ภูเขายอดฮิตสำหรับการดูดาว กางเต๊นท์ ชมนกชมไม้ คงหนีไม่พ้น "ภูสอยดาว" ที่ปฏิเสธไม่ได้เลย ว่าครั้งเดียวไม่เคยพอ....



ถึงแม้จะมีหลากหลายสิ่งที่คาดหวังบนที่แห่งนี้ จะไม่ได้ตามที่หวัง ไม่มีดาวเต็มท้องฟ้า ไม่มีดอกไม้บานเต็มทุ่ง แต่มันก็ให้ประสบการณ์ที่มากกว่า การที่ไม่เริ่มออกเดินทาง



ติดตามบันทึกการเดินทางอื่นๆ ได้ที่ https://www.facebook.com/maxzpacker/ หรือ https://th.readme.me/id/MaxzPacker



ทริปรวบจากน้ำตกหมันแดงมาภูสอยดาว ดูรีวิวเก่าได้ที่ http://m.pantip.com/topic/35429316
ต่อเนื่องจากภูหินร่องกล้าเดินทางเข้าสู่ภูสอยดาว ซึ่งปกติคนส่วนใหญ่ก็มักจะเลือกภูหินร่องกล้า ทับเบิก เขาค้อ เพราะอยู่ในบริเวณใกล้ๆ กัน เดินทางได้สะดวกกว่าและสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนก็ค่อนข้างเยอะ



แต่ผมอาจจะเป็นพวกบ้าพลังไม่ก็โรคจิต เสพย์ติดความลำบาก เลยเลือกเส้นทางนี้ อีกเหตุผลคือนัดเพื่อนทางพันทิปนี่ละไว้แล้วด้วย ก็ไม่อยากให้เสียสัจจะลูกผู้ชาย



จากภูหินร่องกล้ามุ่งหน้าเข้าสู่ภูสอยดาว ระยะทาง 150 กิโลกว่าๆ ขับรถใช้เวลา 3 ชั่วโมงนิดๆ ตอนแรกก็เอะใจ ทำไมดูระยะทางไม่น่าจะเกิน 2 ชั่วโมง แต่ที่ไหนได้ คือทางมันก็มีคดเคี้ยวตามเขา ทำความเร็วไม่ได้ แต่วิวสองข้างทางนั้นก็พอให้ชื่นใจ สบายตา

ตื่นเช้ามาเก็บเต๊นท์ข้าวของเรียบร้อย ไปกินข้าวเจอพี่ๆที่ไปลุยน้ำตกด้วยกันมาอีกครั้ง ทีนี้ก็เม้ามอยกันยาวไปหน่อยจนลืมดูเวลา กว่าจะออกก็ปาไป 9 โมงกว่าแล้ว


.

.

.

เที่ยงกว่าๆ ก็มาถึง อช.ภูสอยดาว กินข้าวที่ร้านค้าสวัสดิการนี่ละ แพ็คกระเป๋าอีกรอบเอาไปเฉพาะที่จำเป็นจริงๆ จากนั้นติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อรับใบเช่าของด้านบน ที่นี่ จนท. เค้าจะให้กระดาษมาติ๊กว่าตอนอยู่ด้านบนเราจะเช่าอะไรบ้าง พวก เต๊นท์ ถุงนอน เตาปิ้งย่าง ถังน้ำ บลาๆๆ แล้วค่อยมาชำระเงินด้านล่างตอนขาลง



จัดการเสร็จเรียบร้อยก็จะมีรถไม้มารับเราไปส่งที่ทางขึ้นภูเขาซึ่งห่างออกไปสัก 2-3 กิโล

แหม่ะ!! ใช้แรงงานเด็กมาขายตั๋วนะเนี่ยย


เอาละ พร้อมแล้ว 6.5 กิโล ไปลานสนภูสอยดาว ตามปกติคนส่วนใหญ่ใช้เวลา 4-6 ชม. มักจะมาเริ่มเดินกันในตอนเช้า


แต่ขณะนี้เวลา 13.49 ณ ความสูง 639 เมตรจากระดับน้ำทะเล ถ้าไม่รีบทำเวลาคงจะมืดเป็นแน่แท้ ด้วยความที่ว่ายังเข็ดกับการเดินป่าตอนมืดเมื่อวานที่ลานหินปุ่ม ทำให้ผมต้องสปีดในการเดินขึ้นครั้งนี้อย่างมากกกกก


เข้ามาได้สักร้อยสองร้อยเมตร ก็จะเจอน้ำตกภูสอยดาว บางคนก็ไม่ได้มาเดินขึ้นเขาแต่มาเล่นแค่น้ำตกก็มีนะ


เดินเท้าช่วงแรกๆ ก็ค่อนข้างสบายลัดเลาะทางน้ำตกไปเรื่อยๆ จนมาถึงเนินส่งญาติ จะเป็นจุดเริ่มต้นความชันละ ถ่ายรูปนี้เสร็จผมก็เก็บกล้องเลย เพราะจะเดินผ่านความชันนี้ให้ทันก่อนมืด


ภูสอยดาวมี 5 เนินด้วยกัน เริ่มจากเนินส่งญาติ > เนินปราบเซียน > เนินป่ากอ > เนินเสือโคร่ง > และโหดๆเลยเนินมรณะ


.

.

.

เดินทางมาเรื่อยๆ มองหาป้ายหลักกิโลไว้ปลอบใจ แทบไม่ได้พักเพราะว่ามีแมลงค่อนข้างเยอะ เวลาพักมันก็จะมารุมๆ อาจจะเพราะไม่ได้อาบน้ำหรือเปล่าหว่า 55 (แต่แมลงก็ยังไม่เท่าเขาหลวงสุโขทัยนะ)



เดินผ่านกลุ่มนักท่องเที่ยวมาหลายๆ กลุ่ม บ้างก็เจอคนมาวิ่งเทรลที่นี่ด้วย เหมือนจะมาซ้อมก่อนไปลงแข่งนะ



ป่าหน้าฝนก็มักจะมีความชุ่มชื้นจนเห็ดขึ้นแบบนี้นี่ละ อยากจะเด็ดมาไว้เป็นมื้อค่ำเสียจริงๆ แต่ไม่รู้มันกินได้หรือป่าว

วาร์ปมาที่เนินสุดท้ายเลยละกันนะ ระหว่างทางนี่ยอมรับเลยว่าผมไม่ค่อยได้มองข้างทางสักเท่าไร ได้แต่ใช้ร่างกายสัมผัสบรรยากาศโดยรอบ มาถึงจุดนี้ก็พักยก ถามพี่ลูกหาบเค้าว่า ลานสนคือเขาลูกไหน พี่แกก็ชี้ไปโน่น โอ้ว ดูสูงเนอะ กับระยะทางที่เหลือช่วงสุดท้ายนี้


เนินมรณะ!! พอได้เดินผ่านไปเท่านั้นแหละ เพิ่งได้รู้ว่านรกมรณะมันไม่ได้อยู่ด้านล่างอย่างที่เคยได้ยินมา แต่มันต้องเดินขึ้น!! ค่อยๆ ก้าวทีละก้าว กล้ามเนื้อเริ่มตึงๆทีละน้อย สัมผัสได้ถึงแรงโน้มถ่วงมาฉุดรั้งเป้ที่สะพายอยู่บนบ่า ความเหนื่อยล้าจากเมื่อวานที่ต้องเดินกว่า 10 กิโล เริ่มส่งผลกระทบ จนมาเจอน้องคนนี้



ผม : อ่าว น้อง!! อายุเท่าไรเนี่ย


น้อง : 11 ขวบครับ

ผม : โหววว มากะใคร (คิดในใจ ลูกหาบจริงๆ ด้วย )

น้อง : พ่อแม่ (หาบนำหน้าไปแล้ว)

ผม : กี่กิโลละเนี่ย ตัวเล็กนิดเดียวเอง

น้อง : สัก 15 โลครับ สองรอบละวันนี้

ผม : หืออออออ กินน้ำมั้ย พี่มีเหลือ (น้องนั่งพักไม่มีขวดน้ำติดมาเลย)

น้อง : ........ (เงียบ อาจจะเพราะเกรงใจ)

ผม : อ้ะ พี่แบ่งให้กิน (ยัดเยียดๆ แต่น้องมันก็ดูดไปหลายอึก ท่าจะเหนื่อยมาก)

แล้วเจอกันด้านบนละ พี่ไปต่อละ



เด็กน้อยยังแบกของหนักเดินขึ้นมาได้ แถมสองรอบด้วยซ้ำ กำลังใจมาเลยทีเดียว ฮึ่บๆๆ



กว่าจะถึงลานสนต้องเจอกับ บันไดดูดพลัง หลายอันเลยทีเดียว

แต่ยิ่งสูงขึ้นๆ ก็จะพบกับความสวยงามแบบนี้ ลมก็พัดพาความเย็นเข้าประทะร่างกาย คือมันใช่มาก ฟีลลิ่งดีสุด เดินต่อๆ ใกล้ถึงแล้วววว มีหลายคนที่เดินทางลงเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นลูกหาบ ทุกคนล้วนให้กำลังใจ ว่าใกล้ถึงแล้ว อีกนิดเดียว


แล้วในที่สุดก็มาถึงจนได้ "ผู้พิชิตลานสนภูสอยดาว" เวลา 17.06 ณ ความสูง 1533 เมตรจากระดับน้ำทะเล ทำไมมันหายไปร้อยนึงหว่า นาฬิกาเสียหรือระดับน้ำทะเลมันลดลงหว่า


จากป้ายนี้เดินต่อไปอีกนิดเดียวก็ถึงลานกางเต๊นท์แล้ว เพื่อไปสมทบกับสมาชิกที่เดินนำผมมาก่อนแต่เช้าแล้ว


เหล่าสมาชิก


ติดต่อ จนท. อีกทีจัดแจงเช่าอุปกรณ์ ถังน้ำ เตาปิ้งย่าง ได้เจอเพื่อนๆ แล้ว รวมตัวกันได้ ก็ไปจองพื้นที่หน้าเทอร์โมมิเตอร์ จนเป็นที่มาของ VIP Thermometer ในภายหลัง


หลังจากจัดแจงเต๊นท์เรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาของอาหาร อันนี้ก็ต้องขอบคุณสมาชิกที่เตรียมอาหารมาหลายชนิดเหลือเกิน ไม่งั้นผมคงได้กินแต่ มาม่าและอาหารสำเร็จที่รสชาติห่วยๆ เท่านั้นแน่ๆ



เมนูเย็นวันนี้ของเราขอนำเสนอ มาม่าปลากระป๋อง ไก่ย่าง ไส้กรอก และทีเด็ดตีนไก่ย่างพร้อมเล็บ!!!

ช่างเป็นมื้ออาหารที่สนุกสนานจริงๆ ต่างคนต่างมาจากคนละที่ไม่รู้จักกันมาก่อน แต่เหมือนสนิทกันได้อย่างรวดเร็ว ช่วยกันทำกินไป แซวกันไป ผมนี่พกข้าวสารที่แถมมาจากปั๊มบางจากไปด้วย รับหน้าที่หุงข้าว มื้อแรก เละไม่เป็นท่า อับอายมาก ข้าวแข็งซะ นึกว่าข้าวเปลือก 55 ก็มันไม่ถ้วยตวงนี่นา อ้างได้มั้ยย แต่ทุกคนก็กินกันนะ



แต่ที่ฮาสุดๆ คือ ตีนไก่ย่างนี่ละ เพื่อนซื้อมาแต่ดั้นลืมให้เค้าถอดเล็บมาด้วย แหม่ะ ยาวเฟื้อยย ย่างมันทั้งอย่างนี้นี่ละ ไหม้บ้าง ดิบบ้าง แต่ก็กินกันนะ ยังมีไปแบ่ง จนท. แสดงออกถึงความมีน้ำใจ แต่ จนท. บอกกลับมา น้องงงงง เล็บมันติดคอพี่!!! 55555 ปฏิสัมพันธิ์ที่ดีมันต้องมีสตอรี่ให้จดจำ จริงมั้ย!!



การอาบน้ำที่นี่ ไม่มีน้ำไหลต่อท่อไปที่ห้องน้ำแต่อย่างใด ต้องเช่ากระแป๋ง แล้วก็แบกไปอาบในห้องน้ำเอาเองนะ ส่วนน้ำที่ใช้ก็เป็นน้ำฝนที่รองไว้ในถัง ถ้าหมดก็ต้องไปตักน้ำจากลำธารเองจ้า กระแป๋งนึงก็ต้องใช้ให้พอนะ ไม่งั้นก็ต้องออกมาตักอีกรอบ วางแผนอาบน้ำดีๆละ ไม่งั้นได้เปลือยออกมาตักน้ำแน่ๆ

อ้อ ทางที่ดีควรอาบน้ำในช่วงที่มีแสงอยู่นะ อย่ารอให้มืดค่ำ มันจะลำบาก เพราะไฟฟ้าไม่มี ต้องใช้ไฟฉายอีกแล้วก็มันหนาวด้วย เด๋วจะไม่กล้าอาบน้ำแบบผม 555 ซักแห้งวันที่สอง



ส่วนน้ำดื่ม ก็จะมีน้ำที่กรองไว้ให้ แยกจากถังน้ำฝน ไม่ต้องแบกมาเยอะถ้าจะมาหลายวันหรือกลัวไม่พอ นอกเสียจากจะกินแต่น้ำแร่นะ หุหุ



ในระหว่างทำอาหารอยู่นั้น พระอาทิตย์ก็เริ่มจะลาลับขอบฟ้า ผมเลยต้องหยุด หยิบกล้อง วิ่งไปถ่ายรูป ตอนแรกก็กะจะไม่ไปอยุ่แล้วเพราะคิดว่า ค่อยถ่ายพรุ่งนี้ก็ได้ แต่มองไกลๆ แล้วแสงมันสวยจนอดใจไม่อยู่ เลยได้ภาพเหล่านี้มา

เวลาที่พระอาทิตย์ตกฟ้ามักจะเปลี่ยนสี ดูงดงามทุกครั้งไป แม้เมฆหมอกจะบดบังบ้างก็ตาม



โบกมือลาตะวันเรียบร้อยแล้ว กลับมาทำอาหารกินกันต่อ จนท. ก็ใจดี้ใจดี มาก่อกองไฟให้ไว้กันหนาว บอกแล้วว่ากลุ่มเรามัน VIP พอฟ้าเริ่มมืดหมอกก็ลงมาทั่วบริเวณลานกางเต๊นท์ ลมหนาวก็พัดมา ต้องหยิบเสื้อหนาวมาใส่กัน นั่งตั้งวงกินข้าวคุยกันยามค่ำคืน จนล้มตัวนอนหลับ หมดพลังแล้วกับวันนี้

ไฮไลท์ของที่นี่คือการดูดาวยามค่ำคืน ผมก็อยากจะถ่ายดาว แต่มองไม่เห็นสักกะดวงเพราะฟ้าไม่เปิด ก็เรามันมาหน้าฝนเองนี่นา ได้แต่หวังว่าพรุ่งนี้คงจะมีโอกาสได้เห็นดาวกับวิวที่ร่ำลือของภูสอยดาวแห่งนี้



พรุ่งนี้ยังมีเรื่องราวรอพวกเราอยู่ แม้จะมีสมาชิกสองคนต้องร่ำลากันไปก่อนในรุ่งเช้า ราตรีสวัสดิ์ตื่นเช้ามาพร้อมกับมวลหมอกคลุกเคล้าอยู่รอบตัว อยากให้เช้าทุกวันมันเป็นแบบนี้เสียจริงๆ



สูดลมหายใจลึกๆ ให้เต็มปอด ในเมืองกรุงเราคงไม่ได้เจออะไรแบบนี้ ซู้ดดดดดดดดดดด



วันนี้เราจะเดินทางเพื่อชมความงามโดยรอบลานสนแห่งนี้ แต่กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ทำอาหารเช้าแบบง่ายๆ กินกัน โจ้ก มาม่า เพื่อนสองคนต้องเดินทางกลับลงไปก่อนในเช้าวันนี้ น่าเสียดายจริงๆ พออิ่มท้องก็เก็บของพร้อมเดินทาง เราเริ่มออกเดินผ่านซุ้มของเจ้าหน้าที่ไปด้านหลังที่มีลำธารน้ำนั่นละ

นี่ก็สายแล้วนะ แดดออกแต่หมอกก็ยังไม่หมดไป ดูมันเข้ากันดีกะต้นสนเหล่านี้


เดินมาไม่ไกลมากนักก็จะมาพบกับ หลักกั้นเขตแดนไทยลาว แค่ก้าวเดียวก็ข้ามประเทศละ ไม่ต้องใช้พาสปอร์ตใดๆ ทั้งสิ้น


แวะเข้าไปฝั่งลาวกันหน่อยละกัน


ลองถ่ายโกโปรบ้าง


เข้าไปไม่ได้ลึกมาก ก็ย้อนกลับออกมา กลัวโดนข้าศึกจับ หืมมม



เดินต่อๆ ผ่านลานสนไปเรื่อยๆ ชิลๆ

ถ่ายรูปเล่นได้ไม่มีเบื่อ


จนมาเจอทางขึ้นยอดเขาเล็กๆ ก็เลยเดินไปสำรวจสักกะหน่อย ณ จุดๆ นี้ อากาศดีมาก ถึงแม้แดดจะเริ่มออกให้รุ้สึกร้อนนิดๆ แต่อากาศที่พัดผ่านยอดเขาแบบนี้ มันทำให้รู้สึกถึงความหนาวเย็นชื่นใจ


ด้านบนนี้มองได้รอบทิศเลย สวยมากกกก


ด้านหลังนั่นคือ ยอดสองพันหนึ่ง (2,102 เมตรจากระดับน้ำทะเล)


นั่งฟินอยู่ด้านบนนั้นสักพักใหญ่เลยทีเดียวววว


พอเดินลงมาจากด้านบน เราก็เดินไปต่อจนถึงจุดชมวิวพระอาทิตย์ตก


หันไปด้านหลังก็จะเห็นยอดสองพันหนึ่งเด่นตระหง่านอยู่ตรงนั้น เบื้องล่างคือลานกางเต๊นท์นั่นเอง มาถึงตรงนี้เราก็เดินวนมาเกือบจะครบรอบละ


ระหว่างทางที่เราเดินมาวันนี้ๆ ก็จะมีหลายๆ จุดที่ดอกไม้สวยงามต่างๆ แต่เนื่องจากช่วงเดือนนี้มันยังไม่เบ่งบานเต็มที่ ก็เลยไม่ค่อยจะมีให้เห็นเยอะสักเท่าไรนัก อาจจะต้องมาช่วงปลายฝน ต.ค. - พ.ย. ถึงจะได้เห็นแบบเยอะๆ


นางเอกของภูสอยดาว คือ เจ้านี่ ดอกหงอนนาค หรือ ราชินีแห่งภูสอยดาวนั่นเอง


เราวนรอบกลับมาหาไรกินกลางวัน งีบ พักผ่อนเอาแรงสักหน่อย ก่อนจะเดินทางไปต่อที่น้ำตกสายทิพย์ กลางวันแดดออกละ ถึงเวลาอาบน้ำได้แล้ว หลังจากซักแห้งมาสองวันกว่า (จริงๆ แล้วใช้ทิชชู่เปียกทำความสะอาดนะ)



เปลี่ยนรองเท้าเป็นอีแตะ เพราะว่าคงได้ลุยน้ำตกแน่ๆ เดินห่างออกมาจากลานกางเต๊นท์ไม่เท่าไรก็จะเจอทางเข้าน้ำตกสายทิพย์แล้ว

เดินเข้าไปก็จะพบทางลงค่อนข้างชันเพื่อไปเจอน้ำตก ดูจากทิศทางแล้วน่าจะมาจากลำธารที่เราไปตักน้ำอาบนั่นละ พอลงมาถึงลำธารก็หันไปทางซ้ายจะเจอน้ำตก ตอนแรกก็คิดว่า แค่นี้เองหรอ ทำไมมันดูน้อยจัง (คือตอนแรกไม่ได้หันขวามองทางเล้ยย)


อ้อ ระหว่างทางที่เดินมาในวันนี้อาจจะต้องระวังผึ้งสักหน่อย ไม่งั้นอาจจะโดนผึ้งต่อยเหมือนผม สองจุดเลย ทำไมคนอื่นไม่เห็นโดนนะ



เดินกลับออกมาด้วยความผิดหวังเล็กๆ อ่าว มันมีทางไปต่อนี่หว่า กับข้อความ ระวังทางชันมาก!! แอบลื่นด้วยนะเพราะว่าใส่อีแตะมา

จริงๆแล้วน้ำตกสายทิพย์มันน่าจะมีหลายชั้นอยู่นะ เพราะมันมีทางลงไปไม่สิ้นสุด อาจจะเป็นน้ำตกนี้รึป่าวที่พาดยาวลงไปถึงลำธารด้านล่างนั่น??


เมเปิ้ลก็มีนะ


Snickers หลังจากทิ้งไว้ตากแดดจนมันเหลว ต้องเอามาแช่น้ำเย็นสักหน่อย


หากใครจะเล่นน้ำที่นี่ก็สามารถทำได้ แต่ดูให้ดีๆ นะ เผื่อมีใครอาบน้ำอยู่บนต้นน้ำนั่น อิอิ



ถ่ายรูปเล่นจนแบตจะหมด ก็ถึงเวลาต้องเดินกลับ ทีนี้ก็เป็นทางขึ้นอีกแล้ว เชิ้บๆๆ เหนื่อยใช่เล่น

บ่ายแก่ๆ แล้ว กลับไปเตรียมอาหารกันดีกว่า วันนี้มื้อใหญ่แน่ เพราะฝาก จนท. ซื้อหมูมาสองกิโล สำหรับย่างกิน แต่ จนท. ยังไม่ขึ้นมาสักทีเลยทำได้แค่หุงข้าวรอไปก่อน......


เริ่มเย็นละ ไปรอดูพระอาทิตย์ตกกันดีกว่า


ยอดสองพันหนึ่ง


สิ่งที่พลาดในทริปนี้จริงๆ คือ ไม่ได้ศึกษามาก่อนว่าการจะขึ้นยอดสองพันหนึ่งนั้น ต้องรอให้หมดฝนซะก่อนเพราะทางที่จะไปนั้นมันโหด ลื่นและชันมาก



ระยะทางแค่ 2-3 กิโล แต่ต้องใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมง ต้องมี จนท. นำทาง ใช้อุปกรณ์เซฟตี้ ไต่เชือกในบางจุด ดังนั้นช่วงนี้คือหน้าฝน ทาง จนท. ไม่อนุญาติให้ขึ้น Y-Y #ร้องไห้หนักมากกกก

ขณะที่เฝ้ารออาทิตย์อัสดงอยู่นั้น


หันกลับไปด้านหลัง ไม่อยากจะละสายตาอีกเลยกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า เกิดความหลงรักขึ้นมาในบัดดล


เมื่อแสงตะวันระบายสีบนผืนฟ้า พาดผ่านดวงจันทร์ สายหมอกคลืบคลานครอบคลุมขุนเขา...


หันกลับมาอีกทีอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไปแล้วว แต่ยังคงส่องประกายแสงสีทอง


คำถามที่หลายคนมักสงสัย ว่าทำไมต้องลำบากเดินทางมาไกล เพื่ออะไรกัน??



ภาพเหล่านี้อาจจะเป็นหนึ่งในตัวแทนคำตอบของเหล่านักเดินทาง แต่คุณไม่มีทางรู้ความหมายของมัน ถ้าคุณไม่ได้มาเห็นมันด้วยสองตา หรือ สัมผัสมันด้วยทุกอณูของร่างกายคุณเอง ความสวยงามของภาพถ่ายก็ไม่อาจเทียบเท่ากับการที่สัมผัสด้วยตัวเองได้เลย

.

.

.

ถึงตอนนี้แบตเตอร์รี่กล้องได้หมดแล้วทั้งสองก้อน ถึงกับซึมไปสักพักนึง -_-" กลับเต๊นท์กันดีกว่า



พวกเราเดินกลับมารอหมูที่ซุ้ม จนท. นั่งคุยกันไปไม่นาน พี่ลูกหาบที่หลายๆคน เฝ้ารอก็มาถึง พร้อมกับสเบียงเต็มถุง!!



ระหว่างที่รอหมักหมู ก่อฟืนไฟ พี่ จนท. ก็ชวนคุยเรื่องการเดินทางไปยอดสองพันหนึ่ง ยิ่งฟังก็ยิ่งขนลุก อยากจะไปเสียให้ได้ แต่คงจะเปิดให้ขึ้นก็คงประมาณปลายเดือนตุลา หรืออาจจะเหมาะกว่าที่จะมาช่วงพฤศจิกา เพราะดอกไม้จะบานสะพรั่ง หงอนนอคเอย เมเปิ้ลเอย แค่คิดก็ฟินแล้วว



จากที่ได้สนทนากับ จนท. มาหลายคน หลายที่ ผมรู้สึกว่า จนท. ที่นี่เป็นกันเองกว่าที่ไหนๆ ใจดีกันทุกคนจริงๆ บางคนก็แบ่งน้ำสมุนไพรให้ลอง อิอิ จำชื่อน้ำไม่ได้ แต่คุ้นๆ ว่า น้ำดาวลอย ประมาณนี้นะ เหมือนเหล้าขาวแต่กลิ่นเบากว่าเยอะ กินแล้วร้อนผ่าวเหมือนกัน คลายหนาวได้ดีเลย แหะๆ



เหล่านักท่องเที่ยวจากคนละที่ก็มานั่งเล่น นั่งคุยกันตรงนี้นี่ละ หน้ากองไฟ



เพื่อนเดินมาตามผมละ เพราะมัวแต่เม้ามอยไม่ช่วยทำอาหารเล้ย 55 จริงๆ กะลังเพลินๆ กับการจิบเบียร์หน้ากองไฟ



มื้อค่ำวันนี้ นอกจากหมูย่างที่เราทำกินกันแล้ว ก็ยังมีส้มตำ ลาบเหนือและอื่นๆ อีกหลายอย่าง ที่มีคนมาแบ่งปันให้กลุ่มพวกเรา ต้องขอบคุณสมาชิกในกลุ่มเรา สงสัยจะเป็นเสน่ห์ของเทอๆ ที่ทำให้กลุ่มเรากลายเป็น VIP หน้าเทอร์โมมิเตอร์ซะงั้น



นอกจากนี้ยังมี จนท. มาคอยดูแลฟืนไฟ นั่งคุยเล่นอีกด้วยนะ ธรรมดาซะที่ไหนละ



พอกินกันอิ่มละ คืนสุดท้ายนี้ก็หากิจกรรมทำกันหน่อยดีกว่า เล่นไพ่ละกัน แต่บทลงโทษเราคือกินน้ำ ก็กินกันจนปวดฉี่ แต่คือห้องน้ำอยู่ไกลหน่อยและมืด หนาวด้วย ทำให้ต่างคนต่างไม่ยอมกันเลยทีเดียว สุดท้ายคือก็ต้องเดินไปพร้อมกันนี่ละ 55



ฝนก็เริ่มโปรยปรายๆ ดาวเดือนไม่ต้องมองร๊อก แม้แต่พระจันทร์ยังเห็นแค่แสงลางๆ พอพวกเราเข้านอนไปได้สักพัก ฝนก็ลงหนัก ลมพัดแรงมาก เต๊นท์แทบจะปลิว พั่บๆ ๆๆ จะรอดมั้ยเนี่ย เต๊นท์ยิ่งเล็กๆ อยู่ด้วย แต่ก็ผลอยหลับไปในที่สุด



ตื่นมาอีกทีก็เช้าแล้ว ปรากฏว่า สมาชิกสาวๆ ก็ไปรวมตัวกันอยู่เต๊นท์เดียวกันซะหมด เพราะน้ำท่วมเต๊นท์ค้าบบ เสียกล้องไปหนึ่งตัว T_T ได้แต่หวังว่ามันจะฟื้นคืนชีพมาได้



เช้านี้เรากินข้าวเสร็จก็เก็บข้าวของเดินลงภูกัน ย้อนกลับทางเดิม ลุย!!

มุมนี้ต้องมานะ เพราะมันได้ฟีลลิ่งมาก อากาศเย็นๆ วิวภูเขากว้างใหญ่มากกกก



ค่อยๆ เดินลง คุยเม้ามอยกันสนุกสนาน บ่นบ้าง ปล่อยมุขบ้าง บางจังหวะก็มีการลื่นไถลกันบ้าง ฮาๆ กันไป



ระหว่างทางจริงๆ แล้วก็มีต้นไม้อยู่หลากหลายชนิดทั้งสองข้างทาง

จนมาเจอลำธาร ก็เหมือนเป็นสัญญาณบอกว่าใกล้ถึงแล้ว ขาลงเพื่อนๆ ก็ทำเวลากันได้ดี เพียงสามชั่วโมงกว่าๆ ก็มาถึงข้างล่างกันแล้ว


ถ่ายรูปป้ายนี้เพื่อย้ำเตือนตัวเองว่าจะกลับมา พิชิตยอดสองพันหนึ่ง ยอดเขาสูงอันดับสี่ในสยาม


เดินทางผ่านภูเขาเนินทั้งห้า


เหล่าผู้กล้ารำพึงหา ณ ลานสน

เนินส่งญาติเนินปราบเซียนเรียนรู้ตน

ต้องอดทนแม้เหนื่อยหน่ายทั้งกายใจ



เนินป่าก่อต่อเนื่องเนินเสือโคร่ง

ทางปลอดโปร่งหาใช่เจ้าเสือไหน

แต่กลับเป็นนางพญาพนาไพร

สวยสดใสงามสง่าพาเพลิดเพลิน



เนินสุดท้ายนามว่ามรณะ

พสุธะสูงชันน่าใจหาย

แม้กำลังเวลานี้ใกล้มลาย

จักสู้ตายไปให้ถึงลานสอยดาว



ดอกหงอนนาคงามวิไลในสวนสน

เฉกเช่นคนพิสมัยในภูผา

สัญญาใจผูกไว้ให้กลับมา

อีกหนึ่งคราพิชิตยอดสองพันเอย...

MaxzPacker

 วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 20.19 น.

ความคิดเห็น