ผมรู้สึกอึดอัดเหมือนตกอยู่ในสภาวะกดดันอะไรซักอย่าง
ขณะเดินอยู่ในอุโมงค์แคบๆ ขนาดคนพอเดินเอียงสวนกันได้
ยังดีที่มีแสงไฟคอยส่องสว่างพอให้มองเห็นร่องรอยของอดีต
ร่องรอยแห่งการต่อสู้ระหว่างอุดมการณ์ที่แตกต่าง
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ไม่ถึงชั่วโมง
ผมรู้สึกใจคอไม่ดีกับบรรยากาศสองข้างทางที่เปลี่ยวครึ้มไปด้วยสวนยางพารา
นานๆ จะมีรถของชาวบ้านสวนมาซักคัน ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่มีอะไร
แต่ความหวาดระแวงมันไม่เคยรับฟัง และค่อยๆ ครอบงำจนใจคิดฟุ้งซ่านไปต่างๆ นานา
ไม่นานนักถนนก็ค่อยๆ ยกระดับเพิ่มความคดเคี้ยวไปตามความสูงชันของขุนเขา
หายลึกเข้าไปในป่าทึบของพื้นที่ชายแดนไทยมาเลเซียในเขตอำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา
ว่ากันว่าในยามเช้าภูเขาลูกนี้จะมีน้ำค้างเกาะตามใบไม้ใบหญ้าไปทั่วทั้งอาณาบริเวณ
พอกระทบกับแสงแดดจะระยิบระยับแพรวพราวสวยงามอย่างน่าอัศจรรย์
สถานที่แห่งนี้จึงได้ชื่อว่า“เขาน้ำค้าง"
แต่นี่ตะวันจะตรงหัวอยู่แล้ว ผมไม่ได้มาสนใจกับน้ำค้างอะไรหรอก
เพราะตอนนี้ผมกำลังอยู่ในพื้นที่ที่อดีตไม่มีใครกล้าเข้ามาเนื่องจากเป็นเขตหวงห้าม
เป็นพื้นที่สีแดงที่เคยเป็นฐานปฏิบัติการของโจรจีนก่อการร้ายคอมมิวนิสต์!
ไม่น่าเชื่อว่ากลางป่าเขาทุรกันดารเช่นนี้จะมีหมู่บ้านตั้งอยู่!
ผมค่อยๆ ก้าวลงจากรถเดินผ่านซุ้มประตูที่มีข้อความ “สันติภาพ 1930-1989 PEACE" เข้าไปภายในหมู่บ้านปิยมิตร 5
อดีตที่ตั้งของกองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์มาลายาท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัด
“สวัสดีสหาย"
ป้ายทักทายผู้มาเยือนและมันเป็นคำทักทายของเพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่
ปืน ลูกระเบิด อาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ รวมถึงภาพถ่ายในอดีต
สะท้อนร่องรอยของการต่อสู้อันยาวนานของพรรคคอมมิวนิสต์มาลายาที่สถาปนาขึ้นแบบใต้ดิน
เพื่อต่อต้านลัทธิจักรวรรดินิยมล่าเมืองขึ้นของอังกฤษที่เข้ามายึดครองมาเลเซียตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2
แต่ภายหลังถูกฝ่ายรัฐบาลมาเลเซียภายใต้การปกครองของอังกฤษกวาดล้างอย่างหนัก
จนถูกผลักดันถอยร่นเข้ามายังเขตไทยกระจายซ่อนตัวอยู่บนภูเขาและป่าทึบตามแนวตะเข็บชายแดน
หนึ่งในนั้นคือกรมที่ 8 ของพรรคคอมมิวนิสต์มาลายาได้เข้ามายึดเขาน้ำค้างเป็นฐานบัญชาการมีกองกำลังประมาณ 600 นาย
ฐานที่มั่นแห่งนี้มีความลับบางอย่างที่ทำให้สามารถหลบซ่อนตัวอยู่บนผืนแผ่นดินไทยได้นานนับสิบปี
เพราะไม่ว่าจะถูกระดมโจมตีทางอากาศและปืนใหญ่นับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ไม่สามารถเข้ายึดฐานที่มั่นแห่งนี้ได้
ความลับที่ว่าคือ 'อุโมงค์'
มันเป็นอุโมงค์แห่งอุดมการณ์ที่แม้จะคับแคบ หากแต่ภายในนั้นลึกลับซับซ้อน
มันถูกขุดเจาะเข้าไปในภูเขา เจาะลึกเข้าไปในความคิดที่ถูกลัทธิสังคมนิยมปลูกฝัง
ปลูกฝังให้เชื่อว่าสามารถสร้างสังคมในอุดมคติที่มีความเท่าเทียมกันทุกคน
สังคมแบบนี้มันมีอยู่จริงหรือ?
อุโมงค์เขาน้ำค้างถูกสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2515 ใช้กำลังคน 200 คนต่อวัน
มีทางเข้าออก 16 ช่องทาง มีป้อมยามรักษาการ 7 ป้อม ใช้ระยะเวลาในก่อสร้างประมาณ 2 ปี
ภายในทำเป็นทางเดินเชื่อมต่อถึงกันรวมระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร จัดแบ่งเป็นห้องต่างๆ
ที่มีทั้งห้องประชุม ห้องพยาบาล ห้องครัว ห้องพัก ห้องวิทยุสื่อสาร ห้องท่านผู้นำ ที่ฝึกซ้อมยิงปืน และที่ฝึกยานพาหนะ
ตัวอุโมงค์ถูกออกแบบให้อากาศภายในถ่ายเทได้เป็นอย่างดี
แต่ผมกลับรู้สึกอึดอัด รู้สึกกดดันจนหนักหัว
ที่รู้สึกเช่นนั้นมันอาจเป็นเพราะความมืด ความคับแคบของพื้นที่
หรือบางทีอาจเป็นเพราะผมกำลังเดินลึกเข้าไปในความขัดแย้ง
ในอำนาจ ในการแสวงหาผลประโยชน์ ในการโหยหาอิสรภาพ
ลึกเข้าไปในห้วงของอดีตที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและควันปืน
การต่อสู้อันยาวนานของพรรคคอมมิวนิสต์มาลายายุติลงในปี พ.ศ. 2530 หลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลาย
จีนระงับการส่งความช่วยเหลือทุกอย่าง และถูกทางการไทยร่วมกับมาเลเซียเข้าปราบปราม
กรมที่ 8 แห่งพรรคคอมมิวนิสต์มาลายาจึงยอมวางปืนและกลับใจหันมาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย
ทิ้งอุโมงค์เขาน้ำค้างไว้เป็นประวัติศาสตร์ให้อนุชนคนรุ่นหลังได้รำลึกถึงการต่อสู้
รำลึกถึงสงครามความขัดแย้งของมนุษย์ที่สุดสายปลายอุโมงค์ก็จบลงด้วยการร้องหา 'สันติภาพ'
'สันติภาพ' ที่จริงๆ มันก็มีอยู่แล้ว เสียดายที่มนุษย์ไม่เคยมองเห็นตั้งแต่ปากทางเข้าอุโมงค์
เส้นทางของไอฟายน้อยสู่อุโมงค์ประวัติศาสตร์เขาน้ำค้าง
จากกรุงเทพฯ ใช้ถนนเพชรเกษมยิงยาวไปจนถึงอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา รวมระยะทางประมาณ 944 กิโลเมตร
ใช้เวลาประมาณ 12-13 ชั่วโมง (ถ้าขับรวดเดียวไหว!)
ถึงตัวอำเภอหาดใหญ่ให้เลี้ยวขวาไปยังอำเภอสะเดาตามทางหลวงหมายเลข 4 อีกประมาณ 40 กิโลเมตร
เป็นถนนสี่เลนอย่างดี
พอถึงตัวอำเภอสะเดาให้เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 4243 เป็นถนนสองเลนลาดยางอย่างดีและไม่ค่อยมีรถ
ตรงไปตามทางประมาณ 22 กิโลเมตร สังเกตป้ายอุโมงค์ประวัติศาสตร์เขาน้ำค้าง
ให้เลี้ยวขวาไปตามป้ายอีกประมาณ 2 กิโลเมตร
ถึงลานจอดรถของหมู่บ้านปิยมิตร 5 อุโมงค์อยู่ด้านใน
เสียค่าบำรุงสถานที่ก่อนเข้าชมอุโมงค์และพิพิธภัณฑ์ 40 บาท
ซึ่งผู้ดูแลสถานที่ก็คือเหล่าสหายในอดีตนั่นเอง!
ติดตามผลงานเรื่องอื่นๆ ของไอฟายน้อยได้ที่http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=ifind&month=02-07-2016&group=13&gblog=8
I-FINDNOI
วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 เวลา 13.43 น.