:: หลังจากนอนไปสองคืน เมื่อคืนนี้ผมนอนดึกว่าทุกวันเพราะมี wifi และได้ดูทีวีในรอบสามวัน หลังจากเขียนงานเสร็จก็ฟังรายการผีจนหลับไป และยังคนหันหน้าไปทางพื้นที่กว้าง ๆ ของห้องเสมอเพราะคิดว่าจะมีอะไรออกมาทั้งที่มันไม่มีอะไร เรียกได้ว่ากลัวจนขึ้นสมอง
:: ทอดมันที่เหลือจากเมื่อคืนถูกหย่อนลงท้องไปสี่ห้าชิ้น หลังจากใช้จมูกและลิ้นตรวจสอบว่ายังไม่เสีย เก็บสัมภาระและออกไปเติมน้ำมัน ก่อนกลับมาที่ห้องอีกครั้งเพื่อแพ็คของใส่รถ หมุดหมายแรกของวันนี้เป็นสะพานซูตองเป้ พร้อมแดดที่สาดส่องจนความหนาวที่สะสมมาเมื่อเช้าหายไปหมด ผมปลดซิบเสื้อกันหนาวออกเพื่อระบายความร้อน ก่อนตระเวนถ่ายรูปเหมือนเช่นเคย แดดจัดของวันอาบไล้ผิวใบของแต่ละพรรณไม้ในเช้าสาย
:: อาการปวดหลัง ไหล่ คอ เริ่มมาพร้อมกันและไม่จากไปไหน ทั้งที่ยังเหลืออีกสี่วัน ความโดดเดี่ยวเริ่มเห็นชัดภายในตัวเอง พูดคุยและทักทายผู้คนมากขึ้น รอยยิ้มยังเป็นการเบิกทางของการสื่อสารได้ดีที่สุด เมื่อถ่ายรูปจนพอใจแม้จะไม่ได้ดั่งใจ เลยเลือกที่จะเดินทางต่อ..แต่ก่อนไปแวะเข้าห้องน้ำเจอนคุณยายน่ารักทักว่าเห็นแล้วคิดถึงลูกชาย ก่อนยายพูดต่อว่าลูกชายยายจากไปแบบไม่มีวันกลับ ยายพูดด้วยรอยยิ้มและอารมณ์ที่ดี ทั้งยังแซวผมที่เข้าห้องน้ำผิดฝั่งว่าฝั่งนั้นใส่กระโปรงนะ จนผมแหงนมองป้ายก็ถึงกับยิ้มปนหัวเราะ หลังจากออกจากห้องน้ำยายก็ยังยื่นทิชชู่ให้อีก บอกให้เช็ดเหงื่อ ผมบอกล้างหน้ามาครับ ยายก็ยื่นมาที่มือแล้วให้เช็ดให้แห้งกึ่งบังคับ เป็นความน่ารักที่ผมรู้สึกเสียดายที่ลูกชายของยายจากไป ความเป็นแม่ยังไงก็ไม่มีทางลืมลูกได้ ยายอยู่หน้าห้องน้ำสะพานซูตองเป้คอยเก็บเงินสำหรับค่าเข้าห้องน้ำให้กับวัดโดยที่เราจะใส่เท่าไหร่ก็ได้ ผมเสียดายที่ไม่ได้ทันคิดว่าจะซื้อขนมบริเวณนั้นไปให้ท่าน มาคิดเอาได้ก็ตอนที่ได้นั่งไตร่ตรองแล้วบรรจงเคาะแป้นพิมพ์ ถ้ามีโอกาสได้กลับไปคงแวะไปหายาเป็นหลักและให้เรื่องเที่ยวเป็นเรื่องรอง
:: บางทีความรีบก็ทำให้เราลืมอะไรหลาย ๆ อย่าง ลืมแม้กระทั่งถามชื่อของยายและอีกหลาย ๆ คน
:: ผมเดินทางต่อไปยังถ้ำปลาเพราะเป็นเส้นทางที่ต้องผ่านอยู่แล้ว ความสุขหลังจากการถ่ายรูป คือนั่งดูน้ำที่ใสและไหลเอื่อยดูสงบนิ่ง และปลาที่กินอาหารบ้างไม่กินบ้าง ความสุขของคนความสุขของปลาต่างกัน เรานั่งมองเขาเราก็มีความสุข แต่ความสุขของเขา(ปลา)เราไม่รู้ ผมนั่งอยู่อย่างนั้นสิบนาทีมองผู้คน ต้นไม้ มองเหม่อท้องฟ้าผ่านเว้นวรรคของยอดไม้ ในหัวยังคงว่างเปล่า และคิดกับตัวเองว่าจะทำทุกวันให้ดีที่สุด โดยที่ไม่ต้องถามหาความหมายของชีวิต ทำทุกวันให้ดีไม่เดือดร้อนคนอื่นและสร้างประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย รับแรงบัลดาลใจจากผู้อื่น และส่งต่อแรงบัลดาลใจจากมนุษย์ตัวเล็กที่ฝันไม่เคยจาง
:: ความหิวสงสัญญาณผ่านท้องทำลายภาพฝันที่กำลังนึกคิด ผมบึ่งรถไปบ้านจ่าโบทันทีกับระยะทาง 42 กม.และอีกหนึ่งชั่วโมงนิด ๆ ที่ต้องทนหิว ยังโชคดีที่ได้มะม่วงคุณป้าหน้าอุทยานแห่งชาติถ้ำปลา-น้ำตกผาเสื่อ ในราคา 30 บาทพร้อมเก็บสัมภาระที่ฝากคุณป้าไว้ด้วย ไหว้ลาคุณป้าออกเดินทางต่ออาทิตย์กลมโตยังทำหน้าที่อย่างขยันขันแข็งเช่นเดียวกับอากาศที่เริ่มเย็นขึ้นจากต้นไม้สองข้างทาง การขับรถจึงกลับมาเบิกบานอีกครั้ง
:: ร้านดังวันนี้คนแน่นเกินกว่าที่จะเหลือที่ว่างสำหรับผม ผมขับเลยไปอีกสิบเมตร และกินอาหารตามสั่งที่ร้านม่านหมอกอาหารตามสั่ง และสั่งตามคนอื่นที่สั่งก่อนหน้าคือกระเพราะหมูสับไข่ดาว ในราคา 65 บาทกับวิวหลัก...และมีที่นั่งทานแบบห้อยขาด้วยเหมือนกัน
:: ใช้เวลาไม่นานกับอาหารและรู้สึกว่าอยากหนีความวุ่นวายจากคนเลยตัดสินใจออกมาทันทีตรงดิ่งมาปายแต่ระหว่างทางก็ถูกฉุดด้วยวิวข้างทางทำให้จอดรถถ่ายรูปอยู่เป็นระยะ และพูดคุยกับพี่นักเดินทางจากกาญจนบุรีที่มาพร้อมกับแฟนชาวต่างชาติทราบมาว่ามาเดินทางหนึ่งเดือนใช้ชีวิตหลังเกษียณด้วยมอเตอร์ไซค์ ทำให้ผมนึกถึงคนอีกหลายคนที่หาเช้ากินค่ำ และการใช้ชีวิตหลังเกษียณเป็นเรื่องที่ดูเหมือนให้ลิงดำน้ำไปจับปลา แม้แต่คนรอบตัวของผมที่แทบไม่มีเงินเก็บหรือไม่มีเลยเพราะต้องใช้วันต่อวัน อาจจะเป็นเพราะความรู้หรือระบบโครงสร้างของประเทศ อะไรก็แล้วแต่ เงินเก็บสำหลับผมถือว่าสำคัญมากเหลือบาทเดียวห้าบาทสิบบาท ก็ต้องหยอดกระปุก ผมกลัวเรื่องนี้ตั้งแต่อายุยี่สิบหกจากการฟังโค้ชต่าง ๆ ในยูทูบจึงเริ่มเก็บเงินตั้งแต่ตอนนั้นด้วยการลงทุนและมาถึงครึ่งทางของเป้าเล็ก ๆ ที่วางไว้
:: ก่อนถึงปายอีก 40 กม. ระหว่างทางผมมีความรู้สึกว่ายางอ่อนเหมือนเมื่อวานผมเริ่มสงสัยจึงแวะเช็คที่ร้านข้างทางถึงได้รู้ว่ายางรั่วเพราะแม็กอันเล็ก ๆ โชคดีที่มันเล็กมากจึงทำให้ยางค่อย ๆ ซึมออกอย่างช้า ๆ จนเราแทบไม่รู้ ผมถามช่างว่าปะได้ไหม แต่ช่างก็แนะนำว่าให้เปลี่ยนเพราะขับทางไกลแค่ปะอาจจะไม่อยู่ จึงเปลี่ยนยางในไปร้อยสี่สิบบาทเพื่อความสบายใจของคนขับเองด้วย
:: อีกสี่สิบกิโลเมตรก็ถึงปายด้วยความไม่รีบร้อนผมจึงแวะจอดถ่ายรูปในจุดที่ผมอยากจอด บ้างก็พักกินน้ำ นั่งเล่นพักเหนื่อย สองข้างทางยังคงเต็มไปด้วยต้นไม้ ภูเขา มุมบางมุมของโค้งถนนที่สวยงาม บ้างก็เป็นซุ้มต้นไม้ใหญ่สองข้างทาง มองไปแล้วเหมือนเป็นเส้นทางที่เข้าไปอีกโลก บางเส้นเห็นเป็นถนนทอดยาวและฉากหลังเป็นภูเขาราวกับจุดหมายปลายทางเป็นเขาลูกนั้น ขับเพลินจนมาถึงที่พัก BAANKONPAI ราวบ่ายสามโมง ผมพักเหนื่อยหนึ่งชั่วโมงครึ่งและออกไปต่อที่ปายแคนยอน หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า กองแลน แต่ที่หนีไม่พ้นคือกองคน แต่อีกมุมผมถือว่าดีที่นักท่องเที่ยวเยอะเพราะถือว่าเป็นรายได้ให้กับประเทศ บางจุดผมเสียดายที่ไม่สามารถเดินหรือปีนป่ายไปได้เพราะอีกมือถือขาตั้งกล้องพร้อมกับสวมร้องเท้าแตะมา เฝ้ามองผู้คนทั้งไทยและต่างชาติปีนป่ายไปในจุดที่ตัวเองอยากไปให้ถึงเพื่อให้ได้จุดชมอาทิตย์ทิ้งดวงหลบต่ำลงหลังยอดเขาสักลูกหนึ่งเบื้องหน้า
“ การดำรงอยู่ เป็นหน้าที่ที่สำคัญของมนุษย์ ซึ่งต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ไปแสวงหาหนทาง ”
-กนกพงศ์ สงสมพันธุ์-
:: ผมไม่ได้อยู่จนถึงพระอาทิตย์ตก เพราะอยากมาเดินถนนคนเดินปายและอีกอย่างพระอาทิตย์ตกมีให้เราเห็นทุกวันต่างกันแค่สถานที่ ถ้าผมมากับใครสักคนอาจจะเป็นเหตุผลให้ผมอยู่จนถึงพระอาทิตย์เลิกงานก็ได้
ค่าใช้จ่ายทั้งหมด
ค่าที่พัก 700
กาแฟ 45
ข้าว 60
น้ำมัน 50
ค่าเข้าถ้ำปลา 40
มะม่วง 30
ยางใน 140
เคบับ 50
ขนมจีนน้ำเงี้ยว 50
แมลงทอด 30
รวม 1195 บาท
ROAD MOVIE
วันอังคารที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2566 เวลา 17.21 น.