*คำเตือน**รีวิวนี้อาจมีคำผิดเยอะโปรดเห็นใจ

.

เป็นทริปที่ผม.. วาดฝันไว้นาน ถึงนานมาก มีความอยากไปตั้งแต่ปี 64 ถึงตอนนี้ผมคิดว่าทุกอย่างมันลงตัวแล้วละ เวลา โอกาส และการเงิน พร้อมที่จะออกเดินทาง ..ความกังวล.. ก็เข้ามารุมเร้าทันที เพราะเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี ที่จะต้องเดินทางออกต่างประเทศคนเดียวอีกครั้ง ศึกษาข้อมูลเพื่อตัดสินใจเส้นทางในการข้ามประเทศ สุดท้าย เอาว่ะ โดยสารด้วยรถประจำทางนี่แหละ น่าจะเซฟเงินในกระเป๋าและสะดวกที่สุดในตอนนี้ แผน 4 วัน 3 คืนมาเลย มุ่งตรงวังเวียงก่อน 2 คืน แล้วค่อยกลับมานอนเวียงจันทน์ Let’ Goooooooooooooo.

**สิ่งที่ต้องเตรียม**

1.พาสปอร์ต ที่มีอายุเหลือมากกว่า 6 เดือน

2.ควรมีเงินบาทติดตัวข้ามฝั่งไปประเทศลาว (แนะนำแบงค์ 100 50 20)

3.แลกเงินให้พอดี (แลกฝั่งลาว)

4.รองเท้าผ้าใบ รองเท้าแตะแบบรัดส้น

5.ครีมกันแดด พร้อมเสื้อแขนยาว

6.ยาสามัญประจำบ้าน

ทริปนี้ ผมตั้งใจใช้เงินไม่เกิน 5,000 บาท โดยจองโรงแรมผ่านแอป อโกด้า 3 คืน รวมค่าโรงแรมประมาณ 1,700 บาท แลกเงินลาว 4,000 บาท (1.945K) มีเงินสดสำรองไว้ 1,000 บาท ไว้กรณีฉุกเฉิน

รีวิวแบบมหากาพย์ แต่ห้ามคาดหวังอะไรมากจากรีวิวนี้นะครับ (ยิ้ม)

DAY1

ทริปนี้ผมขอเริ่มที่ บขส.อุดรธานี (แห่งที่ 1) ท่ารถที่เราจะใช้บริการมุ่งหน้า สปป.ลาว นครหลวงเวียงจันทน์ ผมนั่งรถบัสมาถึงสถานีตอน ตี 5 ครึ่ง ( 5:30 น.) (ปล.มีรถบัสตรงจากกรุงเทพถึงเวียจันทน์) คือแบบ..เงียบสงบมาก มีเพียง พระสงฆ์ และชาวบ้าน ที่รอต่อรถเหมือนกัน นับรวมแล้ว 10 คนถ้วน ช่องจำหน่ายตั๋วของ บขส. เปิดขายเวลา 07.00 น. เลยพอจะมีเวลาล้างหน้าแปรงฟัน และนั่งรอเวลาซื้อตั๋ว (ช่องขายตั๋วอยู่ในอาคาร มุมในสุด) ตั๋วรถ (อุดรธานี – นครหลวงเวียงจันทน์)**ตารางรถอยู่ท้ายรีวิว**  ราคา 80 บาท เที่ยวแรก ออกจากอุดรธานี 8.00 น. เวลายังพอมีเช้าๆแบบนี้ขอกินโจ้ก 1 ชาม 40บาท จากร้านค้าข้างสถานีฯ 


ได้เวลาโหลดกระเป๋าลงใต้รถ เราเห็นว่ารถที่เราขึ้นเป็นรถ อุดรฯ – วังเวียง เลยถามพี่พนักงานขับรถว่า เมื่อไรจะเปิดเดินรถ วิ่งตรงถึงวังเวียง พี่แกบอกว่า เร็วๆ นี้ครับ อยู่ระหว่างสำรวจเส้นทางและความคุ้มทุน เพราะว่าต้องใช้บริการทางหลวงพิเศษของลาว ที่พึ่งสร้างเสร็จและเปิดให้ใช้บริการได้ถึงวังเวียง

พี่เขาก็ถามเราว่า “จะไปวังเวียงคนเดียวเหรอ เดียวพอถึงท่ารถตลาดเช้าแล้วเดียวพี่แนะนำสามล้อให้ไม่ต้องกลัวโดนเรียกแพง ไปต่อรถตู้ที่จอดรอแถวๆ สนามกีฬา ราคาแพงกว่ารถตู้ประจำทางของลาวนิดหน่อย แต่สะดวกกว่า ถึงเร็วกว่าด้วย”

นั่งรถประมาณ 1 ชม. ถึงด่าน ตม.หนองคาย ทำเรื่องผ่านแดนฝั่งไทยเสร็จ ก็กรอกใบ ตม.ของลาว ระหว่างนั่งรถข้ามฝั่ง เพื่อจะได้ไว และก็ไวจริงๆ ครับ เพราะมีเพียงแค่ กลุ่มที่มากับรถบัส บขส.ไทย 20 กว่าคน ปั้มตราขาเข้า พร้อมจ่ายค่าธรรมเนียม 20 บาท ก็เป็นอันเสร็จพิธี ใครจะแลกเงินหรือซื้อซิมที่หน้าด่านก็ได้นะครับ แต่ผมไม่ได้แลกเงินและเปลี่ยนซิมที่หน้าด่านเลย เพราะแท็กซี่ ยืนรอเยอะมากดูวุ่นวาย เลยเดินขึ้นรถนั่งรอรถออกครับ สัญญาณมือถือจากฝั่งไทย ยังพอใช้งานได้ 3G 4G ใช่ได้จนถึง บขส.ตลาดเช้า เลยครับ.

10.00 รถถึงตลาดเช้า..แน่นอนว่าเหล่าบรรดาพี่ๆ สามล้อทั้งหลายจะมาล้อมเราทันที ส่วนผมพี่พนักงานขับรถชี้ไปที่พี่คนเสื้อแขนยาวใส่แว่น พนักงานขับรถบัสก็เรียกพี่สามล้อบอกว่า น้องเขาจะไปวังเวียง.. พี่สามล้อแกก็เข้าประกบเราทันที

พี่แกบอกว่าไปวังเวียงใช่ไหม ตอนนี้อีก 10 นาที รถจะออก เป็นรถตู้เดียวพี่ไปส่ง ราคา 200K ( 2 แสนกีบ) ผมขอใช้ตัวย่อนะครับสำหรับค่าเงินกีบ คือ ตัด 0 สามตัวท้ายของเงินลาวไปได้เลย.. ทริคของผม คือ ตัด 0 สามตัว แล้ว คูณ 2 จะเป็นราคาประมาณการ เงินไทย ราคารถตู้ไปก็ประมาณ ไม่เกิน 400 บาท ( 1 บาท = 486 กีบ) ผมก็ตอบตกลงพี่แกไป แล้วแกก็หยิบกระเป๋าผมขึ้นหลังอย่างรวดเร็ว ผมบอกแกว่า "ผมยังไม่ได้ แลกเงินกีบ และเปลี่ยนซิมการ์ดเลย" พี่แกก็บอกว่า "เดี่ยวพี่พาไปไม่ต้องห่วง" "แล้วค่ารถสามล้อพี่ละ ราคาเท่าไร" "น้องมาคนเดียวพี่ขอ 50K ละกัน 80 บาท" คนไทยอย่างเราใจใหญ่ เอาง่ายเข้าว่า ตอบตกลงทันที 555+ (จริงๆแล้วพี่เขาบอกว่า ถ้ามา 2-3 คนพี่เขาคิดคนละ 30K ..นั่นผมมาคนเดียวผิดอีก) พี่สามล้อแกก็พาผมมาตรงร้านค้าข้างบ่อนขายตั๋วรถขากลับ (บ่อนขายปิ้) มาซื้อซิมลาวในราคา 100 บาท และแลกเงินกีบมา 1.945K (4,000 บาท)

จุดขายตั๋วรถกลับไทย ตรงเข้ากรุงเทพ / หนองคาย / อุดรธานี

จากนั้นก็พาผมซิ่งไปที่จุดจอดรถตู้ข้างๆสนามกีฬา ที่ดิวราคากันไว้ 200K พอถึงที่จดรถปุ๊บ คือทุกอย่างมันเกิดขึ้นไวมาก กระเป๋าถูกคนขับย้ายจากรถสามล้อไปไว้ที่รถตู้ ตั้งสติได้อีกทีผมก็นั่งด้านรถข้างๆ คนขับสะแล้ว คือข้างหน้า เห็นวิวถนน วิวภูเขาเต็มๆตา อันนี้ดี แถวหน้าคือ 3 คน คนขับ ผม แล้วก็พ่อหนุ่มเกาหลี คือ ทั้ง 3 ตัวเล็กมันเลยไม่รู้สึกอึดอัดอะไรเลย นั่งสบายเฉย.

ขึ้นทางด่วนลาวจีน ที่พี่คนขับแกบอกว่า เปิดให้ใช้งานช่วงที่โควิดเริ่มเบาลง ซึ่งสิ่งอำนวยความสะดวกยังไม่ เต็ม100% จุดพักรถยังไม่เปิดให้ใช้งาน เป็นทางด่วนช่วงนครหลวงเวียงจันทน์ - วังเวียง เท่านั้นส่วนต่อขยายไปหลวงพระบาง ยังไม่เปิดใช้งาน.. พี่แกก็เหยียบคันเร่งยาวๆ แบบไม่ต้องยกคันเร่งมาก 110 km/h. ยาวๆ ไปเลย เพราะถนนโล่งมาก เพื่อร่วมทางน้อย น้อยแบบตกใจว่า คนลาวเขาไม่ใช้ทางด่วนกันเหรอ คำถามนี้ก็ได้คำตอบจากพี่คนขับว่า คนเราไม่ค่อยนิยมใช้เพราะ ค่าบริการค่อนข้างแพง จากเวียงจันทน์ถึงวังเวียง ค่าทางด่วน 150k คนลาวจึงยังคงใช้เส้นทางสายเก่ากันอยู่

ถึงวังเวียง 12.15 น. รถตู้พาผู้โดยสารมาลงรถบริเวณหน้าร้านกาแฟ ใกล้ๆ กับถนนคนเดิน ซึ่งโรงแรมที่ผมจองไว้ ก็อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้มากนักประมาณ 500 เมตร ถ้าเดินคนเดียวอาจจะเก่า แต่พอดีแถวนี้นักท่องเที่ยวเดินแบกเป้กันเยอะจนรู้สึกเดินแล้วไม่เหนื่อย ก่อนเข้าโรงแรมขอแวะกินข้าวเที่ยงก่อน เป็นร้านที่มีแต่คนลาว เป็นคนลาวที่มาเที่ยวบางส่วนเป็นเจ้าหน้าที่พนักงานรัฐ เพราะพอจะเดาได้จากรถที่มาจอดเป็นป้ายดำกับป้ายฟ้าสะส่วนใหญ่

ผมสั่งข้าวขาหมูมาในราคา 30k และโค้ก 1 ขวด ในราคา 8K รีวิวขาหมู คือรสชาติไม่ถูกปากผมเลย หมูแข็ง และน้ำพะโล้เค็มมาก แต่คือเป็นเมนูที่ขายดีมาก สำหรับร้านนี้ ผมเลยคิดว่าน่าจะเป็นรสชาติปกติของทางร้าน ซึ่งไม่ถูกปากเราเองนี่แหละครับ.

เดินต่อจากร้านข้าวเลี้ยวขวาเข้ามาในซอยนิดเดียวก็เจอที่พักที่ผมจองเอาไว้ ซื่อ Annecy Hotel ในราคา 480 บาท/คืน ด้านหน้ามีสระว่ายน้ำ ห้องพักกว้าง ขนาดประมาณ 25 ตร.ม. สิ่งอำนวยความสะดวกครบ แขกพักเยอะมาก ซึ่งไม่มีคนไทยเลย ที่เลือกที่นี่เพราะหนึ่งราคา ที่ตั้งใกล้ร้านอาหาร เดินหาอะไรกินง่าย คือแบบไม่อดตาย ไม่ได้ขาดหวังเรื่องคุณภาพห้องพักมากสักเท่าไร แต่พอเปิดห้องเข้าไปก็ถือว่า ราคานี้ค่อนข้างคุ้มค่ามาก ไม่มีระเบียง แต่เปิดหน้าต่างไปก็เห็นวิวเมืองด้านหลังเป็นทิวเขา อากาศดีแบบผมไม่ได้เปิดพัดลมหรือแอร์เลย อากาศเย็นสบาย ...ช่วงที่ผมไปคือปลายกุมภาพันธ์ 2023 ..ทางโรงแรมขึ้นป้ายขายอาคารไว้ น่าเสียดาย เจ้าของอาจแบกรับภาระมานานในช่วงโควิดที่ไม่มีนักท่องเที่ยว

จากการต้องเดินทางแบบนั่งรถยาวๆ ตั้งแต่ 5 ทุ่ม จนมาถึงวังเวียงตอนเที่ยง ก็เลยขอเอนหลังนอนยาวบนเตียงสัก 1-2 ชม. โดยตั้งใจว่าพอตื่นแล้วก็จะออกไปหารถเช่าแล้วก็ไปปีน "ผาเงิน" เพื่อดูพระอาทิตย์ตก

4 โมงเย็นเดินของไปเช่ารถที่ร้านหัวมุมใกล้กับโรงแรมในราคา 150K/วัน(24ชม) แต่ถ้าเป็น ระบบ Automation ก็ 180K/วัน มัดจำพาสปอร์ตไว้ **ตรงนี้แหละคำผมอยากจะบอกว่าผมพลาดมากที่ไม่ได้ copy พาสปอร์ตไว้ จึงเกิดเรื่องวุ่นๆ เสียเวลาไปนิดหน่อย** ได้รถมาก็ถึงเวลาไปเติมน้ำมันเพิ่มเพราะที่ร้านใส่มาให้แค่ 1 ลิตรเท่านั้น ด้วยความที่เราไม่รู้ว่าน้ำมันลิตรละเท่าไร จึงจัดไปเลย อ้าย 50K ได้น้ำมันมา 2.8 ลิตร เกือบเต็มถังเลย.. แว้นชมเมืองสะ 1 รอบ ก่อนข้ามสะพานแขวนมุ่งหน้าไปยัง จุดชมวิว "ผาเงิน"

เส้นทางไปผาเงินค่อนข้างง่าย ขับรถลงสะพานแขวน จากนั้นเลี้ยวขวาไปตามเส้นทาง จะพบป้ายทางเข้าขนาดใหญ่ ทางเข้าเป็นหินคลุก ทางที่เหมือนจะไม่ใช่ แต่จริงๆ แล้วคือทางนี้แหละ (เพราะผมขับเข้าไปแล้วออกมาเพราะคิดว่าไม่น่าใช่ทางเข้า แล้วสุดท้ายก็ต้องวนกลับมาเข้าทางนี้) จ่ายค่าผ่านประตู 10K/คน กายพร้อมใจพร้อมลุยสิครับ

เส้นทางไม่ชันมาก ระยะแรกเป็นขั้นบันได ใช้กำลังขาค่อนข้างเยอะ แต่ด้วยความที่ผมวิ่งทุกวันเลยรู้สึกว่ายังไหวอยู่ ทางไปจุดชมวิวผาเงิน เอาจริงๆ คือไม่ได้โหดมาก เพราะมีความชันสลับกับทางลาดบ้าง แต่ด้วยระยะทางที่ค่อนข้างไกล เดินๆไป รู้สึกว่าเมื่อไรจะถึงเนี่ยผ่านมา 30 นาทีแล้วไม่ถึงสักที และแล้วก็ถึงทางแยก นั่นพอเรารังเรไปอีก ชุดชมวิวที่ 1 ไปทางซ้าย จุดชมวิวที่ 2 ไปทางขวา มีชาวต่างชาติ 2 คน ไปทางซ้าย ผมก็เอาวะตามไป ทางขึ้นคือชันมากเป็นขั้นบันได ที่มีคนทำเอาไว้ แต่ด้านบนคือสวยจริง เป็นลักษณะคล้ายสะพานสีแดงยาวให้เราได้ยืนชมบรรยากาศ *ผมลืมกดชัดเตอร์* และมีของขายด้านบนด้วย

จุดชมวิวผาเงิน จุดที่ 1

ยังเหลือเวลา อีก 30 นาที ก่อนพระอาทิตย์ตก ผมเลยเดินต่อไปยังจุดชมวิวที่ 2 ซึ่งทางเดินเหมือนจุดๆ นี้ไม่ค่อยจะมีใครมา ใจนึงก็กลัวหลงทาง เพราะไม่มีเจอผู้คนหรือได้ยินเสียงของใครเลย การบอกเส้นทางก็มีเพียงลูกศรสีแดงเล็กบนก้อนหิน ที่เรือนรางสะเหลือเกิน แต่ผมก็ถึง.. ซึ่งต้องหาทางบีนขึ้นไปเอง บันไดไม้พังไปแล้ว ด้านบนจะเป็นศาลาพักที่ยังดูใหม่อยู่

ผมนั่งพักอยู่ตรงจุดนี้สักครู่ ก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนกำลังเดินเหยีบหิน เลยจากจุดที่ผมอยู่ไปเล็กน้อย ผมจึงตัดสินใจเดินต่อไปยังจุดที่ 3 ตามลูกศรสีแดงเล็กๆ เช่นเคย และใช้ประสบการณ์เดินป่าที่พอมีติดตัวมาบ้างคอยสังเกตเส้นทาง เพราะบอกเลยว่า สมองตอนนั้นรังเร เส้นทางมาก ไม่รู้ว่าทางที่เราไปคือถูกหรือไม่ แต่สมองก็สั่งว่าไหนๆ มาแล้วก็ไปให้มันสุดทาง

ถึงแล้วววว เว้ยจุดชมวิวจุดที่ 3 ของ ผาเงิน จุดชม พระอาทิตย์ตก ที่บอกเลยว่า คงมีไม่กี่คนแล้วที่เดินมาถึงตรงจุดนี้ เพราะจากสภาพศาลาพักที่ดูเก่าทรุดโทรม พุพัง ไร้การดูแล ซึ่งเราก็คงเป็นคนกลุ่มน้อยที่เดินมาถึงเพราะใช้เวลารวมๆแล้ว 1 ชม.ครึ่ง ขอเก็บภาพตัวเองหน่อยละกัน และภาพที่ได้ ตามนั้นเลยครับ 555+

เฮ้ย.. พระอาทิตย์ตก แล้ว คือมึดเลย มึดมาก ดีที่ผมเตรียมไฟฉายมาด้วย เพราะปีนเขาดูพระอาทิตย์ตก มันก็ต้องใช้อุปกรณ์ส่องสว่าง อันนี้ผมเตรียมพร้อม แต่.. ความกลัวเริ่มเข้าครอบงำ จนต้องดึงสติตัวเอง เรียกตัวเองให้มีสมาธิในการเดินมากยิ่งขึ้น ใช้ความเร็วในการเดินลงเขาอย่างมีสติ ลองคิดสภาพการเดินในป่าที่มึดๆ ระยะเวลา 1 ชม. คนเดียวไร้ผู้คน มีเพียงไฟฉาย 1 กระบอกส่องทางให้เราเห็นในระยะ 1-2 เมตร กับเสียงใบไม้ล่วงตกกระทบพื้น จิตใต้สำนึกก็ถามแต่ว่าเมื่อไรจะถึงจุดที่เป็นขั้นบันได ขาเริ่มยกไม่ค่อยพ้นจากรากไม้ ก้อนหิน หัวเข่าเริ่มเจ็บ เพราะใช้งานมากกว่าปกติ 1 ทุ่ม 15 นาที คือเวลาที่เดินลงมาถึงจุดจอดรถ ถึงกับอุทานออกมาว่า "เฮอะ!! กูรอดแล้ว ผาเงิน"

แว้นกลับโรงแรมไปอาบน้ำอาบท่า ก่อนไปเดินหาอะไรกินที่ถนนคนเดิน และหาซื้อกาวตราช้างมาซ่อมรองเท้าผ้าใบที่เดินจนพื้นร้องเท้าเปิดออก

ถนนคนเดินที่วังเวียงในวันแรกที่ผมไปคือคนน้อยมาก ดูเงียบเหงา สินค้าส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้า และของที่ระลึก ของกินน้อยมาก มีอยู่แค่ 2-3 ร้านเท่านั้น เป็นร้านชาบู ร้านหม่าลา อีกร้านผมจำไม่ได้ แต่วันที่ 2 ผมมาเดินคือคึกคักมา กรุ๊ปจีน กรุ๊ปลาว คือเยอะมากคึกคักแบบไหล่ชนกันเลย อาจเพราะเป็นคืนวันศุกร์คนเลยเยอะกว่าวันธรรมดา

รีวิวขนมครก วังเวียง เห็นแล้วน่ากินดี ราคา 5K ได้ขนม 3 คู่ รสชาติแตกต่างจากบ้านเรามาก ขนมครกสูตรวังเวียงคือหวาน แบบหวานเลยอะ หวานจนแสบคอ นุ่มหวาน แต่ผมว่าก็เป็นซิคเนเจอร์ ของถนนคนเดินนะ มีอยู่ 2-3 ร้าน ทำกันสดๆ ร้อนๆ

ระหว่างทางเดินกลับโรงแรมซึ่งไม่ไกลมาก 200 เมตร เอง 555+ แวะซื้อ แซนวิช กลับไปกินที่โรงแรมละกัน ไก่ เบคอน ไข่ ชีส ในราคา 25k น้ำแตงโมปั่นรสชาติดีอีก 1 แก้ว ราคา 15k  แม่ค้าบอกว่า คนเดียว กินให้หมดนะ กว่าจะกินหมดคือจุกคอมาก แซนวิช ขนมปังกรอบนอกนุ่มใน สอดใส้เยอะมากทั้งเนื้อสัตว์ทั้งผัก

หมดไปอีก 1 วัน คือเหนื่อยมาก แต่สนุก กินยาคล้ายกล้ามเนื้อไป 1 เม็ดหลับเป็นตายเลยครับ.. โดยตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอน 8 โมงเช้า เพื่อมากินอาหารเช้าของโรงแรม และไปซื้อตั๋วรถไฟEMU เพราะรอบแรกปิดขายตั๋วตอน 10.00 น.

DAY2

ผมก็ขับรถออกไปสถานีรถไฟ ซึ่งอยู่ห่างจากโรงแรมไปทางเหนือของวังเวียงประมาณ 4-5 กม. เลยสถานีขนส่งผู้โดยสารวังเวียงไป ทางเข้าสถานีอยู่ทางด้านขวา ให้สังเกตป้าย ซึ่งถ้าใครเอารถมาไม่ว่าจะเป็นรถมอเตอร์ไซค์ หรือรถยนต์ จะต้องจ่ายเงินค่าเข้าไปจอดด้านใน ซึ่งผมมองว่าลานจอดรถสาธารณะสำหรับมาส่งหรือมาซื้อตั๋วยังต้องเสียเงินอีกหรือ? จึงทำให้มีชาวบ้านนักท่องเที่ยวและรถที่มาส่ง นทท.เพื่อมาขึ้นรถ จึงต้องจอดตรงทางเข้า แล้วเดินเข้าไปด้านหน้าสถานีประมาณ 100 เมตร

ช่องจำหน่ายตั๋วจะอยู่ด้านขวามือ 1 คน ซื้อได้สูงสุด 3 ใบ จะเห็นชาวบ้าน มายืนรอคิวเป็นจำนวนมาก ชาวบ้านจะเป็นกลุ่มคนที่รับจ้างจากโรงแรมหรือบริษัททัวร์ มาทำการจองตั๋วให้นักท่องเที่ยว ซึ่งด้วยความที่ผมไม่รู้ก็เลยไปยืนต่อคิวเพื่อซื้อตั๋ว แล้วเราก็มั่นใจว่า เรามีภาพถ่ายหน้าพาสปอร์ตในมือถือก็น่าจะสามารถซื้อได้ ยืนเข้าคิวไป 30 นาที จนมีเจ้าหน้าที่เดินผ่านเราจึงสอบถามพูดคุย แล้วได้ความว่า ภาพถ่ายไม่สามารถซื้อตั๋วได้ ต้องเป็นหน้าพาสปอร์ต หรือไม่ก็ กระดาษ copy หน้าพาสปอร์ต ถึงจะซื้อตั๋วได้ เพราะเจ้าหน้าที่ต้องทำการสแกนเข้าเครื่อง งานเข้าเราแล้วสิ เหลือเวลา อีก 30 นาที ก็จะปิดจำหน่ายตั๋วในรอบแรกแล้ว จนท.สถานีก็แนะนำดีนะ ให้เราเอาภาพในมือถือไปปริ้นที่ร้านอยู่ด้านหน้าสถานี แล้วกลับมาหาเขาเดียวเขาจะพาเข้าไปซื้อตั๋ว

ผมก็ต้องขับรถออกมาด้านหน้าอีกครั้ง แต่ก็หาร้านไม่เจอจนขับมาถึงตัดสินใจลองขับกลับมาที่ร้านเช่ารถ เพื่อขอยืมพาสปอร์ตไปซื้อตั๋วก่อน เจ้าของร้านก็เข้าใจและใจดี ไม่ได้ให้พาสปอร์ตเรานะ แต่ทำการcopy หน้าพาสปอร์ตให้เรา แบบทั้งชนิดสี และขาวดำ อย่างละ 1 ใบ ฟรี! ได้แล้วก็รีบกลับไปที่สถานีอีกครั้ง ผมเดินตรงไปหาเจ้าหน้าที่คนนั้นเลย แกก็บอกผมว่า "พี่ไปเข้าคิวแถวนี้ได้เลย ตอนนี้มีแต่นักท่องเที่ยวแล้วครับ ผมให้นักท่องเที่ยวซื้อก่อน ส่วนชาวบ้านที่รับจ้างมาให้รอในรอบต่อไป"

ได้มาแล้ว.. ตั๋วขากลับเวียงจันทน์ ราคา 125k รถไฟฟ้าEMU รอบ 13.00 น. ซึ่งจะต้องมาทำการตรวจกระเป๋าก่อนรถมาถึงสถานี ประมาณ 15-30 นาที หรือ 12.30 นั่นเองครับ

โอเค ได้ตั๋วรถไฟฟ้า ตามที่ตั้งใจแล้ว ก็ไปหากาแฟกินกันเถอะ ผมตรงไปยังร้าน พู่ม่าย คาเฟ่ คาเฟ่ชื่อดังของวังเวียง ที่คนไทยส่วนใหญ่มากัน ซึ่งผมก็เจอน้องๆ คนไทย ผมสั่งคาปูชิโน่เย็น 1 แก้ว ราคา 30K ซึ่งรสชาติดีเลย เข้มข้นกลมกล่อม เสียดายที่นี่ไม่มีเบเกอรี่ แต่มีอาหารไว้บริการ ซึ่งผมก็พึ่งกินมาเลยไม่ได้สั่งอะไรเพิ่ม นั่งแช่ดูบรรยากาศ ดื่มกาแฟจนหมด ก็กลับห้องเพื่อเตรียมตัวไปปีน "ผาหนามไซ" จุดชมวิวชื่อดังของวังเวียง

วันนี้ผมตั้งใจจะไปปีผา กับเล่นน้ำที่บลูลากูน ส่วนถ้ำต่างๆ หากมีเวลาก็ว่าจะแวะไปเที่ยวชม ไม่ว่าจะเป็นถ้ำน้ำ ถ้ำนางฟ้า ถ้ำจัง ถ้ำขึ้นชื่อของวังเวียง มาทั้งทีต้องไปให้ครบ

ขับรถมาตามเส้นทาง ซึ่งเลี้ยวซ้ายก่อนถึงบลูลากูน ถนนอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ไม่สามารถปฏิเสธฝุ่นแดงได้เลย ขับรถมาเราจะมองเห็นจุดชมวิวที่อยู่บนยอดเขา ดูเหมือนใกล้ๆ จุดชมวิวหนามไซ มีจุดจอดรถมอเตอร์ไซค์ อยู่ทางด้านขวามือ ส่วนรถยนต์ รถนำเที่ยวอยู่ด้านซ้าย ทางขึ้นอยู่ด้านหลังร้านค้า จ่ายขาเข้า 10k แต่แต่แต่ ตั้งแต่ 1 มีนาคม เป็นต้นไป ชาวต่างชาติอย่างเราๆ จ่าย 20K นะครับ ทางขึ้นคือ ชัน ชัน แล้วก็ชัน ค่อยๆ ก้าวค่อยๆ ไป ผมสวนทางกับกลุ่ม นทท.ชาวจีน ตลอดการปีนขึ้นของผมก็จะคึกคักหน่อย ใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที ก็ถึงยอดผาหนามไซ จุดชมวิวขึ้นชื่อของที่นี่ ซึ่งมีผม และ นทท.ฝั่งยุโรป อยู่เสพ บรรยากาศอยู่บนยอดเขาเกือบ 20 นาทีเลย คืออากาศดี เย็นสบาย วิวสวย หายเหนื่อย เอาจริงผมไม่รู้สึกเหนื่อยเท่าไรนะ อาจเป็นเพราะเมื่อวานได้วอมร่างกายแล้วจาก ผาเงิน

จุดไฮไลของผาหนามไซ คือการขี่รถมอเตอร์ไซค์ ชูธงชาติลาว วิวด้านหลังเป็นผาปู่คำ เรียกได้ว่าใครมาผาหนามไซ ก็ต้องทำท่านี้กันทุกคน อีกฝั่งก็จะมีมอเตอร์ไซค์ให้เราถ่ายเหมือนกัน แต่วิวอาจไม่สวยเท่า แต่คิดว่าถ้าเป็นช่วงฤดูเพาะปลูกของที่นี่ด้านหลังก็น่าจเขียวขจีอย่างแน่นอน.. ได้เวลาลงจากเขาแล้ว ถือว่าทริปนี้ได้ใช้หัวเข่าคุ้มค่ามาก ได้ใช้ร่างกายครบทุกส่วนเลย ถ้าเราได้ขึ้นลงเขาแบบนี้ทุกสัปดาห์หุ่นต้องเฟริมแน่ๆ ขึ้นมาดรีฟกาแฟกินสัปดาห์ละครั้งยังงี้.. คิดแล้วฟิน.

ลงมานั่งพัก หายใจหายคอล้างเนื้อล้างตัวสักแป๊บ ก็มีความคิดแว็บๆ เข้ามาว่าเราควรไปต่อ ที่ผาปู่คำ ไปพิชิต เครื่องบินลำนั้นที่อยู่บนยอดเขา ผมไม่รอช้าครับ จับรถขับออกไปเลย มุ่งหน้าผาปู่คำ แต่.. พอถึงทางเข้าเท่านั้นแหละ สมองบอกว่าไม่ไหวแล้ว ร่างกายต้องการไปกระโดดน้ำ ผมเลยเปลี่ยนแผนทันที กลับรถมุ่งหน้า บลูลากูน1

ย้อนกลับมาทางเก่า เลี้ยวซ้าย 300 เมตร ถึงบลูลากูน1 มีสถานที่จอดรถกว้างขวาง ไม่เสียค่าบริการ มีเจ้าหน้าที่คอยรับรถและจดหมายเลขทะเบียนไว้ให้ ด้านหน้ามีชาวบ้านนำสินค้าทางการเกษตร หรือที่บ้านเราอาจเรียกว่าของป่า มาขายให้นักท่องเที่ยว ที่เห็นมากที่สุดคงเป็นน้ำอ้อยคั้นสด

ซื้อตั๋วเข้าด้านหน้าในราคา 10K ที่บูลลากูน1 เรียกว่าคึกคักมาก นทท.มากมายหลายเชื้อชาติ มารวมกันที่นี่ อาจเป็นเพราะว่าบูลลากูน1 อยู่ใกล้ตัววังเวียงที่สุดก็เป็นได้ 

มาถึงอันดับแรกผมมองหาร้านขายอาหารก่อนเลย.. หิวมากถึงมากที่สุด ร่างกายบอก ต้องกินแล้ว ผมสั่งข้าวผัดไข่ใส่ไก่ และตำข้าวปุ้น พร้อมน้ำเปล่า 1 ขวด ในราคา 75K แล้วหาที่นั่งพัก ได้ซุ้มนั่งริมน้ำเลย นั่งดูคนกระโดดน้ำไปกินข้าวไป ข้าวและส้มตำ อร่อยมาก รสชาติถูกปากเลย.. อยากกินให้หมดแต่ไม่หมดเพราะที่ร้านให้ข้าวและส้มตำเยอะมาก เยอะกว่าการที่คนคนเดียวจะกินหมด

อิ่มแล้ว... นั่งพักสักแป๊บนั่งก่อนเปลี่ยนเสื้อผ้า ว่ายน้ำเล่น บอกเลยว่าน้ำเย็นมาก เย็นจนว่ายต่อไม่ไหว 555+

ตอนเปลี่ยนเสื้อผ้าผมก็ฝากของไว้กับพี่ๆ คนไทยที่นั่งอยู่ข้างๆ เพราะบางคนก็เล่นน้ำบางคนก็นั่งดู คือเข้าใจแหละ น้ำมันเย็นมาก เย็นขนาดไหน ถึงกับชาวต่างชาติ มานั่งอาบแดด.. 555+ เกี่ยวกันไหม ไม่น่าเกี่ยวนะ ชาวต่างชาติชอบอาบแสงแดด พวกเธออยากผิวสีแทน

เดินเข้าไปด้านในของบลูลากูน1 จะมีถ้ำปู ด้านในมีพระพุทธรูปปางไสยาสน์ อยู่ด้านใน ถ้าใครยังเดินไหว สามารถเดินขึ้นไปไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคลได้นะครับ แต่ผมเดินไม่ไหวแล้ว...

เล่นน้ำหนำใจ ก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปต่อ อ้าว!ดูเวลา จะ 4 โมงเย็นแล้ว เราต้องเอารถไปคืน ประกอบกับร่างกายบอก อยากพักแล้ว เดินต่อไหนไม่ไหวแล้ว ก็เลยต้องกลับที่พักแล้วละครับ. ทริปนี้บอกเลยตามใจและร่างกายสุดๆ พร้อมที่จะเท ทุกแผนได้เสมอ 555+ คืนรถเสร็จ กลับขึ้นห้องพัก อาบน้ำ นอนพักสักแบบก่อนออกไปเดินเล่นที่ถนนคนเดิน เลยไปหน่อยก็เป็นพับยอดฮิตอย่าง ซากูระบาร์ คนเยอะมาก ผมขอผ่าน หาข้าวกิน (50K) และซื้อเบียร์ 1 กระป๋อง (เบียร์ลาวกระป๋องละ 11K) ไปกินบนดาดฟ้าโรงแรมชิลชิล ดีกว่า...

DAY3

วันนี้ขอตื่นสายแบบไม่ไปกินข้าวเช้าที่โรงแรมจัดไว้ให้ ตื่นตอน 10.00 น. อาบน้ำเก็บของใส่กระเป๋า ลงไปหาอะไรกิน ซึ่งมีร้านอาหารเล็กๆ แบบบ้านๆ อยู่ข้างโรงแรม สั่งเฝอหมู 1 ชาม 30K ในราคานักท่องเที่ยว OMG! ชามใหญ่โคตร เยอะโคตร (แอบเห็นว่าคนในพื้นที่จ่าย 25K) แต่กินหมดเฉย 555+ แปลกใจตัวเองเหมือนกัน.. อิ่มแล้วกับโรงแรม เช็คเอ้าท์ เตรียมเดินทางไป สถานีรถไฟวังเวียง โดยผมให้ทางโรงแรมช่วยติดต่อรถให้ไว้ตั้งแต่เมื่อวาน เพราะที่วังเวียงถ้าจะใช้บริการรถโดยสารรับจ้าง ต้องให้ที่พักช่วยติดต่อให้ ไม่สามารถ โบกมือทักทายได้ เซไฮแล้วโดดขึ้นรถเลยได้ ถึงได้แต่ก็มีน้อยคัน เพราะรถ4ล้อเล็กส่วนใหญ่มีคิวลูกค้าอยู่แล้ว คืออย่างผมแจ้งโรงแรมไว้ก่อน 1 วันเหมือนกัน ในราคา 50K จ่ายกับคนขับรถได้เลย **มาหลายคนคงไม่ถึง 50k**

ถึงสถานีรถไฟวังเวียงตอน 12.10 น. แต่ประตูทางเข้าไม่เปิดนะจ๊ะ ต้องนั่งรอด้านหน้า ด้านหน้าสถานีวิวคือสวยมากครับ แต่ช่วงนี้หมอกควันเยอะ เลยถ่ายรูปออกมาขมุกขมัวมาก เรารอจนกว่าจะถึงเวลา 12.30 น. ประตูเปิดให้ ผู้โดยสารเข้าไปด้านในได้โดยต้องผ่านเครื่องเอ็กซเรย์ และตรวจอาวุธ ความช้าอาจอยู่ตรงนี้ ถ้าเกิดเจ้าหน้าที่ตรวจพบวัตถุต้องห้ามคือต้องหยุดไปทั้งระบบคนที่ยืนรอคือต้องยืนรอต่อไป มีเครื่องเอ็กซเรย์เครื่องเดียวครับ นั่งรอสักพัก ก็มีประกาศเรียกเข้าคิวหน้าประตูเพื่อเข้าไปยังชานชลา รถไฟมาตรงเวลามาก แต่ช้า ช้าตรงที่ ทัวร์จีนมากับขบวนรถ เกือบทั้งขบวนเลยครับ กว่าจะลงจากขบวนรถกันหมดก็ประมาณ 10 นาทีได้

เวลาในการจำหน่ายตั๋ว เปิดซื้อล่วงหน้า 2 วันก่อนวันเดินทาง

เจ้าหน้าที่จะเร่งให้ผู้โดยสารขึ้นรถ ซึ่งขึ้นตรงประตูที่ใกล้ตัวเองที่สุด คือแบบ ทุกอย่างเร็วมาก อีกแล้ว ผมก้าวขึ้นรถปุ๊บสัญญาณปิดประตูดังปั๊บ คืออีหยังหวา แล้วทำไมตอนคนลงรถไม่เร่งให้เขาลงกันเร็วๆบ้าง บริเวณตู้โดยสารจะมีที่วางกระเป๋า สำหรับกระเป๋าใบใหญ่ ส่วนเป้ หรือกระเป๋าขนาดไม่เกิน 20นิ้ว สามารถวางไว้ที่ชั้นวางเหนือศรีษะได้ ส่วนเบานั่งจะถูกแบ่งเป็น 3 แถว และ 2 แถว ผมได้ที่นั่งแถว F คือริมหน้าทางหันหน้าไปทางเดียวกับรถวิ่ง บรรยากาศ 2 ข้างทางคือ ภูเขา ป่า ทุ่งนา สลับหมู่บ้าน มีผ่านอุโมงค์อยู่ 1 ช่วง จากวังเวียง ถึง เวียงจันทน์ ใช้เวลาเดินทาง 45 นาที รวมๆ กับที่ต้องไปนั่งรอ แล้วด้วยก็ ประมาณ 1.20 นาที เร็วกว่ารถตู้ขึ้นทางด่วน 1 เท่า

ถึงสถานีรถไฟนครหลวงเวียงจันทน์ ซึ่งอยู่นอกตัวเมืองประมาณ 30 นาที ใกล้ๆ กับสถานีขนส่งผู้โดยสารสายใต้ของประเทศลาว ทางออกจะมีทางเดียว โดยผู้โดยสารจะต้องแสดงตั๋วให้เจ้าหน้าที่ ที่ทางออก หากทำหายต้องซื้อตั๋วใหม่ทันที ฉนั้นควรเก็บตั๋วไว้ให้ดีๆนะครับ

เดินออกทางออกมา ใด้เดินตรงผ่านแท็กซี่ จะเจอกับรถบัส City Bus จะมีพนักงานยืนถือป้ายแล้วตะโกนเรียก ตลาดเช้า 164 / หน้าด่าน ถ้ากลัวขึ้นรถผิดคัน ถามพนักงานที่ถือป้ายได้ว่า ไปตลาดเช้าคันไหน หรือไปหน้าด้านคันไหน(สำหรับคนที่จะไปหน้าด่านตรวจคนเข้าเมืองท่านาแล้ง) ค่าโดยสาร 15K เพื่อไปยังตลาดเช้า

ถึงตลาดเช้าผมก็ต่อรถ 3 ล้อเครื่อง ราคา 50K มาโรงแรมดวงจันทน์ พลาซ่า โฮเตล จองผ่านอโกด้ามาในราคา 620 บาท เป็นครั้งที่ 3 ที่พักที่นี่ เพราะ 1 ราคาดี ที่พักไม่ถึงกับใหม่ แต่ก็ไม่เก่า อยู่ใกล้สถานที่เที่ยวในเมือง สามารถเดินได้ ห่างประตูไซ 1 กิโลเมตร เก็บของอาบน้ำเปลี่ยนชุดสำหรับเดินเล่นในเมืองเวียงจันทน์เสร็จ ผมก็ออกเดินไปยังประตูไซ สถานที่ที่มาเวียงจันทน์ครั้งไหนผมก็ต้องมาที่นี้ จากนั้นก็ตั้งใจเดินไปยังหอพระแก้ว ซึ่งอยู่ใกล้ๆทำเนียบประธานประเทศ แต่พอไปถึงคือประตูปิดแล้ว ไปช้า 30 นาทีผมเลยเดินผ่านหน้าโรงพยาบาลรัฐไปที่ริมแม่น้ำโขง สถานที่ที่คนเวียงจันทน์มาทำกิจกรรม วิ่งออกกำลังกายกัน เดินเรียบๆ ริมแม่น้ำโขงก็จะไปเจอกับตลาดมึด หรือ ไนท์มาเก็ต ที่นักท่องเที่ยวทั้งคนลาว คนไทย คนจีน มาเดินเล่นกัน คนยุโรป เจอน้อยมากที่นี่

ริมแม่น้ำโขงจะมีร้านอาหารตั้งอยู่ริมฝั่งเยอะมาก แต่เมนูอาหารคือเหมือนกันทุกร้านเลย นั่นคือส้มตำ แจ่วฮ้อน ชาบู ลาบ ยำ ฯลฯ อาหารรสจัดจ้านทัดหมด ผมเลยแวะกินข้าวเย็นที่นี่ จ่ายไป 120K ถือว่าเป็นมื้อที่แพงที่สุดของผมในทริปนี้เลย อ่อ..ลืมบอกว่าริมโขงฝั่งประเทศลาวอากาศเย็นมาก 22 องศา ลมพัดตลอดเวลา เดินกอดอกเลยผมอ่ะ กินอิ่มก็เดินไปแถวๆ ตลาดเพื่อหารถกลับที่พัก เพราะจะให้ผมเดินกลับก็ไม่ไหวถามว่าเดินได้ไหม เดินได้นะเพราะจากที่พักไปโรงแรมประมาณ 3.5 กม. ใช้เวลาประมาณ 25 นาที แต่คือผมอยากกลับไปนอน เลยมองหารถ3ล้อ ผมลองถามราคาลุงแกเรียก 100K เลยทีเดียว ตีเงินไทยเกือบ 200 บาท เลยนะครับ ผมเลยปฏิเสธ แกไปว่า แพงไปครับ งั้นไม่เป็นไร โรงแรมอยู่ห่างจากนี่แค่ 3 กิโลเมตรเอง แกเลยถามผมว่าให้ลุงได้เท่าไร ผมเลยบอกแกว่า ผมให้ได้แค่ 50K ครับ แกก็โอเคตรงไปส่งในราคา 50K ที่ผมเสนอ เอาจริงๆ ถ้าเป็นคนลาวน่าจะได้ราคาถูกกว่านี้ แต่ไม่เป็นไรผมยินดีจ่ายที่ราคา 50K ตั้งแต่เริ่มทริป

DAY4 วันเดินทางกลับข้ามฝั่งมาประเทศไทย

เก็บของใส่กระเป๋าเช็คเอ้าท์ เดินหารถจากโรงแรมมาตลาดเช้า ในราคา 50K เช่นเคย ให้ลุงแกแวะส่งที่บ่อนขายปิ้ ซื้อตั๋วรถนครหลวงเวียงจันทน์-อุดรธานี รอบ 12.00 น. ในราคา 47K เห็นไหมถูกกว่าค่ารถ 3 ล้ออีก 555+ ได้ตั๋วแล้วก็หาอะไรกินระหว่างรอขึ้นรถ จากร้านค้าข้างๆ สถานีขนส่ง ซึ่งผมถือว่าพี่แกเนี่ยดังมากเลยนะสำหรับคนไทย เพราะบล๊อกเกอร์คนไหนไปทำ Vlog ก็จะมีหน้าพี่คนนี้โผ่มาถามว่า ข้าวปุ้น หรือเฝอ ที่จริงร้านนี้มีอาหารตามสั่งด้วยนะ ผมสั่งข้าวปุ้น 1 ชาม น้ำเปล่า 1 ขวด กาแฟ 1 กระป๋อง จ่ายรวม 47K ผมมีเงินเหลืออยู่ 150K เลยขอพี่เขาแรกคืนเป็นเงินไทยได้ 300 บาท ทิ้งท้ายก่อนขึ้นรถ อย่าลืมเตรียมเงิน 20 บาท ไว้จ่ายค่าธรรมเนียมที่ ด่าน ตม.ลาวด้วยนะครับ ส่วนด่าน ตม.ไทย คนไทยเข้าเมืองไวมาก แต่ต้องเอากระเป๋าไปเอ็กซเรย์ ไม่เหมือนตอนไทยเข้าลาว เขาไม่ตรวจกระเป๋าเราเลย และเข้มมากกับชาวต่างชาติ ผมต้องนั่งรอคนลาวและชาวต่างชาติผ่านเมืองนานเกือบ 30 นาทีแนะ กว่าจะขึ้นรถจนครบ  ซึ่งสาวญี่ปุ่นที่นั่งข้างๆ ผมถูก ตม.เรียกเข้าห้อง? ผมก็ สงสัยนะว่า เธอมีอะไรผิดเหลือ เธอเป็ นทท. ที่มีกระเป๋า 1 ใบ แวะเที่ยวหลายประเทศมาก ผมแอบเห็นหน้าพาสปอร์ต ผมคุยกับเธอเธอบอกว่าจะต่อเครื่องบินไปเที่ยวที่กรุงเทพฯ ต่อ

รถถึง บขส.อุดรธานีตอน บ่าย 2 โมง ครึ่ง (14.30น.) ทำเวลาได้ดีมาก...

สำหรับการเดินทางท่องเที่ยว ของผมบางครั้งไม่จำเป็นต้องไปสถานที่สวยๆ สะดวกสบาย หรือไปในที่ที่คนอื่นๆไปกันเยอะ แต่เพียงแค่เราได้เอาตัวเราออกเดินทางไปพบเจออะไรใหม่ระหว่างเดินทาง ก็ถือเป็นการได้เที่ยว เที่ยวเก็บเกี่ยวประสบการณ์ การได้อยู่กับตัวเอง มันสร้างแรงบันดาลใจหลายๆ อย่างในการใช้ชีวิต บางครั้งเราต้องทำลายกำแพงความกลัว เพื่อพบเจออะไรใหม่ เพราะถ้าเราไม่กล้าที่จะทำอะไร เราก็จะไม่รู้เลยว่าเราทำได้หรือไม่

สะบายดี วังเวียง แล้วพบกันใหม่นะ.. ວັງວຽງ-ວຽງຈັນ

ขอบคุณท่านที่อ่านโพสต์ของผมครับ 

***ข้อมูลเที่ยวรถ***

บขส.จังหวัดอุดรธานี - นครหลวงเวียงจันทน์ (ลาว)

Udonthani - Vientiane

เวลาต้นทาง 08.00, 10.00, 12.00, 14.00, 15.00, 18.00

เวลาปลายทาง 08.00, 10.00, 12.00, 14.00, 15.00, 18.00

*************

นาน เที่ยว ถี่

 วันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2566 เวลา 01.50 น.

ความคิดเห็น