" ด อ ย ม่ อ น จ อ ง "

อยากพบเจอมานาน มีคนชวนไปก็หลายหน
แต่ไม่เคยว่าง ต้องติดนู่นเนี่ยะนั่น อดไปทุกที

จนมีรุ่นน้องชวนรอบล่าสุด บอกจะไปอีกสองอาทิตย์ว่างไหม
หากเล่นตัวไม่ไปรอบนี้ คงต้องหลุดไปปีหน้า เพราะดอยจะปิดแล้ว

ลองหยิบปฎิทินมาคำนวนวันแล้ว ฤกษ์งามยามดีมาก
14 ก.พ. เลยเบ้ปาก กรอกตามองบน พอเป็นพิธี

อืมมม ... วาเลนไทน์หลายปีแม้อยู่กรุง ก็ว่างเหี่ยวเฉา
เอาว่ะปีนี้มาแปลก ลองฉลองความโสด บนดอยดูแล้วกัน : )





วันเดินทางมาถึง นัดกันคืนวันศุกร์ นั่งรถตู้ตะลุยขึ้นดอย

หลับ ๆ ตื่น ๆ มาตลอดทาง มาถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ที่อมก๋อยก็เกือบเที่ยงอีกวัน
ก็เปลี่ยนรถประจำตำแหน่ง ย้ายตัวเองและสัมภาระมาขึ้นปิกอัพโฟร์วีล

ทำไมต้อง 4x4 เพราะทางมัน ออน-เดอะ-ร๊อค มาก
ทั้งหลุม ทั้งเนินชัน เนินลาด ขับเลาะตามขอบเขา
ที่สำคัญตลอดหนึ่งชั่วโมง กินฝุ่นจนอิ่มเลยจ้า





หลังชีวิตคลุกฝุ่นมาพักใหญ่ ประมาณชั่วโมงนึง - -"
รถโฟร์วีลก็พา มาส่งถึงตีนดอยแล้ว เริ่มปฎิบัติการเดินขึ้นกันเลย
เน้นเดินสบาย ๆ เหนื่อยก็พัก เก็บรูปไปเรื่อย





เนินสุดท้ายก่อนถึงจุด "ลานกอล์ฟช้าง" เป็นเนินที่ชันที่สุดของที่นี่
อาจต้องออกแรง ทดเกียร์ต่ำกันเล็กน้อย แต่ก็ผ่านมาได้



เนินสุดท้าย ของท้ายที่สุดจริง ๆ แล้ว
พ้นเนินนี้ไป ก็จะไปทาง (ค่อนข้าง) ราบแล้ว
แข็งใจก้าวขากันอีกนิด ฮึบ ฮึบ ฮึบ

พี่ลูกหาบแบกของหนักกว่าเรายังไหว
เราก็ต้องไหว ... อ้อ เหร๊ออออออออ
ปลอบใจตัวเองเสร็จ แล้วขอทรุดไปกองแพร๊บ



ขึ้นมาจะเจอทางโล่งตามสันเขา ของทุ่งหญ้าสีทองทอดยาว
เห็น " ผ า หั ว สิ ง ห์ " ตั้งอยู่นู่นนนน ไกลลิบ ๆ

เดินตามทางไปเรื่อย จะเจอลานกอล์ฟช้าง
แล้วก็ตีไฟเตรียมชิดซ้าย เลี้ยวลงไปกางเต็นท์ตรงหุบเขา
สรุปใช้เวลาเดิน สักสามชัวโมงใส ๆ วัยรุ่นก็ถึงจุดกางเต็นท์





เก็บข้าวของ แล้วพักให้หายหอบนึดนึง ก็เริ่มออกเดินต่อ เลียบขอบเขาสักสองกิโล
ไปยัง "ผาหัวสิงห์" ซึ่งจุดสูงสุดของดอยม่อนจอง

ระหว่างทางขอบผาที่ทอดยาว ก็แวะถ่ายรูปไปตลอดทาง




มองไกล ๆ " ผาหัวสิงห์ " เหมือนเจ้าก๊อตซิล่า
เป็นความสามารถส่วนตัว ในการมโนล้วน ๆ

ทางเดินไปก็ขึ้นเนินสูงบ้าง ต่ำบ้างเล็กน้อย ไม่เหนื่อยเท่าไร
ทางเป็นทางตรงอย่างเดียว ไม่ต้องกลัวหลง

ถ้าเผลอเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา อาจไม่ใช่แค่หลง
อาจมีลุ้นแจ๊กพ็อต เดินตกขอบผาได้เลย ฮ่าฮ่าฮ่า




แดดยามเย็นอ่อน ๆ ลมหนาวพัดเบา ๆ
เดินทอดน่อง ชมวิวไป ถ่ายรูปไป
"ผาหัวสิงห์" ก็เข้าใกล้มาเรื่อย ๆ




เมื่อซูมด้วยกล้องไม่ได้ ก็ต้องซูมด้วยเท้า
จุดชมวิว "ผาหัวสิงห์" อีกไม่ไกลแล้ว
รออีกแป๊ปนะ เดี๊ยวจะขึ้นไปหา : )




เมื่อเริ่มเข้ามาใกล้ขึ้น ก็เริ่มเห็นเค้าลางหล่ะ
ทำไมเค้าถึงเรียกกันว่า "ผาหัวสิงห์"
.
.
ถ้ามองจากจุดนี้ เหมือนสิงโตกำลังเชิดหน้าอยู่เลย
หู ตา จมูก ปาก ยิ่งมีหญ้าสีทอง เป็นแผงคอ

แหมมม !!! ครบเป๊ะตามตำราโบราณ ดูลักษณะสิงห์ (อันนี้มั่วเอง ฮ่าฮ่า)



มาถึงจุดต้องปีน ไปข้างบนสุด ก็ต้องออกแรงนิดนึง
โชคดีช่วงที่ไป ยังเหลือต้นกุหลาบพันปี ออกดอกให้ชมด้วย




เย้ เย้ เย้ พิชิตจุด 1,929 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล
ยอดสูงสุดของ "ดอยม่อนจอง" ได้แล้ว



มองย้อนกลับไป ตามทางขอบผาที่เดินเลาะมา
มนุษย์เราก็ตัวนิดเดียว ถ้าเทียบกับธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่กว่าเสมอ
นั่งชมวิวอาทิตย์ตกสักพัก ก็เดินลงจากยอดผาหัวสิงห์

กลับมาเต็นท์ก็ค่ำพอดี จัดข้าวไปชุดใหญ่
กินเสร็จสามทุ่ม เตรียมแยกย้ายเข้าเต็นท์นอน

คุยนัดกันคิดวางแผนการณ์ใหญ่ ... ตื่นตอนตีสี่กัน ไปออกล่า "ท า ง ช้ า ง เ ผื อ ก"




กริ๊งงงง !!!! เสียงนาฬิกามือถือ ปลุกตีสี่แล้ว อากาศหนาวได้ใจ ลุกไปเขี่ย ๆ ชาวแก๊งค์ ที่นัดกันไว้
สรุปมีผ่านเข้ารอบจริง ตื่นไปดูดาวไหวสามคน ที่เหลือขอนอนกรน ชมดาวในฝันแทน
สามทหารเสือ ก็ปีนจากเต็นท์ ไปนั่งลานกอล์ฟช้างกัน
โอ้โห ... ดาวเยอะแบบ อลังการดาวล้านดาวมาก
เห็นเหล่าตากล้อง เค้าไล่คล้องช้างกันใหญ่

เอาบ้าง ไม่ยอมน้อยหน้า ควักขาตั้งกล้องคู่ใจ
ที่ไปไหนมาไหน พกไปทุกทริป แต่ส่วนใหญ่แบกไปฟรี ไม่เคยได้ใช้ (ฮ่าฮ่าฮ่า)
วันนี้ข้าจะประกาศศักดา ไล่ช้างเผือกใส่กล้องข้าให้ดู !!!
ว่าแล้วก็เปิดตำรา (ที่จดโพยมา) ถ่ายช้างเผือกต้องทำไง ตั้งกล้องเป๊ะ ทำตามทฤษฎีทุกอย่าง ดูภาพหลังกล้องหน่อยซิ

เป็นไงสวยหล่ะซิ ... อืมมม อย่าว่าแต่ช้างเผือกเลย ดาวหายไปไหนหมดฟ่ะ
ลองสองรูปก็แล้ว สามรูปก็แล้ว ไม่เห็นมีดาวสักดวง
ใจเริ่มแป๋ว ทำไรผิดขั้นตอน หรือต้องพนมมือไหว้ขอ เจ้าป่าเจ้าเขาก่อนถ่ายป่าวเนี่ยะ ??




สรุป ปัดโธ่ พุทโธ พุทถัง กะละมัง หม้อ ... โง่เอง !!!!

ลืมเปิดฝาครอบเลนส์ - -"


ลองใหม่ ๆ เอาจริงหล่ะ ที่ผ่านมาเผลอลั่นชัตเตอร์ไป แค่วอร์มวงสวิงกล้อง

เล็งปั๊ป ถ่ายรูปแช๊ะ เจอช้างเผือกยิ้มหวานบนฟ้า
อาจไม่สวยเท่าตาเห็น อาจไม่งามเท่ากล้องมือโปรฯ อุปกรณ์สายลั่นชัตเตอร์ก็ไม่มี

แต่อารมณ์พึ่งถ่ายช้างเผือกได้ครั้งแรก ก็เลยฟินกันไปเต็ม ๆ



ก็ถ่ายกันไป นั่งท้าลมหนาวกันไป ยันรุ่งเช้า รอพระอาทิตย์แรกของวัน โผล่มาทักทาย

"สวัสดีวาเลนไทน์เดย์ วันแห่งความรัก " .... ชิชิชิ หันดูรอบตัว เค้าทำหวานแว๋ว ใส่กันเป็นคู่

แสงแรกไออุ่นทำให้คลายหนาว แต่ไม่คลายเหงา ฮิ้วววววว !!!!
ฮึ๊บ ฮึ๊บ ... ไม่เอาไม่เบ๊ะ ไม่ร้อง !!! สายโสดพันธุ์แกร่ง ต้องไม่หวั่นไหว ใช่ไหม ใช่ไหม T_T

นึกในใจ เราบอกรักธรรมชาติแทนก็ได้ ... ยิ่งมองภาพแสงทอยามเช้า ตัดกับทุ่งหญ้าสีทอง
อยากเอื้อมแขนกอด(ภู)เขาแน่น ๆ เลย ... ดอย " ม่ อ น จ อ ง " เธองามจับใจ : )



ชมบรรยากาศยามเช้า บนทุ่งหญ้าเทเลทับบี้สีทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก
เก็บภาพ เก็บความทรงจำให้ชุ่มใจ ก็ลงมาทานข้าวเติมพลัง

ก่อนรื้อเต๊นท์เก็บข้าวของ เตรียมเดินทางลง
ขากลับทำเวลาดี ใช้เวลาไปชั่วโมงนิด ๆ ก็ถึงตีนดอย

นั่งรถโฟร์วีลที่ให้มารับ ทำตัวเป็น หมูคลุกฝุ่น อีกรอบ
เพื่อกลับศูนย์ฯบริการ อาบน้ำอาบท่า ขึ้นรถตู้ที่นัดไว้
ตีตั๋วนอนยาว เดินทางกลับกรุงเทพกันต่อไป



บทสรุป ทริปนี้เดินทาง 3 วัน / 2 คืน ... ออกคืนศุกร์ กลับคืนอาทิตย์ (ไม่ต้องลางาน)
ทางเดินขึ้นจัดว่าง่ายที่สุดตั้งแต่เดินป่ามาแล้ว (เทียบกับภูกระดึง ภูสอยดาว เขาช้างเผือก เขาหินกูบ)
ที่วิวความสวยงามบนดอยม่อนจอง จัดว่าไม่ธรรมดาเลยดีเดียว

ส่วนค่าเสียหายก็ 3,200 บาท / คน ... เราไปกับบริษัททัวร์ ไปเองติดต่อเอง คงถูกกว่านี้

แต่จากสภาพชาวแก๊งค์ ที่งานยุ่งวุ่นวาย จนวันเดินทาง คงไม่มีเวลาติดต่อประสานติดต่อขึ้นดอยเอง
รวมทั้งเรื่องอาหารการกิน เต็นท์ก็มีไม่ครบทุกคน เลยตกลงกันก่อนไป
เลือกจ่ายเพิ่มอีกนิด แต่เอาแค่ตัว กับใจไป แล้วพร้อมลุยได้เลย ดีกว่าอดตาย หรือพลาดอดขึ้นม่อนจอง
ใครมีเวลาก็ลองประสานติดต่อเอง ทำอาหารเอง ค่าทริปถูกลง แล้วก็คงมันส์ไปอีกแบบ

#แล้วแจกันใหม่ทริปหน้า : )


ฝากเพจไว้สักหน่อย ถ้าชอบเดินทาง ชอบถ่ายภาพ

แวะไปพูดคุยกันได้ที่ FB: https://www.facebook.com/JoinMe2TheWorld

JoinMe2TheWorld : )

 วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 เวลา 19.09 น.

ความคิดเห็น