Kia Ora สวัสดีค่ะ เพจ memoriesวันวาน มาแชร์ประสบการณ์ในการเดินทางไปเที่ยวประเทศนิวซีแลนด์ เมื่อช่วงสงกรานต์ของบ้านเรา (6-16 เม.ย.2566) ซึ่งเป็นฤดูใบไม้ร่วงที่นิวซีแลนด์ เผื่อว่าจะได้เป็นข้อมูลและเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆ ที่อยากไปผจญภัย ขับรถเที่ยวนิวซีแลนด์เกาะใต้ สำหรับฉบับเที่ยวด้วยตัวเองกันค่ะ....

การเดินทางไป Road Trip นิวซีแลนด์ ครั้งนี้ เราไปกัน 2 สาว ขับรถเที่ยวกันเอง นับเป็นการวางแผนการเดินทางที่นานที่สุดในชีวิตเลยล่ะค่ะ  และถือเป็นความท้าทายกับสิ่งที่คาดไม่ถึงนานับประการ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเป็นประเทศดินแดนในซีกโลกใต้แห่งนี้ "นิวซีแลนด์"  หรือเพราะดวงชะตาของเราเอง...ลองมาร่วมติดตามการเดินทางครั้งนี้กันดูนะ

ปฐมบทเริ่มต้นของทริปนี้

            เริ่มต้นจากการวางแผนเป็นระยะเวลากว่า 4 ปี เราเลือกที่จะไปดินแดนแห่งนี้เพราะธรรมชาติที่สวยงาม และเราไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับประเทศนี้ รู้เพียงว่าเป็นประเทศที่ดังเรื่องการเลี้ยงแกะ มีกีวี จนกระทั่ง ตั้งใจค้นหาข้อมูลเพื่อเตรียมตัวเดินทาง ในเดือน ตุลาคม ปี 2019 เราได้ตั๋วเดินทางจากสายการบิน Air New Zealand ในราคาที่พอรับได้ (ราคาตั๋วค่อนข้างสูงตลอดทั้งปี) ในช่วงสงกรานต์ของบ้านเรา คือ เมษายน 2020 ซึ่งตรงกับช่วง Autumn หรือฤดูใบไม้ร่วงของประเทศนิวซีแลนด์พอดี ข้อมูลเบื้องต้นที่พอจะมีคือ ซึ่งก็ได้จากการรีวิวของเพื่อนๆในพันทิป รู้ว่าเป็นประเทศที่ขับรถเหมือนบ้านเราคือพวงมาลัยขวา และขับรถง่าย มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินที่ผู้หญิงสามารถเดินทางไปได้ด้วยตัวเอง เราไม่เคยไปขับรถที่ต่างประเทศมาก่อน และนี่คือครั้งแรกของเรา.......

             การวางแผนต่างๆจึงเริ่มต้นขึ้น ตั้งแต่การขอวีซ่า จองโรงแรม และจองรถเช่า  ทุกอย่างพร้อม ระหว่างรอวีซ่านั้น....ช่วงปลายปี ก็เริ่มมีข่าวโควิด-19 จากอู่ฮั่น เราก็ไม่ได้เอะใจอะไร  จนสถานการณ์ ลุกลาม บานปลาย จนปิดประเทศกันไปหมด ตั๋วเครื่องบินก็ค่อยๆทยอยยกเลิกโดยสายการบิน ตั๋วของเราโดน Hold ไว้นับตั้งแต่นั้นมา.... Immigration นิวซีแลนด์โอนเงินค่าวีซ่ามาคืน ซึ่งทำให้เราต้องยกเลิกการจอง โรงแรม รถ ทั้งหมด รวมถึงประกันการเดินทาง...... เป็นอันพับโครงการทั้งหมด.....เป็นระยะเวลา 3 ปีกว่า 

              หลังสถานการณ์ค่อยๆ คลี่คลาย...... หลายๆประเทศเริ่มมีการเปิดประเทศ รวมถึงนิวซีแลนด์ เราติดตามอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด และเดือน พค. 2022 ได้รับติดต่อจาก เอเจนซี่ที่เราจองตั๋วเครื่องบินจากซึ่งก็คือ  trip.com ว่า จะต้องออกตั๋วใหม่ให้ทันภายใน 2 สัปดาห์ ภายในเดือน มิถุนายน 2022 และต้องเดินทางภายใน 2023 เราจึงตัดสินใจอีกครั้ง ว่าจะไป ....เพื่อใช้ตั๋วที่ Hold ไว้ ซึ่งเป็นเงินจำนวนไม่น้อยเลย

แต่แล้วการหาตั๋วโดยสารใหม่ในช่วงเวลาเพียงแค่ 2 สัปดาห์และช่วงการเดินทาง ในเดือนเมษายน ของปี 2023  ก็ยากมาก ทำให้เรากับเอเจนซี่มีปัญหากันค่อนข้างมาก และเมื่อตัวแทนหาตั๋วได้ แต่กลับมีค่าส่วนต่างที่ต้องจ่ายมากเกินความจำเป็น...เกินกว่าที่เราจะรับไหว 5555 

เราจึงตัดสินใจ ค้นหาอีเมล์ของ CEO ของสายการบินเพื่อขอความช่วยเหลือ ในครั้งนั้นเราติดต่อ ไปยัง CEO ของ บริษัท trip.com เช่นกัน บอกเล่าถึงปัญหาที่เกิดขึ้น รวมทั้งติดต่อไปยัง CEO ของ Air New Zealand เราทำไปแบบมีความหวังครึ่งๆกลางๆ เพราะไม่รู้จะหาทางออกทางไหน....

แต่ในที่สุด... CEO ของ Air New Zealand ได้ให้ผู้ประสานงานด้านการดูแลลูกค้า ตอบอีเมล์ กลับมา.....

เราดีใจมากและซาบซึ้งถึงความเอาใจใส่ในการบริการลูกค้าเป็นอย่างมาก  เจ้าหน้าที่ชื่อ Sam Krinkel   เธอเป็นเจ้าหน้าที่ Customer Interactions Manager พยายามสื่อสารและช่วยเหลือจนกระทั่ง เราได้ตั๋วในราคาที่เสียค่าส่วนต่างเพียงเล็กน้อย และสามารถออกตั๋วได้ในทันที โคตรดีใจและซาบซึ้งใจในบริการครั้งนี้มาก เรียกว่าประทับใจไม่รู้ลืมจริงๆ ค่ะ 

ทริป ได้เริ่มต้นจริงสักที  

              หลังจากได้ตั๋วแล้ว เราจัดการวางแผนในการจองโรงแรม ที่พัก แต่พบว่า ค่าที่พัก ในช่วงเดือนเมษายน 2023 หลังโควิดนั้นแพงขึ้นเป็น 2 เท่า แถมบางที่ยังปิดตัวไปอย่างถาวรด้วย จึงเป็นอีกโจทย์ที่ยากในการหาที่พักที่ดีและราคาเหมาะสม ระหว่างนั้นก็เตรียมเอกสารเพื่อยื่นขอวีซ่า..... การขอวีซ่านิวซีแลนด์เป็นสิ่งที่ระทึกใจเช่นกัน และนับเป็นสิ่งที่ยากเย็นอีกเรื่อง  โดยเรายื่นขอปลายเดือน พย. ซึ่งล่วงหน้าเป็นเวลา เกือบ 4 เดือน เราติดตามข่าวสารผ่าน เพจ ชื่อว่า วีซ่านิวซีแลนด์ สาระล้วนๆ (All About New Zealand visa) เพจให้ความรู้ดีมาก และมีผู้ร่วมชะตากรรมที่คอยช่วยเหลือกันเป็นอย่างดี และเข้าไปตรวจสอบในระบบการยื่นขอวีซ่านิวซีแลนด์ทุกวันเลยค่ะ เป็นการรอคอย อย่างไม่รู้ชะตากรรม ไม่ว่าจะติดต่อเมล์ไปสอบถาม หรือโทรไปสอบถาม Im NZ ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ ที่พอจะทราบความหวัง นอกจากให้รอๆๆๆๆๆ.... เพราะบางคนยื่นหลังเรา วีซ่าก็ผ่านไปแล้วก็มี

               ในที่สุดหลังจาก 42 วัน แห่งการรอคอย เราก็ได้วีซ่า ระยะเวลาวีซ่า พอดิบพอดีกับจำนวนวันที่เดินทาง แทบไม่เหลือวันให้มีความผิดพลาดใดๆ เราเดินทางเป็นเวลา 11 วัน ซึ่งเราก็ได้ระยะเวลาเผื่อมา ราวๆ 5 วัน  ช่างเป็นวีซ่าที่โหดเอาเรื่องเลยทีเดียว...

               หลังจากวีซ่าผ่าน พร้อมๆกับที่เราได้ที่พักสมใจแล้ว แม้จะในราคาที่สูงกว่าที่เคยวางแผนไว้ เมื่อ 3 ปีก่อน เราก็จองรถ ซึ่งเช่นเดียวกันราคารถก็พุ่งสูงขึ้น 2 เท่าเช่นกัน  เรียกว่าการไปเที่ยวหลังโควิด เป็นอะไรที่จ่ายแพงกว่าเดิมขึ้นมาก ....แต่เราก็ไม่ย่อท้อค่ะ กลับตัวไม่ได้แล้ว5555...

               จากนั้นเราก็วางแผนการเดินทาง ซึ่งจริงๆเราวางแผนไม่แตกต่างจาก 3 ปีก่อนที่เคยวางแผนไว้ซักเท่าไหร่ สถานที่ท่องเที่ยวก็ไม่แตกต่างจากนักเดินทางคนอื่นๆ ครั้งนี้เราเน้น เกาะใต้ เพียงเกาะเดียว โดยเริ่มต้นบินจากสุวรรณภูมิ ไปต่อเครื่องที่สิงคโปร์ เพื่อไปลง Christchurch ขับรถ จาก Christchurch แบบตามเข็มนาฬิกา รอบเกาะ แล้ววนกลับมาที่  Christchurch เพื่อเดินทางกลับ ขากลับบินในประเทศมาต่อเครื่อง ที่ Auckland และ สิงคโปร์ ถึงบ้าน รวมทั้งหมด 10 วันในนิวซีแลนด์ 

               แต่เรื่องท้าทายที่ทำให้กังวลยังไม่หมด...หลังจากที่เราพิจารณาตั๋ว ของเราอีกครั้ง เราพบว่า ตั๋วที่ได้ ขาไปมีระยะเวลาในการ Transit ที่สิงคโปร์เพียงแค่ 55 นาที นั่นหมายถึง ลงปุ๊บ เราจะต้องรีบบึ่งไปต่อเครื่องทันที เราไม่รู้ว่าเราจะต้องเจอกับอะไร หรือสะดุดอะไร แต่เราล้มไม่ได้เด็ดขาด !ไม่งั้นเราตกเครื่องแน่ๆ เราบินด้วย Air New Zealand แต่ก็มีบางไฟลท์ ที่บริหารจัดการด้วย Singapore Airline แม้ด้วยชื่อเสียงที่ได้ยินมา ว่าเป็นสายการบินที่ได้รับรางวัลชั้นนำมากมายหลายรางวัลและมีการบริหารจัดการที่ดีเลิศระดับต้นๆของโลก แต่เราก็อดกังวลใจไม่ได้จริงๆ  แต่โชคดีที่เราก็ check true กระเป๋าถึงปลายทางเลย ไม่ต้องหอบหิ้วให้พะรุงพะรัง  เท่านั้นยังไม่พอ นะคะ 

              2 สัปดาห์ ก่อนวันเดินทางมาถึงไม่นาน มีข่าว น้ำท่วมใหญ่ เพราะพายุไซโคลน "เกเบรียล" พัดถล่ม เกาะเหนือ ของประเทศนิวซีแลนด์ ทำให้มีการยกเลิกสายการบินหลายสายทั้งใน และนอกประเทศเพราะได้รับความเสียหายหนัก....

พระเจ้า !!!!  มันอะไรกันอีก เราจึงคิดว่า การที่เราเลือกไปยังดินแดนแห่งนี้ คงเป็นประเทศที่ยาก จริงๆ ทั้งภูมิประเทศและภูมิอากาศ ที่ต้องเจอมรสุมอยู่ตลอดเวลา ก็ได้แต่ลุ้นว่า จะได้มีโอกาสในการไปจริงๆได้มั้ย...

ทริป เริ่มต้นในที่สุด 5555

              จนวันเดินทางจริงๆ ได้มาถึง.... ทุกอย่างราบรื่นดี อ้อ !  ลืมบอกไปค่ะ  ความเข้มงวดของ ตม. ที่นี่ ขึ้นชื่ออย่างมากสิ่งของต้องห้ามทั้งหลายถ้าไม่ Declare จะโดนค่าปรับมหาศาลนะคะ  เราจึงตัดปัญหาสิ่งของต้องห้ามทั้งหมด ยกเว้นแต่ ยาที่จำเป็น โดยติดฉลากยาเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด และ Declare บางอย่างที่จำเป็น จนกระทั่งเดินทางถึง สนามบิน Christchurch อย่างปลอดภัย โดยการ Transit ที่สิงคโปร์ ในเวลา 55 นาที ก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่อะไรอย่างที่เรากังวล เนื่องจากมีการ ปรับเวลาการบินออก เพิ่มขึ้นอีก 1 ชั่วโมง และการเดินทางระหว่าง terminal ก็สะดวกมากๆโดย sky train 

              การจองรถ  เมื่อถึงนิวซีแลนด์ เราจัดการรับรถที่จองไว้ ซึ่งมีรถรับ - ส่งจากสนามบินเลย เราจองรถของ บริษัท Snap โดยจองมาเป็นรถ yaris แต่ทางบริษัท upgrade ให้เป็น toyota corolla  ซึ่งขับดีมากๆ

สำหรับ   เรื่องโทรศัพท์  เราเปิดใช้ sim2fly ของ AIS ซึ่ง จะแนะนำว่า ดีนะ มีสัญญาณแทบตลอดทุกพื้นที่ ระยะเวลา 10 วัน ได้ 7 GB ในราคา 998 บาท ซึ่งเหลือเฟือมากๆ สำหรบการเดินทางตลอดทั้งทริป เพราะใช้แค่เปิดดูแผนที่แค่นั้นเอง แถมเน็ตยังเหลืออีกเยอะมากด้วย จริงๆ เอาจำนวน GB น้องกว่านี้ก็ได้นะ

              เราพบว่า นิวซีแลนด์ เป็นความท้าทายอย่างมากในการเดินทาง แม้เรารู้ว่า ข้อดีทั้งหมดของการเดินทางด้วยตัวเองไม่ว่าจะเป็นการวางแผน การค้นคว้าหาข้อมูล การจัดการงบและบริหารจัดการทุกสิ่งอย่าง ให้คุ้มค่าที่สุด ต้องไปตามสถานที่ที่ปักหมุดไว้  ทุกไฮไลต์ ต้องได้ทำกิจกรรมที่ห้ามพลาด ได้ทานอาหารที่รีวิวมาอย่างดี หลายครั้งที่ผ่านมาในการเดินทางท่องเที่ยวเรามักจะประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่เราวางไว้ เกือบ 100% เรียกว่าพลาดไม่เกิน 10% นั่นคือ ความสำเร็จของแผนที่วางไว้ละเป็นความภูมิใจ ...แต่ สำหรับดินแดน กีวี แห่งนี้ …ฉีกทุกกฎ แหกทุกเป้าหมาย คือ พังยับ! ยับเยิน แบบที่สุด !!!  ทิ้งแผนการเดินทางที่ละเอียดยิบไปได้เลย เพราะเราพลาดหลายหมุดที่เราปัก พลาดหลายกิจกรรมที่ต้องทำ พลาดหลายร้านอาหารที่เราต้องกิน แม้เราเตรียมข้อมูลมาอย่างดี 😅  ก็ไม่มีทางได้ครบตามเป้า เพราะที่นี่ !! ดินแดนเกาะใต้แห่งนี้  เป็นเมืองที่ ร้านรวงปิดไว ไม่มีบริการใดๆ ไม่เน้นการขาย ไม่มีการรอคอย ช่วงที่เรามาคือ ฤดูใบไม้ร่วง พระอาทิตย์ขึ้นช้าตกไว ทำให้เวลากลางวันเราน้อยลง เราต้องช่วยเหลือตัวเองเกือบทุกสิ่ง  เช็คอินเข้า ร.ร. เอง เติมน้ำมันเอง ขับรถเอง ทำอาหารกินเอง  ห้องน้ำสาธารณะตามป่าเขาที่เราต้องสู้ชีวิต สุดๆ ฝนฟ้าและอากาศที่ไม่เป็นใจ เราต้องดูแลความปลอดภัยของตัวเอง.... แต่ทั้งหมดคือความประทับใจ และความภาคภูมิใจที่เกิดจากความพลาดเป้าหมาย ค่ะ เราไม่ได้รู้สึกเสียใจหรือเสียดายเลย

และนั่นเพราะ ที่นี่ มีทิวทัศน์ที่งดงามตลอดเส้นทาง ทำให้เรามีเป้าหมายใหม่ ทุกที่ที่ขับรถผ่าน ทุกเส้นทางที่เราผ่าน ความสวยงามของธรรมชาติรอบตัวตลอดทางทำให้เราไม่จำเป็นต้องมุ่งหน้าไปยังสถานที่ปักหมุดเลย เราหยุดถ่ายรูปได้ทุกที่ เราเลือกที่จะปรับเปลี่ยนแผนการเดินทางตามสถานการณ์เฉพาะหน้า 

และนี่คือ สิ่งที่เราได้เรียนรู้ สุดๆ! จากการเดินทาง ครั้งนี้  ก็คือ “ไม่ต้องคาดหวังอะไรกับชีวิตทั้งสิ้น แค่อยู่กับปัจจุบัน เอาชีวิตให้รอด แล้วดื่มด่ำกับธรรมชาติรอบตัว”

นี่คือ  แผนการเดินทางโดยสรุปค่ะ จริงๆมีแผนที่ละเอียดยิบกว่านี้ นะคะ ใครสนใจขอข้อมูลมาได้เลยนะคะเรายินดี  ตามไปพูดคุยกันได้ที่ https://www.facebook.com/kamolapas 

https://www.facebook.com/memor...

ค่าใช้จ่าย

ในการเดินทางครั้งนี้ค่ะ ไม่ทราบแพงไปหรือป่าว? ตอนไป (1NZD=21Bth)  แต่ส่วนตัวคิดว่า กลางๆนะคะ คือ ใช้จ่ายแบบไม่ได้ประหยัดเกินไป มีทานร้านอาหารบ้างทำเองบ้าง ขับรถกินตลอดทาง กินอยู่แบบเต็มที่เลยค่ะ

Day 1 Christchurch

เมื่อถึง Christchurch  เราจัดการรับรถที่จองไว้ แล้ว ออกเดินทางไปยัง โรงแรม เพื่ออาบน้ำล้างตัว และเดินทางไปซื้อของใช้และอาหารที่จำเป็น แต่ตอนที่เราไปถึง เป็นวันศุกร์ และเป็น Happy Friday ของที่นั่น พระเจ้า !!! ร้านอาหารร้านค้า ปิดไปเกินครึ่ง ร้านที่เปิดก็ปิดเร็วมาก ประมาณบ่าย 2-3 ก็ไม่เหลือร้านอะไรให้เราจับจ่ายใช้สอยเลย......แม่เจ้าา555

สนามบิน Christchurch  ค่ะ

พึ่งรู้ว่านิวซีแลนด์เป็นประเทศที่ไม่มีงู นะคะ ถึงว่า เค้าถึงเดินป่า เดิน trekking กันสนุกเลย ที่สนามบินก็ติดไว้เลยนะคะว่าไม่ต้อนรับงู 555

โรงแรมที่ Christchurch เราพักที่นี่ค่ะ Parkview on Hagley อยู่ใกล้ๆกับ Hagley Park เห็นวิวสวนสวยมากๆค่ะ เห็นผู้คนมาเดิน พาน้องหมามาออกกำลังกายเยอะแยะเลย ขนาดอากาศหนาวๆนะเนี่ย

จากโรงแรม เราออกมาเดินแล่น ที่ Hagley Park  และ Christchurch Botanic Gardens บรรยากาศ ยามเย็น ในฤดูใบไม้ร่วงสวยจริงๆเลยค่ะ อากาศดีมาก สูดลมหายใจได้เต็มปอดสุดๆ

เราเดินต่อไปเรื่อยๆ ลัด Botanic Gardens ไปจนถึง Bridge of Remembrance

แล้วก็ไปลอง สเต็กเนื้อ ที่ ร้าน El Quincho - Argentine BBQ ใน Riverside Market คือดีมากๆ เนื้อนุ่มละลายในปาก คนเยอะมากนะคะร้านนี้ มีโต๊ะจองเต็มทุกโต๊ะเลย ที่ตลาดนี้แนะนำเลยค่ะสำหรับคนที่มาเที่ยวเมือง CHC  มีอาหารหลากหลายอยู่ใจกลางเมือง

https://goo.gl/maps/J2drLoWjkU2BfuvD8

จากนั้นก็ เดินเท้ากลับมาที่พักค่ะ ขาลากเอาการ ถนนก็มืดตื๋อด้วยค่ะ รีบจ้ำกันเลย 

วันนี้ก็ได้แค่เดินเล่นสวนแล้วก็ ทานอาหารที่ตลาดนิดหน่อย ร้านค้าต่างๆปิดไว เพราะเป็น happy friday จากแผนเดิมจะไปซื้อของเพื่อตุนไว้ก่อนออกนอกเมือง  จึงต้องเลื่อนไปตอนเช้าแทน ค่ะ

Day 2  Christchurch ---->> Lake Tekapo

หลังจาก ไปซื้อของกินของใช้ที่ห้าง count down เสร็จเรียบร้อยแล้ว เป้าหมาย ของเราวันนี้ เราใช้เส้นทาง ถนนหมายเลข 1>77>72>79 เพราะเป็น Scenic Route เส้นทางสวยงาม ซึ่งใช้เวลา ประมาณ 3 ชม. ที่เราตั้งใจแวะ มีดังนี้ค่ะ

Rakaia Gorge Lookout ,Geraldine,Farm Barn Cafe,Fairlie Bakehouse,Mt. John Observatory,Church of the good shepherd ,The famous Collie dog statue,Takapo spring,Look milky way+Star

พอออกนอกเมือง Christchurch มานิดเดียว เราก็ตื่นตาตื่นใจกับ ทุ่งหญ้าเขียวขจี ที่เต็มไปด้วยฝูงแกะ มีหลายจุดมากๆ แกะเต็มภูเขาเลย สมคำร่ำลือจริงๆค่ะว่าเป็นเมืองแห่งแกะ

จากทางเรียบ ตามท้องทุ่ง สักพักเราจะเจอทางลาดชัดขึ้นเขา ค่ะ แล้ว เราก็พบ กับ Stunning views จุดแรก ที่เรารีบลงไปถ่ายรูปซึ่งก็คือ Rakaia Gorge Lookout สวยงามตระการตามากจริงๆค่ะ

เราตั้งใจจะไปแวะ คาเฟ่ ที่ร้าน Farm Barn Cafe แต่พอไปถีงร้านปิด ร้านปิด ราวๆ บ่าย 2 โมงนะคะเลยอด เสียดายมากๆเลย วิวที่ร้านนี้สวยมากๆค่ะ เราจึงขับเลยมาแล้วไปแวะทานพายกันที่ร้าน Fairlie Bakehouse ร้านนี้พายอร่อยมากๆ มีคนไทยทำขนมอยู่ที่นี่ด้วยนะคะ ชื่อคุณปลา เจ้าของเพจ https://www.facebook.com/plagallerynz  ค่ะ ใครแวะผ่านมาอย่าลืมมาทานนะคะ ร้านนี้พลาดไม่ได้จริงๆ เราลองไปหลายชิ้นเลยค่ะ ชิ้นใหญ่มากๆ เหลือเก็บไว้กินได้อีกหลายวันเลยล่ะค่ะ บ้าบอ หิวจัด

จาก ร้านแฟร์รี่เรารีบบึ่งรถไปต่อเพื่อให้ถึงทะเลสาบ tekapo ให้ทันก่อนพระอาทิตย์ตกค่ะ อยากได้บรรยากาศยามเย็น ไปถึง ก็ตะลึงในความสวยอีกแล้ว ทะเลสาบน้ำสีฟ้าเทอร์ควอยซ์แห่งนี้ งดงาม ดังเทพนิยายจริงๆเลย ที่ทะเลสาบแห่งนี้ มีแลนด์มาร์คสำคัญ นั่นก็คือ Church of the good shepherd ซึ่งเป็นโบสถ์ที่เล็กที่สุดในประเทศนิวซีแลนด์ ตั้งสวยเด่นมีเสน่ห์มากๆ

ยิ่งช่วงพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า มองเห็นฟ้าระเบิด งดงามมากจริงๆค่ะ

ข้างๆกันไม่ไกลจากโบสถ์ Church of the good shepherd ข้างกันไม่ไกล มีอนุสาวรีย์น้องหมา เรียกว่า The famous Collie dog statue ด้วยค่ะ เป็นน้องหมาพันธุ์ คอลลี่ ที่ช่วยเจ้าของฟาร์มในการต้อนแกะ เป็นดั่งคู่ทุกข์ คู่ยาก เลยต้องทำไว้ขอบคุณน้องๆ อยู่เคียงข้างกันมาตลอด น่ารักจริงๆเลย

มีน้องกระต่ายป่ามาวิ่งเล่นด้วย คือธรรมชาติ ที่หาที่ไหนไม่ได้จริงๆ ความสงบ บรรยากาศ ที่มีเสียงฝูงเป็ด และเสียงฝูงนกที่กำลังบินกลับรัง  มันทำให้ลืมทุกอย่างไปหมดเลยล่ะค่ะ งดงามจนเกินบรรยาย....

คืนนี้ เราพักที่นี่ค่ะ โปรแกรมอื่นๆ ตัดทิ้งหมดเลย เพราะสภาพไม่ไหว แถมอากาศก็หนาวจับใจ 4 องศา มีฝนตกเบาๆ ด้วยค่ะ คืนนี้มีเมฆมาก ทำให้อดเห็นทางช้างเผือกเลยค่ะ ถ้าเพื่อนๆมา ฟ้าเปิด อย่าลืมออกมาดูนะคะ เพราะที่นี่ เป็นจุดที่หลายๆคนบอกว่าสามารถดูดาวได้อย่างสวยงาม ชัด เพราะเป็นสถานที่อนุรักษ์ความมือของโลกเลยค่ะ มีทางช้างเผือก หรือถ้าโชคดี อาจจะได้เห็นแสงออโรร่า ก็เป็นได้

Day 3 Lake Tekapo ------>>Queenstown

Lake Pukaki,Peter’s Lookout  >>Glentanner Stream,Aoraki/Mount Cook,Hooker valley track,Alpine Salmon,Omarama clay cliffs, Lindi's Pass,Cromwell,Cromwell Heritage Precinct ,Mrs.Jones Family Fruit Stall,Kawarau Bridge,Queenstown

          เช้าวันนี้ เราตื่นแต่เช้า ทานอาหารที่ร้านของโรงแรมค่ะ เป็นร้านคาเฟ่ อาหารอร่อยชื่อร้าน  Jack Rabbit มองเห็นวิวของ Church of the good shepherd ด้วยนะคะ หลังทานเสร็จก็ยังแอบไปเดินเล่นแถวทะเลสาบแล้วก็ถ่ายรูปได้อีกหลายร้อยรูปเลยค่ะ

วันนี้เราตื่นเต้นเป็นพิเศษเพราะเรามี plan ที่จะต้องไปพิชิต ยอดเขา Mount Cook ค่ะ นับเป็นการ Hiking  ที่เป็นอีกหนึ่งความภูมิใจในชีวิต บนเส้นทางสาย Hooker Valley Track การเดินเท้าในเส้นทางที่สวยงาม ด้วยระยะทาง ไป-กลับ 10 กม. ราว 5 ชม. ยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำไม่รู้ลืม....

เส้นทางไปยัง Mount Cook เป็นเส้นทางที่ลัดเลาะไปตาม Lake Pukaki เป็นทะเลสาบ ที่ 2ซึ่งความงดงามไม่แผ่วกว่ากันเลยค่ะ

มีร้าน แซลม่อน ขึ้นชื่อ อยู่ค่ะ ชื่อ ร้าน Mt Cook Alpine Salmon Shop ซึ่งตอนเราไป ซาซิมิ หมดค่ะ เลยไม่ได้ลิ้มลองรสชาติของแซลม่อนที่นี่เลย ได้แต่เก็บบรรยากาศนอกร้านมาฝากค่ะ ใครไปฝากทานด้วยนะคะ

เส้นทาง ถนน หมายเลข 80 ที่จะนำเราไปยัง  Aoraki/Mount Cook

มาถึงลานจอดรถ จะมีป้ายบอกระยะทางไว้ค่ะ เราเลือกระยะทาง  5 กม. ซึ่งป้ายบอกว่า ใช้เวลาประมาณ 3 ชม. ในการไป - กลับ คนเยอะใช้ได้เลยค่ะ แต่ยังไม่เจอคนไทยเลย ส่วนใหญ่จะเป็นทางยุโรป อินเดีย และจีน เราจัดเตรียมน้ำและขนม (พายที่เหลือจากร้าน Fairlie) ไปเป็นเสบียงด้วย


เริ่มต้นลุย trekking กันเลยค่ะ

วันนี้แดดไม่ร้อน อากาศเย็นสบาย ออกจะครึ้มๆฝนด้วยค่ะ แต่ก็โชคดีมากที่ฝนไม่ตก

เดินไปสักพักจะเจอจุดชมวิว ที่มองเห็นสะพานแขวน อันที่ 1 งดงามตระการตามาก

เดินต่อไปเรื่อยๆค่ะ เราจะเจอ สะพานแขวนอันที่ 2 จริงเส้นทางไม่ยากเลย แต่ก็โหดเอาเรื่องสำหรับเรา  

ถึงตอนนี้เราก็เริ่มๆ หอบกันแล้วค่ะ ยังไม่รู้จุดหมาย จึงหยุดแวะ กินขนม ที่พกมาให้คลายเหนื่อยสักหน่อย

เป็นการปิคนิค ที่วิวอลังการที่สุดในชีวิตแล้วค่ะ

เส้นทางมีลาดชัดนิดๆ ทั้งทางที่เป็นหินและทางที่เป็นแนวไม้ที่ อุทยานทำไว้ มีตาข่ายกันลื่นติดไว้ด้วยค่ะ ใส่ใจความปลอดภัยดีมากๆเลย

มีน้ำตกไหลลงมาจากยอดเขาด้วย


หลังจากผ่าน สะพานแขวนอันที่ 3 สักพักใหญ่ๆ เราเริ่มถามผู้ร่วมเดินทางที่เดินสวนมาแล้วค่ะ ว่าอีกนานมั้ย อีกไกลมั๊ย ? เพราะเริ่มมีแอบท้อๆ แล้วค่ะ ปวดขามากๆ  การเดินครั้งนี้ เราพบเจอทั้ง เด็ก วัยรุ่น และคนแก่ คุณตาคุณยาย รุ่น 60 อัพ ก็มีไม่น้อย แอบคิดในใจ ทำไมแข็งแรงกันแบบนี้นะ หรือเราเองที่แก่ 5555

จนในที่สุด เราก็มาถึงจุดหมายที่เราตั้งใจไว้ค่ะ และนี่คือ ทะเลสาบธารน้ำแข็งฮุคเกอร์ (Hooker Glacier Lake)


หลังจากนั่งพักชมวิวให้หายเหนื่อย  เราก็ต้องออกเดินทางกลับแล้วค่ะ 555 ไม่อยากจะคิดถึงขากลับเลยยย จริงๆ เส้นทาง เดิน trek Hooker Valley เป็นเส้นทางที่เดินไม่ยากเลยนะคะ ราบเรียบไปตลอดทาง มีทางชันบ้างเพียงเล็กน้อย ไม่มีร่มเงา แต่ก็ไม่ร้อนเพราะอากาศที่เย็น ลมแรง แต่ที่เหนื่อยเพราะเราก็น้ำหนักไม่เบาเลยค่ะ แถมไม่ค่อยได้ออกกำลังกายด้วย สำหรับเพื่อนๆที่แข็งแรงเรียกว่าชิวๆ สบายๆ เลยล่ะค่ะ 

คำเตือน สำหรับ การเข้าห้องน้ำเป็นอะไรที่สุดโหด ระหว่างเส้นทางมีห้องน้ำอยู่ 1 จุดค่ะ เรากลั้นหายใจเข้าเลย มันจำเป็น ชั่วโมงนั้น ไม่มีคำว่าอดทน เป็นห้องน้ำที่ไม่มีน้ำ มีแค่กระดาษทิชชู่ที่ใช้แล้วทิ้งลงไปเลย อย่าเผลอก้มลงไปมองนะคะ โหดร้ายมากจริงๆ แต่ก็เข้าใจได้ค่ะ เป็นห้องน้ำกลางหุบเขาขนาดนั้น มีก็ถือว่าดีมากแล้ว5555
เราใช้เวลาในการเดินทั้งหมด 5 ชม. ออกมาจาก Mt.Cook ก็เกือบ 6 โมงเย็น แล้วต้องเดินทางต่อไป Queenstown  ต่อ ซึ่งใช้เวลาร่วม 3 ชม.เลยค่ะ ทำให้ plan ทั้งหมดที่วางไว้สำหรับวันนี้ ต้องพับเก็บไปหมดเลย เพราะเท เวลาทั้งวันให้กับที่นี่ไปแล้วค่ะ ใครไป วางแผนดีๆนะคะ จะได้ไม่พลาดหลายๆจุดสำคัญเหมือนเรา

Day 4 Queenstown

Queenstown Mall ,Lake Wakatipu,Deer park heights,Bob’s Peak +luge,Skyline Gondola

วันนี้เราฝังตัวอยู่ที่เมือง ควีนส์ทาวน์ค่ะ เรานอนที่นี่ 2 คืน ดีมากที่วางแผนแบบนี้เพราะเหน็ดเหนื่อยจากการเดิน  trekking ที่ Mt.Cook แล้วขับรถระยะไกลมาพักผ่อนที่เมืองนี้ ควีนส์ทาวน์เป็นเมืองที่น่ารักมากกก คึกคักสุดในบรรดาทุกเมืองที่เราไปในเกาะใต้เลยค่ะ คึกคักกว่า Christchurch 

วันนี้ แผนคือชิวๆค่ะ เช้ามากินกาแฟ ที่ Queenstown Mall มี Starbuck อยู่สาขาเดียวที่นี่ แล้วก็ไปนั่งชมวิวทะเลสาบ wakatipu ขึ้น Skyline Gondola  เพื่อไปเล่น luge ชมวิวเมืองควีนส์ทาวน์จากมุมสูง

บรรยากาศ น่ารักมากเลยค่ะ ริม Lake Wakatipu มีน้องเป็ดเยอะเลย เรานั่งให้ขนมกันจนหมด น้ำในทะเลสาบใสมาก และอากาศก็ดีสดชื่นเป็นทีสุด

ใกล้ๆทะเลสาบมีร้านคาเฟ่อร่อยอยู่ร้านนึงค่ะ คือร้าน patagonia มีหลายสาขาในนิวซีแลนด์ เราได้พบน้องคนไทยมาเป็นพนักงานอยู่ที่นี่ด้วย ไอติมและโกโก้ดีมาก

ตรงหน้าร้านมี น้องหมา และคุณลุงเจ้าของ มาร้องเพลงให้ฟังด้วยนะคะ น่ารักมากๆเลย

หลังจากนั่งเล่นริม ทะเลสาบวากาติปู กินไอติม สักพักก็ได้เวลาไปขึ้น gondola กันค่ะ

แล้วก็ไปต่อกันด้วย luge คล้ายกับที่ชาวเขาบ้านเราเล่นกันค่ะ ไถลจากที่สูงลงมาตามแรงโน้มถ่วงโลก โดยต้องนั่ง กระเช้า ขึ้นไปก่อน แล้วค่อยขับไอ้เจ้า luge ลงมา มี รอบแบบ first time กับแบบ ที่ยากกว่า เราเล่น 2 รอบ สนุกมากเลย

ด้านบนมีร้านคาเฟ่ ด้วยค่ะ เราสั่ง kumara ทอดมาทานหวานอร่อยมาก พร้อมชมวิวทะเลสาบวากาติปู สวยๆไปด้วยค่ะ

หลังจาก อยู่บน skyline gondola จนอิ่มใจแล้ว ก็กลับลงมาเดินเล่นต่อในเมือง เราตั้งใจว่า จะต้องไปลอง ร้านเบอร์เกอร์ ชื่อดังแห่งนี้ให้ได้ นั่นก็คือ Fergburger  คนต่อคิวยาวเหยียดเป็นกิโลเลย มาอีกรอบคนก็เยอะทุกรอบเลยค่ะ

เราตั้งใจจะไป Deer park heights เป็นฟาร์มแกะ วัว และอัลปาก้า แต่ปิดแล้วจึงได้แค่วิวสวยๆของเมือง ควีนส์ทาวน์ จากอีกมุมมาค่ะ

บรรยากาศยามค่ำ บริเวณทะเลสาบวากาติปู สวยงามมากแต่ก็หนาวมากด้วย

คืนนี้เรานอนที่ รร.นี้ Ramada Suites by Wyndham Queenstown Remarkables Park เป็น รร.ที่เราประทับใจที่สุดในทริป คือดีมาก มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเลยค่ะ แล้วก็ไฮเทคมากๆ คืนที่เราเดินทางจาก Mt.Cook มา ซึ่งก็มาถึงดึกมากแล้ว ราวๆ 5 ทุ่ม รร.ได้แจ้งมายังอีเมล์ ให้เราเช็คอิน ด้วยตัวเอง เนื่องจากเราเช็คอิน late ดังนั้น จึงเอากุญแจใส่ตู้เซฟของ รร.ไว้ เราต้องเปิดรหัสเซฟ เพื่อเอาคีย์การ์ด แล้วก็นำรถเข้าจอด โดยระบบออโต้ ตลอดการเข้าพักไม่ได้เจอ พนักงานคนไหนเลยค่ะ พอเข้าไปลานจอดรถ ก็มีไฟเปิดอัตโนมัติให้เลย คือระบบรักษาความปลอดภัยก็ดีมากๆ แล้วก็สะดวกมากด้วย พอเข้าไปในห้องโห ตื่นเต้นเลยค่ะ ไม่เคยเจอ รร.ที่เลิศขนาดนี้ มี ครัว ไมโครเวฟ เตาแก๊ส 2 หัว เครื่องล้างจาน เครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้า คือทุกอย่างครบมากๆ เราซักผ้าที่นี่จนคุ้มเลยค่ะ 5555 ใครไปควีนส์ทาวน์แนะนำเลยนะคะ แม้จะไม่ได้อยู่ย่านใจกลางเมืองแต่ก็ไม่ไกลเมืองมาก แถมอยู่ใกล้สนามบินสะดวกมากๆเลย มีห้าง New World Queenstown อยู่ใกล้ๆด้วยค่ะ สำหรับราคาก็ไม่แพงมาก เราจองล่วงหน้าไว้หลายเดือนก็ได้ราคาถูกกว่าราคาปัจจุบันครึ่งต่อครึ่งเลย

Day 5 Queenstown------>> Lake Wanaka

Glenorchy Lagoon Scenic Walkway,Glenorchy animal experience,Arrowtown,Arrow River Trail,Buckingham St.,Historic Arrowtown Chinese Settlement,Buckingham St.,

CrownRangeRd,CardronaHotel/CardronaBraFence,LakeWanaka,ThatWanakaTree,Wanaka Lavender Farm,Roy peak track  * 16 km. if we can!!!,Puzzling World

วันนี้เราออกจากเมือง ควีนส์ทาวน์ เพื่อไปยัง วานากะ กันค่ะ เช้านี้ เช็คเอาท์ แล้วทานอาหารตรงคาเฟ่ของ รร. คือร้านดีมาก ชื่อร้าน Eatery by Frank’s อาหารอร่อยมากๆเลย

หลังจากอิ่มอร่อยกันแล้ว เราก็ออกเดินทาง ไป Glenorchy ก่อนเลยค่ะ ไม่ได้ดูรีวิวมาให้ดี โห เส้นทางโหดเอาเรื่องเลยนะคะ แต่สวยมากๆ สวยสุดๆ เมืองนี้ มีทางไปกลับทางเดียวจาก ควีนส์ทาวน์ค่ะ คือต้องตั้งใจไป แต่ไปแล้วก็ประทับใจกับเส้นทางจริงๆ เป็นเส้นทางลัดเลาะไปตามทะเลสาบวากาติปู ขึ้นเขาไปเรื่อยๆ

ท่าเรือริมทะเลสาบที่ต้องมาถ่ายเลยค่ะ เงียบสงบ สวยงามจริงๆ

จากเมือง Glenorchy  เรามุ่งต่อหน้าไปเมือง Arrowtown เลยค่ะ แต่ฟ้าฝนไม่เป็นใจเลย ฝนเริ่มเทลงมาแล้วค่ะ เสียดายมากๆเลย เมืองนี้เราตั้งใจชมใบไม้เปลี่ยนสี เพราะที่นี่จะสวยที่สุดในแถบนี้ เลยได้แค่มาเดินเล่นตรงพิพิธภัณฑ์เข้าห้องน้ำแล้วก็จากไปค่ะ ใครมาต้องไม่พลาดนะคะเมืองนี้ ไม่ไกลจาก ควีนส์ทาวน์ด้วย

เส้นทางจากเมือง Queenstown ไป Wanaka มี 2 เส้นทาง แต่เราเลือกเส้นทางนี้ ซึ่ง เป็นเส้นทางที่ยากกว่า 😉 มีถนนช่วงที่เรียกว่า 📍Crown Range Road เป็นถนนสายหลักที่สูงที่สุดในนิวซีแลนด์ ถึงระดับความสูง 1,121 เมตร ซึ่งมีความท้าทายกว่า 🚗 📍เส้นนี้เราขับเอง 🚗โหดสุด มีคนข้างๆเมาไปเลยจ้าาาา 😂

เป้าหมายคือ เราตั้งใจมาที่นี่ พกชุดชั้นในมา 3 ตัว 6 เต้า 😂 เพื่อมาร่วมแขวนที่รั้วยกทรงแห่งนี้  ซึ่งถูกขนานนามว่า Bradrona มีกล่องรับบริจาคเพื่อมูลนิธิมะเร็งเต้านมของนิวซีแลนด์เพื่อระดมทุนช่วยเหลือ ผู้เป็นมะเร็งเต้านมค่ะ ใครผ่านมา แวะดูยกทรงเราด้วยนะ 👙😝

และทางผ่าน ก็ยังมี Cardrona Hotel อันเก่าแก่ เป็นหนึ่งในผับที่เก่าแก่ที่สุดของนิวซีแลนด์

ขอบคุณภาพ bird eyes view ของถนน Crown Range Roadจาก https://waimakclassiccars.co.nz/roadtrip-destinations/10-most-scenic-roads-in-new-zealand/  และข้อมูลจาก https://www.newzealand.com/int/feature/the-crown-range/

จาก Cardrona Bra Fence เรารีบบึ่ง ไป Lake Wanaka ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน (อีกแล้ว) เพื่อจะได้รูปสวยๆที่ #ThatWanakaTree ค่ะ ซึ่งก็สวยจริงๆ ต้นไม้แห่งความเหงา แห่งนี้ ตั้งอย่างมีเสน่ห์อยู่ในน้ำ ริมทะเลสาบ ดูสวยสง่า น่าหลงใหลอย่างมาก

รอบๆทะเลสาบ ก็เงียบสงบ สดชื่นมากๆเลย

คืนนี้เราพักที่ เมือง wanaka เป็นห้องพัก เห็นวิวทะเลสาบสวยงามมาก Lakeview Motel

Day 6 Lake Wanaka------>>​Franz Josef Glacier

Lake Hawea,The neck,Blue Pools Walk,Thunder Creek Falls,Hasst (Haast River Safari),Ship Creek,knights point lookout,Lake Matheson,Jetty Viewpoint,​Franz Josef Glacier

ร้าน คาเฟ่ มื้อเช้า ที่ Wanaka ร้านนี้ค่ะ Curbside Coffee & Bagels

ช่วงนี้จะเป็นการ เดินทาง เข้าสู่ west coast กันแล้วค่ะ ระยะทางเกือบ 4 ชม. แถมขึ้น-ลงเขาตลอดเส้นทางด้วย ต้องระมัดระวังในการขับขี่อย่างมากเลยนะคะ แต่เส้นทางก็สวยมากๆด้วยเช่นกัน มีจุดแวะพักที่สวยงามหลายจุดเลยค่ะ

เริ่มต้นจาก เส้นทางที่ลัดเลาะไปตาม Lake Hawea  , the neck , Lake wanaka วิวสวยมากๆ เราไม่ได้ถ่ายรูปไว้ เพราะกัวจะไม่ทันเวลา แต่ก็ยังจดจำความงดงามตรงนี้ได้ดีค่ะ มันสวยมากๆ

จุดที่เราแวะ คือ Blue Pools ตรงนี้จะเป็นการเดิน trekking สั้นๆค่ะ เข้าป่าระยะทางประมาณ 30 นาทีค่ะ สวยคุ้มค่ามากเลย ขอร้องให้ไปเห็นด้วยตาตัวเองเลยนะคะ ณ ที่แห่งนี้

จาก Blue Pools Walk ราวๆ 20 กม.  จะถึงน้ำตก Thunder Creek Falls  เดินเข้าไปชมไม่ไกลจากถนนมากค่ะ

จากนั้นก็เข้าสู่ เส้นทาง Hasst (Haast River Safari) แวะพักรถที่ร้านกาแฟThe Hard Antler  ที่มีจุดให้ขึ้น ฮ.เพื่อชมวิว ก่อนจะเดินทางไกลต่อไป

เส้นทางจากนี้ เราจะเลาะริมทะเลแทสมัน  ช่วงนี้ลมแรงมาก เราแวะ เดินเล่นริมหาด ที่ Ship Creek ณ ทะเลแห่งนี้ มีสิ่งที่เราทำให้เราตื่นเต้นจดจำไม่มีวันลืม ด้วยความอยากได้รูปเดินชิวๆ ริมเล ตั้งกล้องถ่าย วางกระเป๋า เดินออกไป แต่วิ่งหนีไม่พ้นแรงคลื่น คลื่นซัดทุกอย่าง ระเนระนาด กล้องล้ม จมน้ำ กระเป๋าที่มีพาสปอร์ต เงิน และบัตรต่างๆลอยไปกับคลื่น เกือบไม่ได้กลับบ้านแล้วววว สุดๆไปเลย 😂🤣😅 ยังไม่พอ เดินๆวิ่งหนีคลื่นเราก็ ล้มหน้าคว่ำ ขาอ่อนแรง ยวบลงในทราย กระเป๋าโดนคลื่นซัดอีกรอบ กล้องจมน้ำไปเลยจ้าแม่ บ้าบอชะมัด !!😳 อีกความตื่นเต้นที่ลืมไม่ลง  จริงๆค่ะ  นักท่องเที่ยวที่เดินอยู่แถวนั้น อดกลั้นขำไม่ได้ แต่ก็มีน้ำใจ ถามไถ่มาว่า everything's o.k.?

ถัดไปไม่ไกล ก็ถึง จุด knights point lookout

จากนั้นก็ไม่ได้แวะพักที่ไหนอีกเลยค่ะ เพราะเปียกปอนไปทั้งตัว ทราย เต็มกระเป๋า รองเท้าเสื้อผ้าเลย ยิงยาวไปจนถึง ที่พัก Chateau Backpackers & Motels ที่เมือง ​Franz Josef Glacier  กว่าจะถึง ที่พักก็ค่ำมืด เส้นทางนี้เวลากลางคืน แอบน่ากลัวมากนะคะ เพราะเป็นภูเขาทึบ เรายังคิดเลยถ้ารถเสียขึ้นมาจะทำยังไง ไม่มีรถผ่านมาสักคัน เหมือนเราวิ่งเข้าไปลึกไปเรื่อยๆ ไม่มีแม้กระทั่งแสงไฟ ขึ้นเขาไปตลอดทาง จนกระทั่งถึง เมือง ซึ่ง เมืองนี้เป็นเมืองที่เงียบบบบบบมากกกกกกกกก เงียบจนงงไปเลยค่ะ นึกว่าเมืองร้างซะอีก 5555

วันนี้เราลองพักแบบ Backpackers เป็นห้องน้ำรวม ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบนะ

หลังจากล้างเนื้อล้างตัว เราก็ออกไปหาอะไรทานค่ะ เพราะหิวมากกกก เป็นเมืองที่เงียบจริงๆ ใกล้ๆที่พัก เราเห็นมีร้านอาหารร้านนึงเปิดอยู่ จึงลองเสี่ยงเข้าไปดู แต่ปรากฎว่า พระเจ้า ! ยอดมัน จอร์จ มากกก คนมารวมกันอยู่ที่นี่เอง คนเยอะมากๆค่ะ แถมอาหารก็อร่อย ร้านบรรยากาศดีมากๆเลย ชื่อว่าร้าน Alice May Restaurant, Franz Josef  เป็นร้านที่มี story ของป้าเมย์ค่ะ ดีงามมากๆ

ทานอิ่มแล้ว ด้วยความหิว เลยสั่งมาเยอะ อย่าลืม ลองเบียร์สูตรป้าเมย์ นะคะ รสชาติดีงามสุดๆ จากนั้นเราก็กลับมาอาบน้ำ แล้วก็สลบกันไปด้วยความเหนื่อยล้า.....

Day 7 ​Franz Josef Glacier ----->>Greymouth

Whataroa River Lookout,Lake Ianthe,Hokitika,Hokitika Beach Sign,Hokitika Gorge,Duke Hostel

เช้าวันนี้ เราตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่นอีกวัน ที่พักแบบ Backpackers ก็ดีงามมากนะคะ มีห้องอาหารให้เราทำแพนเค้ก และวาฟเฟิล ฟรีด้วย

เส้นทาง จากเมือง ​Franz Josef Glacier ไปยัง Greymouth ก็ไกลมากเช่นกันค่ะ เมื่อวานเป้าหมายที่ Lake Matheson เราก็ไม่ได้ไป ระหว่างทางเราจึง ไปแวะ Lake Ianthe Wharf เป็นจุดพักระหว่างทาง

หลังจาก ทะเลสาบ ราว 1 ชม. ก็ถึงเมือง Hokitika แล้วค่ะ ที่นี่เป็นเมืองชายทะเลที่น่ารัก  ไปถ่ายรูปที่ Hokitika Beach Sign ลมแรงหนาวมากๆ เราหยุดพักทานอาหารเที่ยงที่นี่ ซึ่งเป็นร้านอาหารไทย อยู่ไม่ไกลจากหอนาฬิกาในเมือง และเป็นร้านคนไทยด้วย ชื่อร้าน Korath Thai Cuisine คิดถึงอาหารไทยมากๆ เลยสั่งต้มยำกุ้ง กับผัดกระเพราเนื้อมา อร่อยมากเลยค่ะ จริงๆสั่งไข่เจียวด้วย แต่ตอนที่ไป พี่ที่ร้านบอกว่า ไข่ไก่ ขาดตลาด ถึงว่ามารอบนี้ไม่ค่อยได้ทานไข่เลย

หลังจากกินอิ่มมากแล้ว เราเดินทางต่อไป Hokitika Gorge ที่นี่เดิน trek สั้นๆค่ะ สบายๆ แต่เราดันเข้าผิดทางไปเข้าทางออก ถึงว่า ไม่มีคนเดินเข้าทางเดียวกับเรามีแต่สวนออกมา น้ำสีฟ้าสวยแปลกตามากเลยค่ะ ระยะทางจากเมือง Hokitika ประมาณ 30 กิโล ไป-กลับทางเดิม คือต้องตั้งใจไปเลยค่ะ

ใกล้จะค่ำอีกแล้ว เราจึงเดินทางไปยังที่พักที่เมือง Greymouth คืนนี้พักที่ Duke Hostel เป็นที่พักแบบ Backpackers ที่มีห้องน้ำในตัว ก็น่ารักดีนะคะ มีห้องครัวให้ใช้และมีอาหารเช้าให้ฟรีด้วย

Day 8 Greymouth----->> Christchurch

Pancake Rocks and Blowholes Walk, Otiraa Viaduct Lookout ,Arthur's Pass​,Jacks Hut,Arthur's Pass Walking Track,Castle Hill,World Famous Sheffield Pies ,City Central Motel Christchurch, (Akaroa *if we can!!!, Shamarra Alpacas)

เมื่อวานเรามาถึงค่อยข้างเย็น เลยไม่ได้ไป Pancake Rocks and Blowholes Walk เช้านี้จึงเลยขึ้นไป ก่อน โห! เส้นทางขับยากมากค่ะ ขึ้นเขาคดเคี้ยวสุดๆ แต่ก็สวยมาก ที่ Pancake Rocks หินเรียงเป็นชั้นสวยงามแปลกตาอีกเช่นกัน จึงเป็นที่มาก็คำว่าแพนเค้ก ทางเข้าจะมีร้านคาเฟ่ Pancake Rocks Cafe เราเลยจัดแพนเค้กมาลองชิมซักหน่อย

จาก Pancake Rocks เราต้องย้อนกลับมาที่เมือง Greymouth เพื่อกลับมาเส้นทาง หมายเลข 6>73 เป้าหมายต่อไปคือ Otiraa Viaduct Lookout  เส้นทางนี้ก็เป็นการขึ้นเขาตลอดเส้นทางเช่นกัน

ไม่นานนักก็ขับมาเรื่อยๆ ก็จะเจอ Arthur's Pass Village แวะเข้าห้องน้ำที่นี่ และแวะถ่ายรูปที่ Arthurs Pass Scenic LookOut มันโล่งๆ ดู ยิ่งใหญ่อลังการมากค่ะ จริงๆ แถบนี้เป็นถิ่นของนกเกีย แต่เราไปไม่มีโอกาสได้เห็นเลยค่ะ

จาก  Arthurs Pass Scenic LookOut ราว ครึ่ง ชม. จะถึง Castle Hill ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างเมือง Christchurch กับเมือง Arthur’s Pass ที่นี่เป็นอีกสถานที่หนึ่งซึ่งใช้เป็นที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องตำนานแห่งนาร์เนีย 🎥🎬  ตรงนี้จะมีทั้งหินขนาดใหญ่ และหินขนาดเล็กอยู่เต็มไปหมด หินเหล่านี้มีส่วนประกอบของหินปูนและมีชื่อเสียงเป็นอย่างมากสำหรับคนที่ชอบปีนเขา 🧗‍♀️ พื้นที่บริเวณนี้มีวัฒนธรรมที่สำคัญของชาวเมารีซึ่งเป็นเผ่าพื้นเมืองของที่นี่และเป็นผู้ที่ปลูกมันเทศซึ่งมีรสหวาน 🍠  Kumara

Ref. https://thaiza.com/travel/foreign/509297/

เราอยากไปลองชิม พาย ที่ร้าน World Famous Sheffield Pies  https://goo.gl/maps/9quEpc22aKqBnhz7A

แต่ร้านปิดอีกแล้วค่ะ เลยอด ใครอยากไปต้องไม่เกิน 4 โมงเย็นนะคะ เราก็เลย ยิ่งยาวกลับไปเมือง Christchurch คืนนี้พักที่ City Central Motel Christchurch ย่านใจกลางเมืองเลยค่ะ  โปรแกรมอื่นๆ ก็เป็นอันยกเลิก เพราะมาถึง ก็พระอาทิตย์ตกดินพอดี

โรงแรมที่เราพัก กว้างใหญ่อลังการมากๆ

เราไปแวะกินพิซซ่าร้านนี้มาด้วยค่ะ Pizza Trap  https://goo.gl/maps/BKLM6m2dApzwEU3k8 อร่อยดีค่ะ ร้านอยู่ในซอยมืดๆ ด้านนอกแลเงียบๆ แต่พอเข้าไปในร้าน คนเยอะ ต้องจองที่นั่งกันเลย

ยังไม่อยากกลับห้อง เลยไปนั่ง กันต่อที่ร้าน Amazonita https://goo.gl/maps/keScXpjCLUaoeAui7  เป็นร้านอาหารกลางวัน แล้วก็เป็นกึ่งๆผับกลางคืน บรรยากาศดีใช้ได้เลยค่ะ

Day 9 Christchurch---->>Aukland---->>singapore---->>Bkk-Suvarnabhumi

วันนี้เป็นวันที่เราต้องเดินทางกลับแล้ว แต่ขึ้นเครื่อง เพื่อไปรอต่อเครื่องที่ Aukland ตอน 5 โมงเย็น ช่วงเช้าก่อนไปคืนรถ เราเลยไปเดินเล่นในเมือง และหาซื้อของฝากกันค่ะ

ที่นี่คือ ChristChurch Cathedral กำลังบูรณะซ่อมแซมหลังเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ในปี 2011 ดูเหมือนว่าจะเสร็จปี 2027 นะคะ

ก่อนกลับแวะไป กินหอยนิวซีแลนด์ที่ Riverside Market หน่อยค่ะ กลัวจะว่ามาไม่ถึง

ไม่อยากกลับเลย หลงรักที่นี่ซะแล้วสิ

ขากลับเราได้ใช้บริการของ Air NZ บริการดีจริงๆค่ะ อาหารก็อร่อย

เราต้องไปรอต่อเครื่อง ที่สนามบิน Aukland ตั้ง 5 ชม.กว่าเครื่องจะออก สุดท้ายก็ได้ของฝากส่วนใหญ่จากที่สนามบินนี้ อย่าลืม ให้พนักงานแพ็คของให้ดีนะคะ สำหรับคนที่ต้องต่อเครื่องอีกรอบอย่างเรา จะได้ไม่มีปัญหาเวลาตรวจ

ที่นี่สนามบิน Aukland ค่ะ มีร้านอาหารไทยด้วยค่ะ 

ของฝากก็ ได้เหมือนๆกับที่ เว็บนี้รีวิวไว้เลยค่ะ https://www.mushroomtravel.com/page/new-zealand-souvenirs/

สบู่ น้ำผึ้งมานูกา ส่วนตัวชอบมาก ใช้ดีจิงๆ ฟองเยอะล้างออกง่าย 

ส่วน Whittaker’s Chocolate ก็อร่อยติดใจเลยค่ะเหมาะมากสำหรับเป็นของฝาก 

สำหรับครีมรกแกะ ส่วนตัวเราว่าเหนียวเกินไปสำหรับเรา แต่ก็ซื้อกลับมาลองใช้นะคะ

จริงๆพวกของฝาก ซื้อที่สนามบินก็ได้นะคะ ราคาไม่ต่างกันมากนัก 

สุดท้ายนี้ ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนมากๆนะคะ ที่ติดตามอ่านรีวิวจนถึงตรงนี้ ติ - ชม กันมาได้เลยค่ะ เป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ

มีอะไรสอบถามมาได้เลยที่ เพจ

https://www.facebook.com/memorieswanwan

เฟสบุ๊ก ส่วนตัว

https://www.facebook.com/kamolapas

www.tiktok.com/@jayjampmie

https://instagram.com/mikinoy7

ยินดีให้คำแนะนำ และเป็นเพื่อนกันเสมอค่ะ

ขั้นตอนการขอวีซ่า แผนการเดินทาง หรือข้อมูลอื่นๆ ถามได้เลยนะคะ

Memoriesวันวาน

 วันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 เวลา 15.04 น.

ความคิดเห็น