Second day

ผมตัดสินใจออกจากงานและมาทำตามสิ่งที่ใจบ้าๆเรียกร้อง

Part:1
เมื่อคืนอย่างหนาวแต่ก็หลับสนิทเพราะด้วยความเมื่อยล้าจาการเดินทาง ความตื่นเต้นและความใฝ่รู้กลับมาอีกครั้งในใจ วันนี้ตื่น 7.30 น. ด้วยความสดใสและเต็มไปด้วย Energy (ผลัง) มีแผนการว่าจะไปซัดกาแฟที่ "ขุ่นช่างเคี่ยน" จากคำบอกเล่าของ "สอง" เพื่อซี้ว่ากาแฟที่นี้อร่อยและมีคุณภาพมาก


ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จผมก็ขี่มอเตอน์ไซต์ไปถึงที่นั้นแต่ก็ไม่รู้ว่าต้องไปกินกาแฟร้านไหนเพราะมันค่อนข้างเงียบในหน้าที่นักท่องเที่ยวไม่ค่อยมีแถมดอกนางพระยาเสือโคร่งก็ร่วงหมดแล้ว จึงทำให้ขี่รถวนหาร้านกาแฟอยู่สักพักขี่ไปขี่มาในที่สุดก็มาพบกับป้าคนหนึ่งกวาดพื้นอยู่จึงเข้าไปถามแก 

ผม: ป้ามีกาแฟขายปะ!!!
ป้า:
ลองไปถามลุงดู 
ผม:
และลุงอยู่ไหนงะป้า (เสียงกวนๆ)
ป้า:
นูนเลยหนูลุ่งอยู่ชั้น 2 จ้า (เสียงนิ่มนวล)

พอขึ้นไปชั้น 2 ตามที่ป้าบอกก็พบลุงคนหนึ่งกำลังเตรียมร้านอยู่ ผมจึงไม่รีรอ ลุงครับมีกาแฟขายไหมเอา espresso แก้วหนึ่ง!!!! ลุงบอกว่าตอนนี้ไฟฟ้าดับไม่สามารถทำชงได้ แต่ถ้ากาแฟดริปอะมีอยู่ผมไม่รอช้าบอกเอามาก็ได้ครับลุง 

ผมเริ่มชวนลุงพูดคุยในสไตล์คนช่างแพร่ม ผมบอกกับลุงว่ามีตัวไหนเด็ดๆบ้างเพื่อนผมต้องการ ลุงแกบอกว่ามาๆเดี่ยวลุงชงให้ลอง ลุงแกตั้งใจชงอย่างพิถีพิถันและใส่ใจทุกรายละเอียด ผมเห็นความตั้งใจของลุงแกแล้วก็จะบอกว่าผมไม่รู้จักว่ากาแฟตัวดริปเป็นยังไงเพราะกินแต่ espresso จะให้วิจารหรือพูดในเชิงวิเคราะห์ก็ไม่เป็น เลยมัวตั่วถั้วดำชิมไป ลุงก็อธิบายสรรพคุณแต่ละตัวว่าตัวนี้ honey, black honey, washed. ผมก็ตั้งหน้าตั้งตาชิม ชิมไปชิมมาผมมารู้ตัวว่าซัดไป 10 กว่าช็อต จนสุดท้ายก็ได้ตัวที่ผมคิดว่าอร่อยสุดและเพื่อนผมน่าจะชอบ สองเหยือกที่เห็นในภาพนั้นคือผมซัดหมดเพราะเกรงใจลุง "ตัวบนเป็น honey และ ตัวล่างเป็น black honey"  ผมเลือก black honey ให้เพื่อน

เราพูดคุยกันเรื่องจิปาถะทั้วไปจนมารู้ว่าลุงเป็นคริสเตียนเหมือนกันและเป็นผู้ปกครองด้วย ทีนี้ก็คุยกันยับเลย เราแลกเปลี่ยนคำพยานและประสบการณ์ต่างๆที่พระเจ้าทำงานกับชีวิตจนถูกคอกัน จากตอนแรกว่าจะกลับเพราะมีสิ่งที่ต้องทำอีกเยอะแต่พวกดริปให้ผมกินอีกบอกว่าเอาเต็มที่ ตอนนั้นผมคิดอะไรไม่ออกผมเลยแอ็คอาร์ทอธิบายกาแฟที่ผมกินไปในรูปแบบที่ผมดูจากคลิปของเพื่อนให้แกฟัง แกก็ดีใจที่ผมเข้าใจถึงความใส่ใจของแก แต่หารู้ไม่ว่าผมนี้อย่างโง่เลย Hahaha ความรู้สึกตอนั้นมันสดใสและสนุกมากจากการที่ไม่ได้ออกไปพบเจอกับสิ่งใหม่ๆหรือพูดคุยกับคนแปลกหน้าเลย ในช่วงที่ทำงานประจำอยู่  วันนี้ได้พบเจอกับลุงถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีและเป็นเรื่องที่น่ารัก ลุงยังบอกว่าถ้ามาใหม่ก็ขึ้นมาอีกนะ ลืมบอกลุงชื่อ "ณรงค์" รุ่นใหญ่เรื่องกาแฟที่แค้วน ขุ่นช่างเคี่ยน สรุปกาแฟที่ผมกินไปทั้งหมดนั้นฟรีเพราะเพื่อนเป็นคนฝากซื้อและลุงดริปให้ผมชิมจนกว่าจะถูกใจ "อิ่มจังตังค์อยู่ครบครับ" 

คริสต์จักรที่ลุงมานมัสการทุกๆวันอาทิตย์ สถานที่แห่งนี้เป็นเหมือนที่พักใจสำหรับชาวคริสเตียนในหมู่บ้านตอนขาขี่มอไซต์เข้ามาผมเห็นอยู่แว็บๆแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรแต่พอได้รู้ว่าที่นี้เป็นคริสต์จักรที่ลุงเป็นผู้ปกครองและมานมัสการผมจึงรู้สึกประทับใจและเก็บภาพดีๆไว้ใน Memmory (ความทรงจำ)

Part2:
หลังจากกลับจากขุนช่างเคียงผมทำภารกิจส่วนตัวกินข้าวแล้วก็เก็บของเตรียมออกเดินทาง จุดหมายถัดไป คือ "อุทยานออบหลวง" ซึ่งจากดอยปุยก็ประมาณ 130 โล ผมขับมาเรื่อยๆลัดเลาะไปตามทางต่างๆด้วยวิชาที่สะสมมา ระหว่างทางก็ขับด้วยความชำนาญและไม่ได้คิดว่าจะมีอะไรมาหยุดผมอยู่ แต่ทันใดนั่นเองก็มีบุรุษลึกลับกลับรถอย่างกระทันหัน เขาผู้นี้ไม่ได้มองกระจกข้างหรือสังเกตุใดๆว่าจะมีรถหลังตามมาหรือไม่ ตอนแรกอยู่เลนซ้ายสุดแต่อยู่ดีๆมาขวา ผมเกือบตั้งตัวไม่ทันแต่สถาณการณ์นี้ยังอ่อนหัดเกินไป ผมได้ใช้ทักษะที่มีติดตัวหักหลบมาได้ไม่งั้นคงต้องไปคุยกับรากมะม่วงแน่นอน (Hahaha)

การขี่มอเตอร์ไซต์เป็นเวลานานทำให้มีอาการเมื่อยตูด,ปวดขาและปวดหลังเพราะผมต้องแบกเป้ที่ภายในบรรจุความมันของลูกผู้ชายไว้ ผมตัดสินใจจอดพักและนั่งครุ่นคิดว่าการที่เราทำอะไรแบบนี้มันใช้จริงๆหรือเปล่าแต่คิดไปก็ปวดหัวเพราะความคิดกับหัวใจมันอยู่คนละที่ นั่งพักดื่มน้ำเติมพลังงานเสร้จก็ออกลุยต่อรอบนี้อัดยาวจนถึงที่หมายเลย

"อุทยานออบหลวง" มีค่าสถานที่ 30 บาทและค่าจอดรถมอเตอร์ไซต์ 30 บาท ที่นี้สวยงามร่มรื่นและสงบมากมันเป็นที่ในฝันของผมเลยทีเดียว สายน้ำ ธรรมชาติและลมที่ผัดผ่านตัวผมไปมันเป็นเครื่องมืออย่างดีเลยทีเดียวสำหรับการพักร่างและเติมพลังให้กับชีวิต แต่ผมเป็นคนกางเต้นท์เพียงคนเดียวในบริเวณนี่ซึ่งมันก็เหงาๆอยู่บ้างแต่ผมเชื่อว่ามันคือสิ่งที่พระเจ้าอยากให้ผมสำรวจและคิดวิเคราะห์ถึงเรื่องราวทีผ่านมาในชีวิตของผมว่าหลังจากนี้จะต้องจริงจังและ Focus กับอะไรบ้าง

ผมรู้สึกสะใจกับหน้าตัวเองมากเพราะมันดูบ้าดูโง่ดี ผมไม่จำเป็นจะต้องแอ็คอาร์ทหรือ Keep look อะไรให้ดูดี นี้แหล่ะการใช้ชีวิตนำเสนอตัวตนที่เป็นเราให้กับคนได้เห็น ทุกคนล้วนมีค่าในสิ่งที่ตัวเองเป็นบางครั้งเราอาจจะรู้สึกแย่หรือท้อแท้กับสิ่งที่เราเป็นผ่านทางคำพูดของผู้อื่น,การกระทำ,สถาณการณ์หรือแม้แต่ตัวเราเองแต่พระเจ้าบอกว่าทุกสิ่งล้วนดีหมดเพราะฉนั้นเราก็แค่เปลี่ยนสายตาของเราใหม่และมองถึงคุณค่าของตัวเราเอง ผมเริ่มหิวเพราะยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เที่ยงตอนนี้เป็นเวลา 17.20 ผมจึงเอาข้าวกล่องที่ซื้อมานั่งกินตรงโคดหินและเสพบรรยากาศราคาหลักล้านรอบตัวอย่างมีความสุข

18.00 คือเวลาที่ผมทำธุระส่วนตัวเสร็จ จึงออกมานั่งคุยกับพี่เจ้าหน้าที่และดูวิวที่กำลังถูกไฟไหม้ไปต่อหน้าต่อตาหลังจาคุยเสร็จ ก็กลับมาที่เต็นท์และทำบันทึกรายรับรายจ่ายเพื่อจะได้รู้ว่าวันนี้ใช้เงินไปเท่าไหร่และผมก็เข้านอน ฝันดีทุกท่าน

Mr.Electric

 วันอาทิตย์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2566 เวลา 00.58 น.

ความคิดเห็น