Fifth day

ผมตัดสินใจออกจากงานและมาทำตามสิ่งที่ใจบ้าๆเรียกร้อง

Part1:
เมื่อคืนผมได้พักแรมกางเต้นท์อยู่ที่อุทยานแห่งชาติออบขาน ในรอบนี้ผมไม่ได้มาคนเดียวแต่มีคนอื่นมาด้วยแต่พวกเขามากันเป็นคู่และหมู่คณะ ที่นี้ไม่ม่มีสัญญาณของทรูและค่ายอื่นเว้นแต่ AIS ผมรู้สึกโดดเดี่ยวเล็กน้อยเพราะไม่รู้จะไปมั่วดงกับใคร โชคยังดี พี่เจ้าหน้าที่บอกว่าที่นี้มีไวไฟแต่ต้องเดินไปไกลหน่อย ผมรูสึกโอเคมากเพราะมันเป็นสิ่งที่ผมสามารถติดต่อเพื่อนๆและครอบครัวได้ ผมไม่รอช้าอาบน้ำกินข้าว และมุงหน้าไปหาไวไฟทันที หลังจากเล่นเสร็จผมกลับมาที่เต็นท์

ตอนนั้นก็ 2 ทุ่มกว่าได้ผู้คนรอบข้างกำลังสนุกสนานกับการสนทนาที่พวกเขามีให้กัน ส่วนผมมาคนเดียวก็โดดเดี่ยวต่อไป แต่ด้วยพรสวรรค์ในการเข้าหาคนของผมจึงทำให้ผมได้ไปผูกมิตรกับพี่ๆเจ้าหน้าที่ จนได้รู้เรื่องราวต่างๆของป่าและธรรมชาติมัน happy มาก พวกเราคุยกันไหลลื่นและเป็นกันเอง จู่ๆก็มีแมวตัวหนึ่งเดินผ่านหน้าผมไป ผมเกิดความสงสัยจึงถามพี่เจ้าหน้าที่ว่า พี่ๆเลี้ยงแมวด้วยหรอครับ พี่ๆบอกว่าไม่ได้เลี้ยงแต่แมวพวกนี้มีคนเนียนเอามาปล่อย "พวกนักท่องเที่ยวนั้นละ!!!" ผมก็หัวเราะแห้งๆ Hahaha แมวพวกนี้มีกันหลายตัวแต่พวกมันมันไม่มีชื่อสักกะตัว เพราะพี่เจ้าหน้าที่ลำคาญพวกมัน ผมพอเห็นพวกมันก็นึกถึงแมวที่บ้านมันชื่อเงินไอ้ตัวนี้อ้วนมากมันไม่ค่อยได้ทำไรเดินไปเดินมาทำตัวอ้วนไปวันๆ Haha

พี่ เสถียร เจ้าหน้าที่อาวุโสที่เป็นเพื่อนยามเหงากับผม

เจ้าแมวนี้มันทำหน้ามึนและร้องเหมียวๆ ผมจึงไปเล่นกับมัน เล่นไปเล่นมาปรากฎว่ามันไม่ไปไหน นอนให้ผมเกาพุงเกาหัวพันแข้งพันขาจนสุดท้ายผมง่วง เลยหนีมานอนก็มันก็ยังตามมาป่วนเปี้ยนที่เต้นท์ วนเวียนสักพักหนึ่งแล้วมันก็ไป จริงๆแล้วผมไม่ได้ชอบแมวอะไรนัก แต่ผ่านเรื่องนี้มันทำให้ผมเข้าใจว่าเวลาคนเราเหงาเศร้าหรือโดดเดี่ยวเราต้องการบางสิ่งมาเติมเต็มใจที่ว่างเปล่า แมวกับหมาเป็นสิ่งหนึ่งที่มนุษย์อยู่ด้วยแล้วสบายใจมันจึงมาเติมช่องว่างได้ แต่สิ่งที่ดีที่สุดก็คือการที่มนุษย์เองเชื่อมต่อจิตใจเข้าหากัน พักผ่อนซึ่งกันและกัน และ วางใจกัน นี้คือสิ่งที่วิเศษและสวยงาม เมื่อนก่อนเคยคิดว่าแมวคือจุดบัคของโลกที่วันๆเดินหน้ามึนไปวันๆแถมไม่สนใจใคร แต่วันนี้รู้แล้วว่าไอ้แมวตัวนี้มันก็ถูกทิ้งส่วนผมก็มาคนเดียว เราทั้งคู่มาเจอกันจึงเกิดเป็นความรู้สึกดีๆนั้นเอง นี้สินะคุณค่าของแมว

Part2:

เช่นเคยผมตื่น 7.30 น. แต่เช้านี้ไม่ค่อยสดชื่นเท่าไหร่เพราะเมื่อคืนโคตรหนาวแถมลมแรง ดีที่เต้นท์ผมทนทานและได้มาตราฐานไม่งั้นผมคงโดนพัดปลิวไปติดบนต้นตะเคียนแน่ ผมล้างหน้าแปรงฟันและออกลุยเดิน trail ทันที เส้นทางที่นี้สนุกมากเพราะเดินไม่ยากและสวยงาม ให้ feel เหมือนมา picnic กับเพื่อนๆหรือครอบครัวริมน้ำตกลำธารเทือกๆนั่น

ผมเดินไปเรื่อยๆด้วยความเพลิดเพลินกับธรรมชาติแต่ทันใดผมต้องตกใจเพราะเจออารยธรรมของชนเผ่าดึกดำบบรรพ์ที่จาลึกอักษรไว้ (พวกเด็กๆที่มาเที่ยวแล้วดันมือไม่อยู่สุข Hahaha) 

และแล้วผมก็มาถึงจุดชมวิว ตรงนี้ลมเย็นมากบรรยากาศสบายผ่อนคลายสุดๆ ระหว่างทางที่เดินผมก็อัดคลิปถ่ายรูปไปด้วยจนผมมานึกขึ้นได้ว่าตกลงเรามาทำอะไรกันแน่ การที่ผมอยู่กับกล้องหรือโทรศัพท์มากเกินไปมันทำให้ช่วงเวลาที่มีความสุขกับสิ่งรอบข้างลดลง เราต้องมากังวลว่ารูปนี้รูปนั้นจะสวยไหมคนจะชอบหรือเปล่า ผมจึงวางกล้องและโทรศัพท์ลงแล้วใช้แค่ความรู้สึกจดจำสิ่งรอบข้าง ผมยืนอยู่บนสะพานและชมวิวอยู่พักใหญ่ความสบายใจและอิสระ0เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งที่อยู่รอบตัวว่า จริงๆแล้วมันมีค่าและสำคัญ แต่เรามักจะมองมันไม่เห็นเพราะเราสนใจกับแค่สิ่งที่เราต้องการและอยากจะทำ แต่ถ้าเราวางสิ่งเหล่านี้ลงเราจะมองเห็นมุมมองใหม่และสิ่งสำคัญที่อยู่รอบตัวเรา

ผมออกเดินต่อ view รอบตัวเริ่มเปลี่ยนไปจากที่ปิคนิคกลายเป็นป่าผลัดใบความร้อนเริ่มโจมตีเส้นทางเริ่มชันและความลื่นที่เกิดจากทรายเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ บอกเลยว่าโคตรเหนื่อยผมถอดเสื้อคลุมออกและไม่สนใจอะไรตั้งใจเดินอย่างเดียว เดินไปได้ 1 กิโลเมตร อาการขาล้ากับหายใจติดขัดเริ่มมาผมนั่งทันทีไม่รอช้า พูดตามตรงในใจตอนนั้นโคตรอึดอัดเลยผมไม่ได้ออกกำลังกายหรือแข็งแรงอะไร ก็แค่มนุษย์จอมมึนชอบจูนชาวบ้านที่มีใจอยากผจญภัย คนเรานี้ลึกลับถ้ามีใจ อะไรก็ทำได้หมดมันเป็นพลังของความหวังและความเชื่อที่อาจารย์ผมบอกมนุษย์เราใช้ชีวิตอยู่ได้เพราะความหวังและศรัธา ถ้าหมดสิ่งเหล่านี้ชีวิตจะหมดเรี่ยวแรงและหมดความหมายเพราะฉนั่นเราต้องมีศรัธาและความหวังในการใช้ชีวิตในวันพรุ่งนี้ ตอนที่ผมนั่งพักอยู่ก็ได้มีโอกาสนึกย้อนกลับไปตอนที่อยู่แอฟริกาความทรงจำมันสว่างไสวและมีความสุขมาก ผมได้แรงฮึดอีกครั้งทีนี้ไม่ถ่ายไรเลยตั้งใจเดินตั้งใจเก็บความทรงจำดีๆและก็มาถึงทางออกจนได้ เกือบตาย!!! 


Part3:


การเดิน Trail ในครั้งนี้มอบสิ่งดีๆให้ผมมากมาย ผมกลับไปอุดหนุนร้านสวัสดิการเหมือนเดิม ด้วยการเสวนาของผมป้าก็เพิ่มข้าวให้ฟรีไม่มีข้อแลกเปลี่ยน เราคุยกันถูกคอและป้าก็อวยพรให้ผมเจอสิ่งดีๆจากนั่นผมตั้ง GPS ยิงยาวเข้าเมืองแบบไม่มีพัก ในตอนนี้ผมเหนื่อยมากเพราะการเดินทางที่สะสมหลายวัน พอถึงเมืองผมจอดรถข้างถนนและ "นั่งพักเหมือนลูกหมาหอบแดด มื้อไม้อ่อนแรงและก็หิวข้าวมาก ไม่รู้อีท่าไหนผมทำกุญแจมอไซต์ล่วงท่อระบายน้ำ" นี้มันอะไรกันครับเนี่ยโคตรซวย!!! (นึกว่าจังหวะซิทคอม) ผมคิดอยู่หลายตลบจนสุดท้ายได้ไอเดียว่าเอาเสาเหล็กกางเต้นท์มาเขี่ยดีกว่ามันยาวดี และผมก็เอากุญแจขึ้นมาจนได้ จากนั้นก็มานั่งคิดทบทวนว่าเรานี้แมร่งโคตรโง่เลยเรื่องเล็กๆแค่นี่เองอะไรวะเนี่ยเกิดขึ้นได้ไง "แต่นี้แหล่ะครับรสชาติของการเดินทาง"

รสชาติใช้ได้ ราคา 50 บาทอิ่มยันเย็น อยู่ตรงไหนไม่รู้จำไม่ได้แต่อยู่ในเมืองเชียงใหม่ Hahah

ใกล้แหล่งเกิดเหตุมีร้านข้าวซอยอยู่ผมจึงตรงไปซัดแบบไม่รอช้า การจองที่พักใน Agoda เป็นอะไรที่สะดวกดี ผม book hostel ซึ่งราคาถูกมากสำหรับสองคืนแค่ 390 บาท  hostel ที่นี้ดีมากเจ้าของสุภาพมีมังงะให้อ่าน (แต่เป็นภาษาญี่ปุ่นหมด) ที่นี้ชื่อว่า Le Light House & Hostel มีดาดฟ้าให้นั่งเล่นแถมที่นอนห้องน้ำก็สะอาดแล้วยังใกล้กับตลาดและร้านสะดวกซื้ออีก บอกได้เลยว่าดีมาก

วันนี้ตั้งใจเที่ยวในเมืองสักหน่อยแต่กว่าจะทำภารกิจส่วนตัวเสร็จก็ปาเข้าไป 5 โมง โดยเฉพาะซักผ้า ช่วงซักผ้าผมได้เพื่อนชาวออสซี่หนึ่งคนชื่อ "เค็ท" พวกอยู่เมือง "Adelaide" เราแลกเปลี่ยนบทสนทนากันเมามัน

วันนี้ค่อนข้างเงียบตลาดคนไม่เยอะ ผมจึงเดินอย่างเหงาๆผ่านตรอกซอกซอยไปตามที่ต่างๆ ผมมาหยุดนั่งเล่นอยู่ที่ "ขัวเหล็ก" สะพานข้ามแม่น้ำที่ประดับประดาไปด้วยไฟหลากสี ให้ความรู้สึกสดใสดี ในช่วงเย็นผู้คนจะออกมานั่งพักผ่อนกินข้าวกันริมน้ำ มีร้านอาหารและร้านนั่งชิวอยู่เยอะเลยทีเดียว ท่านใดที่ชอบบรรนากาศชิวๆลมเย็นๆบวกกับวิวแม่น้ำ บอกเลยตรงนี้ตอบโจทย์แน่นอน

สุดท้ายผมมาหยุดที่ประตูท่าแพร ที่นี้มีความทรงจำมากมายของผม 

ผมนั่งคิดหลายๆอย่างในชีวิต จนท้องหิวเลยเดินไปหาของกินบังเอิญไปเห็นไก่ทอดหาดใหญ่และข้าวหมกไก่ของบังคนหนึ่ง ผมซื้อและซัดทันทีด้วยความตะกละและหิว จึงเกิดอาหารหิวน้ำแบบฉับพลัน ผมเดินออกไปซื้อน้ำซึ่งในตอนนั้นเองผม (drop บางอย่างไว้) หลังจากดื่มน้ำเสร็จนั่งครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ผมเดินมาเรื่อยๆจนสุดท้ายมาถึงที่พัก นั่งเล่นอยู่แปปหนึ่ง ตอนนั้นเองผมนึกขึ้นได้ว่ากระเป๋าผ้าลาย Gun n Roses ใบโปรดหายไป ผมหามันแทบพลิกแผ่นดิน และนั้นเองผมนึกออกว่าลืมมันไว้ที่ประตูท่าแพร่ "แน่นอนไม่รอช้าผมขว้ากุญแจและบิดมอไซต์กลับไปที่เกิดเหตุทันที แต่โชคไม่ดีปรากฎว่ามันหายไปแล้ว" เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าบางสิ่งบางอย่างมันมีช่วงเวลาของมันอยู่เสมอ วันนี้ได้มีโอกาสเรียนรู้หลายสิ่งรู้สึกขอบคุณมากๆ ถึงแม้ว่าจะเจอบางอย่างที่ไม่ดีแต่ผมเชื่อว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนมีความหมายของมันแน่นอน 


Mr.Electric

 วันพฤหัสที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2566 เวลา 14.38 น.

ความคิดเห็น