อีกไม่เกิน 50 ปี กรุงเทพฯจะจมอยู่ใต้น้ำ!

ภัยพิบัติครั้งใหญ่จะทำให้แผ่นดินของประเทศไทยหายไปครึ่งหนึ่ง

โดยจะเหลือบริเวณที่เป็นผืนดินแค่ส่วนที่อยู่เหนือจังหวัดสระบุรีขึ้นไป!

บทความอันน่าตระหนกตกใจเหล่านี้ผ่านตาผมอยู่เป็นประจำตามหน้าเว็บไซต์ต่างๆ

บ้างก็เป็นความคิดเห็น บ้างเป็นคำทำนาย บ้างก็คำกล่าวอ้างของนักวิชาการ

และอีกหลายบทความก็อ้างอิงถึงหลักการทางวิทยาศาสตร์

สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ผมก็ไม่อาจรู้ได้

แต่ที่รู้คือความจริงในปัจจุบันภัยพิบัติทางธรรมชาติต่างๆ เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นจากเมื่อก่อนมาก

สภาวะอากาศแปรปรวนฤดูกาลผันเปลี่ยนไม่แน่นอน

น้ำแข็งขั้วโลกละลายมากขึ้นทุกปีตามอุณหภูมิโลกที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปีละ 1-2 องศา

ระดับน้ำทะเลก็สูงขึ้นทุกๆ ปี ในขณะที่แผ่นดินกรุงเทพฯก็ทรุดหนักลงทุกวัน

ลองไปดูจังหวัดชายฝั่งทะเลทั้งภาคใต้และภาคกลางอย่างสมุทรสาคร สมุทรสงคราม หรือสมุทรปราการ

ทุกวันนี้ถูกน้ำทะเลกัดเซาะรุกคืบที่ดินหายเข้ามาหลายกิโลเมตรแล้ว!

โลกกำลังเปลี่ยนไป แต่มันเปลี่ยนไปทีละน้อยจนคนเราแทบไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง



ผมได้มาตระหนักถึงเรื่องนี้อีกครั้งเมื่อได้มายืนอยู่บนอดีตผืนดินที่ตอนนี้ถูกยึดครองไปด้วย

ผืนน้ำผืนน้ำที่มีโฉนดที่ดิน!




สะพานคอนกรีตยาวราว 200 เมตร ทอดตัวไปยังโบสถ์และเจดีย์สีทองอร่ามของวัดหงษ์ทอง

ตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเลในเขตอำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา

สร้างความแปลกตาประหลาดใจให้กับผู้มาเยือนไม่น้อย



ซึ่งหากย้อนไปเมื่อ 30-40 ปีก่อน วัดแห่งนี้เคยตั้งอยู่บนผืนแผ่นดินที่ล้อมรอบไปด้วยป่าชายเลน มีพื้นที่ประมาณ 21 ไร่

แต่ปัจจุบันถูกน้ำทะเลรุกล้ำเข้ามาทำให้เหลือพื้นที่ที่เป็นพื้นดินอยู่เพียง 8 ไร่!

เหตุการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนของมหันตภัยร้ายแรงในภายภาคหน้า

ผมยังไม่กล้าคิด! แต่ถ้าให้คิดถึงความเป็นจริงโลกไม่ได้สวยงามเสมอไป

ดูอย่างตอนเกิดสึนามิ แผ่นดินไหว บทจะเกิดมันก็เกิด ไม่มีใครคาดเดาธรรมชาติได้

เพราะโลกอยู่บนความไม่มั่นคงเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา


เมื่อโลกเปลี่ยนวัดจึงต้องปรับเปลี่ยนไปตามโลก

โบสถ์และเจดีย์สิ่งปลูกสร้างต่างๆ ถูกสร้างให้อยู่ได้ในทะเล ตามพิกัดโฉนดที่ดินเดิม!



ชีวิตคนเราก็เช่นกัน หากเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมันก็ต้องปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดบนโลกใบเดิมนี้ให้ได้

เพราะเราไม่สามารถหนีออกจากโลกได้ นอกซะจากต้องแย่งตั๋วหนีขึ้นยานไปดาวอังคารแบบในภาพยนตร์



สายตาของผมทอดยาวออกไปมองดูโลก มองดูผืนน้ำกว้างไกลอยู่บนจุดชมวิวข้างๆ พระธาตุเจดีย์ชื่อยาวเหยียด

"พระธาตุคงคามหาเจดีย์ปรีชาประภากร ปราชญ์ ศรนิล อนุสรณ์"

อันเป็นที่ประดิษฐานของพระอรหันต์ธาตุกลางทะเลแห่งแรกในโลก


หันไปมองยังอาคารที่สร้างอยู่คู่กันคือพระอุโบสถ์

ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่แม้จะเขียนขึ้นใหม่ไม่ขรึมขลังเท่ากับวัดเก่าๆ

แต่ก็สวยงามไปตามยุดสมัย และหากมองย้อนกลับไปยังริมฝั่ง

ผมมองเห็นความไม่แน่นอน



เพราะจากจุดที่ยืนอยู่ ผืนดินอาจขยับห่างออกไปเรื่อยๆ ทุกๆ นาที เพียงแต่เราไม่รู้สึก

แต่หากเรารู้สึก เราจะสัมผัสได้ถึงความกลัว เพราะคนเรากลัวการเปลี่ยนแปลง กลัวความไม่มั่นคงแน่นอน

แต่สิ่งเหล่านี้มันอยู่คู่กับโลกตลอดเวลา มันเป็นสิ่งที่เราบังคับไม่ได้ จะหนีจากมันก็ไม่ได้

เพราะมันคือสิ่งที่เรียกว่า "ความจริง"

ความจริงของวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร?

ผมกลับไม่ได้ใส่ใจมันเท่าไหร่ เพราะพรุ่งนี้จะเป็นยังไงก็ช่าง!

แค่เข้าใจและเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับมันให้ได้ก็พอ




การเดินทางของไอฟายน้อยสู่วัดหงษ์ทอง

เริ่มต้นจากสี่แยกบางนามุ่งหน้าไปชลบุรีตามถนนบางนาตราด ใครอยากซื้อเวลาขึ้นโทลเวย์ก็ได้

วิ่งตรงไปประมาณ 22 กิโลเมตร ขึ้นสะพานกลับรถตามป้าย อ.บางบ่อ (ใครมาโทลเวย์ก็ลงตามป้าย อ.บางบ่อ)

กลับรถมาแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ตัวอำเภอบางบ่อ ตามทางหลวงหมายเลข 3117

ในตัวอำเภออาจจะพลุกพล่านสักหน่อยนะครับ



ต่อไปขับตรงอย่างเดียวตามทางสายหลักประมาณ 13 กิโลเมตร จะเจอสามแยกที่เชื่อมกับถนนสุขุมวิทสายเก่า(ทางหลวงหมายเลข 3)

ให้เลี้ยวซ้ายตรงไปอีกประมาณ 4.5 กิโลเมตร สังเกตป้ายวัดหงษ์ทองทางขวามือ

เลี้ยวเข้าซอยไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร ถึงลานจอดรถหน้าวัด

ติดตามผลงานเรื่องอื่นๆ ของไอฟายน้อยได้ที่ http://bloggang.com/mainblog.php?id=ifind

ความคิดเห็น