งนี้ต่อจากเมื่อวานนะครับ วันที่สองเป็นวันที่โหดที่สุด เพราะเราเดินกันตั้งแต่ ตีสองครึ่งถึงหนึ่งทุ่ม....
หลังจากที่พักเอาแรงได้สักหน่อยก็ต้องเตรียมตัวออกเดินทาง เพื่อลงไปยังทะเลสาป ทิ้งเต๊นท์และสัมภาระไว้ให้คณะลูกหาบจัดการเก็บกวาด
ทางลงก็ลงจริงๆ ต้องปีนป่ายลงไป ไม่รู้ลูกหาบเค้าเดินกันยังไง ทั้งที่ใส่หูคีบช้างดาว บางคนนี่ก็นะ ยังลื่นไม่พอใช่มั้ย ใส่ถุงเท้าด้วย เพื่อ??? ดูจากคลิป เอานะครับ
ระหว่างทางลง ซาอี้ก็ได้เล่าเรื่องราวของนักท่องเที่ยวที่เคยมาเสียชีวิตที่นี่หลายคน เพราะลื่นไถลกลิ้งตกเขาไป เราจึงจำเป็นต้องระมัดระวังกันเป็นพิเศษ
จนผ่านช่วงวิกฤตมาได้ ก็เดินทางเลาะหุบเขาไปเรื่อยๆ ขึ้นบ้างลงบ้างนิดหน่อย ไม่ได้หนักมากแล้วในช่วงสุดท้ายก่อนถึงทะเลสาปนี้
เริ่มเห็นสายน้ำอยู่ด้านหน้า
หุบเขาที่นี่สวยจริงๆ
และในที่สุด ภาพที่เคยเห็นติดตาจนทำให้ผมต้องมาอยู่ที่นี่ ก็ปรากฏอยู่ต่อหน้าผมนี่แล้ว
พอได้เห็นภาพนี้ทุกคนไม่รอช้า แทบจะวิ่งเข้าใส่ ด้วยความตื่นเต้นผมวิ่งลงเขาไปเพื่อจะไปสัมผัสทะเลสาปนี้แบบใกล้ๆ แต่ลืมดูสภาพตัวเอง กล้ามเนื้อขาถึงกับลั่นร้อง เป็นตะคริวสิครับ.... ร้องเรียกเพื่อนมาช่วย ต่อหน้าฝรั่งเป็นสิบ อายโคตร 555
เลยต้องเปลี่ยนวิธีมาเป็นการเดินแบบช้าๆ แทน ลากตัวเองจนมาถึงทะเลสาปจนได้ โอ้ว สวยจัง มีคนมาตกปลาที่นี่ด้วย แต่อาจจะสกปรกไปนิด เพราะจุดนี้เป็นจุดที่บางกลุ่มตั้งแค้มป์ที่นี่
ซาอี้จึงพาเราไปอีกที่ ที่ไม่ค่อยมีคน ใกล้ทางขึ้นไปที่พักด้วยและเราจะไปกินข้าวกลางวันกันที่นั่น
แหม่!! การกินข้าวกับวิวแบบนี้ มันช่างฟินจริงๆ เพิ่มรสชาติอาหารได้ดีทีเดียว
พอหนังท้องอิ่ม หนังตาก็เริ่มหย่อน สลบไปสอง ดูสภาพเอาครับ
ผมก็เพื่อนยังพอมีเรี่ยวแรง ก็เลยจะลงไปเล่นน้ำ เพื่อนผมมันโดดลงไปแล้ว หนาวใช้ได้เลย แต่ผมพยายามลงไปแต่ด้วยความที่เป็นตะคริวมาก่อนหน้านี้ ลงไปได้ครึ่งขา ถึงกับลั่น แค่นี้พอละกัน
หลักจากพักผ่อนกันไปได้หนึ่งชั่วโมง แต่ในความรู้สึกเหมือนผ่านไปแค่ 5 นาที ก็เตรียมตัวเดินทางกันต่อ เพราะเดี๋ยวจะมืดซะก่อน
จังหวะนี้เพื่อนผมมันบอกว่า มีอะไรที่แก้ปวดได้ เอามาให้หมด มันก็เลยแปะซะหมดซอง ซึ่งไม่ได้ช่วยสักกะนิสสสส 555
เตรียมพร้อม สักหนึ่งภาพก่อนจะไป
ทางต่อจากนี้ก็เป็นทางขึ้นล้วนๆ เช่นกัน แต่ไม่หนัก คงไม่มีอะไรหนักไปกว่าการขึ้นเขาเมื่อคืนอีกแล้วว
ทุกครั้งที่มองย้อนกลับมาด้านหลัง เราก็จะเห็นวิวในมุมต่างๆ กันไป ซึ่งขอบอกว่ามันสวยทุกมุมจริงๆ
เราเดินทางเลียบเลาะริมเขาไป ปีนป่ายบ้างบางจังหวะ
และเรื่องราวเซอร์ไพรซ์ก็เกิดขึ้น.....
กลิ่นไรวะ เนี่ย..... โอ้ โหวววว ชัดเจน เพลง ทิ้งไว้กลางทาง อินโทรมาเลยย ใครมันมาปล่อยอุนจิไว้ฟ่ะ เนี่ยยยยย
ฝรั่งที่ตามมาทีหลังนี่ถึงกะตะโกนด่าพวกผมที่เดินนำหน้ามาก่อน
พวกผมป่าวน้าาาา ผมไม่รู้ นี่อั้นมาสองวันแล้ว หึหึ ไอ่คนที่มันถ่ายตรงนั้นก็ช่างกล้าเสียจริงๆ
แดดเริ่มหมดลงทีละน้อยๆ ความหนาวเย็นเริ่มคลืบคลานเข้ามา เราก็ขึ้นมาถึงด้านบนปากปล่องจนได้ เห็นเต๊นท์ที่เรียงราย ถึงกับถอนหายใจ ถึงแล้วเว้ยย นั่งพักสักนิด
พอเดินขึ้นไปด้านบน ถามซาอี้ว่า เต๊นท์เราอยู่ไหน เค้าก็เดินนำไป เอ่อ ซาอี้ไปตั้งอะไรตรงน้านน นี่จะไม่ไหวกันแล้ว ที่เรามองเห็นและคาดหวังกันคือพ้นเนินเขานี้ไปเราจะเจอที่พักของเรา
ปรากฏว่ามันไม่ใช่ มายก๊อดดดด ต้องเดินต่อไปอีกหลายร้อยเมตร เราจะไปพักกันที่ Pos ไม่ใช่ crater rim ตรงนี้
ตอนนี้คือขามันไม่ไหวจริงๆ ได้แต่กระเผกๆ ไป
เห็นที่พักของเราอยู่ลิบๆ
แล้วเราก็มาถึงจนได้มืดพอดี กลุ่มเรามาตั้งที่นี่อยู่กลุ่มเดียว ไร้ซึ่งผู้คน
แต่ถึงจะมีผู้คน พวกเราทุกคนก็คงไม่ได้ใส่ใจมาก เพราะหลังจากเข้าเต๊นท์ ไม่มีใครออกมาจากเต๊นท์อีกเลย
ลูกหาบเอาอาหารมาให้ก็ส่งลอดช่องเต๊นท์เข้ามาให้ อย่างกะนักโทษ 555
อาหารไม่ถูกปาก วัยรุ่นอย่างเราชอบเผ็ดก็ต้องพกนี่ติดตัวมา ช่วยได้เยอะเลยยยย
ตอนนั้นเวลา หนึ่งทุ่ม โดยประมาณ เข้าโหมดสลบกันทุกคน จนมารู้สึกตัวอีกทีก็เช้ามืดซะแล้ววว
ถึงแม้ว่าวันนี้ ทางช้างเผือกจะชัดเจนมากกว่าเมื่อวาน แต่ไม่ได้สนใจอีกแล้ว ไม่มีใครมีพลังงานเพียงพออีกแล้ว
เป็นวันที่ทรมานร่างกายกันเหลือเกิน บอบช้ำไปทุกส่วนของร่างกาย แต่สิ่งที่แลกมานั้นก็ถือว่าคุ้มค่าเหลือเกิน
พรุ่งนี้จะเป็นการร่ำลาดินแดนมหัศจรรย์แห่งนี้แล้ว แต่มีอีกดินแดนที่รอพวกเราอยู่.......คืนอันเงียบสงบหมุนผ่านตามการโคจรของดวงดาว ตะวันเริ่มเบิกฟ้าเผยนภาที่สดใส สายลมหนาวพัดโชยผ่านกิ่งไม้ไหวเอน นี่คือวลีบอกลาสถานอันน่าจดจำ
ตื่นเช้าขึ้นมาด้วยพลังกำลัง 50 เปอร์เซ็นต์ ถ้าเปรียบเทียบกับ The sim ก็คงเป็นเพียงขีดสีส้ม 555
ห้องน้ำหลักร้อยวิวหลักล้าน คุณเคยเข้าห้องน้ำสูงที่สุดในชีวิตที่ระยะเท่าไร ไม่นับบนเครื่องบินนะ
เพื่อนผมจัดไปหนึ่งรอบก่อนออกเดินทาง แถมยังไม่ยอมกลบดินซะด้วย 555 ทิ้งไว้เป็นร่องรอยอารยธรรม
เอาละ!! พวกเราสบัดความเหนื่อยล้า เก็บข้าวของ พร้อมเดินทาง แต่เพียงแค่ก้าวแรกเท่านั้นแหละ กล้ามเนื้อก็ลั่นร้องทันที แต่ชีวิตก็ยังต้องเดินไป
วันนี้เราจะเดินลง ลง ลง ลง และลง ซึ่งในช่วงแรกจะเป็นทางลงเขาโล่งๆ เห็นท้องฟ้ากว้างๆ
หลังจากนั้นจะเข้าสู่ป่าชื้นที่อุดมสมบูรณ์....
เดินมาก่อนลูกหาบหลายนาที แต่ไม่นานลูกหาบก็มาแซงพวกเรา อีกแล้ว!!
เนื่องจากทางลงเราจะใช้แรงที่ตรงหัวเข่าค่อนข้างมาก ผมกับเพื่อนนี่ถึงกับเจ็บจี๊ดทุกจังหวะการก้าวเดิน ทรมานมาก จนสุดท้าย ซาอี้ต้องสละสายรัดเข่ามาให้ผมใช้ ซึ่งช่วยได้ดีเลย แม้ช่วงแรกจะรัดผิดวิธีไปหน่อยก็ตาม
นี่มัน หมาป่า ใช่มั้ย??? วิ่งลงเขาพริ้วเลยไอ่ตัวนี้
มีหลายตัวซะด้วย ไอ่ตัวนี้ก็ขี้เล่นนะ
เดินๆ พักๆ จนซาอี้ทำหน้าเบื่อหน่าย หึหึ
ทางเดินช่วงนี้จริงๆ ถ้าไม่เจ็บเข่ามาก่อน ก็จะลงได้อย่างง่ายๆ เพราะทางค่อนข้างสบาย เป็นดินนุ่มๆ มีต้นไม้ชุ่มชื้นสองข้างทาง
ซาอี้เล่าให้ฟังว่า ที่มีหมาบนนี้เพราะแถวนี้จะคนมาล่าสัตว์ แล้วใช้หมาพวกนี้แหละช่วยล่าพวกกวางป่า ซาอี้พยายามอธิบาย แต่ก็ยิ่งงง ช่างมันเถอะ!!
ทุกครั้งที่ก้าวขาไปทีละก้าว สายตาผมได้แต่สอดส่องหาหลักกิโลนี่ละ 4 กิโลแล้ว ครึ่งทางแล้วโว้ยยย
.
.
จนในที่สุดซุ้มประตุเส้นชัยก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า รอดตายแล้วพวกเรา
ลาก่อย!! ภูเขาไฟรินจานี ครั้งนี้ครั้งเดียวจะจดจำไปชั่วชีวิต
.
.
.
.
.
.
.
แต่เด๋วก่อนมันยังไม่จบ!! มาถึงตรงนี้เราแค่มาพักกินข้าวกลางวัน ก่อนที่จะเดินต่ออีกครึ่งชั่วโมงเพื่อไปจุดจอดรถ ระหว่างทางจะมีร้านขายของที่ระลึกไว้ติดไม้ติดมือก่อนกลับด้วย ราคาเป็นมิตรดีนะ
พอได้เจอรถเท่านั้นน้ำตาแทบจะไหล คนขับรถยังบอกว่า ถือว่าทำเวลาได้ดีมาก สำหรับคนเอเซีย วันนี้เราออกเดินทางตั้งแต่ 7 โมงเช้า มาถึง บ่ายโมง เค้าบอกถ้าเป็นพวกอื่นต้องรอถึงบ่ายสาม
ยิ่งถ้าเป็นคนอินโดแล้วละก็ อาจจะ ห้าโมงเย็นเลยด้วยซ้ำ.... เอ่อ คือปลอบใจพวกเราใช่มั้ย!!
เดินทางด้วยรถมาถึงที่พักในเวลาไม่ถึง 10 นาที ก็จัดการถ่ายรูปหมู่ แจกทิป อาบน้ำแต่งตัวให้สดชื่น หลังจากซักแห้งและไม่ได้ขับถ่ายมาสามวันเต็ม
ร่ำลาชาวคณะ แล้วจุดหมายต่อไปของเราคือ เกาะ กิ ลี...ลี ลี ลี ลี
เราจะใช้เวลาเดินทางจากที่นี่ไปประมาณ 1.30 ชม. เพื่อไปขึ้นเรือสปีดโบ้ทข้ามไปยังเกาะ Gili Trawagan ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นเกาะแห่งปาร์ตี้
เกาะกิลีจะมีอยู่สามเกาะพี่น้องที่อยู่ใกล้ๆ กัน Gili T / Gili Meno / Gili Air
ท่าเรือ
ทะเลสีคราม มันเป็นแบบนี้นี่เอง
นั่งเรือมาได้ไม่นาน เราก็มาถึงเกาะกิลี ทราวางาน แล้ว
ก็เดินไปหาเอเจนซี่ที่ทางคนขับรถแนะนำมา ว่าเป็นเครือของ Rudy เช่นกัน บริการประทับใจดี และด้วยความเหนื่อยล้าของร่างกาย พวกเราจึงตัดสินใจ เอาที่นี่ละ
รีสอร์ทแห่งนี้กำลังต่อเติมอยู่บางส่วนพอดี ส่วนราคาก็อาจจะแพงขึ้นมาหน่อยจากที่ตั้งใจไว้ ตกคนละ 500 บาท แต่ช่างเถอะ อยากพักแล้ว
ถ้าเราเดินไปตามถนน เราจะเห็นเอเจนซี่มากมาย พยายามมาขายทริปดำน้ำ หรือ เรือ เต็มไปหมด ถ้ามีแรงหรือว่างพอ ก็ลองถามหาต่อรองราคาดู คนที่นี่ใจดี คุยง่าย
ผมก็คุยกับเอเจ้นได้ทริปดำน้ำ 3 เกาะ ครึ่งวัน มาในราคา 100,000 รูปีต่อคน หรือประมาณ 300 บาทเท่านั้นเอง ถูกกว่าที่ไทยเยอะ ที่สำคัญมันสวยมาก จริงๆ
นอกจากนี้ผมก็จองตั๋วเรือสำหรับเดินทางกลับบาหลีมาด้วยเลย แต่แอบแพงกว่าเครื่องบิน ทำไงได้ ไฟล้ทที่มันเหมาะสมมันไม่มีเลย
พวกเราพักกันได้สักพัก ท้องก็เริ่มร้องหิว อยากหาอะไรกินแล้ว สิ่งที่นึกขึ้นได้ตอนนั้น คือต้องอาหารพื้นเมืองเท่านั้น ซึ่งอ่านข้อมูลมาจากหนังสือบนเครื่องบินมาบ้าง
สะเต๊ะ บักโซ บลา ๆๆๆๆ ออกมาเดินตามถนน ไม่นานก็มาเจอคุณยายคนนี้เดินแบกของเทิร์นหัวไว้ มานั่งขาย สะเต๊ะ ตรงนี้พอดี จะรออะไรละครับ ลองดูเลย สนนราคาไม้ละ 10 บาทเท่านั้นเอง
มันอร่อยมาก สะเต๊ะแบบมีรสชาติเผ็ดๆหน่อย ถูกปากมากที่สุด ยกให้เป็นอาหารที่อร่อยที่สุดในทริปนี้แล้ว
กินกันคนละไม้สองไม้ เพราะเรามีภารกิจต้องไปลองอย่างอื่นอีก เดินผ่านร้านมากมาย ยั่วยวนกระเพาะซะเหลือเกิน แต่สุดท้ายเรามาจบที่ตลาดพื้นเมือง ที่ขายอาหารพื้นเมืองเต็มไปหมด
หน้าตาอาหารดูน่ากินหลายอย่างนะ จนไม่รู้จะกินอะไรดี เลยหยิบมันมามั่วๆ สุดท้ายก็ต้องรับกรรมกันไป เพราะมันไม่อร่อยเลย แค่พอกินได้เท่านั้น คิดถึงผัดกระเพราหมูกรอบบ้านเราจริงๆ
หลังจากกินกันพออิ่มท้อง เราก็เริ่มหาร้านนั่งชิลๆ จิบเบียร์ แต่ดันไปเจอร้านนวด กล้ามเนื้อกระตุกขึ้นมาทันที เหมือนมันจะร้องเรียกหาการเยียวยา
แต่เหมือนนักท่องเที่ยวที่นี่ก็ชอบการนวดเป็นชีวิตจิตใจเฉกเช่นเดียวกับพวกเรา ทำให้ไปร้านไหนก็เต็ม หมอไม่พอบ้าง สุดท้ายเราก็มาเจอร้านนี้ ABDI spa
เจ้าของเคยไปเที่ยวและทำงานที่ไทยด้วย ก็เลยคุยกันสนุกเลย ที่สำคัญร้านนี้ถูกกว่าเค้าเพื่อนเลย 165,000 ต่อ ชม.
นวดสบายๆ วิวมองออกไปนอกระเบียงเป็นทะเล ลมพัดมาเป็นระยะ เพื่อนๆ ถึงกับฟิน พนักงานที่นี่ก็เฟรนลี่ พยายามชวนพวกเราคุย สนุกกันไป
พอกล้ามเนื้อได้รับการเยียวยา จากนี้คือสภาวะจิตใจละ ไปสะดุดกับร้านนี้ จำชื่อไม่ได้ แต่เป็นร้านที่มีบารากุ และที่นั่งแบบเอนกายได้สบาย นั่งดูฝรั่งเมารั่ว เดินผ่านไปผ่านมา ดูตลกดี
วันนี้เราได้แต่มาชมวิถียามค่ำคืนเท่านั้น เพราะพรุ่งนี้เราต้องไปดำน้ำกัน คงไม่มีใครอยากเมาเหล้าพร้อมเมาเรือ
ระหว่างทางกลับบังกะโล เจอร้าน บักโซ แบบนี้ต้องลอง ชามเดียวก่อนละ หลังจากเข็ดอาหารพื้นเมืองมาเมื่อค่ำ
พอได้ชิมเท่านั้นละ เห้ย กุเอาด้วยชามนึง สรุปจัดกันไปคนละชาม ...ได้รับรางวัลอร่อยอันดับสองสำหรับทริปนี้ไปครอง
โอ้ววว เค้ามีปาร์ตี้ที่ผับนี้นะคืนนี้ คิดถึงตอนสมัยไปทำงานที่เมกาเลย ปิงปองเกมส์ ที่ทำให้กอดโถส้วมมานักต่อนัก
เรากลับมาที่พัก แต่ก็ไม่ลืมติดไม้ติดมือสัก สองสามขวด ดันไปเจอของดีในมินิมาร์ทเข้า บินตังเลม่อน ขอบอกว่าอร่อยมาก ดื่มแล้วสดชื่นเลยยย ติดใจในบัดดล
และปล่อยให้เสียงเพลงยามราตรีหรรษานี้ขับกล่อมสู่นิทรา......
แล้วพรุ่งนี้เจอกันกับภารกิจ ล่าเต่าทะเล
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ผ่านไปหลายวันที่ไม่ได้มาอัพเดท เพราะติดภาระกิจภูเขาไฟอีกลูกอยู่นั่นเองนะครับ ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้
...เสียงคลื่นซัดฝั่ง ซ่าๆ ท้องฟ้าเปิดอ้า รับแสงตะวันของวันใหม่ เหล่าสิ่งมีชีวิตเริ่มเคลื่อนกายเติมแต่งสีสันบนโลกใบนี้
ตื่นสายได้หน่อยวันนี้ เพราะเรามีนัด 10.00 เพื่อไป snorkling 3 เกาะ เป้าหมายในวันนี้ ขอให้ได้เห็นเต่าทะเล ก็คุ้มค่าแล้ว
จัดการเก็บกระเป๋า เช็คเอาท์ เอาของไปฝากที่เอเจ้น พอมีเวลาเลยเดินดูรอบๆเกาะ ยามเช้ากันสักหน่อย เผื่อจะได้ของฝากติดไม้ติดมือมาบ้าง
ท่าเรือ
นั่งท่องเที่ยวเริ่มหาทัวร์
ริมหาด มีเรืออยู่ไม่มากนัก
บรรยากาศรอบเกาะ
เค้าขายของกันโดยแบกไว้บนหัวนี่ละ คงคอแข็งน่าดูนะ
ร้านน้ำผลไม้สดๆ ซึ่งสดจริงๆ ไม่ผสมอะไรทั้งสิ้น
สายเรกเก้ ต้องมาร้านนี้นะครับ sama sama
10.00 มานั่งรอ ตอนแรกแอบใจเสีย เพราะเจอทัวร์จีน ครับ พี่น้อง แต่ดีนะขึ้นคนละลำกัน ไม่งั้นคงหนวกหูเป็นแน่แท้
วันนี้เราจะออกเดินทางไป 3 เกาะ ด้วยกัน ซึ่งที่แรกจะเป็น Gili Meno ซึ่งจะเป็นปะการังสวยงามยาวๆๆ ว่ายไปเท่าไรก็ไม่หมดสักที
ต่อด้วยใกล้ๆ Gili Air ซึ่งเป็นที่ๆ เราไปพับกบ พบกับ เต่าทะเล ด้วยความที่พระเจ้าเข้าข้างเราเสมอ
ทำให้เมื่อมาถึงที่นี่ กระโดดน้ำ ตู้ม!! เพื่อนผมมันก็เจอเต่าทันที ตะโกนเรียกผมที่ถือโกโปรอยู่ ผมก็เลยต้องจัดฟรีสไตล์ร้อยเมตร เสมือนเป็นไมเคิ่ล เฟ้ล
เข้าไประยะประชิดระยะหนึ่ง เหมือนน้องเต่าจะรู้ตัวว่าถูกดักโจมตี รีบมุดดำดิ่งสู่ก้นทะเล จังหวะนี้คงหมดสิทธิ์ตามเสียแล้ว
คนอื่นในกลุ่มของเราอดเจอระยะประชิดแบบนี้ มีเพียงแค่ผม กะเพื่อน และ ฝรั่ง อีกคนสองคนเท่านั้น
เพราะหลังจากนี้ไกด์นำทริปของเราพยายามหาน้องเต่า แต่ก็อยู่ลึกมากจนมองแทบไม่เห็น เห็นเพียงแต่เงาดำๆ เคลื่อนไหวเท่านั้นเอง
เมื่อฟินกับน้องเต่าแล้ว เราก็ไปพักทานข้าวกลางวันกันที่ Gili Air ก่อนจะเดินทางไปดำน้ำที่ ซากเรือเก่าที่จมอยู่ใต้ทะเล เป็นที่ๆเดียวกับการดำน้ำลึกด้วย
ใครที่จะมาดำน้ำที่นี่ ขอบอกว่าต้องเป็นคนที่ไม่เมาเรือง่ายๆ นะครับ เพราะเรือมันโคลงมาก อย่างกะไว้กิ้ง มีฝรั่งจ้างเรือมารับกลับเกาะทันทีมาแล้ว
คลื่นที่เกาะแห่งนี้ นับว่าสูงมาก นักเซิร์ฟนานาชาติ ต่างมาหาความท้าทายที่เกาะนี้กัน
เรือเท่ๆ
บ่ายแก่ๆ ซักบ่ายสาม ก็หมดเวลาของโลกใต้ทะเลแล้ว เรากลับมาอาบน้ำ เก็บข้าวของที่ฝากไว้กับเอเจ้น เพื่อมาขึ้นเรือกลับไปบาหลี
ซึ่งเรือจะไปส่งเราแค่ที่ท่าเรือ แล้วเราต้องนั่งรถตู้ไปโรงแรมอีก ชั่วโมงกว่า ซึ่งไม่เสียตังค์เพิ่ม เพราะรวมในค่าเรือแล้ว
ที่พักของเราในวันนี้ เราเลือกที่ใกล้ๆ Airport ไว้ เพื่อพรุ่งนี้เราจะได้ตื่นสายกันหน่อยแล้ว ไม่ตกเครื่อง
แต่เรามาถึงที่นี่ก็ค่ำเสียแล้ว ไม่มีเวลาให้ทำอะไร นอกจากหาอาหารพื้นเมืองกินแล้ว ซื้อของเล็กๆน้อยๆ ก็มาจิบเบียร์ เล่นน้ำสระว่ายน้ำโรงแรม ชิลๆ ไป
Z..z..ZZ....ZZzZZZ.zZZ
เนื่องจากเมื่อคืนได้สอบถามโรงแรมว่า แท๊กซี่ไปสนามบินราคาเท่าไร ทางโรงแรมคิดเราที่ คันละ 100,000 rp เราลองไปถามตามร้านค้าข้างถนน ส่วนใหญ่ก็คิดราคา 50,000 rp ทั้งน้าน
แต่สุดท้ายด้วยความเป็นนักเดินทางในสายเลือด เราจึงตัดสินใจ "เดิน" หาอาหารเช้ากินกัน ก่อนจะไปสนามบิน แต่จนแล้วจนรอดก็เดินไปสนามบินซะเลย ฟิตๆ
เราเดินเพื่อชมเมืองบาหลี ซึ่งมันมีเอกลักษณ์ส่วนตัวที่น่าค้นหาเสียจริงๆ ไว้คราวหน้า ถ้ามีโอกาส เราจะกลับมาที่อีกครั้ง บาหลี
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาถึงตรงนี้ หากมีข้อสงสัยใดที่ผมอาจจะช่วยเหลือได้ ก็หลังไมค์มาได้นะครับ หวังว่าทุกคนที่อ่านจบแล้ว
จะได้เริ่มเส้นทางของตัวเองบ้าง เพราะความสนุก ท้าทายรอคุณอยู่
สิ่งที่สวยงามบางครั้งก็ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาได้แค่เพียงรูปภาพ
เพราะบางครั้ง เราสัมผัสสิ่งเหล่านั้นด้วยหัวใจ.... เฉกเช่น มิตรภาพที่มีให้กัน
แล้วพบกันทริปต่อไปนะครับ ขอฝากไว้ในความทรงจำ MaxzPacker
MaxzPacker
วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2559 เวลา 15.40 น.