...บันทึกมากมายของเหล่านักเดินทาง ผู้เคยสัมผัสภูเขาไฟมักกล่าวถึง ภูเขาไฟโบรโม่ ณ อินโดนิเซีย ที่ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นดั่งลมหายใจของเทพเจ้า และสิ่งมหัศจรรย์คู่กันคือเปลวเพลิงสีฟ้าที่ยังลุกโชน เชื้อเชิญเหล่าผู้กล้าให้ไปสัมผัส .......อะ แฮ่ม..น้อมรับคำเชิญ

5 วันกับการใช้ชีวิตกับคนที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่กลายเป็นความสนุกและเสียงหัวเราะในทุกช่วงเวลา

ติดตามบันทึกเรื่องราวการเดินทางอื่นๆ ได้ที่ https://www.facebook.com/maxzpacker/

การเดินทางคร่าวที่เราวางแผนกันไว้ แต่พอถึงเวลาจริงกับผิดแผนไปหลายอย่างด้วยหลายๆ ปัจจัย ทำให้ทริปของเราเปลี่ยนไปตามนี้


วันที่ 1 มิ.ย. 59 : ออกเดินทางช่วงบ่าย มุ่งสู่ สนามบินสุราบายา เอเจ้นมารับที่สนามบินแล้วเดินทางไปโบรโม่ทันที

วันที่ 2 มิ.ย. 59 : ไปชมวิวที่ยอด Penajakarn ตามด้วยขึ้นไปบนปล่องภูเขาไฟโบรโม่ จากนั้นลงไปทุ่งหญ้าสะวันนา, whisper sand และเดินทางสู่ Kawah Ijen

วันที่ 3 มิ.ย. 59 : Trekking เพื่อไปดู Blue flame และ ทะเลสาป จากนั้นเดินทางต่อไปที่เมือง Malang

วันที่ 4 มิ.ย. 59 : ล่องแก่ง ที่ Kasembon แทนการไปเที่ยวชมน้ำตก เดินทางกลับไปดื่มด่ำบรรยากาศ อาหารพื้นเมืองที่ สุราบายา

วันที่ 5 มิ.ย. 59 : เก็บกระเป๋าเดินทางกลับประเทศไทย



Agency


หลังจากต่อรองกับเอเจ้นสองสามเจ้า หวยมาออกที่ อารีฟ ในราคา 1,700,000 RP ไม่รวมอาหาร ซึ่งตอนหลังมาเปรียบเทียบกับเพื่อนที่ไปอีกกลุ่มแล้ว

คิดว่าไม่เลือกอาหารจะเหมาะกว่า เพราะเราสามารถเลือกร้าน เลือกสไตล์การกินได้ อยากกินหรูกินดีบ้างก็ได้ แต่ถ้าเรารวมค่าหารไปด้วย เอเจ้นจะพยายามพาไปกินที่ไม่ค่อยดีนัก



Booking flight

เนื่องจากจองล่วงหน้าจึงได้ตั๋วถูก ไปกลับ ในราคา 3770 บาท

BKK -> SUB [ Air Asia ] 15.50 - 19.50

SUB -> BKK [ Air Asia ] 11.10 - 15.10



การเตรียมตัวก่อนเดินทางและสิ่งที่จำเป็น

1) เป้ 2 ใบ เป้ใหญ่ฝากเก็บไว้ในรถได้ ส่วนเป้เล็กไว้พกน้ำ พกของตอนเดินขึ้นเขา

2) รองเท้าผ้าใบ รองเท้าแตะ

3) เสื้อผ้า พกตามสะดวก เพราะไม่ได้แบกขึ้นเขาด้วย อย่าลืมผ้าเช็ดตัว เพราะโรงแรมไม่มีให้

4) เสื้อกันหนาว คาวาอิเจี้ยนตอนกลางคืนหนาวยะเยือก

5) เสื้อกันฝน พกติดเผื่อไว้

6) หมวกกันแดด กันหนาว

7) ผ้าบัฟ

8) แว่นตา ถ้าเป็นทรงสปอร์ตหน่อยก็ดี เพราะโบรโม่ ฝุ่นดิน ฝุ่นทรายเยอะ

9) น้ำตาเทียม หรือชุดล้างตา ไว้ใช้เวลาแสบตาจากควัน

10) ถุงมือ ถุงเท้า

11) ไฟฉายคาดหัว หรือ แบบพกพา เพราะต้องเดินขึ้นคาวา อิเจี้ยนในช่วงดึก

12) ครีมกันแดด

13) ยาสามัญทั่วไป ยานวดสำหรับคนที่ไม่ค่อยได้เดินป่า เดินเขา ยาแก้เมารถสำหรับคนที่เมารถได้ง่าย

14) กล้องถ่ายรูป ทางช้างเผือกชัดมากนะ เตรียมพวกอุปกรณ์ทำความสะอาดไปให้พร้อมได้ใช้แน่ๆ หลังจากไปโบรโม่

15) Power bank จัดเต็มมาเลย เพราะใช้เวลาอยู่แต่ในรถ

16) ปลั๊กต่อแบบกลม ปลั๊กพ่วง

17) หน้ากากกันควัน ซื้อแบบอันละ สองร้อยกว่าบาทก็พอละ

18) หมอนรองคอ อย่างที่บอกเวลาส่วนใหญ่อยู่ในรถ จะได้หลับสบายๆ

19) Trekking pole ตัวช่วยสำหรับการเดินขึ้นลง แต่ไม่มีก็ได้เพราะทางไม่ได้เลวร้ายมากนัก

20) ประกันต่างประเทศ

21) แลกเงิน Rp หรือ USD ก็ได้
หลังจากเคลียร์งานเสร็จเส้นยาแดงผ่าแปดก่อนขึ้นเครื่อง ก็โยนภาระทุกอย่างไว้ ณ เมืองไทย ทะยานสู่ท้องฟ้าอันไกลโพ้นนน

.

.

.

เมื่อมาถึงสนามบินสุราบายา ทางเอเจ้น ก็ได้ส่งคนขับรถมารับเราที่สนามบิน ซึ่งคนนี้กลายเป็นทั้งคนขับรถ ทั้งไกด์ของเราตลอดทั้งทริปนี้



พวกเรามากันทั้งหมด 11 ชีวิตด้วยกัน ซึ่งเอเจ้นก็จัดรถตู้ขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่มากพอสำหรับเราทั้งหมด แต่น่าเสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมาอวดเพราะชะล่าใจ ว่าจะถ่ายวันสุดท้ายก่อนกลับ แต่ดันเกิดการงองแงงระหว่างทริป ทำให้ต้องพรากจากกันก่อนเวลา



ภารกิจแรกคือไปซื้อ Sim card สำหรับแชร์เนตไว้เล่นกัน กว่าจะคุยกันรู้เรื่องเพราะดันไปร้าน Local ดีที่มีคนแถวนั้นพอพูดอังกฤษได้มาช่วยอธิบาย เลยจัดเนตซิม 5GB ในราคา 65,000 rp ซื้อติดไว้ก็ดีครับ เพราะไวไฟตามโรงแรมมันกากมากกก ระหว่างเรานั่งรถในแต่ละวันก็สามารถเล่นเนตแก้เซ็งได้

พี่ยาน ไกด์ของเรา ถามพวกเราว่าอยากกินอะไรกันดี มื้อแรก ก็ต้องอาหารพื้นเมืองขึ้นชื่อที่นี่อยู่แล้ว ไก่สะเต๊ะ นั่นเอง แต่ด้วยความที่ร้านในย่านนี้ปิดก่อนสี่ทุ่ม ทำให้พี่ยาน ต้องพาไปร้านข้างทาง สภาพก็อย่างที่เห็น แต่ร้านนี้เด็ดตรงมี แพะสะเต๊ะ อร่อยชุ่มช่ำมากก


สั่งกันไปร้อยกว่าไม้ คนทำก็มีอยู่คนเดียว เลยหมดเวลาไปกับการรอคอย ทำได้เพียงจ้องมองอาหารของอีกร้านที่วางอยู่ตรงหน้า


กินกันอิ่มพอประมาณ ก็มู่งสู่โบรโม่กันเล้ยยยย หลับๆ ตื่นๆ กันในรถ จนมาถึงที่ ซึ่งเราต้องมาเปลี่ยนไปนั่งรถJeep กันที่นี่ เนื่องจากเรามากัน 11 คนทำให้ต้องแบ่งเป็นสองทีม เพราะเราจะแยกกันไปดูจุดชมวิวคันละจุด



Penajakarn 1 และ 2 ซึ่งจุดหนึ่งจะเป็นวิวที่คนส่วนใหญ่ไปกัน ส่วนจุดที่สองต้องเดินทางปีนป่ายเขาประมาณหนึ่งกิโล เพื่อนบางคนที่เคยมาแล้วอยากไปที่นี่กัน ส่วนตัวผมนั้นมาครั้งแรกก็ต้องไปจุดหนึ่งอยู่แล้วละ



ขับรถซิ่งๆ ขึ้นเขากัน รถJeep ต่อแถวกันเป็นสาย แซงหยอกล้อกันเป็นระยะ หรือ เขม่นกันจริงๆ ก็ไม่รู้ เดี๋ยวก็จี้ เดี๋ยวก็เปิดไฟสูงใส่ ถ้าเป็นเมืองไทยคงลงจากรถมาโชว์แม่ไม้มวยไทยเป็นแน่แท้



เมื่อมาถึงจุดสิ้นสุดทางรถ หาที่จอดเรียบร้อยคนขับรถนัดหมายให้เรากลับมาก่อน หกโมง เช้าเพื่อจะไปที่อื่นต่อ บริเวณนั้นก็จะมีร้านค้าที่ขายชาร้อน กาแฟ ขนมปังปิ้งต่างๆ ไว้คลายหนาว เพราะอากาศค่อนข้างเย็นถึงขนาดพูดออกมาเป็นไอได้



เดินไปได้ยังไม่ทันเหนื่อยก็มาถึงซะแระ เป็นลานกว้างพอประมาณจุดได้สักสองสามร้อยคน ผู้คนเริ่มมาจับจองตำแหน่งเพื่อถ่ายรูปในตอนเช้า พวกเราก็ส่งสมาชิกไปครอบครองพื้นที่ริมรั้วซะเลย คนจะเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ เมื่อใกล้ถึงรุ่งเช้า



แม้จะมาสถานที่ท่องเที่ยว แต่ชาวอินโด ก็ไม่ลืมที่จะละหมาด

ดวงดาวเต็มท้องฟ้ากับจุดชมวิวจุดที่สอง เพื่อนถ่ายมาอวด เพราะจุดแรกไม่สามารถถ่ายได้เนื่องจากคนเยอะทำให้แสงจากไฟฉาย อะไรไม่รู้เยอะแยะไปหมด


แสงแรกเริ่มพาดผ่านเส้นขอบฟ้า ผู้คนต่างลุกฮือ เข้าไปรุมลั่นชัตเตอร์


ควันจากปล่องโบรโม่เมื่อถูกกระทบจากแสงแดดยามเช้า ดูงดงามจริงๆ


ชาวบ้านออกมาทำมาหากิน


ถึงเวลานัดหมาย เรากลับมาที่รถกันและไต่ลงเขาไปปากปล่องโบรโม่กันพร้อมกับวิวสวยๆ ข้างทาง


ถึงด้านล่างแล้วว นี่คือรถของเรา สีแดงสวยสดเชียว ฟ้าเปิด แสงแดดก็เป็นใจเหลือเกิน


อลังการมาก


ไม่ช้านานเราก็มาถึงทางเดินสู่ปากปล่องโบรโม่ ส่วนตัวผมแอบรำคาญนิดนึงระหว่างทางเดิน เพราะจะมีแต่คนมาถามขี่ม้ามั้ยตลอดทางเดิน บวกกับที่ผมเรียกมันว่า "ฝนดิน" เกิดจากการที่โบรโม่ยังมีการประทุเบาๆ เป็นระยะ ทำให้ดินเล็กๆ น้อยๆ พุ่งออกมาจากปากปล่องขยายเป็นวงกว้าง ตกลงเหมือนฝน


เดินผ่านมา สองกิโล เห็นจะได้ก็มาถึงบันไดที่พาดขึ้นไปบนปากปล่อง


โอ้วว นี่หรือโบรโม่ มันดูอลังการ ควันออกมาเป็นระยะๆ


สิ่งที่น่ากลัวคือ เสียงคำรามของมันนี่ละ เหมือนมันพร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ ฟู่ ฟู่ ฟู่



ผมเดินเลาะขอบปล่องไปเรื่อยๆ เส้นทางก็ดูหวาดเสียวอยู่นะ เพราะเป็นทางแคบๆ เอียงๆ


เดินมาได้สักระยะ เพื่อนๆของผมก็เริ่มทยอยลงกันละ ไม่มีใครอยากไปจุดสูงสุดด้านบนนั้น แต่ผมแล้ว มาทั้งทีต้องไปให้สุด ลุยๆ

พอมาถึงจุดสูงสุด ที่ซึ่งไม่มีทางเดินต่อไปแล้ว เหมือนเทพเจ้าโบรโม่จะให้การต้อนรับเป็นอย่างดี คำรามเสียงดังกึกก้อง พร้อมกับพ่นควันออกมามหาศาล ต่อหน้าต่อตาผมในระยะโฟกัสไม่กี่เมตร


ณ จุดๆ นั้น อยู่คนเดียว ยังไม่ทันได้ถ่ายรูปเท่าไร ก็บอกตัวเอง จะไม่เอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่เป็นแน่ จ้ำเท้าเดินลงมาเลย ไม่สนใจทางแคบอีกแล้ว ยิ่งระยะใกล้มาก ก็ต้องอดทนกับ ฝนดิน ที่พุ่งมาในระยะประชิดมันเข้าหน้า เข้าตา เข้าหู ติดไปยันหนังหัว คือสภาพ ณ ตอนนั้นแทบไม่มีที่ว่างของความสะอาด



ภาพจากเพื่อนๆที่ถ่ายจากระยะไกล เพราะลงไปก่อนผม

ถ่ายติดผมด้วยนะ ต้องซูม แปดดด รอบ กว่าจะมองเห็น ฮ่า ฮ่า


ต่อจากนั้นเราไปแวะอีกสองที่ คือ ทุ่งหญ้าสะวันนา


และ Whisper sand


มุ่งสู่ คาวาอิเจี้ยนในสภาพที่ไม่ได้อาบน้ำ เราไม่ได้แวะน้ำตก Madakaripura เพราะว่าฝนมันตกเลยปิดไม่ให้เข้า


แต่ก็ขอบคุณพระเจ้า สิ่งที่เรากลัวคือ พยากรณ์อากาศบอกว่าฝนตกตลอด แต่พอเรามาถึงฝนก็หยุดเพื่อให้เราทักทายและร่ำลา ลาก่อน....โบรโม่การเดินทางที่แสนยาวนานจากโบรโม่ สู่ คาวาอิเจี้ยน รวมเวลาประมาณ 5-6 ชั่วโมงได้ ที่ใช้ชีวิตอยู่แต่ในรถ โดยที่ช่วงสุดท้ายก่อนขึ้นมาถึงเป็นช่วงที่แย่ค่อนข้างแย่ เพราะทางโค้งไปโค้งมาเหมือนทางไปปาย แม่ฮ่องสอนบ้านเรา นั่งรถจนเมื่อยแล้วเมื่อยอีก



คืนนี้เราเลือกมาพักกันที่ Catimor ซึ่งมาถึงในเวลาประมาณ หกโมงเย็น สิ่งแรกที่คนทุกคนโหยหาคือ การอาบน้ำ เพราะครั้งสุดท้ายที่ได้อาบน้ำก็ผ่านไป สามสิบกว่าชั่วโมงมาแล้ว



หลังจากจัดการธุระส่วนตัวกันเสร็จก็ออกมาทานข้าวกัน

เรื่องฮาเกิดขึ้น เมื่อน้องในกลุ่มสั่งโค้กมากินแต่ไม่มีน้ำแข็ง ก็เลยสั่งน้ำแข็งมา ปรากฏว่าได้มาเป็นก้อนใหญ่ยักษ์ที่เค้าไว้แช่อาหาร แต่ทุบมาให้ ก้อนใหญ่ประมาณสบู่นกแก้วได้ คือ จะกินยังง้ายยยย ไม่มีแก้ว ใส่ชามมาให้ ...สงสัยเค้าคงแกล้งเราเป็นแน่แท้



หลังจากอิ่มกันแล้ว สาวๆ ก็เข้านอนเหลือเพียงชายหนุ่มนั่งจิบเบียร์ เสวนา

สี่ทุ่มกว่าแล้ว ต้องเข้านอน แม้จะอยากดื่มต่อก็ตาม เพราะพรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางตอนตี1 เพื่อไปล่าเปลวเพลิงสีฟ้า ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่ผมมาไกลถึงที่นี่



01.00 ทุกคนรวมตัวกันที่หน้าล๊อบบี้ ส่วนผมยังติดอยู่ในห้องน้ำเพื่อจัดชุดใหญ่ก่อนออกเดินทาง

02.00 เราเริ่มออกเดินทางพร้อมไกด์พื้นที่ ชื่อเสียงเรียงนามว่า ลูเก้ หรือให้เรียกว่า เดวิด ก็ได้ หลังจากได้คุยกันตลอดทาง เพราะลูกเก้ช่วยผมในหลายๆ อย่าง ดูแลสมาชิกเป็นอย่างดีด้วย



ลูเก้ เคยเป็นลูกหาบมาก่อน ต้องแบกกำมะถันวันละเกือบ 100 โลเพื่อไปขายให้ บริษัทจีน ซึ่งให้ราคากิโลละ 1,000 rp เท่านั้นเอง ถ้าถามผม ผมขอรอบเดียวพอแล้ว เพราะกลิ่นกำมะถันมันแรงมาก



ในช่วงแรกของการเดินขึ้นจะเป็นทางค่อนข้างชัน แต่ว่าทางกว้าง แวะพักได้เป็นระยะ ช่วงนี้ท้องฟ้าค่อนข้างมืด เผยเห็นดวงดาวเต็มท้องฟ้า แต่จะรีบเดินขึ้นไปมากก็ไม่ได้เพราะไม่อยากให้แตกกลุ่มมากนัก คงจะลำบากกับไกด์ด้วย



เดินขึ้นมาสัก สามสี่กิโลก็สิ้นสุดทางชัน จะเป็นทางราบอีกสักระยะ ก็จะมาถึงจุดทางลงไปเพื่อดูบลูเฟลม



ทางเดินลงจะเป็นหินซะส่วนใหญ่ต้องคอยเดินตามๆ กัน แต่บางจุดก็แอบหลงกะคนอื่น หลุดไปเส้นทางอื่นที่ต้องใช้สกิลในการปีนป่าย 55 คือไม่ได้ไปทางปกติเค้าไปกัน จนเพื่อนต้องมาลากขึ้น



มาถึงจุดนี้การหายใจจะเริ่มติดขัดอย่างจริงจัง เพราะใกล้มากแล้ว ซึ่งจริงๆ เราก็ได้กลิ่นตั้งแต่จุดพักครึ่งทางในช่วงแรกแล้ว แต่ตรงนี้จะรู้สึกแสบตา น้ำตาเริ่มไหลในบางจังหวะ อากาศก็ค่อนข้างหนาว



จนสุดท้ายพวกเราก็มาถึง ผมขอเรียกว่า Thailand zone เพราะมีคนไทยอีกหลายกรุ๊ปกระจุกรวมกันอยู่บริเวณนี้ นั่งมองเปลวเพลิงร่ายรำร่วมกัน

ผมบอกลูเก้ ว่า อยากไปให้ใกล้ที่สุด ลูเก้ ก็จัดให้พาไปแบบใกล้ๆ เลย


คนพื้นที่เท่านั้นที่จะสามารถเข้าไปถ่ายแบบระยะประชิด ถ้าไม่ใช่จะโดนประชาทัณฑ์จากเสียงนกหวีดและการตระโกน ซึ่งพวกฝรั่งมักจะชอบแหกคอกอยู่เสมอ ลูเก้ ก็กลัวผมจะไม่ประทับใจเลย กระโดดเข้าไปในกองไฟ เอ้ย ไม่ใช่ ข้างๆ ก้พอ ถ่ายมาให้ทั้งภาพนิ่งและวีดีโอ



เหมือนสัตว์โบราณที่ยังมีชีวิตอยู่


ที่เห็นเป็นแอ่งน้ำ สีน้ำตาลเล็กๆ ตรงนั้นคือกำมะถันเหลว ที่เค้าเอามากรอกใส่แบบเป็นรูปต่างๆ


เมื่อเวลาใกล้จะเช้า สถานที่ถัดไปคือ ทะเลสาปที่อยู่ด้านล่างนั่นเอง แต่ตอนนี้เต็มไปด้วยควันหนา ปกคลุมทุกพื้นที่ สมาชิกบางคนทนความหนาว ควันแสบตาไม่ไหวต้องขอเดินกลับขึ้นไปก่อน ลูเก้จำเป็นต้องทอดทิ้งบางคนเพื่อพาพวกผมลงไปด้านล่าง



ลงมาอีกสักหน่อยก็จะเห็นทะเลสาป ลองสัมผัสน้ำดูก็อุ่นๆ ถึงร้อนเลย แต่น่าเสียดายที่ไม่เห็นวิวชัดเจนนัก เพราะทั้งหมอกทั้งควันฟุ้งเต็มพื้นที่ไปหมด

เราอยู่ตรงนี้กันสักพัก เพื่อรอให้ควันหมอกผ่านพ้นไป แต่เหมือนจะไม่มีท่าทีหมดลง จนพวกเราต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไป



พอเดินทางกลับนี่ละทำให้เห็นเส้นทางที่เดินผ่านมาเมื่อคืน มันเป็นความลำบากที่สวยงามจริงๆ

วิวนี้ชอบที่สุด หน้าผาที่ยื่นออกไปกลางหุบเขา


เดินมาถึงด้านบนแล้ว ดูคนตัวเล็กนิดเดียวเอง


เส้นทางที่มองไม่เห็นเมื่อคืน แต่ต้อนนี้เห็นด้วยสองตา ซึ่งมันชุ่มช่ำหัวใจเอามากๆ


เรื่องฮาบังเกิดเมื่อพี่คนนึงในทริปของเรา สร้างสถิติใหม่ในการเดินลงเขาที่เร็วที่สุด เรื่องของเรื่องคือพี่เค้าปวดขรี้ตั้งแต่ก้าวเท้าเหยียบภูเขาลูกนี้ แต่อดทนมาถึงตอนเช้า



ด้วยความที่ลาวาประทุอยู่ภายใน พร้อมจะระเบิดออกมาในทุกวินาที พร้อมกับสายลมพริ้วไหวผ่านรูขุมขนลุกชูชัน รีบลงไปหาห้องน้ำที่จุดพักกลางทาง ก็ไม่สามารถหาที่ปล่อยลาวากำมะถันได้เลย



จนต้องรุดหน้าลงไปพื้นดินด้านล่าง แต่ด้วยความที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่ผู้คนมหาศาลมาที่นี่ ทำให้ห้องน้ำ เต็ม!!! 555 ชีวิตพี่แกน่าสงสารมาก

น้องในทริปอีกคนนึงเห็นพี่เค้ามีอาการ ก็เหมือนถูกไวรัสโรคระบาด ติดโรคไปตามๆ กัน จนสองคนนี้ได้ชื่อว่า เป็นคู่ขี้(ซี้) กันเลยทีเดียว



แต่จนแล้วจนรอดสองคนนี้ก็ต้องอดทนจนมาถึงโรงแรม แต่มาถึงแล้วเหมือนสายไป เพราะขรี้ได้ขึ้นสมองไปหมดแล้ว ถ่ายกันไม่ออกเลยทีเดียว 555 อ้อ ก่อนเดินทางกลับโรงแรมเราก็มอบหน้ากากกันควันให้ ลูเก้ ไว้เป็นประโยชน์ในการทำมาหากิน เพราะเราคิดว่าคงจะไม่ใช้มันอีกแล้ว



จากนั้นพวกเราก็เก็บกระเป๋าเช็คเอ้าท์ ร่ำลา คาวาอิเจี้ยน เดินทางไปสู่ มาลัง ซิตี้ ตามแผนเดิมเราต้องแวะน้ำตก Blawan ก่อนจะไปต่อ แต่เนื่องด้วยกำลังสนุกกับการสนทนาเรื่องคู่ขรี้ ทำให้แม้แต่ไกด์ของเราก็ลืมพาไป T_T



วันนี้เป็นวันที่เดินทางบนรถยาวนานมาก ออกจากคาวาอิเจี้ยน 10 โมงเช้า ไปถึงมาลัง ก็สามสี่ทุ่มด้วยความที่รถแอร์เสีย



คือมันเลวร้ายมากที่ต้องนั่งรถที่มีหน้าต่างเพียงน้อยนิด ผ่านแดดกลางวันที่ร้อนระอุ ต้องเอาพัดมาพัดตลอดเวลา อยากจะขึ้นไปนั่งบนหลังคาเสียจริงๆ

ตกบ่ายๆ นิด ได้แวะทานข้าวในเมือง เดินเล่นนิดหน่อย เพื่อรอไกด์เอารถไปซ่อมแอร์ แต่ไกด์กลับมาพร้อมกับคำขอโทษ T_T แสงแดดเริ่มทแยงเข้ามาในรถ ยิ่งเพิ่มความเหนอะหนะไปทั้งตัว จนผมต้องขอไกด์ให้ช่วยเอากระดาษหนังสือพิมมาติดไว้กันแดด



เท่านั้นยังไม่พอ เรายังมาเจอรถติดในตัวเมืองอีกต่างหาก แต่ก็ได้ลงมาพักสูดลมหายใจตรงปั๊มน้ำมันระยะหนึ่ง ณ จุดนี้ มีความฟินนิด เพราะได้กิน Bakso หรือว่า ก๋วยเตี๋ยวเนื้อบ้านเรานี่เอง อร่อย แถมถูกมาก ตก 15 บาทต่อชามเท่านั้นเอง



ค่อยคลืบคลานผ่านความอดทนแล้ว อดทนเล่าจนมาในที่สุด ไกด์เราได้โทรเรียกเพื่อนเอารถมาเปลี่ยน เย้!!! แต่หารู้ไม่นี่คือการบอกลารถคันนี้โดยไม่ทันตั้งตัว



ตะวันตกดินแล้ว... ไกด์พาเรามาที่ร้านอาหารน่าสนใจ ด้วยการตกแต่งแบบมีสไตล์ รวมถึงมีการแสดงที่แม้จะฟังไม่รู้เรื่องก็ตาม

ร้าน Inggil

หลังจากเพลียกับการเดินทางมาทั้งวัน เราก็มาถึงที่พักแยกย้ายกันเข้านอน เตรียมตัวลุยวันพรุ่งนี้ตื่นเช้ามากินอาหารที่ถือว่าอร่อยเลยทีเดียว อ้อ...ที่โรงแรมนี้มีโต๊ะปิงปองให้เล่นด้วยนะ แต่จำไม่ได้ละว่าชื่อโรงแรมอะไร ฮ่าฮ่า



โอเคเก็บกระเป๋าเดินทางกัน วันนี้เราจะไปล่องแก่งกัน

เนื่องจากไกด์พี่ยาน ของเราก็ไม่เคยพาใครไปมาก่อน รวมถึงแกก็ยังไม่เคยล่องแก่งด้วยซ้ำ ทำให้หลงทางกันไปสามรอบกว่าจะถึงที่หมาย



ราคาล่องแก่ง คิดที่ 250,000 rp ต่อคนรวมอาหารกลางวัน แอบแพงนิดๆ แต่เอาเถอะ มาถึงขนาดนี้แล้ว



เจ้าหน้าที่อธิบายเรื่องความปลอดภัย ถ้าพูดว่า BOOM!! ให้เอาพายไว้ข้างเรือพร้อมกับเอนตัวมาด้านหลัง ซึ่งทุกคนดูตั้งใจฟังมาก สถานการณ์จริงทำตามที่รับรู้มามั้ย เดี๋ยวไปดูภาพเอาละกัน

พี่ยานของเราขอแจมด้วยครึ่งทาง แล้วก็เข็ด ไม่ยอมไปต่อจนจบทาง


น้ำชาอร่อยมากกกกก


แบบวีดีโอบ้างนะ



สภาพสมบูรณ์

สภาพ BOOM!!


55555555555 ลั่น แล้ว ลั่น อีก ลั่นทุกครั้งที่มองภาพเหล่านี้



มาถึงปลายทาง ชายหนุ่ม ก็ต้องโชว์พลังเป็นเรื่องธรรมดา (แค่ถ่ายรูปหน่ะ)

เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม เกิดขึ้นที่นี่มากมาย สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากเพียงสถานที่เท่านั้น แต่เกิดจากภายในจิตใจของคนแต่ละคนด้วย ช่างน่าประทับใจ


เมื่อนั่งรถกลับมาจากจุดล่องแก่ง พวกเราก็มาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อ ปรากฏว่า ฝนตกหนักพอดี ยังดีที่ไม่ต้องล่องแก่งพร้อมน้ำฝน ไม่งั้นคงเป็นหวัดกันถ้วนหน้า



ถึงเวลาอาหารแล้ว อาหารที่นี่อร่อยดี เป็นแบบบุฟเฟ่ พวกเราเวียนวนไปตักอยู่หลายรอบ จนแม่ค้าเริ่มแผ่รังสีอำมหิต หึหึ พอก็ได้

รูปถ่ายหลายๆ รูปเป็นทางเจ้าหน้าที่ถ่ายมาให้ซึ่งคิดเงิน ค่อนข้างแพงอยู่นะ ตกใบละ 30 บาท ได้ แต่ถ้าซื้อหลายใบก็ได้ส่วนลดตามลำดับขั้น ตอนแรกก็กะไม่ซื้อเยอะ แต่พอเห็นรูปเท่านั้นแหละ อยากจะเหมามันทั้งหมด 555



ถึงเวลากลับแล้ววว คงจะคิดถึงบรรยากาศที่นี่อีกแน่นอน ......ก่อนกลับ สองคู่ขี่ ก็ไม่ลืมที่จะเช็คอิน ณ จุด จุด นี้ เหมือนเคย 555



เดินทางกันต่อครั้งสุดท้ายแล้วที่จะนั่งรถยาวๆ คือตอนนั้นคิดว่า กลับไทยไป นั่งรถจากเชียงใหม่ลงไปปัตตานีก็คงไม่สะทกสะท้านใดๆ ทั้งสิ้นแล้ว



มาถึงเมืองสุราบายาอีกครั้งในช่วงค่ำ วันนี้เราจะมาออกมาลองเดินเที่ยวห้างที่นี่ดูบ้าง ก็คล้ายๆ เซ็นทรัลบ้านเรานะ

ป้ายเหมือนโฮมโปร


หาข้าวกินกัน เงินกองกลางเหลือ ก็จัดเต็มกันเลย


สายโซเชี่ยลต้องมา ในเมืองแบบนี้สัญญาณแรงๆ


กลับมาถึงโรงแรมก็ออกมาเดินหาซื้ออะไรสักหน่อย ตั้งใจจะหาเบียร์บินตัง แต่ไม่รู้เป็นเพราะกฏหมายหรืออะไร ทำไมทั้งเมืองไม่มีร้านไหนขายเลยยยย โถ่!! ชีวิต



ร้านขายของริมถนน

แล้วผมมาสะดุดที่ร้านนี้ เพราะเคยได้ยินว่า โรตีที่นี่ มีชื่อเสียงด้านความอร่อยอยู่


เข้าไปพูดคุยกับคนทำ ปรากฏว่าคุยภาษาอังกฤษกันไม่ได้ เอาละสิ ผมจะทำไงดี ยังดีที่มีน้องน่าจะประมาณเด็กมหาลัย พอพูดได้เข้ามาช่วยเหลือ


ก็คุยกันสนุกสนาน แต่ดูท่าคนทำโรตีจะเป็นคนขี้อายนะ แต่ใจดี ใส่เครื่องมาเต็มที่เลย กิน 4 คนไม่หมด หุหุ อร่อยดีนะ ลืมถ่ายรูป

สุดท้ายก่อนกลับ น้องๆ ก็มาขอถ่ายรูปด้วย เป็นการกินขนมที่สนุกดีนะ แม้ต่างภาษาแต่เราก็พอจะสื่อสารกันได้ด้วยเสียงหัวเราและท่าทาง


หมดเวลาจริงๆ แล้ว เราต้องเดินทางกลับไปทำงานเพื่อหาเงินมา สร้างประสบการณ์ใหม่ๆ อีก ขอบคุณเพื่อนๆ ที่ร่วมชะตาชีวิตในครั้งนี้ ความประทับใจมันมีมากเกินกว่าจะเล่าออกมาได้ทั้งหมด แล้วเจอกันใหม่.....ในไม่ช้า


ความคิดเห็น