ภาพถ่ายสวยงามมากมายถูกนำเสนอผ่านโลกออนไลน์ จนเกิดคำถามกับตัวเอง ถ้าเราเป็นคนถ่ายรูปใบนั้นละ?? มันคงจะรู้สึกดีไม่น้อยที่ได้ถ่ายทอดสิ่งที่ตาเราเห็นในที่ๆเราไปให้คนอื่นได้สัมผัสบ้าง...



เมื่อเกิดคำถามขึ้นมาในหัวใจ คำตอบในตอนนั้นคือกล้องสักตัวกับภูเขาเล็กๆสักลูก เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นการฝึกหัดถ่ายภาพ



แล้ว..จากนั้นไม่นาน กล้องก็มาอยู่ในมือกับจุดหมายปลายทาง ณ เขาหลวงสุโขทัย

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ทริปนี้ผมใช้กล้อง Olympus OM-D E-M10 MARK II ซึ่งถอยมาใหม่และ Iphone 5s


ติดตามบันทึกเรื่องราวการเดินทางอื่นๆ ได้ที่ https://www.facebook.com/maxzpacker/

หรือ

จากจุดสูงสุด 3,726m สู่ท้องทะเล Rinjani Mt. - Gili Island >> http://pantip.com/topic/35192373

Bromo - Kawah Ijen - Kasembon ภูเขาไฟคำราม ตามล่าเปลวเพลิงสีฟ้า เฮฮาล่องแก่ง >> http://pantip.com/topic/35262738
บ่ายวันศุกร์หลังเลิกงานต้องขับรถจากระยองมากรุงเทพ เพื่อเก็บข้าวของ ได้นอนพักนิดหน่อย เพราะเราจะออกเดินทางกันคืนนี้ 00.00 ไปสุโขทัย ประมาณ 500 กม.



ปัญหามีอยู่ว่าต้องเอารถเกียร์กระปุกไปและสมาชิกไม่มีใครขับได้เลย ทำให้ผมต้องฉายเดี่ยวตลอดเส้นทาง เอาว่ะ ไม่น่าเป็นไรมาก



ไล่ตระเวนรับสมาชิกใน กทม เสร็จแล้วออกเดินทางไปรับน้องชายผมเองที่คอนหวัน มาถึงประมาณตีสี่พอดี เลยแวะกิน ซุ้ย ต้มเลือดหมูเจ้าโปรดซะหน่อย เพื่อเพิ่มกำลังวังชา ขับมาทางเส้นกำแพงอีกสักหน่อยก็ต้องแวะปั๊ม งีบสักหน่อย เพราะความง่วงเริ่มมาทักทาย



เดินทางต่อจนถึงช่วงเช้าสักประมาณ 7 โมงกว่า ก็ไปซื้อสเบียงที่ตลาดเล็กๆ ในวัดใกล้ๆ ทางเข้า อช.รามคำแหง เมื่อทุกอย่างพร้อมก็เลี้ยวเข้า อช. กันได้แล้ว มีฝนปรอยๆ ลงมาเล็กน้อย แต่บนนั้น เมฆปกคลุมทั่วเขาเชียว ผมได้แต่ขอพรจากพระเจ้าว่า อย่าให้มันตกมาตอนที่เดินเลยนะ

พอเข้ามาใน อช. แล้วก้ไปติดต่อเจ้าหน้าที่ เสียค่าเข้าคนละ 40 บาทและรถคันละ 30 บาท ส่วนใครไม่ได้เตรียมเต้นท์หรือถุงนอนก็สามารถมาเช่าที่นี่ได้ จริงๆแล้ว ผมพกเต้นท์มาด้วยแต่ความที่แบกอุปกรณ์ทำอาหารมาค่อนข้างหนัก เลยตัดสินใจเช่าที่นี่ซะเลย ราคาหลังละ 150 บาท



ซึ่งมารู้ภายหลังว่าข้างบนก็มีอุปกรณ์ทำอาหารให้เช่าเหมือนกัน อ๊ากกก ไม่รู้จะแบกขึ้นมาทำไม



เอาละ เมื่อทุกอย่างพร้อม แบกกระเป๋าขึ้นบ่า เริ่มเดินทางกันเลย

เส้นทางเริ่มต้นก็แฉะๆ เพราะว่าฝนตกก่อนที่เราจะมาถึงกัน


ผ่านมาสักพักก็จะต้องเจอกับต้นไม้ยักษ์ต้นนี้ นอนขวางอยู่


ในช่วงแรกทางเดินค่อนข้างง่าย ไม่ได้ชันเท่าไร เดินชิลๆได้เลย


ปกติเราไม่จำเป็นต้องพกน้ำมาเยอะ เพราะสามารถเติมน้ำตามจุดพักตามทางได้เลย แต่วันที่เราไปนั้น ไฟป่าเพิ่งเผาผลาญท่อลำเลียงน้ำไปเสียแล้ว เอาละไง พกน้ำมาคนละขวดเล็กเอง


คงไม่หนักหนาเท่าไรมั้ง แค่ 3.7 กิโลเอง แต่พอจากจุดนี้ไปเส้นทางเริ่มเปลี่ยน ความชันก็มาเยือน เริ่มต้องมองหาไม้ค้ำกันแล้ว


อดทนเดินกันมาอีกสักพัก ก็มาถึงจุดชมวิวกลางทาง


พักเอาแรงกันสักนิด เพราะเส้นทางต่อจากนี้ไปนั้นแทบไม่มีทางราบให้เห็นเท่าไหร่นัก ฝนเริ่มโปรยปราย ต้องเอาผ้ามาคลุมกระเป๋ากันละ พักได้ไม่นานก็ต้องรีบออกเดินทางกันต่อ ไม่ใช่เพราะว่าฝนหรอกนะ แต่เป็นเพราะแมง แมลง ยุง สัตว์ตัวเล็กๆน้อยๆ เต็มไปหมด ซอฟเฟลก็ช่วยได้แค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น


นอกจากความชันแล้ว ยังมีความลื่นเนื่องจากฝนตกอีกต่างหาก รองเท้าที่ไม่เกาะดีๆ นี่ มีลื่นได้บ่อยๆ



ปีนป่ายมาสักพักก้จะเข้าสู่ป่าต้นไม้ใหญ่

แล้วความสุขก็ค่อยๆ คลืบคลาน เข้ามาปกคลุมทั่วไปหมด..... สายหมอกนั่นเอง โอ้ยยย ชื่นใจจจ


ซึมซับกับหมอกจนลืมความเหนื่อยไปชั่วขณะ จนเข้าสู่ป่าไผ่โดยไม่ทันรู้ตัว


ดูป้ายข้างทาง บอกข้างหน้านี่คือ ไทรงาม ที่ผมตั้งใจมาหามันนี้ละ แต่น้องชายผมเริ่มมีอาการตระคริวขึ้นซะแล้ว


และนี่คือ ไทรงาม มันช่างอลังการ ทุกอย่างมันลงตัวไปหมด หมอก แสงแดด พักถ่ายรูปตรงนี้อยู่สักพักนึงเลย


พอพ้นจากไทรงามมาก็ใกล้ถึงที่พักกันแล้ว



ปล่องนาค ถ้าจำไม่ผิด มองดูเข้าไปข้างใน คิดว่าลึกมากอยู่นะ

หมอกยังคงมีอยู่เป็นระยะๆ ผ่านจุดนี้ไปก็เป็นโค้งสุดท้ายแล้ว อีกไม่กี่ร้อยเมตร


ก่อนจะขึ้นสู่ลานพักแรม นั้นเป็นจุดที่น่าจะชันที่สุด


แล้วในที่สุดก็มาถึงจนได้ พลังเหลือก็กระโดดกันหน่อยย


พอมาถึงประมาณบ่ายสองได้ ก็ไปติดต่อเจ้าหน้าที่ ซื้อน้ำกินให้ชื่นใจกันหน่อย ทันใดนั้นฝนก็เริ่มบรรเลงและแรงขึ้นเรื่อยๆ เจ้าหน้าที่เลยบอกว่า ต้องหาที่นอนใต้หลังคาแล้วหล่ะ เพราะเต้นท์ที่จองไว้สำหรับสองคนนั้น น่าจะรับแรงน้ำฝนไม่อยู่ เอิ่มม



เจ้าหน้าก็ไปจัดแจงหาเต้นท์ให้ได้ในร่ม โอเค ณ ตอนนั้นไม่ไหวละ ทั้งง่วงแหละเหนื่อย ขอนอนพักก่อน ฝนก็คงยังตกหนักต่อเนื่องไม่มีท่าทีจะหยุด สงสัยคงจะไม่ได้ดูพระอาทิตย์ตกซะแล้ว T_T



ตื่นมาอีกทีสี่โมงกว่า เห้ยยย ฝนหยุด ฟ้าเปิดแล้วว ขอบคุณพระเจ้า ชวนทุกคนไปเดินต่อกัน เพื่อไปชมพระอาทิตย์ตกที่เขาแม่ย่า กับ เขาภูกา แต่เจ้าหน้าที่บอกว่า เขาภูกาต้องเดินไปอีกสองโล ไปกลับก็คงเป็นชั่วโมง เด่วจะมืดซะก่อน

ผมกับน้องอีกคนก็เลยตัดสินใจไปแค่เขาแม่ย่าพอ ทิ้งอีกสองคนนอนซมในเต้นท์ไปก่อน



ด้วยความที่ฝนเพิ่งตกหนักมา เส้นทางจึงจะค่อนข้างลื่นเพิ่มขึ้นไปอีก แต่ธรรมชาติรอบตัวนั้นมันสวยงามมาก

เดินมาอีกไม่นาน ก็มาถึงจุดยอด ณ ความสูงกว่า 1200 เมตร กับวิวสวยๆ ล้อมรอบตัว ให้ภาพมันเล่าเรื่องเองละกัน


และจุดนี้เป็นจุดที่ผมชอบ เพราะพระอาทิตย์ตกและเห็นวิวยอดเขาภูกาอีกด้วยย ตั้งกล้องกะรอเก็บแสงตะวันกันตรงนี้ละ กว่าจะได้ภาพนี้มาต้องรอถ่ายนานเกือบชั่วโมง เพราะฟ้าอาจจะไม่เป็นใจนัก ปล่อยให้ก้อนเมฆบดบังแสงของตะวัน แต่ยังดีที่มีช่องว่างให้พอมีแสงลอดออกมา


มือใหม่อย่างผมรู้สึกมีความสุขมาก ที่ถ่ายภาพนี้มาได้ มันสวยที่สุด ณ เวลานั้น อย่างแน่นอน แม้จะต้องรอคอยนาน พร้อมกับอากาศที่ค่อยๆ หนาวขึ้นแตะระดับ 20 องศา รวมถึงลมที่พัดมาเป็นระลอกๆ แค่นี้มันก็คุ้มแล้วจริงๆ



พอแสงตะวันเริ่มลับขอบฟ้า เราก็ต้องรีบลงไปที่พักก่อนจะมืดจนมองไม่เห็นทาง



เมื่อกลับมาถึงคืนนี้เราทำอาหารกินกันแบบง่ายๆ มาม่าผัดไข่ ผัดกะเพราสำเร็จรูป แพนงไก่สำเร็จรูป เมื่ออิ่มกันแล้ว ก็ออกมานอนดูดาวในช่วงหัวค่ำ ซึ่งแอบเห็นทางช้างเผือกนิดๆ และดาวเต็มท้องฟ้าเลย แต่สกิลยังไม่ถึง ไม่สามารถถ่ายรูปออกมาได้

เหล่าบรรดานักเดินทางก็ออกมาร้องรำทำเพลงกันรอบกองไฟ จนหมดแสงไฟของเครื่องปั่นไฟ ก็ถึงเวลาเข้านอน หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ราตรีสวัสดิ์ค่ำคืนนี้ไปพร้อมกับเสียงเรือกลจากหลายๆ เต้นท์ 555



พรุ่งนี้เจอกัน อรุณเบิกฟ้า ที่เขานารายณ์

เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น ตี5 ปลุกทุกคนรอบๆ ตัวให้ตื่นขึ้น ต้องขออภัยทุกคนรอบๆ ที่เสียงมันอาจจะไปรบกวน เพราะกว่าผมจะกดปิดเสียงปลุกนั้นก็ผ่านไปหลายวินาที


ออกจากเต้นท์มา เห้ยยย มันใกล้จะสว่างแล้ว รีบรุดเตรียมตัวหยิบข้าวของเดินไป เขานารายณ์ เพื่อรอรับอรุณรุ่งวันใหม่กัน


เราอาจจะมาสายกันไปนิดนึง ไม่ทันต้อนรับแสงแรกที่ตรงขอบฟ้ากัน เมฆก็ยังคงมีหนาทั่วท้องฟ้าบดบังแสงอาทิตย์อีกเช่นเคย เหล่านักเดินทางก็ทยอยมาเฝ้ารอร่วมกัน ณ โขดหิน ก้อนนั้น

ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีทองอย่างช้าๆ สะท้อนผิวน้ำด้านล่าง ชวนให้ตกอยู่ในภวังค์


การที่ไปนั่งส่วนปลายสุดของหินผา มันช่างให้อารมณ์เสมือนว่าเป็นส่วนหนึ่งของท้องฟ้าอันกว้างไกลนี้


นั่งเล่นสักพักจนฟ้าเปลี่ยนสีกลับมาอีกครั้ง ทั้งเมฆ หมอก ก็มีคละคลุ้งไปหมด แค่ทิ้งตัวปล่อยตัวและใจเคลิ้มไปกับบรรยากาศรอบๆ ตรงนั้น ไม่ต้องมีความวุ่นวายใดๆ มารบกวนจิตใจเรา


อยู่กันตรงนี้หลายชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว


ดูวิว รอบๆไปสักพักก็เหมือนมีพลังงานบางอย่างดึงดูดให้เราไป ณ จุดนั้น ก็เลยคุยกันกับน้องชาย ว่าเราลงไปตรงนั้นกันเถอะ


ลองหลับตา กางมือออก ให้สายลมโอบกอด จะรู้สึกเหมือนว่าตัวเราและธรรมชาตินั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน


ปล่อยเวลาล่วงเลยไป 2-3 ชม. ก็ถึงเวลากลับไปเก็บข้าวของร่ำลาที่นี่กันได้แล้ว



ท่าลงแบบนั่งแนบไปกับพื้นน่าจะเหมาะที่สุดกับสภาพพื้นดินแบบนี้ 55

เมื่อคืนเรานอนกันตรงนี้แหละ แค่อาศัยร่มของชายคาไว้กันน้ำฝน ซึ่งถ้าตกจริงๆ ก็คงไม่ได้ช่วยอะไร ส่วนสาวๆ นั้นนอนสบายๆ กันในเต้นท์หลังใหญ่ ท้องร้องกันแล้วก็ต้องเติมพลังด้วยโจ้กใส่ไข่ ให้พออยู่ท้องก่อนเดินทางลง


เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย เกือบ 9 โมงก็ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกเดินทางลงกันเลย เส้นทางลงก็เส้นที่เราขึ้นมานั่นแหละ ก็ต้องไหลลงไปกับความชัน ความลื่น ถึงขนาดต้องเก็บสถิติการล้มแข่งกันเลยทีเดียว มีคนร่วงถึงสิบครั้งด้วยนะ 55



ทุลักทุเลกันลงมาด้วยสภาพเสื้อผ้าเนื้อตัวมอมแมม พอมาถึงด้านล่างได้ก็ไปอาบน้ำก่อนเลยย ขาลงเราใช้เวลาสั้นกว่าประมาณสองชั่วโมงครึ่งก็มาถึงเพราะแทบไม่ค่อยได้พักกันเลย

ร่ำลาเขาหลวงสุโขทัย การเดินป่าระยะสั้น 3.7 กิโลกับความสูง 1200 เมตร


สมาชิกเริ่มหิว อยากกินส้มตำแซ่บๆ กัน แต่ร้านแถวนั้นใช่จะหาได้ง่าย ก็เลยขับมาเจอน้ำตกสายรุ้ง เลยแวะเข้าไปดูสักหน่อย คิดว่าน้ำตกกับส้มตำมันต้องคู่กัน



บริเวณใกล้ๆ นี้มีน้ำตกสายรุ้ง ซึ่งมี 4 ชั้นด้วยกัน แต่พอพวกเรามาถามระยะทางว่าไกลไหม เจ้าหน้าที่บอกว่าชั้นแรกก็ประมาณ 800 เมตรกับปริมารน้ำพอประมาณ หันหน้าถามสมาชิก



ทุกคนไร้การตอบสนอง เป็นอันเข้าใจว่า ไม่ไหวกันแล้ว หันหัวรถกินข้าวแล้วกลับกันดีกว่า ไว้มีโอกาสจะมาโดนละกันนะ คราวนี้ต้องพลาดไปก่อน เราออกมาเจอร้านข้างทางที่มีส้มตำพอดี ก็กินกันจนอิ่ม แล้วขับรถกัน



เนื่องจากผมต้องไปส่งน้องชายที่นครสวรรค์ ก็เลยพาสมาชิกไปเที่ยวชมเมืองสักหน่อย เป็นเขาอีกเช่นเคย แต่สามารถเอารถขึ้นไปได้ เห็นวิวได้รอบเมืองเลย



"เขากบ"

ไม่ได้มานาน อะไรๆ มันก็เปลี่ยนไปมากจากครั้งที่ผมเคยเป็นเด็ก.... มองท้องฟ้า ฝนเริ่มคลืบคลานตามหลังเรามาอีกแล้ว



ไปแวะกินก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลากับบิงชู เติมพลังกันก่อนกลับ ฝนก็มาจริงๆ หนักเสียด้วย ตกกันยาวๆ ไปเลยจนถึง กทม


ทริปสุดสัปดาห์กับงบประมาณคนละไม่กี่ร้อย ก็สามารถเพิ่มเติมความสุข รอยยิ้ม ในชีวิตของเราได้แล้ว


หลายครั้งคนเรามักจะมัวแต่หาข้ออ้าง ไม่มีเวลา ไม่มีเงิน แต่อยากเที่ยว อยากพักผ่อน สุดท้ายก็จบด้วยการนอนอยู่บ้าน


เพียงแค่ลองเงยหน้าจากจอมือถือออกไปมองโลก ไม่สำคัญจะใกล้หรือไกล คุณอาจจะรู้ว่ามันมีสิ่งที่คุณหลงรัก แต่เพียงแค่คุณยังไม่รู้จักมันเท่านั้นเอง

แล้วเจอกันใหม่ ทริปหน้า ณ ยอดเขาใดเขาหนึ่ง

MaxzPacker

 วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 เวลา 11.20 น.

ความคิดเห็น