หากถามว่า “พังงา” มีอะไรเที่ยวบ้าง? คำตอบที่คุ้นหู คงไม่พ้น เขาตาปู เขาพิงกัน หมู่เกาะสิมิลัน หมู่เกาะสุรินทร์ และยังมีอีกหลายคนที่เคยคิดว่า เกาะไข่ เกาะยาวน้อย เกาะยาวใหญ่ อยู่ในภูเก็ต เมื่อก่อนผมเองก็คิดแบบนั้นเช่นกัน เหตุเพราะเราจะนั่งเรือจากภูเก็ตไปเที่ยวยังเกาะดังกล่าว ก็เลยเหมารวมไปว่าเกาะนั้นๆ อยู่ภูเก็ต ทั้งที่จริงอยู่ในเขต พังงา ครับ จริงๆ พังงา มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ มากกว่าที่ผมโปรยไว้ในตอนต้นเยอะมากๆ ไปดูกันดีกว่าครับว่า พังงา ไม่ธรรมดาอย่างที่คิดยังไง
ผมเลือกมาเปิดทริปที่เสม็ดนางชี แนะนำว่าให้มาถึงกันแต่เช้า สักประมาณ 06.00 น. มาชมเสม็ดนางชีในช่วงเช้า ผมว่าพีคที่สุดแล้ว การขึ้นไปบนจุดชมวิวเสม็ดนางชี จะมีค่าบำรุงสถานที่+ค่ารถไปกลับ คนละ 90 บาท หากต้องการเดินขึ้นลง ก็เสียค่าบำรุงสถานที่ 60 บาทครับ ผมว่าซื้อความสบายเถอะครับ เพราะเส้นทางชันเอาเรื่องครับ จะมีรถสองแถวจอดรอให้บริการรับส่ง อยู่ที่ลานจอดรถด้านล่างของเสม็ดนางชีครับ
เมื่อมาถึงด้านบน ฟ้าก็ยังไม่เปิดเท่าที่ควร แต่ก็ยังดีที่พอจะเห็นแสงสีทองแว๊บๆ ออกมาบ้าง ช่วงเวลาทองมีไม่ถึง 5 นาทีครับ ตอนนั้นก็กดชัตเตอร์กันรัวๆ ไป ที่นี่ผมขอนับให้ติดอันดับจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยอีกจุดในใจผมเลยครับ
ขยับจากจุดชมวิวเสม็ดนางชีมาราวๆ 2 กม. ก็จะพบทางขึ้นจุดชมวิวอ่าวโต๊ะหลีอยู่ทางขวามือ ไม่รอช้าขับรถขึ้นไปกันเลยครับ การขึ้นจุดชมวิวที่นี่สามารถขับรถขึ้นมาเองได้เลย เส้นทางสูงชัน แต่ถนนเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กอย่างดี เมื่อขึ้นมาถึงด้านบนจุดชมวิวแล้ว มีค่าบำรุงสถานที่คนละ 50 บาทครับ
วิวของจุดชมวิวโต๊ะหลี ก็จะเห็นวิวป่าเกาะเดียวกันกับจุดชมวิวเสม็ดนางชี แต่ก็สวยไปอีกแบบครับ และยังสามารถเห็นชุมชนบ้านหินร่มได้ด้วย ที่จุดชมวิวนี้คนไม่ค่อยพลุกพล่านครับ เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวที่หากมีเวลา ก็ควรขึ้นมาเก็บบรรยากาศด้านบนครับ
จากจุดชมวิวโต๊ะหลี ผมมุ่งหน้าสู่บ้านหินร่ม ซึ่งอยู่ห่างกันประมาณ 2 กม. ที่บ้านหินร่มนี้ชาวบ้านได้รวมตัวกันจัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชนบ้านหินร่ม โดยให้บริการเรือนำเที่ยวอ่าวพังงา มีโฮมสเตย์และร้านอาหารด้วย บริเวณท่าเรือยังสามารถชมวิวของป่าเกาะ จากมุมราบ ซึ่งสวยงามไม่แพ้กับมุมสูงที่ไปดูบนจุดชมวิวเสม็ดนางชีหรือที่จุดชมวิวโต๊ะหลีเลยครับ
เช้านี้ผมเลยมาฝากท้องที่ร้านค้าในชุมชนบ้านหินร่ม ซึ่งอยู่ติดกับท่าเรือเลยครับ
หลังอาหารเช้า ผมเลยติดต่อเหมาเรือเพื่อเดินทางไปล่องอ่าวพังงากันต่อ โดยเลือกเป็นแบบระยะทางสั้นๆ คือ เขาพิงกัน เขาตาปู เกาะสะอัง และถ้ำแก้ว โดยค่าเหมาเรืออยู่ที่ลำละ 1,500 บาทครับ
ระหว่างเส้นทาง ก็จะมองเห็นทิวทัศน์ของเกาะต่างๆ ในอ่าวพังงา สวยงามเลยทีเดียว
นั่งเรือมาไม่นานนักก็มาถึงเขาตาปูแล้วครับ ระยะทางจากท่าเรือบ้านหินร่มไปยังเขาตาปู จะใกล้ที่สุดแล้วครับ
เมื่อมาถึงเขาตาปู (ลักษณะคล้ายตาปู) (บ้างก็เรียกเขาตะปู ด้วยลักษณะเหมือนตะปู) จะต้องเสียค่าเข้าอุทยาน ผู้ใหญ่คนละ 60 บาท และเสียค่าเรือเข้าจอดที่อุทยานด้วย โดยนักท่องเที่ยวต้องเป็นผู้จ่าย อย่างเรือหางยาวที่ผมไปเสีย 20 บาท ครับ จากจุดจอดเรือ เราต้องเดินขึ้นเนินหินกันนิดหน่อย เพื่อทะลุมายังเขาตาปู ครับ
เมื่อพูดถึงจังหวัดพังงา ผมว่าหลายๆ คน รวมถึงผมด้วย จะเห็นภาพเขาตาปูลอยมาอยู่ในหัวทันที เขาตาปูถูกหยิบให้มาเป็น 1 ใน 3 เอกลักษณ์ที่ปรากฏบนตราประจำจังหวัดพังงาด้วยครับ
ติดกับเขาตาปู จะเป็นเขาพิงกัน ลักษณะเป็นแผ่นหินราบแผ่นใหญ่สองแผ่นวางพิงกันอยู่ ซึ่งเกิดจากการเลื่อนตัวของหินตามรอยแยก ทั้งเขาตาปูและเขาพิงกัน เคยเป็นฉากหนึ่งในหนังเรื่องเจมส์ บอนด์ 007 ด้วย จึงทำให้ทั้ง 2 เกาะนี้ได้รับการขนานนามอีกชื่อว่าเกาะเจมส์บอนด์ครับ
จากเขาตาปู ผมนั่งเรือต่อไปยังเกาะสะอัง เรือมาจอดเทียบให้บริเวณริมผาของเกาะ จากนั้นเราต้องปีนป่ายกันเล็กน้อย เพื่อเข้าไปด้านในเกาะ โดยด้านในจะเป็นโถงถ้ำขนาดเล็ก ที่มีเพียงแสงจากดวงอาทิตย์ส่องผ่านเข้ามาเท่านั้น ถ้ำแห่งนี้ผมว่ายังดูดิบมากๆ หินย้อยที่นี่มีสีเขียว ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่มีการทาสีเขียวแต่อย่างใด ผมไม่แน่ใจว่ามันคือตะไคร่น้ำ หรือว่าเป็นปฏิกิริยาที่หินย้อยโดนแสงไฟครับ
จากเกาะสะอัง ผมไปต่อที่ถ้ำแก้วครับ ถ้ำกลางน้ำที่มีหาดทรายเล็กๆ อยู่ภายในถ้ำด้วย การเข้าถ้ำนี้ต้องดูที่ระดับน้ำด้วยนะครับ เพราะถ้าน้ำขึ้น ก็ไม่สามารถเข้าไปชมด้านในได้ แต่ถ้าเป็นช่วงจังหวะน้ำลง เรือจะสามารถเข้าไปจอดบริเวณชายหาดด้านในถ้ำ และเราสามารถเดินเที่ยวชมภายในถ้ำได้ครับ
ภายในถ้ำแก้ว มีขนาดพอๆ กับเกาะสะอังครับ ภายในมีหินงอกหินย้อยเช่นกัน หินงอกหินย้อยบางจุดเมื่อโดนแสงไฟจากไฟฉาย จะส่องประกายระยิบระยับ สวยงามดังชื่อถ้ำแก้วเลยครับ
และมีอยู่มุมหนึ่ง มีลักษณะคล้ายหน้าต่างถ้ำ สามารถมานั่งชมวิวด้านนอกได้ครับ
สำหรับใครที่สนใจจะล่องอ่าวพังงา สามารถติดต่อสอบถามหรือเหมาเรือที่วิสาหกิจชุมชนท่าเรือบ้านหินร่มได้ที่ คุณเกษร080-7070416 อย่างแพคเกจที่ผมไป คือเขาตาปู เขาพิงกัน ค่าเรืออยู่ที่ 1,500 บาท ส่วนเกาะสะอังและถ้ำแก้ว ให้แจ้งตอนเหมาเรือเลยว่าจะแวะ คนเรือจะดูระดับน้ำในตอนนั้นว่าสามารถเข้าชมได้หรือไม่ ถ้าหากชมได้ก็ไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มครับ
สำหรับใครที่ต้องการไปเที่ยวเกาะปันหยี ถ้ำลอด เพิ่มจากเขาตาปู เขาพิงกัน จะมีค่าเหมาเรืออยู่ที่ 2,000 บาท (นั่งได้ 1-5 คน) และราคา 2,500 บาท (นั่งได้ 6-10 คน) เนื่องจากว่าเกาะปันหยีจะออกไปจากท่าเรือค่อนข้างไกลครับ
พอขึ้นถึงฝั่ง ผมมุ่งหน้าสู่ตัวเมืองพังงา ระหว่างทางแวะเที่ยวชมวัดสุวรรณคูหาครับ
วัดสุวรรณคูหา หรือที่คนพังงาเรียกกันติดปากว่าวัดถ้ำ เป็นวัดที่มีโบราณสถานสำคัญทางประวัติศาสตร์ ที่ตั้งวัดอยู่ตรงภูเขา ทำให้มีถ้ำขนาดเล็กและขนาดใหญ่อยู่มากมาย
จุดที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาวัดสุวรรณคูหา คือการมาสักการะพระพุทธไสยาสน์ ที่มีความยาวถึง 7 วา 2 ศอก ซึ่งประดิษฐานอยู่ภายในโถงถ้ำขนาดใหญ่ องค์พระพุทธไสยาสน์ยามต้องแสงไฟ ดูเปล่งประกายเป็นสีทองอร่าม งดงามจับใจครับ
จากปากถ้ำ หากเดินผ่านพ้นองค์พระพุทธไสยาสน์ และเดินขึ้นบันไดไปเล็กน้อย จะพบกับโถงถ้ำที่ด้านหน้าถ้ำมีพระปรมาภิไธยย่อของพระเจ้าแผ่นดินและพระราชวงศ์หลายพระองค์ ภายในถ้ำมีโถงสูงขนาดใหญ่ มีหินงอกหินย้อยอยู่บ้างครับ
บ่ายกว่าแล้ว ยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเลย ผมหิ้วท้องมากินที่ชุมชนบ้านบางพัฒน์ ที่นี่เป็นหมู่บ้านเชิงอนุรักษ์ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวที่มีความสนใจ เข้ามาเรียนรู้ และสัมผัสกับวิถีชีวิตชุมชนชาวประมงเล็กๆ ที่มีความเรียบง่าย เป็นกันเองครับ
ชุมชนบ้านบางพัฒน์เป็นชุมชนที่มีลักษณะเป็นเกาะในอ่าวพังงา โดยตั้งบ้านเรือนนอกฝั่ง สภาพพื้นที่บนเกาะเป็นป่าชายเลน มีสะพานปูนเล็กๆ เชื่อมระหว่างฝั่งกับชุมชน ครับ
ในชุมชนมีผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูปจำหน่ายมากมาย มีทั้งปลาเค็มตากแห้ง ปลาหมึกแห้ง กุ้งเสียบ กะปิ หรือจะเป็นอาหารทะเลสดๆ ก็มี นอกจากนี้ยังมีเครื่องประดับประเภทสร้อยไข่มุกอันดามันด้วยครับ
แต่ถ้าใครไม่อยากจะหิ้วกลับไปทำกินเองที่บ้าน ในชุมชนบ้านบางพัฒน์ก็มีร้านอาหารทะเลหลายร้านเลยครับ ที่สำคัญคิดราคาเป็นรายหัว หัวละ 250 บาท สำหรับลูกค้าที่มาต่ำกว่า 4 คน จะได้กับข้าว 5 อย่าง ถ้ามามากกว่า 4 คนขึ้นไป จะได้กับข้าว 7 อย่างครับ โดยเราสามารถเลือกเมนูได้ตามใจเราเลย ราคาไม่รวมข้าวเปล่านะครับ สำหรับมื้อนี้ผมไปใช้บริการร้านครัวอารีย์ บังหมัด ครับ
ปลาหมึกผัดไข่เค็ม อันนี้ขอยกให้เป็นที่หนึ่งที่เลือกมาใน 5 เมนูครับ รสชาติอร่อย นัวไข่เค็มมากๆ
กุ้งเผา
ปูดำนึ่ง ปูเวลาแกะออกมาแล้วมีน้ำออกมาค่อนข้างเยอะ รสชาติของปูค่อนข้างเค็ม ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเค็มจากอะไรครับ
ปลากะพงนึ่งบ๊วย รสชาติกลางๆ ครับ
ต้มยำรวมมิตรทะเล
สำหรับเรื่องรสชาติอาหารโดยรวม ผมว่ากลางๆ ไม่ถึงกับว้าวอะไรครับ สำหรับเรื่องความสดของวัตถุดิบ ถือว่าผ่านครับ
จุดหมายต่อไปของผมอยู่ที่โบราณสถานถ้ำซำ ซึ่งผมเองขอยกให้ถ้ำซำเป็น Unseen พังงา เลยครับ ดูภายนอกตัวถ้ำอาจจะไม่น่าสนใจเท่าไร ภายในก็มีภาพเขียนสีประวัติศาสตร์ ซึ่งหลายๆ จังหวัดก็มี อย่างผาแต้ม จ.อุบลราชธานี ถ้ำผีหัวโต จ.กระบี่ แต่ทำไมผมถึงยกให้ถ้ำแห่งนี้พิเศษกว่าถ้ำอื่นๆ นะเหรอครับ ก็ถ้ำแห่งนี้มีภาพเขียนสีประวัติศาสตร์ที่ไม่เหมือนใคร เพราะเป็นภาพลายเส้นและภาพลงสีขาว ดำ แดง แสดงเรื่องราวทางพุทธศาสนาและวิถีชีวิตผู้คนในสมัยอดีต มีภาพยักษ์ ภาพนก ภาพดอกไม้ สวยงามแปลกตาจริงๆ นักวิชาการได้คาดว่าภาพเขียนสีเหล่านั้นมีอายุประมาณ 100 กว่าปี ซึ่งตรงกับช่วงปลายรัชกาลที่ 4 ต่อเนื่องถึงรัชกาลที่ 5 ถ้ำแห่งนี้จึงได้ถูกยกให้เป็นแหล่งศิลปะถ้ำสมัยต้นรัตนโกสินทร์ (พ.ศ.2394-2453) ครับ
แอบนึกเสียดายที่ถ้ำซำดูเหมือนไม่ค่อยได้รับการเหลียวแลสักเท่าไร เพราะทางเดินเข้าไปชมค่อนข้างรก เหมือนกับโดนปล่อยทิ้งร้างไปครับ
จากโบราณสถานถ้ำซำ ไปกันต่อที่ วนอุทยานสระนางมโนราห์ครับ
ไฮไลท์ของวนอุทยานสระนางมโนราห์ อยู่ที่น้ำตกสระนางมโนราห์ ถึงแม้จะเป็นน้ำตกเล็กๆ แต่ก็สวยงามไม่แพ้น้ำตกใหญ่ๆ เลย ภายในวนอุทยานค่อนข้างร่มรื่น เพราะมีพืชพันธุ์ไม้ใหญ่ต่างๆ มากมาย มีทั้งไผ่ เฟิร์น จำปาป่า จึงทำให้มีนักท่องเที่ยวมาพักผ่อนกันเป็นจำนวนมาก จากจุดจอดรถเราต้องเดินเท้าประมาณ 100 เมตร ก็จะมาถึงตัวน้ำตกที่ใกล้ที่สุดครับ
ได้เวลามื้อเย็นกันอีกแล้วครับ เพิ่งจะกินมื้อกลางวันไปแม๊บๆ เย็นนี้ผมฝากท้องที่ร้านกำลังภายใน ชื่อร้านอาจนึกว่าเป็นร้านข้าวต้ม แต่จริงๆ แล้วเป็นร้านอาหารตามสั่งครับ
เริ่มด้วยกะเปะผัดหมูกรอบ หรือหน่อไม้น้ำ ผักที่ปลูกกันมากในจังหวัดพังงาและภูเก็ตครับ ผมเพิ่งจะเคยเห็นและเคยกินเป็นครั้งแรก ดูจากรูปร่างตอนแรกคิดว่าจะแข็ง เหนียวและมีเสี้ยน แต่ไม่เลย กะเปะกรอบและอร่อยมากๆ ครับ
ผัดเผ็ดหมูสามชั้น รสชาติจัดจ้าน ดีงามครับ
ปลาอินทรีย์ทอดซีอิ้ว เมนูนี้ก็อร่อย ปลาสด ทอดออกมากำลังดี ราดด้วยน้ำซีอิ้ว หวานๆ เค็มๆ ครับ
ปิดท้ายด้วยปลาทรายทอดขมิ้น
ถือว่า Enjoy กับมื้อนี้ครับ อาหารอร่อย ราคาไม่แพงด้วย ถ้าหากใครสนใจสามารถโทรจองโต๊ะได้ล่วงหน้าที่ 081-8956268 ครับ
คืนนี้ผมเข้าพักที่ White house อยู่ติดถนนใหญ่เลย ด้านล่างเป็นร้านขายก๋วยเตี๋ยวเรือ 4 พระยา ส่วนชั้น 2 และ 3 จะเป็นห้องพักครับ
ห้องพักมีระเบียงให้ออกไปสูดอากาศข้างนอกได้ เนื่องจากอยู่ติดถนนใหญ่ ก็อาจจะได้ยินเสียงรถชัดเจน แต่ช่วงค่ำ เสียงรถก็น้อยลง สำหรับที่จอดรถจะจอดข้างถนนด้านหน้าร้านก๋วยเตี๋ยวครับ
เช้าวันใหม่ ผมออกเดินทางกันตั้งแต่หัวรุ่ง เพื่อไปยังบ้านโคกไคร หมู่บ้านเล็กๆ ริมคลองมะรุ่ย ต.มะรุ่ย อ.ทับปุด จ.พังงา ซึ่งคลองมะรุ่ยช่วงที่ผ่านชุมชนโคกไคร จะเป็นเส้นแบ่งเขตจังหวัดพังงา และจังหวัดกระบี่ โดยพื้นที่ฝั่งตรงข้ามคลองมะรุ่ย ฝั่งกระบี่ จะเป็นพื้นที่อำเภออ่าวลึกครับ
แล้วผมมาทำอะไรที่บ้านโคกไคร คำตอบคือ ผมจะมาทำสปาโคลนร้อนที่ริมคลองมะรุ่ย ฝั่ง อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ครับ
การทำสปาโคลนร้อนริมคลองมะรุ่ย เราจะต้องซื้อแพคเกจ โดยสามารถติดต่อได้ที่ชุมชนบ้านโคกไคร จ.พังงา หรือชุมชนท่องเที่ยวบ้านถ้ำเสือ จ.กระบี่ครับ
แล้วถามว่า ทำไมผมมาใช้บริการของบ้านโคกไคร คำตอบคือ ช่วงที่ผมไปนั้น ผมยังอยู่ในพื้นที่พังงา และที่บ้านโคกไคร เขาออกตัวว่าเป็นผู้บุกเบิกการทำสปาโคลนร้อน ตั้งแต่ปี 2550 เป็นรูปแบบการท่องเที่ยวโดยชุมชน แล้วจึงไปแนะนำและอบรมให้กับทางฝั่งกระบี่ และมีความเชื่อมโยงกัน การท่องเที่ยวของชุมชนอ่าวลึกและชุมชนบ้านถ้ำเสีอ จะใช้พื้นที่การให้บริการที่เดียวกัน เวลานักท่องเที่ยวมา ทางกระบี่ นักท่องเที่ยวก็จะต้องใช้เรือของพังงา แต่ถ้านักท่องเที่ยวมาทางพังงา ก็จะต้องมาใช้หมอสปาของกระบี่ ทั้งสองชุมชนจะไม่แข็งขันกัน แต่จะช่วยกันทำมาหากินครับ
ผมมาถึงบริเวณท่าเรือเวลา 06.00 น. ตามเวลานัดหมายของคุณสมพร ประธานและผู้ประสานงานท่องเที่ยวชุมชนบ้านโคกไครครับ เมื่อมาถึง ฟ้ากำลังเริ่มเปลี่ยนสีพอดี ทริปนี้ผมได้บังอิ๊บเป็นไกด์พาผมไปทำสปาโคลนร้อนครับ
บังอิ๊บรีบพาผมขึ้นเรือ แล้วล่องออกไปในคลองมะรุ่ย มองออกไปเห็นพระอาทิตย์เริ่มโผล่พ้นทิวเขาน้อยใหญ่ บังอิ๊บชี้ให้ดูว่า บริเวณที่เป็นขุนเขา มีชื่อว่า Ancient town หรือเมืองโบราณครับ
ระหว่างทางเราจะเห็นวิถีการเลี้ยงหอยนางรมและหอยแมลงภู่ของคนที่นี่ โดยเขาจะใช้ยางล้อมอเตอร์ไซด์เก่ามาผูกไว้กับไม้ และปักลงไปในทราย เพื่อให้หอยที่ลอยตามกระแสน้ำมาติดและเกาะอยู่ที่ยางล้อเหล่านั้น
หากสังเกตดีๆ จะเห็นหินเป็นโพรงรูปหัวใจด้วยครับ
จากนั้นจะเห็นวิถีประมงพื้นบ้านและการะเพาะเลี้ยงหอยนางรมริมสองฝั่งคลองปันแดนระหว่างจังหวัดพังงาและกระบี่ครับ
ล่องเรือออกไปสักพัก เราก็มาถึงหาดทรายร้อนกันแล้วครับ สังเกตได้เลยว่ามีควันสีขาวลอยขึ้นจากหาดทราย จุดนี้แหล่ะที่เราจะทำสปากัน บริเวณหาดทรายร้อนจะมีทั้งทรายร้อน โคลนร้อน และน้ำเค็มร้อน
การทำสปาโคลนร้อน ไม่ได้ทำกันได้ทุกวัน ทุกเวลานะครับ คือจะทำได้ช่วงเช้ามืดช่วงน้ำลงของวันขึ้นหรือแรม 3-6 ค่ำ ซึ่งจะสามารถมาทำสปาโคลนร้อนได้ประมาณ 8 วัน/เดือน เท่านั้น
พื้นที่บริเวณที่ทำสปาโคลนร้อน เป็นพื้นที่ที่อยู่ระหว่างรอยแยกเปลือกโลกคลองมะรุ่ย จึงทำให้บริเวณนั้นได้รับพลังงานความร้อนจากใต้พิภพ ส่งผลให้ทราย โคลน รวมถึงน้ำในบริเวณนั้นมีอุณหภูมิสูงกว่าบริเวณอื่นๆ ที่สำคัญ ภายในดินโคลนบริเวณนั้นยังเต็มไปด้วยแร่ธาตุอันมีประโยชน์ในการบำบัดโรคและบำรุงผิวพรรณครับ และการที่เรามาทำสปาโคลนกันที่นี่ จึงเป็นการผ่อนคลายและบำบัดไปในตัว
ขั้นตอนในการนวด
1.เปลี่ยนชุดสำหรับเตรียมทำสปา โดยผู้ชายจะเป็นกางเกงขาสามส่วน ส่วนผู้หญิงจะเป็นผ้ากระโจมอกที่ทำยางยืดไว้ครับ มีห้องสำหรับเปลี่ยนชุดให้ด้วยครับ
2.เมื่อเปลี่ยนชุดเรียบร้อย เราจะต้องไปยืนในบ่อโคลนร้อน ประมาณ 10-15 นาที เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด เป็นการเปิดรูขุมขน จะสังเกตได้เลยว่าหน้าจะเริ่มแดง เหงื่อเริ่มไหล แนะนำว่าให้ยืนนิ่งๆ เพราะยิ่งขยับขา ขยับเท้า จะยิ่งร้อน ระหว่างนี้หมอก็จะไปนำโคลนที่อยู่ชั้นใต้ดินขึ้นมา ซึ่งโคลนบริเวณชั้นใต้ดินจะมีความละเอียดและมีแร่ธาตุสูง หมอออกตัวว่าได้รับการรับรองทางการแพทย์มาแล้ว
3. หมอจะมาล้างขาที่เปื้อนโคลนออกด้วยน้ำริมคลองมะรุ่ย
4.หมอจะทำการพอกโคลนพร้อมกับขัดและนวดไปตามร่างกายให้ การขัดคือการขจัดเซลผิวที่แห้งกร้านออกไป ใครที่ต้องการพอกทั้งตัวก็จัดเต็มได้เลยครับ หรือถ้าใครยังไม่กล้าพอ ก็ให้พอกเฉพาะขาไปก่อนก็ได้ ชาวบ้านเชื่อกันว่าโคลนจะช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยจากการทำงาน
5.หลังจากพอกแล้ว ก็ให้นั่งพักผ่อน ชมบรรยากาศริมคลองมะรุ่ย โดยช่วงนี้ทางชุมชนได้เตรียมของว่าง เป็นขนมพื้นบ้าน รวมทั้งเครื่องดื่มร้อน กาแฟ หรือโอวันติน และมีน้ำชาขลู่ ชาเนื้อหอมที่ทำมาจากสมุนไพรพื้นถิ่นที่นี่ครับ
6.หลังจากที่พอกแล้ว 10-15 นาที หรือโคลนแห้ง ก็จะไปล้างตัว โดยหมอจะนำน้ำจากคลองมะรุ่ยมาซับล้างตัวให้ จากนั้นจะใช้น้ำสะอาดจากขวดมาล้างตัวให้อีกที เมื่อล้างตัวเสร็จก็เปลี่ยนเสื้อผ้า เป็นอันเสร็จพิธีครับ
หลังจากผิวพรรณผุดผ่องเป็นยองใยแล้ว เราก็มาทานอาหารเช้ากันที่ศูนย์เรียนรู้ประมงพื้นบ้าน ซึ่งก็อยู่ตรงท่าเรือที่เราเริ่มออกเดินทางนั่นเองครับ
เมื่อขึ้นมาบนศูนย์เรียนรู้แล้ว บังอิ๊บก็เล่าให้ฟังว่า ที่นี่เป็นแหล่งผลิตหอยนางรมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย แต่จะผลิตเฉพาะลูกหอยและหอยวัยรุ่นเท่านั้น จากนั้นจะส่งต่อไปเลี้ยงต่อที่สุราษฎร์ธานีครับ
การท่องเที่ยวจุดนี้ มีอีกชื่อหนึ่งว่า ท่องเที่ยวทะเลหวาน โดยมีสโลแกนว่า หอยนางรมที่ชุมชนบ้านโคกไคร ไซส์พอคำ ผิวคล้ำ ฉ่ำหวาน มาที่นี่แล้ว ต้องไม่พลาดชิมหอยนางรมสดๆ ครับ แต่ช้าก่อน การกินหอยนางรมที่นี่มีขั้นตอนการกินด้วย โดยให้เริ่มต้นที่การเคี้ยวยอดกระถินอ่อน แล้วใช้ลิ้นตวัดไปทางซ้ายและทางขวา จนรู้สึกว่าขมปาก จากนั้นจึงเริ่มกินหอยได้เลยครับ เคี้ยวแล้วอย่าเพิ่งกลืนนะครับ เคี้ยวนานๆ จนรู้สึกว่าหอยนุ่ม และหวาน จากนั้นจึงกลืนหอยลงไปครับ ยังๆๆ ยังไม่จบกระบวนการ หลังจากกลืนหอยลงไปแล้ว ให้หยิบกระถินอีก 1 ยอดขึ้นมาเคี้ยว เฮ้ย...จากยอดกระถินที่เคยขม ตอนนี้มันหวานขึ้นมาทันที ให้ตายซิโรบิน นี่แหล่ะครับ เป็นที่มาของการท่องเที่ยวทะเลหวาน
เคยสงสัยกันไหมครับว่า ทำไมเครื่องเคียงการกินหอยนางรม ประกอบไปด้วย กระเทียม พริก กระถิน เพราะทั้ง 3 อย่างนี้มันช่วยเอื้อและช่วยเสริมในการกินหอย หอยทุกชนิดจะมีแบคทีเรีย เรากินกระถินเพื่อช่วยยับยั้งแบคทีเรีย กินกระเทียมเพื่อลดคอเลสเตอรอล กินพริกเพื่อช่วยขยายหลอดเลือด
ทุกคนกินหอยนางรมแล้ว ก็ต้องทิ้งเปลือก แล้วหากนำเปลือกของหอยนางรมมาใช้ประโยชน์ได้ ก็คงดีนะครับ ที่ชุมชนบ้านโคกไครได้นำเปลือกของหอยนางรมไปบดแล้วนำมาทำสบู่จากหอยนางรมด้วยครับ
นอกจากนี้ยังมีข้าวหมกไก่ รสชาติอร่อยเลยทีเดียว
กินคู่กับข้าวยำ อร่อยมากๆ
แกล้มด้วยผัดหมี่
แล้วซดน้ำให้คล่องคอกับหอยตลับต้มตะไคร้ เป็นอันว่าชีวิตดีงามครับ Happy กับมื้อเช้ามื้อนี้มากๆ
ผลิตภัณฑ์ที่ทางชุมชนวางจำหน่าย ชาขลู่ ที่ได้จิบชิมแล้ว ตอนทำสปาโคลนครับ
หากใครสนใจกิจกรรมดีๆ แบบนี้ สามารถติดต่อได้ที่คุณสมพร สาระการ ที่เบอร์ 087-8860465 โดยมีค่าใช้จ่ายคนละ 1,250 บาท (สำหรับ 4 คนขึ้นไป) ถ้าไม่ถึง 4 คน เพิ่มคนละ 300 บาท ครับ
ผมมุ่งหน้าสู่อำเภอกะปง ก่อนเข้าที่พักที่รีสอร์ทกะปง ATV ยังพอมีเวลาเหลือ ผมจึงเลยไปเที่ยวที่แกรนด์แคนยอนกระปงกันก่อนครับ
แกรนด์แคนยอนกะปง เกิดขึ้นจากการทำเหมืองแร่ในสมัยอดีต ที่มีการขุดหาแร่ดีบุกโดยระบบเหมืองฉีด จึงทำให้เกิดกองทรายขึ้นเป็นจำนวนมาก เมื่อผ่านไปหลายปีก็ถูกน้ำกัดเซาะ เกิดการยุบตัวและพังทลายของหน้าดิน จนเกิดเป็นรูปทรงแปลกตา เราสามารถลงไปเดินลัดเลาะตามธารน้ำไหล ซึ่งต้นน้ำมาจากน้ำตกขนาดเล็กบนยอดเขาครับ โดยรวมแล้วอาจจะไม่ค่อยมีอะไร หากใครมีเวลาเหลือเฟือ สามารถแวะมาเที่ยวฆ่าเวลาได้ครับ
สำหรับคืนนี้ ผมจองที่พักที่รีสอร์ทกะปง ATV ไว้ครับ รีสอร์ทที่นี่มีการตกแต่งได้น่ารักเลยทีเดียว บ้านพักแต่ละหลังสีสันสดใส
เข้าไปสำรวจห้องพักกันครับ ภายในห้องพักกว้างขวางพอสมควร ที่ระเบียงหน้าห้องมีโต๊ะให้นั่งกินข้าวด้วยครับ
บรรยากาศโดยรอบร่มรื่นเลยทีเดียว มีสวนน้ำเล็กๆ ด้วย
ช่วงที่ผมเข้าพัก ผมซื้อเป็นแพคเกจ ราคา 1,200 บาท พักได้ 2 คน พร้อมอาหารเช้า และฟรี ATV ให้ขับเล่นภายในรีสอร์ท โดยจะได้รับน้ำมันฟรี 1 ลิตร ตอนแรกผมเองก็ไม่กล้าขับเพราะไม่เคยขับ แต่พอลองขับแล้วสนุกมากๆ ครับ
สำหรับใครที่ต้องการเข้าพักที่นี่ แนะนำให้สั่งอาหารเย็นกับทางรีสอร์ทไว้ล่วงหน้า หรือไม่ก็หาอาหารติดไม้ติดมือเข้ามาทานในรีสอร์ทด้วยครับ ผมเองไม่ได้สั่งไว้ เพราะคิดว่าจะไปหากินที่ตลาดกะปง แต่เอาเข้าจริงๆ ช่วงเย็นตลาดกะปงเงียบเหงามาก ร้านอาหารแทบไม่มีเลยครับ แต่ถ้าใครไม่ซีเรียสอาหารกล่อง ก็สามารถซื้อที่ 7-11 ในตลาดกะปงได้ครับ
เช้าวันใหม่ ผมออกเดินทางสู่บ่อน้ำร้อนคลองปลายพู่ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก รีสอร์ทกะปง ATV ครับ ธารน้ำร้อนคลองปลายพู่เป็นธารน้ำธรรมชาติซึ่งจะไหลลงสู่คลองกะปง รวมระยะทางกว่า 9 กิโลเมตร โดยพื้นที่ที่เป็นบ่อน้ำร้อน นอกจากจะมีบ่อน้ำร้อนผุดๆ บ่อใหญ่ๆ (อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 75 องศา) ให้เห็นแล้ว ยังมีบ่อเล็กบ่อน้อย และยังมีสายน้ำเย็นๆ ไหลจากลำธารสายเดียวกัน มาผสม ทำให้เกิดเป็นน้ำอุ่นๆ เหมาะกับการแช่เท้า เพื่อยืดเส้นยืดสาย ช่วยให้ผ่อนคลายได้เยอะเลย ใครที่อยากจะแช่ทั้งตัวก็ไม่ผิดกติกา หามุมเหมาะ แช่กันได้ตามอัธยาศัย ว่ากันว่าน้ำร้อนที่นี่มีแร่ธาตุทำให้น้ำมีสีเขียวมรกต มีสรรพคุณในการบำบัดโรคต่างๆ อย่างเหน็บชา ไขข้ออักเสบ อาการปวดเมื่อยต่างๆ ตามร่างกายครับ
บริเวณจุดจอดรถ จะมีร้านขายไข่ดิบ มีทั้งไข่ไก่ ไข่นกกระทา สามารถซื้อแล้วยืมชะลอมเพื่อมาต้มไข่บริเวณข้างๆ ของบ่อใหญ่ได้เลย ผมเองก็ซื้อต้มหลายชะลอมเหมือนกัน
สำหรับใครที่อยากจะมาเที่ยวที่บ่อน้ำร้อนคลองปลายพู่ ผมแนะนำให้มาช่วงเช้าๆ บรรยากาศช่วงเช้าดีมาก อากาศเย็นๆ เมื่อเจอธารน้ำอุ่นๆ จะทำให้เราเห็นไอน้ำลอยขึ้นมาจากลำธารได้อย่างชัดเจน ชาวบ้านที่นี่จะมาที่ธารน้ำนี้กันแต่เช้า จูงลูกจูงหลานมาปูเสื่อริมลำธาร นั่งทานอาหารเช้ากันพร้อมหน้าพร้อมตา เห็นแล้วอิจฉาคนที่มีบ้านอยู่ใกล้ๆ ธารน้ำร้อนนี้จริงๆ ครับ
ผมกลับมาทานมื้อเช้าที่รีสอร์ท โดยทางรีสอร์ทได้เตรียมข้าวต้ม ขนมพื้นบ้าน และเครื่องดื่มร้อนๆ อย่างกาแฟ โอวันตินไว้ให้แล้ว เช้านี้ผมได้ไข่ต้มจากธารน้ำแร่มาเสริมทัพด้วย
สำหรับโปรแกรมในวันนี้ ผมวางแผนจะไปลุยป่าซาฟารีกันบนเกาะกลางทะเลอันดามัน ฟังไม่ผิดครับ ที่ที่ผมพูดถึง คือเกาะพระทอง การไปเที่ยวเกาะพระทองในครั้งนี้ผมเลือกเข้าพักที่ The Moken Eco Village และใช้บริการเหมาเรือกับทางรีสอร์ท ค่าเรือไปกลับ 3,000 บาท นั่งได้ประมาณ 10 คน สำหรับลูกค้าที่เหมาเรือกับ The Moken สามารถขึ้นเรือเพื่อข้ามไปยังเกาะพระทองได้ที่ท่าเรือกรีนวิวครับ เมื่อถึงท่าเรือจะมีที่จอดรถเตรียมไว้ให้พร้อมสรรพ
เราจะขึ้นเรือกี่โมง ให้โทรแจ้งรีสอร์ทล่วงหน้า รีสอร์ทจะส่งเรือมารับที่ท่าเรือโดยไม่ไปปะปนกับลูกค้าคนอื่นๆ เมื่อขึ้นเรือปุ๊บ ทางรีสอร์ทก็จะเตรียม Welcome Fruit ไว้ให้บนเรือด้วย นั่งเรือประมาณ 45 นาทีก็มาถึงเกาะพระทอง จากนั้นทางรีสอร์ทจะเตรียมรถท้องถิ่นมารับจากท่าเรือไปส่งยังรีสอร์ท บอกเลยว่า รูปโฉมของรถที่มารับ มันดูเข้ากับบรรยากาศลุยๆ บนเกาะพระทองเป็นอย่างมากครับ
นั่งรถมา 15 นาที ก็มาถึงแล้วครับ The Moken Eco Village
The Moken Eco Village เป็นรีสอร์ทพลังงานแสงอาทิตย์ 100% แห่งแรกและแห่งเดียวบนเกาะ ที่นี่ใส่ใจในเรื่องสิ่งแวดล้อมและให้ความสำคัญเรื่องการลดใช้พลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเป็นพิเศษครับ
ลอบบี้แบบเรียบง่ายแต่ดูดี พนักงานออกมาต้อนรับพร้อมกับ Welcome Drink ครับ
เนื่องจากผมไปกัน 4 คน ผมเลยเลือกเข้าพักห้องแบบ Family Bungalow (2 ห้องนอน) ราคา 4,290 บาท (แต่ละช่วงเดือน ราคาห้องพักไม่เท่ากัน) โดยราคาห้องพักจะรวมอาหารเช้าสำหรับ 4 ท่านแล้ว
ห้องแบบ Family Bungalow จะมีพื้นที่ส่วนกลาง ให้แขกได้มานั่งทำกิจกรรมร่วมกัน โดยปีกซ้ายและขวา จะเป็นห้องนอน ภายในห้องกว้างขวางเลยทีเดียว พื้นไม้แน่น ไม่มีเสียงออดแอด ห้องสะอาดครับ
เนื่องจากเป็นรีสอร์ตพลังงานแสงอาทิตย์ ห้องพักเลยต้องออกแบบที่เน้นการประหยัดพลังงานให้มากที่สุด ไม่มีแอร์ ไม่มีทีวี ผนังห้องทำเป็นช่องหน้าต่าง เพื่อให้ลมผ่านภายในห้องตลอดเวลา ในห้องพักไม่มีปลั๊กไฟแบบทั่วไปนะครับ แต่จะมีปลั๊กไฟแบบ USB สามารถชาร์จโทรศัพท์มือถือได้ สำหรับใครที่ต้องการชาร์จไฟอื่นๆ สามารถไปชาร์จที่ลอบบี้ได้ครับ
ห้องนี้เป็นแบบเตียงเดี่ยวครับ
อีกห้องจะเป็นห้องเตียงคู่ครับ
ไปดูบรรยากาศโดยรอบกันบ้าง ภายในรีสอร์ทค่อนข้างร่มรื่นเลยทีเดียว มีไม้ใหญ่หลากหลายสายพันธุ์ ทั้งสน มะพร้าว มะขาม มะม่วงหิมพานต์ ตอนที่ผมไป ยังได้เห็นนกเงือกบินมาเกาะอยู่บนยอดสนด้วยครับ
ทางรีสอร์ทมีบริการเรือคายัคฟรี ให้แขกได้พายข้ามไปยังเกาะปลิงใหญ่และเกาะปลิงเล็ก ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากรีสอร์ท หรือสามารถดำน้ำเล่นบริเวณหน้าเกาะได้ครับ
The Moken Eco Village อยู่บริเวณอ่าวตาแดง ซึ่งเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดบนเกาะ แต่เสียดายในวันที่ผมเข้าพัก ฟ้าฝนไม่เป็นใจ เลยทำให้ไม่เห็นพระอาทิตย์ตกครับ
บริเวณหน้าหาด นอกจากจะมองเห็นเกาะปลิงใหญ่และเกาะปลิงเล็กแล้ว ยังมีแนวโขดหิน “พ่อตาหินกอง” ที่ชาวบ้านเคารพนับถือ โดยมีการตั้งศาลไว้บนโขดหินด้วยครับ
สำหรับห้องอาหาร จะอยู่ติดกับลอบบี้ครับ
สำหรับมื้อค่ำนี้ ผมฝากท้องไว้ที่รีสอร์ท ค่ำนี้ได้ผัดไท สามชั้นทอดเกลือ ผัดฉ่าทะเล ต้มยำทะเล ส้มตำ และข้าวผัดครับ
เนื่องจากช่วงที่ผมออกมาทานมื้อค่ำ ผมไม่ได้เปิดไฟในห้องไว้ ทำให้เวลาที่ผมเดินกลับห้องพักหลังจากที่ทานมื้อค่ำเสร็จ ผมหาห้องตัวเองไม่เจอ คือเมื่อหมดรัศมีของแสงไฟจากห้องอาหาร บรรยากาศโดยรอบมันก็มืดมิดเลยครับ ขนาดใช้ไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือ ก็ยังมองไม่เห็น ต้องเดินวนกลับมาตั้งหลักที่ห้องอาหารใหม่อยู่ 2 รอบ ถึงจะหาห้องพักเจอ 555
เกาะพระทองเกิดจากการทับถมของซากปะการังยาวนานหลายล้านปีจนกระทั่งกลายเป็นเกาะที่มีสภาพภูมิประเทศแปลกตา คือมีลักษณะค่อนข้างแบนราบ มีพื้นที่ประมาณ 102 ตารางกิโลเมตร เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในพังงา และใหญ่เป็นอันดับ 7 ของไทย สิ่งที่เป็นไฮไลท์และดึงดูดให้ผมมาที่เกาะพระทอง คือทุ่งหญ้าสะวันนาและป่าเสม็ดขาวครับ
เช้าวันนี้ผมมีโปรแกรมไปตะลุยทุ่งหญ้าสะวันนา โดยผมติดต่อรถปิคอัพของโกแดง (091-8212689) ในราคา 1,500 บาท (นั่งได้ 10 คน) จริงๆ ที่ The Moken Eco Village มีแพคเกจที่พัก+ทัวร์เกาะพระทอง หรือจะเลือกเหมารถ (รถที่ไปรับเราที่ท่าเรือ) เพื่อไปชมทุ่งหญ้าสะวันนาเหมือนกัน แต่ราคาค่อนข้างสูง ผมเลยเลือกเหมารถปิคอัพของโกแดงครับ
นั่งรถออกมาจากรีสอร์ทไปตามถนนคอนกรีตเสริมเหล็กได้นิดหน่อย โกแดงพาเลี้ยวตัดเข้ามาวิ่งบนทุ่งหญ้า ที่ไม่มีแนวถนน แต่มีแนวล้อรถที่ถูกฝังลึกบนผืนทรายสีขาว ที่ถูกปกคลุมไปด้วยหญ้าสีทอง มีต้นเสม็ดขาวแซมอยู่ประปราย มันให้อารมณ์เหมือนได้มาท่องซาฟารีไม่มีผิด เสียดายที่วันนี้ฟ้าปิด เลยไม่เห็นดวงอาทิตย์ส่องแสงสีทองสาดส่องมายังทุ่งหญ้าแห่งนี้ แต่ถึงไม่มีแสงสีทองมาย้อมทุ่งหญ้า เพียงเท่านี้ก็สะกดผมให้ตกอยู่ในภวังค์ได้ ไม่คิดเลยว่า จะได้เห็นบรรยากาศอย่างนี้ บนเกาะกลางทะเลอันดามัน
จากทุ่งหญ้าสะวันนา เรานั่งรถต่อกันอีกสักพัก โกแดงก็พาขับเข้ามาในดงป่าเสม็ดขาว บรรยากาศในทุ่งหญ้าสะวันนา ทำให้ผมตื่นตาตื่นใจแล้ว บรรยากาศในป่าเสม็ดขาว ยิ่งทำให้ผมตื่นตาตื่นใจและตื่นเต้นมากขึ้นไปอีก ภาพลำต้นสีขาวของต้นเสม็ดขาว ที่งอคดเคี้ยว ตัดกับสีใบเขียว มันช่างดูเพลินตาซะเหลือเกิน ถ่ายรูปกันรัวๆ ไป ครับ
มีชาวบ้านมาเก็บเห็ดเหม็ด เห็นว่าราคาดีซะด้วยครับ
จากนั้นโกแดงบอกว่าจะพาไปดูจุดลับๆ จุดหนึ่ง ซึ่งต้องนั่งรถบุกเข้ามาในป่าเสม็ดขาวอีกไม่ไกล ไม่นานนักโกแดงก็พามาจอดอยู่ที่บึงน้ำแห่งหนึ่ง น้ำในบึงไม่ได้มีตลอดครับ โกแดงบอกว่าบึงน้ำแห่งนี้จะมีน้ำช่วงที่มีฝนตกหนักเท่านั้น ผมก็แอบคิดปลอบใจตัวเอง ถึงแม้วันนี้จะไม่ได้เห็นแสงสีทองสาดส่องมายังทุ่งหญ้า แต่ยังได้เห็นบึงน้ำ ที่มีเงาสะท้อน สวยงาม ถือซะว่าหยวนๆ กันไป
สมควรแก่เวลาแล้ว ผมมุ่งหน้ากลับไปที่รีสอร์ท เพื่อไปทานมื้อเช้ากันครับ
อาหารเช้าของที่นี่จะมีให้เลือกเป็นข้าวต้ม / ABF และจะมีมุมกาแฟ+ขนมปัง ปิดท้ายด้วยผลไม้ ที่จัดใส่จานมาให้อย่างสวยงาม ที่นี่ไม่มีเครื่องปิ้งขนมปัง หรือกาน้ำร้อนนะครับ แต่จะมีเตาถ่าน กาต้มน้ำ และตะแกรงสำหรับปิ้งขนมปังให้ ผมเองก็ไปพักโรงแรมมาหลายที่มาก แต่ก็ไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อนเลย บอกได้คำเดียว เก๋แต่มีสไตล์ครับ
เกาะพระทอง จะเปิดให้นักท่องเที่ยวได้มาเที่ยวบนเกาะตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม จนถึงต้นเดือนพฤษภาคมเท่านั้นนะครับ
ถึงเวลาต้องอำลาเกาะพระทองแล้ว หากมีโอกาสคงต้องกลับมาเที่ยวที่นี่อีกเป็นแน่ ผมชอบในความเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ ชอบความสงบ ใครที่ต้องการมาชาร์จพลังชีวิต ผมแนะนำที่นี่เลยครับ เกาะพระทอง
จากเกาะพระทอง นั่งเรือกลับมาที่เท่าเรือกรีนวิว จากนั้นมุ่งหน้าสู่อำเภอตะกั่วป่า เพื่อมาเที่ยวที่คลองสังเน่ห์ หรือที่นักท่องเที่ยวรู้จักในนาม Little Amazon ของเมืองไทยครับ
คลองสังเน่ห์เป็นคลองสายสั้นๆ มีต้นน้ำจากเขาบางเต่า และไหลไปลงแม่น้ำตะกั่วป่า โดยสองข้างคลองจะเป็นผืนป่าเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยพืชพรรณแปลกๆ รวมถึงมีระบบนิเวศที่ยังคงสมบูรณ์ ซึ่งเป็นเสน่ห์ของคลองสังเน่ห์ครับ ไฮไลท์ของการมาเที่ยวที่นี่คือการนั่งเรือยาง ล่องชมบรรยากาศคลองสังเน่ห์ ซึ่งจะให้ความรู้สึกเหมือนเราได้ไปเที่ยวป่าอเมซอน โดยสามารถเช่าเรือยางได้ในราคาลำละ 500 บาท สามารถนั่งได้ 2-3 คนครับ
ตลอดสองข้างคลองสังเน่ห์ ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร เต็มไปด้วยต้นไทรโบราณ ที่มีอายุนับร้อยปี ถ้าหากว่ามาช่วงพลบค่ำ บรรยากาศดูหลอนๆ มากครับ ความหลอนแบบนี้ จึงได้ใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องแม่นาคพระโขนงด้วยครับ
อีกหนึ่งไฮไลท์คือการได้ส่องสัตว์แบบใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นงูปล้องทองที่นอนขดตัวนิ่งอยู่บนกิ่งไม้ ล่องเรือผ่านก็เสียวว่างูจะขยับตัวแล้วหล่นใส่หัวเอา นอกจากนี้ยังมีตัวตะกวด ฝูงลิง และนกนานาพันธุ์ ให้ดูตลอดเส้นทางล่องเรือเช่นกันครับ
หากเพื่อนๆ มาเที่ยวที่ตะกั่วป่า แล้วมีเวลาสัก 1-2 ชั่วโมง ผมแนะนำให้ลองมาล่องแพชมบรรยากาศของคลองสังเน่ห์ดูนะครับ สนุกและตื่นเต้นดีครับ
จากคลองสังเน่ห์ ผมมุ่งหน้าสู่ท่าเรือบ้านน้ำเค็ม ระหว่างแวะเติมน้ำมันเลยสอบถามหาร้านอาหารจากเด็กปั้ม เด็กปั้มแนะนำร้านเปรมติ่มซำ เลยจัดไปครับ
ร้านเปรมติ่มซำจะอยู่ในซอย เป็นร้านเล็กๆ มีลานจอดรถให้พร้อม ติ่มซำที่นี่มีให้เลือกหลากหลาย แถมแต่ละเมนูชิ้นใหญ่และอร่อยด้วย ที่สำคัญราคาไม่แพง ไม่เสียแรงที่ตามมาชิมครับ
หลังอิ่มท้อง ผมมุ่งหน้าสู่ท่าเรือบ้านน้ำเค็ม เพื่อจะลงเรือไปชมเกาะผ้า โดยผมได้จองเรือผ่านกลุ่มท่องเที่ยวชุมชนบนเกาะคอเขา (098-0202742) เรือ 1 ลำ สามารถไปเที่ยวได้ 8-10 คน ในราคาลำละ 2,500 บาทครับ บริเวณท่าเรือมีที่จอดรถให้พร้อมครับ
นั่งเรือประมาณ 30 นาที ชมวิวระหว่างทางไปเพลินๆ แป๊บๆ ก็มาถึงเกาะผ้าแล้วครับ
แต่เดิมเกาะผ้าเป็นเกาะเล็กๆ มีเนื้อที่ประมาณ 4-5 ไร่ บนเกาะเต็มไปด้วยต้นสน ต้นมะพร้าว ต่อมาในปี 2547 เกิดสึนามิ ได้พัดพาเกาะทั้งเกาะหายไป หลงเหลือเพียงสันดอนทรายที่โผล่ขึ้นมาช่วงน้ำทะเลลงเท่านั้น ถ้าน้ำลงเยอะก็จะปรากฏให้เห็นสันดอนทรายเป็นเกาะขนาดย่อมๆ 3 เกาะ แต่ถ้าน้ำลดไม่มาก ก็จะเห็นเพียงเกาะเดียว
ด้วยเพราะสันทรายที่ปรากฏให้เห็นในช่วงน้ำทะเลลง มีเนื้อที่ละเอียด แลดูราบเรียบเหมือนผ้าพับไว้ จึงเป็นที่มาของชื่อ เกาะผ้า ครับ เสียดายในวันที่ผมไป ฟ้าไม่ค่อยเปิดเท่าไร เลยทำให้สีของน้ำทะเลไม่สวยเท่าที่ควร เที่ยวทะเลต้องลุ้นให้เจอแดดดีๆ ถึงจะถ่ายรูปออกมาสวยครับ
บนเรือที่เราโดยสารไปจะมีร่มสนามขนาดใหญ่ รวมถึงเสื่อให้เราได้ยืมไปนั่งเล่นกินลมชมวิวบนสันทราย หรือจะเป็นพร้อพถ่ายรูปก็ได้นะครับ หรือถ้าใครอยากจะเตรียม Option อื่นๆ ไปด้วย ก็สามารถจัดเต็มได้เลยครับ
หากใครวางแผนจะมาเที่ยวเกาะผ้า แนะนำให้โทรสอบถามช่วงเวลาที่จะไปชมให้ดีก่อนนะครับ โดยโทรสอบถามกับทางชุมชนบนเกาะคอเขา (098-0202742) ซึ่งเป็นผู้เดินเรือ เพราะไม่เช่นนั้นอาจทำให้แผนการเดินทางของเพื่อนๆ รวนก็เป็นได้ จะได้มีแผนสำรอง เผื่อไม่สามารถเที่ยวเกาะผ้าได้ครับ
ขึ้นจากเกาะผ้า ผมมุ่งหน้าสู่เขาหลัก โดยปักพิกัดไปที่หาดนางทอง เพราะหาดแห่งนี้มีของดี ผมจึงต้องมาชมด้วยตาของตัวเอง
หาดนางทอง เป็นหาดทรายสีดำ ซึ่งมีไม่กี่แห่งในโลกครับ ในประเทศไทย รู้สึกจะมีหาดทรายสีดำอยู่ 2 ที่ นั่นคือที่จังหวัดตราด และที่หาดนางทองแห่งนี้ครับ
เหตุที่ทรายที่นี่เป็นสีดำเพราะ บริเวณนี้มีแร่ดีบุกอยู่มาก ถูกคลื่นทะเลซัด จนแร่ดีบุกขึ้นบนชายหาด และถูกดึงกลับลงไปในทะเล สลับกันไปมาอยู่เรื่อยๆ จนเกิดเป็นหาดทรายสีดำ เราจะเห็นหาดทรายสีดำในช่วงที่น้ำทะเลลงเท่านั้น ใครจะมาชมความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ คงต้องเช็คเวลาน้ำขึ้นน้ำลงดีๆ ครับ
จากหาดนางทอง เมื่อมองออกไปในทะเลเราจะเห็นประภาคารเขาหลักด้วย ประภาคารแห่งนี้สร้างขึ้นหลังจากเหตุการณ์สึนามิ เพื่อใช้เตือนภัยในยามที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดสึนามิครับ แต่ยามที่ไม่เกิดภัย ประภาคารแห่งนี้ก็ทำหน้าที่เป็นแลนด์มาร์คของหาดนางทองครับ
จากหาดนางทอง ผมไปต่อที่วัดท่าไทร หรือวัดเทสก์ธรรมนาวาครับ
ไฮไลท์ของวัดท่าไทร อยู่ที่อุโบสถไม้สักที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่เคยเป็นป่าช้ามาก่อน ริมชายหาดท่าไทร อุโบสถทรงไทยหลังใหญ่แห่งนี้จำลองแบบมาจากพระอุโบสถพระอรัญวาสี จ.หนองคาย แต่มาประยุกต์สร้างด้วยไม้สักที่มีการแกะสลักอย่างอ่อนช้อยงดงาม ภายในโบสถ์เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางปฐมเทศนา ที่แกะสลักขึ้นมาจากหินหยกขาว ศิลปะแบบอินเดีย ส่วนรอบโบสถ์ไม้สักมีกำแพงแก้วเป็นไม้ ใบเสมาแกะสลักจากหินหยกขาว มีพระพุทธรูปอยู่ตรงกลาง ต้องยอมรับในฝีมือการแกะสลักของช่างจริงๆ ครับ ลวดลายการแกะสลักบนบานประตู หน้าต่าง หน้าบัน บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติ มีความประณีตอ่อนช้อยมากๆ
หมดไปอีก 1 วัน คืนนี้ผมเข้าพักที่อานานา แกรนด์ โคกกลอยครับ
พื้นที่ในอานานา แกรนด์ โคกกลอยกว้างขวางมากครับ เสียดายที่ผมมาถึงค่ำ เลยไม่ได้ชมบรรยากาศรอบๆ รีสอร์ทเลย ห้องพักที่นี่ราคาดีงามมากๆ ห้องที่ผมพักเป็นบ้านน็อคดาวน์ ภายในตกแต่งอย่างดีเลย ดูหรูหราเกินความเป็นบ้านน๊อคดาวน์ครับ
ตอนเช็คอิน เจ้าหน้าที่จะมีคูปอง Welcome Drink และคูปองส่วนลดร้านอาหาร เนินเขาวิวทะเลด้วย เสียดายมากๆ เพราะก่อนมาเข้าพัก ผมได้แวะกินร้านเนินเขาวิวทะเลมาเรียบร้อยแล้ว พอมาเห็นคูปองส่วนลดนี่ อยากจะกลับไปเคลมส่วนลดเสียจริงๆ 555 สำหรับร้านอาหารเนินเขาวิวทะเล รสชาติอร่อยดีครับ ส่วนวิว ผมไม่เห็น เพราะมืดเสียก่อน อีกอย่างผมดันเอากล้องไว้ในรถ และตอนนั้นหิวมาก เลยขี้เกียจไปหยิบกล้องมาถ่ายภาพครับ
เช้าวันใหม่ผมตื่นกันตั้งแต่หัวรุ่ง เพื่อขึ้นไปชมทะเลหมอกที่เขาไข่นุ้ยครับ เขาไข่นุ้ยอยู่ในอำเภอท้ายเหมือง อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 200 เมตร การขึ้นมาเที่ยวบนยอดเขาไข่นุ้ยนี้ ต้องใช้รถ 4WD เท่านั้น เส้นทางค่อนข้างแคบ และเป็นเส้นทางดินแบบเดิมๆ สองข้างทางจะผ่านสวนยางพาราของชาวบ้าน บางช่วงสูงและชันครับ
บนยอดเขาไข่นุ้ยนี้ สามารถชมวิวได้ทั้งพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก ถ้าวันไหนอากาศเป็นใจ เราก็จะได้เห็นทะเลหมอกสวยๆ ด้วยครับ
นอกจากจะชมพระอาทิตย์ขึ้นได้แล้ว ช่วงเย็นเรายังสามารถชมพระอาทิตย์ตกในทะเลอันดามันได้ด้วยครับ ด้านหลังผมที่เห็นในระยะไกล คือทะเลฝั่งอันดามัน ถ้ามาช่วงเย็นจะสามารถมองเห็นพระอาทิตย์ตกในทะเลได้ด้วยครับ
ใครที่อยากจะชมทั้งสองบรรยากาศ คือพระอาทิตย์ตกและพระอาทิตย์ขึ้น (ถ้าโชคดีอาจได้เห็นทะเลหมอกด้วย) สามารถใช้บริการที่พักบ้านในหมอก เขาไข่นุ้ย (บังเหลก) ได้นะครับ โดยบังเหลกจะมีรถมารับจากตีนเขาพาขึ้นไปยังที่พักด้วย ภาพด้านล่างคือจุดชมวิวตรงที่พักของบังเหลกครับ
สำหรับใครที่จะขึ้นมาชมทะเลหมอกช่วงเช้า อาจจะหาที่พักค้างคืนแถวๆ เขาหลักก็ได้ครับ จะใกล้กว่าพักที่โคกกลอย และเช้าวันใหม่แนะนำให้ขึ้นมาถึงยอดเขาไข่นุ้ยสัก 05.30 น. ก็ดี เพราะถ้าวันไหนที่ฟ้าเปิด เราจะได้เห็นแสงแรก ที่ค่อยๆ อวดโฉมก่อนพระอาทิตย์ขึ้น และหากรอจนพระอาทิตย์ขึ้นไปแล้ว เราจะได้เห็นแสงสีทองสาดส่องมาบนทะเลหมอกด้วยครับ
หลังจากชมทะเลหมอกกันจนอิ่มเอมใจแล้ว ผมมุ่งหน้าต่อสู่น้ำตกลำปี ซึ่งอยู่ในเขตความรับผิดชอบของอุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง โดยน้ำตกลำปีมีต้นน้ำจากเทือกเขาลำปี
การเข้าชมน้ำตกลำปี มีค่าบำรุงสถานที่คนละ 20 บาท ค่ารถคันละ 30 บาท จากจุดจอดรถ จะมีเส้นทางเดินเท้าที่ทางอุทยานได้สร้างไว้รองรับนักท่องเที่ยวอย่างดี ระยะทางประมาณ 200 เมตร ก็ถึงตัวน้ำตก ช่วงที่ผมไป ปริมาณน้ำไม่มากไปหรือน้อยไป ถ่ายรูปออกมาได้กำลังสวยครับ
น้ำตกลำปีนับเป็นอีกหนึ่งน้ำตกสวยๆ ของพังงา ที่เดินทางไม่ยาก เดินเท้าไม่ไกลและสะดวก คุ้มค่ากับการเที่ยวชมครับ
มื้อเช้านี้ ผมมาฝากท้องที่ร้านหนมจีนพานเตครับ
ร้านหนมจีนพานเต ให้บริการขนมจีนแบบบุฟเฟต์ ในราคาหัวละ 80 บาท โดยเราจะได้ขนมจีนมา 1 หม้อ และได้น้ำยามา 4 อย่าง โดยใส่มาเป็นปิ่นโตเลยครับ น้ำยาจะมีน้ำยากะทิ น้ำยาป่า แกงไตปลา และแกงขี้เหล็ก นอกจากนั้นยังจะมีผักหลากหลายชนิด มากันเป็นถาดใหญ่ๆ เลย ที่นี่ไม่ได้มีขายแค่ขนมจีนนะครับ ยังมีของทานเล่นอีก อย่างไก่ทอด ลูกชิ้นทอด ซึ่งของทานเล่นนี้ไม่ได้รวมอยู่ในราคาบุฟเฟต์ ต้องสั่งเพิ่มเอา
และที่สุดของการมากินขนมจีนพานเต คือการได้มานั่งกินขนมจีนพร้อมแช่น้ำให้ปลามาตอดเท้าในคลองปะเตครับ ขอบอกเลยว่าลูกค้าเยอะมากๆ ใครที่มาช้า แล้วต้องการมานั่งแช่เท้า อาจจะต้องรอคิวหน่อยนะครับ ร้านหนมจีนพานเต เปิดทุกวัน ยกเว้นวันพฤหัสบดี เปิดตั้งแต่เวลา 09.00-16.00 น. ครับ
หลังอิ่มท้องแล้ว ไปต่ออีกหนึ่งน้ำตก นั่นคือน้ำตกโตนไพร ซึ่งอยู่ในเขตความรับผิดชอบของอุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง เหมือนน้ำตกลำปีครับ
เส้นทางเดินเข้าน้ำตกอาจไม่สะดวกเท่ากับน้ำตกลำปี แต่ก็ถือว่าไม่ได้ลำบากอะไร ระยะทางประมาณ 650 เมตร ระหว่างเส้นทางก็จะมีต้นไม้น้อยใหญ่ ให้ความร่มรื่นตลอดเส้นทาง
น้ำตกโตนไพรเป็นน้ำตกชั้นเดียว แต่สูงและใหญ่เลยทีเดียว เป็นน้ำตกที่มีน้ำตลอดทั้งปี ตอนที่เดินเข้ามาที่ตัวน้ำตก พอได้เหงื่อซึมๆ แต่เมื่อได้มานั่งเล่นข้างๆ ตัวน้ำตก โดนละอองน้ำ มันทำให้สดชื่นมากๆ สายน้ำไหลเย็น น่านอนแช่น้ำมากๆ ครับ
ใครที่พอมีเวลาสัก 1 ชั่วโมง ผมแนะนำให้แวะเข้ามาเถอะครับ น้ำตกสวยจริงๆ
จากน้ำตกโตนไพร ผมไปต่อที่เขาหน้ายักษ์ ซึ่งก็อยู่ในความรับผิดชอบของอุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมืองเช่นเดียวกับน้ำตกลำปี และน้ำตกโตรไพรครับ สำหรับใครที่จะมาเที่ยวชมเขาหน้ายักษ์ ให้จับพิกัดไปที่ “ที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง” โดยระหว่างเส้นทางจะวิ่งคู่ไปกับชายทะเลท้ายเหมือง ชายหาดดูขาวสะอาด สวยงามเลยทีเดียวครับ
เมื่อผ่านที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมืองแล้ว เราจะต้องไปลงชื่อเพื่อจะเข้าไปยังเขาหน้ายักษ์ครับ และจากถนนลาดยางอย่างดี จะเปลี่ยนสภาพเป็นผืนทรายแทน สองข้างทาง จะมองเห็นป่าเสม็ดขาว และทุ่งหญ้าสะวันนา คล้ายๆ กับที่เกาะพระทอง แต่ผมว่าที่เกาะพระทองดูให้อารมณ์เหมือนการมาตะลุยซาฟารีมากกว่าครับ
ว่ากันว่า เดิมเขาหน้ายักษ์จะเป็นหน้าเขาด้านที่หันออกทะเล จะมีหน้าผาที่มีรูปร่างคล้ายกับใบหน้าของยักษ์ที่มีอาการโกรธเกรี้ยว กระทั่งสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เรือรบของทหารญี่ปุ่นที่แล่นผ่านบริเวณนี้ได้เกิดจมลงโดยไม่มีสาเหตุหลายลำ ทหารญี่ปุ่นจึงเชื่อว่าน่าจะเกิดอาถรรพ์จากรูปลักษณ์ของหน้าผา ที่มีรูปร่างคล้ายหน้ายักษ์ ทหารญี่ปุ่นเลยใช้ปืนยิงส่วนที่เหมือนหน้ายักษ์จนพังครับ
พังงา ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมาย ถ้าจะเที่ยวแบบเจาะลึกจริงๆ อาจต้องมีเวลาสัก 1 อาทิตย์ ผมเองก็ยังเก็บสถานที่ท่องเที่ยวในพังงาไม่ครบเลย ไว้ถ้าหากผมมีโอกาสได้กลับไปเที่ยวพังงาอีก จะหาสถานที่แปลกๆ มาแนะนำให้เพื่อนๆ ได้ตามไปเที่ยวกันอีกนะครับ
สุดท้ายนี้เพื่อนๆ สามารถเข้าไปให้กำลังใจและติดตามผลงานของผมเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/unclegreenshirt/ ขอบคุณครับ
ลุงเสื้อเขียว
วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2565 เวลา 11.15 น.