คิดอยู่นานที่จะเขียนรีวิวเรื่องนี้ เพราะเรื่องราวเกี่ยวกับญี่ปุ่นมีคนรีวิวไว้มากมาย

แต่ด้วยอยากแชร์ประสบการณ์ก็เลยตัดสินใจลองเอามารีวิวดู

เผื่อว่าข้อมูลบางอย่างอาจเป็นประโยชน์บ้างหรือคนที่อยากไปจะได้เห็นภาพชัดขึ้นมาบ้าง

รีวิวนี้เป็นการปรับปรุงจากที่เขียนบล็อกไว้ที่แห่งหนึ่งไม่นานนี้ โดยเพิ่มรายละเอียดบางอย่างในการเดินทางแทรกเอาไว้

หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับใครบ้างก็เท่านั้นค่ะ



สมัยก่อนการจะเดินทางไปต่างประเทศซักครั้ง หนูเล็กกับพี่ใหญ่จะทำการบ้านกันอย่างหนัก

ก่อนจะมาตัดสินใจกันว่า เราจะไปเที่ยวไหนกันดี

แต่ในยุคที่ตั๋วเครื่องบินถูกเป็นบ้าเป็นหลัง มีโปรโมชั่นแข่งกันออกมาไม่เว้นแต่ละวัน

การออกเดินทางสู่โลกกว้างของเราสองคนจึงเปลี่ยนไป

กลับกลายเป็นว่าเราสองคนให้ตั๋วเป็นตัวกำหนดการเดินทางในครั้งนั้นว่า

หวยจะไปออกที่ประเทศไหน และเราจะไปเที่ยวอะไรที่ประเทศนั้นในช่วงนั้น

ครั้งนี้ก็เช่นกัน เป็นเพราะในช่วงที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างไทยและญี่ปุ่นเป็นไปอย่างดีถึงดีมากหรือจะดีมากที่สุดก็ไม่รู้

ตั๋วโปรไปประเทศญี่ปุ่นจากหลายสายการบินพากันกระหน่ำลดราคาจนทำให้เราสองคนอดหวั่นไหวไม่ได้

ที่สำคัญเราสองคนเป็นติ่งแอร์เอเชีย ไม่ได้เลิฟอะไรขนาดนั้นโปรดอย่าเข้าใจผิด

แต่เพราะเราสองคนเน้นตั๋วราคาย่อมเยาและเมื่อมีโปรออกมาครั้งใดก็ไม่เคยเลยที่เราจะพลาดหวัง

ทุกๆ ห้าทุ่มของคืนนั้นได้ตั๋วมาไว้ในมือให้ได้มีแผนเดินทางใหม่ๆ กันได้ตลอด

และเมื่อมีโปรบินตรงญี่ปุ่นกับไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ที่เราเคยใช้บริการแล้วออกมายั่วซ้ำอีกครั้ง

พี่ใหญ่กับหนูเล็กก็ไม่รีรอ สุดท้ายแล้วก็ได้ตั๋วไปญี่ปุ่นมาครองด้วยความภาคภูมิใจอีกครั้งหนึ่ง

แต่หลังจากกดจองตั๋ว กดจ่ายเงินด้วยความสะใจที่ได้ตั๋วถูกไปได้เมื่อตอนห้าทุ่ม

รุ่งเช้าก็เริ่มกุมขมับ จะอะไรกันล่ะคะ ก็ช่วงที่เราช่วยกันกดจองตั๋วด้วยรู้สึกว่าเรามันเจ๋ง มันสุดยอดนั้นน่ะ

เป็นช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยว นักเดินทางตัวยง กูรูนักเที่ยวญี่ปุ่นทั้งหลายเตือนนักเตือนหนาว่า

ถ้าเลี่ยงได้จงเลี่ยงเป็นดีที่สุดของแจ้เลย เพราะมันเป็นช่วง Japan Golden Week

นั่นคือ ช่วงวันหยุดยาวของคนญี่ปุ่นเพราะมีวันสำคัญหลายวัน

ที่คนญี่ปุ่นจะหยุดกันทั้งประเทศเพื่อออกเดินทางท่องเที่ยวพักผ่อน

นั่นหมายถึงว่าเราจะไปแย่งกิน แย่งเที่ยวกับคนญี่ปุ่น

ถ้าใครนึกภาพไม่ออกก็แนวๆ แย่งกิน แย่งเที่ยวช่วงสงกรานต์บ้านเราดีๆ นี่เอง

เพราะสถานที่ท่องเที่ยวคนจะเยอะ ร้านอาหารจะรอคิวนาน แค่คิดก็เพลียตั้งแต่ยังไม่เริ่มเดินทาง

แต่เอาเถอะ the show must go on ทริปจองข้ามปีทริปนี้ต้องบังเกิดจนได้

ชะตาฟ้ากำหนดแล้ว ไปก็ไป เอาไงเอากัน...

ก็เพราะใครๆ ก็บอกว่า อย่าไปๆๆๆ เพราะที่พักจะแพง จะเต็ม จะหายาก จะ....บลาๆๆๆๆ

หนูเล็กกับพี่ใหญ่เลยเป็นประสาทกันทั้งคู่

จะไปเดือนเมษายน วางแผนเดินทางตั้งแต่เดือนมกราคม

เพราะกลัวไปทุกสิ่ง ถือได้ว่าเป็นการทำการบ้านที่เร็วกว่าสมัยที่ต้องขอวีซ่าไปญี่ปุ่นด้วยซ้ำ


แต่แล้วหลังจากทำการบ้านอย่างหนัก ความคิดเกี่ยวกับ Golden Week ของหนูเล็กเริ่มเปลี่ยนไป

มีหลายสิ่งที่ทำให้หนูเล็กรู้สึกว่า มันเป็นสัปดาห์ทองของการเที่ยวญี่ปุ่นอย่างแท้จริง

ช่างดีเหลือเกินที่เราไปในช่วงเวลานี้ เพราะอะไร ลองตามไปเที่ยวกัน

เพราะสมาชิกในการเดินทางมี 4 คน

การเช่ารถจึงยังคงเป็นวิธีการที่หนูเล็กและพี่ใหญ่เลือกใช้บริการเหมือนทุกทริปก่อนหน้านี้


เพราะแม้ว่าการเดินทางด้วยรถไฟจะตรงเวลาและแสนสะดวกอย่างไรในญี่ปุ่น

แต่การได้แวะตามรายทาง ตามเมืองเล็กเมืองน้อยยังเป็นสีสันที่เราสองคนชื่นชอบเป็นที่สุด

และเมื่อคำนวณค่าใช้จ่ายด้วยการเดินทางโดยรถไฟของแต่ละคนเมื่อเทียบกับค่าเช่ารถแล้วหารสี่มันคุ้มกว่ามาก

การเลือกเช่ารถจึงเป็นคำตอบสุดท้าย หรือจริงๆ แล้วอาจเป็นคำตอบเดียวตั้งแต่แรกเสียด้วยซ้ำ

เคยอ่านเจอที่เขาบอกไว้ประมาณว่า

“หากคุณอยากเป็นนักท่องเที่ยว คุณก็ไปแบบที่คนอื่นไป แต่ถ้าคุณอยากเป็นนักเดินทาง ก็ต้องไปในแบบของคุณ"


บริษัทรถเช่าที่เลือกใช้ครั้งนี้คือ Nippon Rent A Car www.nipponrentacar.co.jp/english/

สาเหตุก็เพราะเพื่อนของพี่ใหญ่ที่พักอาศัยอยู่ที่ญี่ปุ่นเตือนมาว่า

ถ้าเลี่ยงได้อย่าพยายามขับผ่านโตเกียวเชียวนะ เพราะกว่าจะออกมาได้

อาจปวดกระโหลกและแผนการเดินทางอาจคลาดเคลื่อน โอเครๆ เชื่อตามนั้น

เพราะหนูเล็กเป็นโรคแพ้เมืองใหญ่ ขับเข้าไปทีไร หลงทุกที ต่อให้มี GPS ก็เถอะ

เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าสำนักงานของ Nippon Rent A Car อยู่ใกล้สถานีรถไฟ Kawaguchiko อันแสนสะดวก

และเมื่อให้เขาเสนอราคามาสำหรับแผนของการใช้รถ 8 วัน ก็เป็นราคาในจุดที่เรายอมรับได้

นอกจากนี้เรามีแผนจะแวะไปทักทาย "Fuji-San" สัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นให้ได้

หลังจากเจออากาศปิดไม่ได้เห็นฟูจิซังอย่างเต็มตาเสียที แม้จะไปญี่ปุ่นมาหลายรอบก็ตาม

และที่สำคัญงาน Shibazakura เพิ่งเปิดตัวได้เพียงสัปดาห์เดียวเท่านั้นเอง


ก่อนอื่นคงต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การเดินทางของเราเน้นความประหยัดเป็นหลักในทุกๆ การเดินทาง

เราจะยอมจ่ายเฉพาะสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น ดังนั้น การนั่งรถไฟ รถบัส หรือการขับรถก็จะเน้นความประหยัดเป็นสำคัญ

Shinkansen หรือ JR Pass หรือการใช้บริการทางด่วนนั้น ไม่ใช่วิถีของพวกเรา


การเดินทางแบบจำใจไปในช่วง Golden Week เริ่มต้นขึ้นกลางดึกคืนหนึ่งของปลายเดือนเมษายน

ไปถึงสนามบินนาริตะแปดโมงไม่มีเลท

วันฟ้าใสที่สนามบินนาริตะ


อาหารเช้ามื้อแรก


จากสนามบินนาริตะหนูเล็กดีไซน์วิธีการเดินทางแบบประหยัดและต่อขบวนให้น้อยที่สุด

ด้วยวิธีการที่อาจไม่มีใครเหมือนและไม่สงวนลิขสิทธิ์

จากโจทย์กำหนดไว้ว่าเราจะไปที่สถานี Shinjuku เพื่อต่อรถบัส เรามีกระเป๋าเดินทางจึงไม่ควรต่อรถหลายต่อ

และประเด็นสำคัญคือค่าใช้จ่ายในการเดินทางต้องถูกที่สุด

ดังนั้น หนูเล็กจึงเลือกที่จะใช้บริการรถไฟ Keisei Main Line แต่ไม่ไปลงยังปลายทางคือสถานี Ueno

เพราะหากไปที่นั่นจะต้องไปต่ออีก 2 สายซึ่งยุ่งยาก

ภายในรถไฟสาย Keisei แบบ Ordinary


เลือกไปลงยังสถานี Motoyawata (KS16)

จากสถานี Motoyawata จะมีป้ายบอกทาง

ให้เราสามารถเปลี่ยนไปใช้รถไฟใต้ดินสาย Toei Shinjuku Line สามารถเดินต่อไปได้โดยสะดวก

ทางเดินภายในสถานี Yawata


ภายในสถานีรถไฟใต้ดินสาย Toei Shinjuku Line


ที่นี่เป็นสถานีต้นทางนั่งได้สบาย กระเป๋าเดินทางก็เอาขึ้นลงได้สะดวก

เพราะเราจะไปถึงสุดทางคือสถานี Shinjuku

เสียค่าเดินทางรวมเพียงแค่ 1,200 เยน ใช้เวลาเดินทางราวชั่วโมงกว่า ไม่ถือว่าช้าเกินไป

รถว่างเพราะเป็นสถานีต้นทางไปยังสถานีชินจูกุ


เมื่อถึงสถานี Shijuku หาทางออก West Exit เพื่อไปยังสถานีรถ Keio Highway Bus ซึ่งจะพาเราไปยัง Kawaguchiko

เดินไปยัง West Exit


สถานี Keio Highway Bus


ก่อนที่จะเดินทางมาเราสามารถจองตั๋วออนไลน์มาก่อนได้เลย

เมื่อมาถึงแค่เอาใบจองที่พิมพ์ไว้มายื่นที่เคาน์เตอร์ พนักงานก็จะแจ้งราคาค่าใช้จ่าย

ให้ตั๋วและแจ้งให้ทราบว่าเราต้องไปรอที่ท่ารถหมายเลขที่เท่าใด

พราะนอกจากไป Kawaguchiko แล้วเขายังมีปลายทางที่อื่นด้วย

รถแต่ละเที่ยวจอดรอตรงจุดนี้


มีตู้น้ำนานาชนิดให้เลือกซื้อก่อนเริ่มเดินทาง


พอได้เวลาเขาก็จะประกาศเรียกขึ้นรถ ผู้โดยสารทุกคนจะมีที่นั่งของตัวเอง

พนักงานจะเช็คหมายเลขก่อนขึ้นรถและบริการเอากระเป๋าใส่ใต้ท้องรถให้

เราก็แค่ขึ้นไปนั่งประจำทีให้เรียบร้อยก็พอ หนูเล็กกลัวพลาดใช้ชื่อสมาชิกจองมา 3 ช่วงเวลา

เผื่อเราเกิดขลุกขลักอะไร พลาดเที่ยวแรก ก็ยังมีลำดับสอง ลำดับสาม ที่จองเอาไว้อีก

เมื่อรถออกพนักงานจะแจ้งเตือนให้เรารัดสายเข็มขัดเพื่อความปลอดภัย

ความสะดวกสบายของรถไฮเวย์บัส ก็คือ

เขาจะมีที่พักขา มีโต๊ะเล็กๆ ด้านหน้าเก้าอี้ สามารถรับประทานอาหารบนรถได้

เพราะการเดินทางใช้เวลาราวๆ ชั่วโมงสีสิบห้านาที

และยังมีปลั๊กส่วนตัวให้สามารถเสียบชาร์ตโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ตได้ด้วย

ภายในรถไฮเวย์บัส


ความสะดวกสบายส่วนตัว


มีปลั๊กส่วนตัวให้ด้วย


ส่วนด้านหลังสุดมีห้องน้ำไว้บริการซึ่งสามารถสังเกตว่าห้องน้ำว่างหรือไม่

ได้จากด้านหน้ารถซึ่งเมื่อมีคนเข้าใช้ก็จะเป็นสีแดง เมื่อว่างก็จะเป็นสีเขียว

ส่วนจอโทรทัศน์ในรถก็จะแจ้งป้ายถัดไปที่จะถึง

เสียแต่ว่ามีแต่ภาษาญี่ปุ่นเราก็เลยไม่ได้ประโยชน์เท่าไรนักต้องอาศัยฟังจากเสียงพูดในรถเอา

รถบัสค่อยๆ วิ่งหนีจากสภาพรถติดจอแจของกรุงโตเกียวขึ้นทางด่วนออกไปนอกเมือง

รถเริ่มวิ่งได้ฉลุยขึ้น จากเดิมที่วิวเป็นตึกเต็มสองฟากฝั่ง

วิวจากหน้าต่างตลอดเส้นทางค่อยๆ เปลี่ยนไป แลเห็นถึงความสมบูรณ์ทางธรรมชาติ

และวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นที่ยังคงให้ความสำคัญกับภาคเกษตรกรรม

วิวนอกหน้าต่าง


หนูเล็กนั่งดูวิวทิวทัศน์ไปอย่างเพลิดเพลิน

ในขณะที่ผู้โดยสารในรถค่อยๆ ทยอยหลับไปกับการเดินทางไกลไม่เว้นแม้แต่พี่ใหญ่


แต่สุดท้ายแล้วพี่ใหญ่ก็ต้องถูกหนูเล็กปลุกให้ตื่น

เพราะสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าเป็นภูเขาขนาดมหึมาที่ชื่อว่า “ฟูจิ" ที่ ณ วันนี้ยังมีหิมะปกคลุมเป็นหมวกใบสวยอยู่

เสียดายแต่ว่าวันนี้ฟ้าไม่ใสเท่าไรนัก ฟูจิจึงอยู่ภายใต้หมอกขมุกขมัวที่เมื่อมองแล้วให้อารมณ์เหงาๆ เอาเรื่องเหมือนกัน


เส้นทางที่รถบัสวิ่งไปจากนี้จึงมีฟูจิอยู่ในสายตาของเราตลอดจนไปถึงที่หมายคือสถานีรถไฟ Kawaguchiko

ถึงที่หมายแล้ว สถานีรถไฟ Kawaguchiko


วันนี้เราจองที่พักไว้ที่ Kawaguchiko Station Inn ซึ่งอยู่ตรงข้ามสถานีรถไฟ เพื่อความสะดวกในการเดินทางในวันพรุ่งนี้

วิวงามๆ จาก Kawaguchiko Station Inn


เมื่อดูนาฬิกาอีกเพียง 15 นาทีเราสามารถเช็คอินเข้าที่พักที่ Kawaguchiko Station Inn ได้แล้ว

จึงลองไปติดต่อเผื่อว่าสามารถเข้าที่พักได้เลย

เราจะได้เข้าไปพักผ่อนกันหลังการเดินทางอันยาวนาน ปรากฏว่าที่พักพร้อมให้เราเข้าพักได้แล้ว

พวกเราจึงได้มีโอกาสเข้าไปเก็บสัมภาระกัน

นอนแบบเรียวกัง ในคืนแรก

ก่อนที่จะรื้อกระเป๋าเดินทาง พี่ใหญ่เกิดไอเดียขึ้นมาว่า

จากแผนเดิมที่เราจะไปงาน Shibazakura กันในวันพรุ่งนี้นั้นน่าจะปรับเปลี่ยนมาเป็นวันนี้

เพราะยังพอมีเวลา พรุ่งนี้เรามีนัดรับรถประมาณเก้าโมงเช้าและมีปลายทางที่ค่อนข้างไกล

หากมัวแต่ไปเที่ยวเล่นอยู่อาจจะทำเวลาไม่ได้มากนัก

คิดได้ดังนี้ ก็เลยทิ้งทุกสิ่งไว้เบื้องหลัง เรื่องเที่ยวต้องมาก่อน


การเดินทางมา Kawaguchiko ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนเมษายนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม

เราจะได้ดูดอกไม้ที่คนไทยนิยมเรียกกันว่า “ซากุระดิน"

ทั้งที่จริงๆ Shibazakura ไม่ได้เกี่ยวพันกับซากุระแม้แต่น้อย

ชื่อเรียกในภาษาอังกฤษ Moss Pink ต้นกำเนิดมาจากตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกา

ดอกไม้ชนิดนี้มีหลายพันธุ์ ทั้งสีชมพูและสีขาว ดอกจะบานที่พื้นดิน ที่ญี่ปุ่นนำมาปลูกตามรั้วบ้าน

หรือตามที่ลาดเอียง ดุจดังพรมผืนยักษ์

มีประโยชน์ในการรักษาหน้าดิน และทนกับความร้อนและอากาศที่แห้งแล้งได้ดี

ในช่วงฤดูใบไม้ผลิดอกไม้จะบานและหน้าตาดูคล้ายกับดอกซากุระ

ส่วนในฤดูอื่นจะมีใบสีเขียวแทน ดูคล้ายต้นหญ้า ดังนั้นจึงเรียกกันว่า ชิบะซากุระ

คำว่าชิบะหมายถึงต้นหญ้า แปลได้ว่า ซากุระต้นหญ้า

หากสนใจข้อมูลการท่องเที่ยวเทศกาลชมดอกชิบะซากุระ สามารถติดตามได้ที่ http://www.shibazakura.jp/thai/

การเดินทางไปยังสถานที่จัดงานเขาจะมีรถรับ-ส่ง (Shibazakura Liner) มีตารางเวลารถออกติดประกาศไว้ชัดเจน

สามารถเช็คเวลาจากเว็บไซต์ที่เป็นทางการของเขาได้ ค่าเข้าชมคนละ 520 เยน จะว่าไปเราก็ไปค่อนข้างฉิวเฉียด

เพราะตอนขึ้นรถบัสก็ราวๆ บ่ายสามโมงได้แล้ว และสถานที่จัดงานจะปิดราวๆ ห้าโมงเย็น

ซึ่งคนญี่ปุ่นใครๆ ก็รู้ว่าเป็นชาติที่เที่ยงตรงเรื่องเวลาแค่ไหน เราก็คงมีเวลาดื่มด่ำกับเจ้าชิบะซากุระนี้ได้ในเวลาเท่าที่มีนั่นล่ะ

ดีที่ว่าการเดินทางจากสถานีรถไฟไปยังสถานที่จัดงานบริเวณใกล้ Lake Motosu ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีเท่านั้น

จึงไม่ทำให้เราเสียเวลามากนัก

สังเกตธงญี่ปุ่นแบบนี้ จะเห็นจุดจอดรถบัส


แผนผังการจัดงาน


รถบัสพาเราวิ่งลัดเลาะไปเรื่อยๆ จนถึงบริเวณงาน

ดอกไม้สวยๆ ริมทาง


ภาพแรกชวนตะลึง เมื่อเดินจากจุดจอดรถสู่บริเวณงาน


จะว่าไปการไปเที่ยวชมดอกไม้ในเวลานี้ก็ดีอยู่ตรงที่นักท่องเที่ยวเริ่มบางตา เพราะใกล้เวลาปิดงานในวันนี้แล้ว

อีกทั้งแดดไม่แรง มีลมอ่อนๆ สามารถเดินเที่ยวได้สบายๆ เพียงแต่อาจจะถ่ายภาพได้ไม่สวยนัก

แต่สำหรับหนูเล็กและมวลสมาชิกที่ฝีมือถ่ายภาพแค่เก็บไว้เป็นที่ระทึกก็ไม่ได้มีผลอะไรนัก

บริเวณที่เขาจัดงานเป็นพื้นที่กว้างใหญ่ที่ปลูก Moss Pink ไว้ทั่วบริเวณสลับอยู่สามสีทั้งสีชมพู สีม่วงและสีขาว

เหมือนเล่นลวดลาย แต่อาจเป็นเพราะสีชมพูเป็นสีที่สดที่สุดจึงแลดูเด่นและน่าเก็บภาพมากที่สุด


ช่วงที่หนูเล็กไปเยือนอาจจะเป็นช่วงแรกๆ ของการเปิดงาน

เพราะเพิ่งเริ่มงานมาได้ราวสองสัปดาห์ ทำให้ Moss Pink บางจุดเหมือนยังไม่มีดอก

เลยมองดูเว้าๆ แหว่งๆ พิกล ส่วนบริเวณที่บานเต็มที่ก็สวยเสียจนแทบขาดใจ

เดินไปด้านในเขามีทำ “ฟูจิ" จำลองที่ปลูก Moss Pink ไว้ด้วย แต่น่าเสียดายที่ดอกยังไม่บานเท่าใดนัก

จึงกลายเป็นฟูจิที่กระดำกระด่างไปเสียอย่างนั้น

ใกล้ๆ กันเขาทำระเบียงยกระดับเพื่อให้ขึ้นไปชมพื้นที่โดยรอบในมุมสูงด้วย

จากจุดนี้สามารถเห็นพื้นที่จัดงานได้กว้างสุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว

มองมุมสูงจากจุดชมวิวที่เขาจัดไว้ จะเห็นว่ายังบานไม่ทั่วทั้งงาน


จุดชมวิว


เดินชมไปทั่วๆ บริเวณ


ชมดอกกันแบบชัดๆ ดอกกระจิ๊ดริดน่ารักจริงๆ


บริเวณด้านข้างจะมีพื้นที่ขายอาหาร ขนม และของที่ระลึกสำหรับผู้มาเที่ยวงาน

ถ้าเดินถ่ายรูปเหนื่อยๆ เบื่อๆ ก็สามารถไปแวะซื้อขนม ไอศกรีมรับประทานสักชั่วครู่ก่อนที่จะมาเดินเล่นต่อก็ได้

เกาลัดร้อนๆ จ้า


ขนมที่มีส่วนผสมของดอกชิบะซากุระ


ไอศกรีม กาแฟร้อน ก็มีจำหน่าย


มีดอกแบบนี้ปลูกแซมไว้ริมทางเดินด้วย


ลองเดินไปชมอีกด้านหนึ่งของบริเวณงานกันดูบ้าง


วันนี้ฟ้าปิด เห็นฟูจิแบบเรือนลาง เศร้าจริงๆ


บริเวณนี้ปลูกต้นซากุระไว้ด้วย


ดอกนี้น่าจะเป็นดอกแอปเปิ้ล


ริมทางเดิน


หลังจากใช้เวลากันเต็มที่ ออกจากงานกันก่อนเวลาปิดเล็กน้อยโดยกลับไปรอรถบัส ณ จุดที่ลง

จุดจอดรถบัส


รถบัสคันที่เราจะเดินทางกลับที่พักเป็นรถเที่ยวสุดท้าย

รออยู่สักพักรถบัสก็มา รถก็จะพาเราเดินทางกลับตามเส้นทางเดิมเหมือนขามา

ถึงแล้วสถานีรถไฟ Kawaguchiko


บริเวณสถานีรถไฟมีตกแต่งดอกชิบะซากุระต้อนรับเทศกาลนี้ด้วย


วันนี้เราทุกคนค่อนข้างอ่อนเพลียเพราะผ่านการเดินทางมาหลายชั่วโมงตั้งแต่กรุงเทพจนมาถึงญี่ปุ่น

และแทนที่จะพักก็ยังเดินทางต่อมายังอีกเมืองหนึ่ง แล้วก็ยังจะไปเที่ยวกันต่ออีกต่างหาก

การมาพักที่ Kawaguchiko Station Inn เราต้องจัดการปูที่นอนกันเอง

เขาจะมีเตรียมไว้ให้ แต่ไม่มีบริการ ซึ่งก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร

ที่นอนคืนนี้พร้อมให้บริการแล้ว


หลังจากจัดการกับอาหารเย็นกันเป็นที่เรียบร้อยก็พากันเข้านอนแต่หัววัน

เพื่อให้ตื่นเช้ามาด้วยความสดชื่นสำหรับการเดินทางไกลในวันพรุ่งนี้ที่ยังไม่รู้เลยว่าจะมีอะไรรอเราอยู่บนเส้นทางบ้าง

ไว้ติดตามกันต่อนะคะ Japan Golden Week ยังมีอะไรน่าสนใจอีกเยอะ


แวะทักทายพูดคุยเรื่องเที่ยวของคนคอเดียวกันได้ที่

https://www.facebook.com/TravelWithPiyaiAndNoolek/

ยินดีแบ่งปันข้อมูลค่ะ


Piyai&Noolek

 วันพฤหัสที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 เวลา 22.15 น.

ความคิดเห็น