ทริปนี้เป็นทริปแรกที่ผมได้มีโอกาสออกทริปร่วมกับทีมงาน พันทิป x ททท. ทริปนี้มาในคอนเซป เที่ยว..ชิม..ชิลล์..โดยปักหมุดที่จังหวัดนครราชสีมา ต้องบอกเลยว่าแต่ละสถานที่ที่แวะเที่ยว แวะชิมนั้น ล้วนทำให้สมาชิกทุกท่านได้ฟินไปกับบรรยากาศเป็นอย่างมาก ผมจึงอยากจะแบ่งปันความสุขตลอด 3 วัน 2 คืน ให้กับเพื่อนๆ ที่เข้ามาอ่านรีวิวนี้ครับ

สำหรับจุดท่องเที่ยวหลักๆ ของทริปนี้จะอยู่ในเขตอำเภอปากช่อง และ อำเภอวังน้ำเขียว ดังนี้ครับ

วันแรก

- เรียนรู้การผลิตไวน์ที่ GraMonte Vineyard and Winery

- ชิมอาหารจานเด็ดร้านเป็นลาว ร้านอาหารมิชลินไกด์ 2023 บิบ กูร์มองด์

- เก็บมัลเบอรี่สดๆ กับมือที่สวนแม่หม่อน

- ส่องสัตว์ชมฝูงกระทิงที่จุดชมวิวเขาแผงม้า

- เข้าพักสไตล์ฟาร์มสเตย์ที่ Coolliving Farmhouse eco & organic living

วันที่ 2

- กิจกรรม CSR ทำโป่งเทียมให้สัตว์ป่าที่จุดชมวิวเขาแผงม้า

- มื้อเที่ยงที่ร้าน ฤาสภัตร by nina’s

- จิบเครื่องดื่มและขนมหวานยามบ่ายที่ Trot Café

- เยี่ยมชมดินแดนของพลังงานหมุนเวียน ณ ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ.ลำตะคอง

- เข้าพักสไตล์แคมปิ้งที่ Lala Mukha Tented Khao Yai

วันที่ 3

- ชมตลาดสินค้าและผลิตภัณฑ์ออแกนิกจากเกษตรกรที่ The Birder’s Lodge Farmer’s Market

- ทานของว่างยามสายท่ามกลางสวนมะม่วง ณ บ้านหมากม่วง Khao Yai The mango house farm

- Chef’s table สไตล์โฮมมี่ ณ Rosemary House บ้านสวนโรสแมรี่

- เติมความสดชื่นยามบ่ายที่ร้านบาร์ไอติม

จุดหมายแรกปักหมุดที่ GranMonte Vineyard and Winery (พิกัด : https://goo.gl/maps/ndbnrSguVFDXASiG9 ) มาที่นี่เราจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการปลูกองุ่นไวน์ ได้ดูกรรมวิธีการผลิตไวน์ในโรงบ่ม รวมถึงกิจกรรม Wine tasting ด้วย

GranMonte เป็นไร่องุ่นที่ดูแลโดยเจ้าของคนไทย ที่ปลูกองุ่นมากว่า 20 ปี คำว่า GranMonte เป็นภาษาอิตาลี ที่เอามาผนวกกัน แปลว่า เขาใหญ่ (Gran คือ ใหญ่ Monte คือ เมาท์เทน) มีพื้นที่รวมประมาณ 100 ไร่ โดยแบ่งเป็นพื้นที่ปลูกองุ่น 70 ไร่ ที่เหลือจะเป็นร้านค้า ร้านอาหารและที่พักครับ

กิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาที่ GranMonte ประกอบด้วย 3 กิจกรรม โดยกิจกรรมแรกคือการนั่งรถชมสวนองุ่น ระหว่างนั่งรถก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยบรรยายให้ความรู้ไปตลอดทาง

องุ่นที่นำมาปลูกในไร่มีหลายสายพันธุ์ โดยสายพันธุ์องุ่นที่ใช้ทำไวน์แดง ประกอบด้วยสายพันธุ์ Syrah, Cabernet Sauvignon, Durif, Grenache ส่วนสายพันธุ์องุ่นที่ใช้ทำไวน์ขาว ประกอบด้วยสายพันธุ์ Chenin Blanc, Viognier, Verdelho, Semillon และกว่าอีก 10 สายพันธุ์เลยครับ

ต้นองุ่นจะเริ่มให้ผลผลิตในปีที่ 3 ของการปลูก และจะเริ่มให้ผลผลิตเต็มที่ในปีที่ 6 เป็นต้นไป โดยองุ่น 1 ต้น สามารถให้ผลผลิตได้ถึง 1-1.5 กก./ปี หรือได้ไวน์ 1 ขวด/ต้น/ปี องุ่นที่นี่จะออกผลประมาณช่วงเดือนมกราคมถึงกลางเดือนมีนาคมนะครับ หากใครอยากได้ภาพสวยๆ คงต้องเลือกมาให้ถูกช่วงเวลา ถ้ามานอกช่วงเวลาดังกล่าว คงจะเห็นแต่ใบองุ่นครับ

ไวน์จะดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับองุ่น การปลูกองุ่นที่นี่จึงให้ความสำคัญตั้งแต่การปลูก การดูแล การตัดแต่งกิ่ง การเก็บเกี่ยว เพื่อให้ได้องุ่นที่มีคุณภาพดีที่สุดก่อนที่จะนำมาผลิตไวน์ ต้นองุ่นหากดูแลอย่างดี ไม่มีโรค จะมีอายุถึง 100 ปีเลยครับ

หลังจากชมไร่องุ่นแล้ว กิจกรรมต่อไปคือการชมกรรมวิธีการผลิตในโรงบ่มไวน์ครับ

น้ำองุ่นที่อยู่ระหว่างการบ่มจะถูกรักษาไว้ในถังไม่โอ๊กนำเข้า ซึ่งถังแต่ละใบจะใช้งานเพียง 4 ครั้ง เมื่อครบกำหนดก็จะเปลี่ยนถังใบใหม่ ด้วยการที่ถังไม้โอ๊กที่นำเข้าจากฝรั่งเศส อเมริกันและฮังกาเรียน รวมถึงยีสต์ที่ใช้ในกระบวนการหมัก นำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้มีต้นทุนค่อนข้างสูง รวมทั้งภาษีในประเทศก็สูงเช่นกัน ส่งผลให้ไวน์มีราคาสูงตามไปด้วยครับ

นอกจากไวน์จะถูกบ่มในถังไม้โอ๊กแล้ว ยังมีการบ่มในถังดินเผาที่นำเข้าจากจอร์เจียด้วยครับ

กระบวนการในโรงบ่มไวน์ เริ่มตั้งแต่การบ่ม ยันบรรจุขวดเลยครับ โดยสามารถผลิตไวน์ได้ถึง 3 แสนขวด/ปี

จุดเด่นของ GranMonte คือไวน์ไทย 100% ที่เริ่มตั้งแต่การปลูกองุ่นเอง ทำไวน์จากองุ่นของตัวเองเท่านั้น เป็นธุรกิจในครอบครัว ที่สำคัญ ได้รับใบอนุญาตสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือ GI "ไวน์เขาใหญ่” ด้วยครับ

ไวน์ที่ผลิตได้ในไร่ มีวางจำหน่ายที่หน้าไร่ รวมถึงร้านไวน์ต่างๆ ในกรุงเทพ ร้านอาหารและโรงแรมระดับ 5 ดาว และมีการส่งออกประมาณ 20% ไปยังฝรั่งเศส สวิสเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น ฮ่องกง และสวีเดนครับ

และกิจกรรมสุดท้ายที่หลายๆ คนรอคอยก็มาถึง กับการชิมไวน์ครับ น้องเจ้าหน้าที่มาแนะนำตั้งแต่การจับแก้วไวน์ รวมถึงขั้นตอนการชิมไวน์ให้กับพวกเรา โดยให้ยึดหลักดังนี้

ดู ความสดใส สิ่งแปลกปลอมที่อาจจะเจือปนอยู่ในไวน์ ดูการไหลของน้ำไวน์จากขอบแก้ว (ขาไวน์)

ดม กลิ่นไวน์ ไวน์ที่มีกลิ่นหอมหวนย่อมส่งผลถึงรสชาติและคุณภาพของไวน์

อม การอมไวน์ในปากจะช่วยทำให้ต่อมรับรสที่ลิ้นทำงานได้อย่างเต็มที่ ให้อมไวน์ในปากสัก 5-10 วินาที เพื่อให้ทุกต่อมรับรสได้สัมผัสกับไวน์

กลืน ให้ค่อยๆ กลืนช้าๆ เพื่อให้รสชาติของไวน์ยังคงหลงเหลืออยู่ในปากให้นานที่สุด หลังจากนั้นจะรับรู้ถึงรสชาติไวน์ที่หลงเหลืออยู่หลังการกลืน ถ้าไวน์ดี จะมี Aftertaste หลงเหลืออยู่นานได้ถึงนาทีครับ

การจิบไวน์แต่ละตัว ถ้าหากต้องการให้ได้รสชาติที่ดีขึ้นไปอีก ต้องมีของกินเสริมกันด้วย เช่น ขนมปัง ชีส หรือมะกอกดองครับ

การจับแก้วไวน์ ควรจับบริเวณก้านแก้ว แทนการจับที่ตัวแก้วโดยตรง เพราะอุณหภูมิจากฝ่ามือจะทำให้ไวน์เสียรสชาติครับ

ไวน์ที่ได้ชิมมี 4 ตัว เรื่องรสชาติก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละคนเลยครับ แต่ตัวที่เป็นไฮไลท์ที่สุดใน 4 ตัวที่ได้ลองคือ 2019 The Orient Syrah ไวน์ตัวนี้ใช้เสิร์ฟเหล่าผู้นำในงานประชุม APEC 2022 Thailand ด้วยครับ

ติดกับห้องชิมไวน์ จะเป็นพื้นที่ที่วางจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากองุ่น ไม่ว่าจะเป็นไวน์ น้ำองุ่นสด 100% แยมองุ่น และมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ผลิตจากผลไม้ไทยครับ

ที่ GranMonte สามารถเที่ยวชมได้ตลอดทั้งปี ถ้าใครอยากจะชมช่วงองุ่นติดผล คงจะต้องเลือกมาในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-กลางเดือนมีนาคมของทุกปีครับ สำหรับเพื่อนๆ ที่ต้องการมาทำกิจกรรมทั้ง 3 กิจกรรม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ Facebook fanpage : GranMonte Vineyard and Winery หรือเบอร์ 092-8067755 แนะนำว่าให้จองล่วงหน้านะครับ เพราะแต่ละวันจะมีเวลาออกทัวร์ไม่เหมือนกัน โดยมีค่าใช้จ่ายท่านละ 450 บาทครับ

จิบไวน์เรียกน้ำย่อยแล้ว กระเพาะก็เริ่มร้องโกรกกราก ทีมงานพามาฝากท้องที่ร้านเป็นลาว (เขาใหญ่) ปรับอารมณ์กันแทบไม่ทัน 555 เมื่อกี้นั่งจิบไวน์หรูๆ อยู่ดีๆ แว๊บเดียวมานั่งซดน้ำปลาร้าซะแล้ว

ปัจจุบันร้านเป็นลาวมี 3 สาขา คือ เขาใหญ่ หัวหิน และสิงค์โปร์ครับ สำหรับสาขาเขาใหญ่ ตัวร้านตั้งอยู่บริเวณทางขึ้นเขาใหญ่ ติดถนนธนะรัชต์เลยครับ (พิกัด : https://goo.gl/maps/8iY3KcCNUpSr73vo9 )

ร้านเป็นลาวได้รับเลือกให้เป็นร้านอาหารมิชลินไกด์ 2023 ประเภท บิบ กูร์มองต์ อาหารคุณภาพในราคาคุ้มค่า โดยมี 2 เมนูที่มัดใจกรรมการคือ ลาบปลาดุก และ แกงลาว (เห็ดสามอย่าง) ครับ

นอกจาก 2 เมนูที่ได้ recommend แล้ว ผมว่าแทบจะทุกเมนูที่สั่งมา ก็อร่อยไม่แพ้กัน

เริ่มด้วยไก่นาย่างสมุนไพร ไก่ย่างออกมากำลังดี ไม่แห้งจนเกินไป หอมเครื่องเทศดีครับ เมนูนี้ 2 จานครับ

หมูสามชั้นทอด แจ่วบองเป็นลาว

ตับหวาน

กากหมูคั่วพริกเกลือ ดีงาม กินเพลิน จนน้องในโต๊ะกระซิบจะสั่งเพิ่มอีก 1 แต่ผมปรามๆ เอาไว้เพราะที่สั่งมาก็หลายอย่างแล้ว เกรงใจเจ้ามือ อิอิ

เนื้อย่าง

เนื้อน่องลายลวกจิ้ม

ไก่ต้มใบมะขามอ่อน

ยำวุ้นเส้นหมูสับ

ตำไทยใส่ปู

ตำไทย

ตำปูปลาร้า

ตำหลวงพระบาง

เนื่องจากทีมงานไฟเขียวบอกให้เลือกสั่งอาหารตามที่ต้องการเลย สมาชิกในโต๊ะ 6 คนก็สนุกกันใหญ่ เลือกสั่งกันเพลินเลย นับไปนับมา 14 เมนู !!!

เมนูละลานตามากๆ ครับ

ถามว่ากินหมดมั้ย... ไม่มีเหลือครับ อร่อยทุกเมนูขนาดนี้ หมดยันน้ำส้มตำ 555

สำหรับใครที่อยากจะมากินอาหารอีสานแซ๊บๆ แนะนำร้านเป็นลาวครับ ร้านเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.30 น.- 18.00 น. สำหรับวันศุกร์และเสาร์ เปิดถึงเวลา 20.00 น. ส่วนวันอาทิตย์ เปิดถึงเวลา 19.00 น. แนะนำให้โทรจองโต๊ะล่วงหน้ากันพลาดก่อนก็ดีที่ 083-4613666 เพราะลูกค้าเยอะมาก แต่ถึงแม้ลูกค้าจะแน่นร้าน แต่อาหารออกค่อนข้างเร็วครับ

ไปดับความแซบด้วยการเติมความหวานที่สวนแม่หม่อน ฟาร์ม แอนด์ คาเฟ่ วังน้ำเขียว คาเฟ่เก๋ๆ ในบรรยากาศเขียวๆ ที่โอบล้อมด้วยต้นหม่อนและต้นวานิลลาครับ (พิกัด : https://goo.gl/maps/GMN2EF7VkyK1jXaF8 )

ตัวคาเฟ่ออกแบบสไตล์มินิมอล เรียบง่ายแต่ดูดี

มีมุมถ่ายรูปเก๋ๆ ที่แวดล้อมด้วยต้นหม่อนครับ

สวนแม่หม่อน ฟาร์ม แอนด์ คาเฟ่ วังน้ำเขียว นอกจากจะเป็นคาเฟ่แล้ว ที่นี่ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้ลงไปเก็บผลหม่อนสดๆ จากต้นเลยครับ สวนแห่งนี้เริ่มปลูกหม่อนกันตั้งแต่ปี 2555 จำนวนกว่า 1,500 ต้น โดยต้นหม่อนที่นี่จะปลูกแบบซุ้ม แผ่กิ่งก้านสาขาจนปกคลุมเป็นผืนใหญ่คล้ายอุโมงค์ หม่อนที่นี่ได้รับการรับรองจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้เป็นสวนปลอดสารพิษด้วยครับ ผลหม่อนเยอะมากจริงๆ ใครสนใจจะเก็บผลหม่อนกลับไปกินที่บ้าน มีค่าเก็บกระปุกละ 50 บาท ผลหม่อนที่แก่จัดจะมีสีม่วงเข้ม รสชาติจะหวาน แต่ถ้าผลสีแดง จะยังสุกไม่เต็มที่ รสชาติจะออกเปรี้ยวครับ

แอบสงสัยน้องเต้ นางแบบในภาพ เห็นเก็บผลหม่อนอยู่นานจนนิ้วเป็นสีม่วง แต่เอ๊ะ!! ทำไมผลหม่อนไม่เต็มกระปุกสักที พอให้แลบลิ้นเท่านั้นแหล่ะ หายสงสัยเลย เพราะจำนนด้วยหลักฐาน แต่การเด็ดไป ชิมไป ไม่ผิดกติกาครับ ตอนชำระเงิน ทางสวนจะเติมลูกหม่อนให้เต็มกระปุกก่อนหิ้วนำกลับไปที่บ้านครับ

เก็บผลหม่อนจนหนำใจแล้ว ไปเรียนรู้การปลูกวนิลลากันต่อครับ พี่นันทวันเจ้าของสวน พาเดินชมสวนและให้ความรู้เกี่ยวกับการปลูกวนิลลาด้วยตัวเองเลย สวนวนิลลาสวนนี้เริ่มทดลองปลูกมากว่า 4 ปีแล้ว และเริ่มให้ผลผลิตออกมาเรื่อยๆ บอกเลยว่าสวนแห่งนี้เหมือนขุมทรัพย์ดีๆ นี่เอง เพราะฝักแห้งก็นำไปขายได้ แถมได้ราคาดีอีกด้วย นอกจากนั้นยังนำไปแปรรูปทำผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้อีก ต้นวานิลลาก็สามารถตัดขายได้อีกครับ

ผมเองก็เพิ่งรู้ว่าวนิลลาเป็นหนึ่งในสกุลกล้วยไม้ครับ ฝักของวนิลลาที่พร้อมตัดเก็บจะมีโคนออกสีเหลือง หลังจากตัดเก็บแล้วต้องนำไปบ่มโดยการนำผ้ามาห่อไว้และเก็บในกล่องไม้ที่ปิดมิดชิด เมื่อบ่มไปได้สักพักฝักวนิลลาจะค่อยๆ มีสีคล้ำและคายน้ำมันออกมา

วนิลลาฝักสวยๆ ที่มีความยาว 17 เซนติเมตรขึ้นไป เมื่อนำมาทำเป็นฝักแห้ง จะมีมูลค่าถึง 200 บาทเลยครับ ลองคำนวณดูคร่าวๆ ก็แล้วกัน หากดูแลรักษาฝักในภาพดีๆ จนมีความยาวฝัก 17 เซนติเมตร พวงเดียวมีมูลค่าสูงถึง 1,800 บาทแล้ว นอกจากฝักที่มีมูลค่าสูงแล้ว เถาที่มีความยาว 1 เมตร ก็สามารถตัดขายได้ในราคาเถาละ 300 บาทเลยครับ

หน้าตาของฝักวนิลลาที่พร้อมจำหน่ายครับ

นอกจากที่จะขายฝักแห้งแล้ว สามารถนำวนิลลามาแปรรูปเป็นไอศกรีมได้ด้วย โดยวนิลลา 1 ฝัก สามารถทำไอศกรีมได้ 1 ถาด หรือนำมาทำเป็นเค้กได้ 2 ปอนด์ครับ

ไอศกรีมที่นี่เป็นไอศกรีม Homemade มีให้เลือกถึง 9 รสชาติ ไม่ว่าจะเป็นเชอร์เบทมัลเบอร์รี่/มัลเบอร์รี่โยเกิร์ต/ มะเขือเทศโยเกิร์ต และอีกหลายๆ รส รวมถึงรสวานิลลาที่มีการทดลองปรับสูตรมากว่า 10 ครั้ง จนได้รสชาติ เนื้อสัมผัสและกลิ่นที่หอมถูกใจครับ

มาถึงสวนวานิลลาแล้ว ต้องไม่พลาดกับไอศกรีมวานิลลาจากฝักวานิลลาแท้ๆ ที่ทางสวนปลูกเอง ไอศกรีมที่ทำจากวานิลลาแท้ๆ จะมีความหอมละมุน กว่าวานิลลาสังเคราะห์ แถมยังมีความหอมอบอวลอยู่ในลำคอด้วยครับ

ไอศกรีมจำหน่ายถ้วยละ 50 บาท ถ้ารสวานิลลาจะมี 1 ลูก แต่ถ้าเป็นรสอื่นๆ จะมี 2 ลูก สามารถเลือกได้ 2 รสชาติครับ

เพื่อนคนไหนอยากจะไปเก็บผลหม่อนสดๆ ด้วยมือของตัวเอง อยากไปเรียนรู้การปลูกวนิลลา ไปผสมเกสรดอกวานิลลา สามารถไปที่สวนแม่หม่อนได้เลยครับ ทางสวนเปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-17.30 น. สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 081-3040380 หรือ Facebook fanpage : สวนแม่หม่อน ครับ

ออกจากสวนแม่หม่อน ไปต่อกันที่จุดสกัดเขาแผงม้า (พิกัด : https://goo.gl/maps/H46ceR2iWWmNfC7n9 ) เพื่อไปส่องสัตว์กันครับ

ที่วังน้ำเขียวมีชื่อเสียงในเรื่องของการส่องกระทิงเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้ผมเองก็เคยมาส่องกระทิงที่วังน้ำเขียวแล้วเหมือนกัน แต่ไม่เห็นกระทิงสักตัว มาคราวนี้ ได้เห็นกระทิงฝูงใหญ่ๆ สมใจเลยครับ

ถ้าถามเรื่องสถานที่ที่เหมาะกับการส่องกระทิง ผมว่าร้อยละ 90 ของนักส่องกระทิงและนักท่องเที่ยวต้องนึกถึงเขาแผงม้าเป็นลำดับแรก เพราะที่เขาแผงม้ามีกระทิงอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก นักท่องเที่ยวสามารถเห็นฝูงกระทิงออกหากินบริเวณทุ่งหญ้าได้แบบใกล้ชิด

และการมาส่องกระทิงของผมในครั้งนี้ ก็สามารถมองเห็นกระทิงแบบใกล้ชิดได้ด้วยตาเปล่าเลยครับ อย่างฝูงนี้ประมาณ 10 ตัว กำลังแทะเล็มหญ้าอยู่ครับ

ส่วนฝูงนี้ก็ประมาณ 10 ตัวเช่นกัน กำลังนอนพักผ่อนกันอยู่เลย

โป่งเทียมรูปหัวใจ ที่ทางอุทยานได้ทำไว้ ซึ่งพรุ่งนี้ผมเองก็จะได้มีโอกาสได้ทำโป่งเทียมไว้ให้กระทิงได้แทะเล็มด้วยเช่นกัน

ที่เห็นอยู่นี่ไม่ใช่หมอกควันนะครับ แต่เป็นหมอกจริงๆ ที่มาเกิดช่วงตอนเย็น โดยก่อนหน้าที่ผมจะมาถึงเขาแผงม้า มีฝนตกไป พอฝนหยุดตก หมอกก็ออกมาทักทายครับ

สำหรับเพื่อนๆ ท่านใดที่จะมาส่องกระทิง แนะนำให้มาในช่วงตอนบ่ายแก่ๆ ยาวจนถึงช่วงเย็น จะมีโอกาสได้เห็นกระทิงมากกว่าช่วงเวลาอื่น โดยสามารถมาชมที่เขาแผงม้าได้ตลอดทั้งปีครับ

เหนื่อยกับการกินมาทั้งวัน เวลานี้ถึงเวลาพักผ่อนแล้วครับ คืนนี้ผมเข้าพักที่ Cool Living Farmhouse ที่พักสไตล์ฟาร์มสเตย์ออแกนิคแห่งวังน้ำเขียวครับ (พิกัด : https://goo.gl/maps/CPJpQEfawzNTMiUG9 )

ห้องพักที่นี่มี 2 แบบนะครับ คือแบบ Farmhouse มี 5 ห้อง และแบบ Villa มี 6 ห้อง

ฟาร์มสเตย์ออร์แกนิกแห่งนี้พยายามดึงความเป็นพื้นถิ่นมาใช้ในพื้นที่ เอกลักษณ์หนึ่งของอีสานที่เด่นชัดคือดินสีส้ม ก็นำมาปรับใช้เป็นหลังคาดินเผาสีส้ม ผนัง กำแพง ก็ใช้ดินจากที่นั่นผสมกับปูน จึงได้สีส้มจากธรรมชาติโดยไม่ง้อสีสังเคราะห์แต่อย่างใด

ไปดูห้องพักกันดีกว่าครับ คืนนี้ผมเข้าพักแบบ Villa ครับ

มีสระว่ายน้ำเล็กๆ ปลอดคลอรีนอยู่หน้าห้องด้วยครับ

ขอบอกเลยว่าที่นี่ใส่ใจในเรื่องเครื่องนอนเป็นอย่างมาก ฟูกทำจากใยฝ้ายย้อมสีธรรมชาติ วางอยู่บนเสื่อตาตามิ ซึ่งเป็นเสื่อที่ชาวญี่ปุ่นนิยมใช้ หมอนเป็นหมอนสุขภาพที่ทำจากเปลือกข้าวโซบะ บัควีท พร้อมสมุนไพร มีรูปทรงคล้ายกับกระสอบบีนแบ็ค ที่สามารถปรับสูง เตี้ย ได้ตามท่านอน โดยมีงานวิจัยจากญี่ปุ่นบอกว่าการใช้เปลือกข้าวมาทำหมอน จะช่วยดูดซับความชื้นจากศีรษะและคายความร้อนออกตลอดคืน ทำให้ลดอุณหภูมิที่ศีรษะเราได้ถึง 2 องศา เมื่อศีรษะเย็นสบาย จะทำให้เราหลับได้ลึกขึ้น แถมยังช่วยลดอาการนอนกรนและช่วยลดอาการปวดคอด้วยครับ

ห้องน้ำจะแบ่งส่วนเปียกส่วนแห้งอย่างชัดเจน โดยห้องสุขาจะอยู่ในพื้นที่วิลล่าครับ

สำหรับพื้นที่อาบน้ำ จะมีทั้งฝักบัวและอ่างอาบน้ำแบบ Outdoor น้ำที่อาบเป็นน้ำบาดาลครับ

จริงๆ แล้ววิวที่มองออกไปจากวิลล่าจะเห็นท้องนา แต่ช่วงที่ผมเข้าพัก ยังไม่มีการทำนา เลยเห็นแต่พื้นที่ดินว่างเปล่าครับ

ค่ำนี้ เราฝากท้องกันที่ห้องอาหารของฟาร์มสเตย์ครับ ภายในห้องอาหารตกแต่งด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ที่เต็มไปด้วยสีสันคัลเลอร์ฟูลมากๆ

เมนูอาหารที่นำมาเสิร์ฟวันนั้นอาจจะดูบ้านๆ แต่วัตถุดิบ การตกแต่ง และรสชาติไม่บ้านๆ อย่างที่คิด ผักสดๆ ที่นำมาประกอบอาหารเป็นผลผลิตในฟาร์มที่มีในแต่ละฤดู ซึ่งจะเก็บใหม่จากแปลงทุกวัน

เริ่มที่เซตน้ำพริกผักสด ผักกรอบๆ ตกแต่งด้วยดอกไม้ทานได้

สลัดโรล ให้แขกได้โรลกันสดๆ

เต้าหู้ทอด คือดีงามมากๆ ปกติผมไม่ชอบกินเต้าหู้ทอด เพราะรู้สึกว่าไส้ในของเต้าหู้มันกระด้าง วันนั้นไม่รู้คิดยังไงลองกินเต้าหู้ทอดของที่นี่ดู ปรากฏว่ามันกรอบนอกนุ่มใน ฟินมากๆ อร่อยจนต้องมีคำที่ 2,3,...

ปลานิลทอดขมิ้น

ยำหมูยอ

ไข่เจียวดอกอัญชัน

ผัดผักตามฤดูกาล

ไก่ทอด

ข้าวไรซ์เบอรี่ หุงออกมาได้หนึบๆ อร่อยครับ

แอบสงสารสมาชิกร่วมโต๊ะอยู่เหมือนกัน อาหารมาเสิร์ฟแล้วแต่ยังกินไม่ได้ เพราะยังถ่ายรูปไม่เสร็จ 555

สำหรับใครที่ไม่ทานผัก ผมอยากจะให้ลองเปิดใจให้กว้าง ลองทานผักที่นี่ดูครับ ผักแต่ละชนิดที่นำมาประกอบอาหารไม่มีความขมและเหม็นเขียวเลย แถมยังกรอบและอร่อยมากๆ

เนื่องจากเมื่อวานเรามาถึงค่อนข้างเย็น เลยไม่มีเวลาเดินชมบรรยากาศ เช้านี้เลยขอมาเดินสูดอากาศดีๆ รอบๆ ฟาร์มสเตย์สักหน่อยครับ

เช้านี้มาฝากท้องที่ห้องอาหารเดิมครับ เมื่อวานดอกไม้ที่นำมาตกแต่งว่าเยอะแล้ว เช้านี้เยอะกว่าเมื่อคืนอีก เรียกว่ายกดอกไม้มาทั้งแปลงเลยครับ

ละลานตาด้วยดอกไม้หลากหลายสีสัน ดูสดใสมากๆ ครับ อาหารที่จัดเตรียมไว้จะเป็นพวกสลัดต่างๆ รวมถึงแซนวิชชิ้นเล็กๆ ที่อร่อยไม่แพ้ใครครับ

เห็นน้ำผักแล้ว อย่าเพิ่งหรืออี๋ครับ ลองจิบไปนี่ ถ้าไม่บอกว่าน้ำผักจะไม่เชื่อเลย เพราะไม่มีรสเหม็นเขียวหรือขมแต่อย่างใด แถมรสดีอีกต่างหาก

มีเมนูไข่ให้เลือก 3 เมนู ไข่ดาว ไข่ม้วน และไข่คนครับ ถึงข้าวต้มไรส์เบอร์รี่ใส่หมูยอ อร่อยอย่างแรง ของทุกอย่างเติมได้เรื่อยๆ นะครับ

แซนวิชทานคู่กับผักสลัด

ขนมปังปิ้ง แยมกระเจี๊ยบ ทานคู่กับชากุหลาบ

น้ำมะตูมกับน้ำกระเจี๊ยบ หวานแบบอ่อนๆ ครับ

เต็มอิ่มกับอาหารมื้อเช้ามากๆ ครับ ทานอาหารอร่อยท่ามกลางบรรยากาศดีๆ

จริงๆ แล้วฟาร์มสเตย์แห่งนี้มีกิจกรรมให้แขกที่เข้าพักได้ทำกิจกรรมด้วยครับ ไม่ว่าจะเป็นการตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อไปตัดผักออร์แกนิกแล้วนำมาประกอบเป็นอาหารเช้า (ซึ่งกิจกรรมนี้ผมตื่นไม่ทัน 555) ช่วงสายๆ มีการให้อาหารไก่ เก็บไข่อินทรีย์ เล่นสไลเดอร์โคลน ปั่นจักรยานรอบฟาร์ม แต่เนื่องจากกิจกรรมหลายอย่างเริ่มในช่วงสาย ผมจึงไม่มีเวลาได้ร่วมกิจกรรมกับทางฟาร์มเลยครับ

ห้องพักที่ Cool Living Farmhouse ไม่มี wifi ไม่มีตู้เย็น ถ้าหากใครอยากหนีความวุ่นวาย ไปใช้ชีวิตแบบ Slow life ใกล้ชิดกับธรรมชาติ “Cool Living Farmhouse “ ตอบโจทย์อย่างแน่นอนครับ

ภารกิจแรกของเช้าวันที่ 2 เรามุ่งหน้ากลับไปยังจุดสกัดเขาแผงม้าอีกครั้ง เช้านี้เรามีภารกิจสำคัญในการทำโป่งเทียมให้กับสัตว์ป่ากันครับ

ก่อนอื่นเรามารู้จักกับ “โป่ง” กันก่อนนะครับ “โป่ง” คือพื้นที่เฉพาะที่มีการสะสมของแร่ธาตุจากกระบวนการกัดเซาะ ชะล้างแร่ธาตุ รวมกันในดินและน้ำ เป็นแหล่งแร่ธรรมชาติที่ขาดไม่ได้ของสัตว์ป่า เป็นพื้นที่ที่มีแร่ธาตุต่างๆ มากมาย ซึ่งมีความจำเป็นต่อร่างกายและการดำรงชีวิตของสัตว์ป่า โดยเฉพาะสัตว์ป่าที่กินพืชเป็นอาหาร เนื่องจากสัตว์ที่กินพืชเข้าไป จะไม่ได้รับส่วนประกอบของแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย จึงต้องทดแทนโดยการกินดินหรือน้ำจากโป่งแทน

เพื่อเป็นการเพิ่มแร่ธาตุสำคัญให้กับสัตว์กินพืช จึงเป็นที่มาของกิจกรรมดีๆ ในวันนี้ นั่นคือการทำโป่งเทียมให้กับสัตว์ป่า โป่งเทียมที่จะทำในวันนี้เป็นโป่งดิน ขนาด 3x2 เมตร โดยขั้นตอนแรกจะทำการขุดหน้าดินให้ดินมีความร่วนขึ้น พอที่จะผสมแร่ธาตุต่างๆ ได้

จากนั้นนำก้อนแร่ธาตุอาหารสัตว์ที่มีลักษณะเป็นก้อนวงกลมมาทุบให้ละเอียด แล้วนำไปผสมกับเกลือแกงและไดแคลเซียมฟอสเฟต คลุกเคล้าให้เข้ากัน เมื่อส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดีแล้ว จึงนำไปโรยบริเวณที่เราขุดดินเตรียมไว้แล้ว กลบดินพร้อมราดน้ำให้ชุ่ม เพื่อให้แร่ธาตุจะได้ซึมลงดิน และเมื่อมีฝนตกหรือมีความชื้นจากน้ำค้าง แร่ธาตุต่างๆ ก็จะละลายทำให้ดินบริเวณนั้นเค็ม สัตว์ป่าชนิดต่างๆ ก็จะพากันมาเลียที่หน้าดินเหล่านั้น เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่เราใส่เข้าไป ซึ่งมีความจำเป็นต่อร่างกายของสัตว์ป่าครับ

อิ่มอกอิ่มใจที่ได้ทำประโยชน์ให้กับน้องกระทิงไปแล้ว ถึงเวลาอิ่มท้องบ้างละ เที่ยงนี้มาเติมพลังกันที่ร้านฤาสภัตร by Nina ครับ (พิกัด : https://goo.gl/maps/AYAzwBpikaAW9MLGA )

ร้านฤาสภัตร by Nina เป็นร้านอาหารสไตล์โฮมเมดเล็กๆ ริมถนนธนะรัชต์ ที่มีความเด็ดพอตัว จึงกล้าออกกฎ 3 ข้อ ว่า ต้องจองล่วงหน้า (ไม่รับ Walk in) สั่งอาหารได้รอบเดียว กินไม่หมดห่อกลับเอง นี่ถ้าอาหารไม่เด็ดจริง คงอยู่ไม่ได้จนถึงวันนี้ครับ

ทางร้านจะใช้ผักสวนครัวออร์แกนิคที่ปลูกไว้รอบร้าน นำมาประกอบอาหาร ใช้วัตถุดิบเกรดพรีเมียมเพื่อรักษามาตรฐานและรสชาติ เห็นว่ามาซื้อวัตถุดิบถึงตลาด อตก.ด้วยครับ นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำไมต้องให้ลูกค้าโทรจองและสั่งอาหารล่วงหน้า และสั่งอาหารได้เพียงรอบเดียว ก็เพราะจะได้รู้จำนวนลูกค้าและรู้เมนูเพื่อทางร้านจะได้เตรียมวัตถุดิบได้ถูกต้องและพอดี จะได้ไม่มีของสดค้างสต๊อก ทำให้มั่นใจได้ว่า ลูกค้าจะได้ทานของที่สดใหม่อย่างแน่นอนครับ

บรรยากาศในร้านค่อนข้างร่มรื่น มีทั้งแบบ indoor และ outdoor

มาดูเมนูกันบ้างครับ เมนูยอดนิยมที่มาแล้วห้ามพลาดกับ ฟักทองญี่ปุ่นทอดกรอบคลุกไข่เค็ม เมนูนี้ต้องทานตอนร้อนๆ อร่อยเด็ดจริงๆ ครับ

พริกขิงปลากะพงฟู / พะโล้ / หมูสับต้มบ๊วย

หมูสับปลาเค็ม / เนื้อปลากะพงทอดน้ำปลากับยำมะม่วง / วุ้นเส้นผัดมันกุ้ง / ต้มโคล้งปลาสลิด

หมูสามชั้นทอดกรอบรวนหวาน / ปูนิ่มผัดพริกเกลือ / ไข่เจียวลาบ / มะเขือยาวอบเต้าเจี้ยว

ปีกไก่ทอดกะปิ / กะหล่ำปลีผัดน้ำปลา

ปิดท้ายด้วยคาราเมลคัสตาร์ดมะพร้าวอ่อน เนื้อคัสตาร์ดเนื้อแน่นนุ่ม คาราเมลเข้มข้น เมนูนี้ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ

โดยรวมแล้วอาหารรสชาติดีทุกเมนู เสิร์ฟมาในจานขนาดย่อมๆ ราคาค่อนข้างแรง คงแรงตามวัตถุดิบที่คัดสรรมาอย่างดี เพื่อนๆ คนไหนที่อยากจะมาชิมรสชาติ สามารถติดต่อจองโต๊ะล่วงหน้าได้ที่เบอร์ 081-8395445 หรือที่ Facebook fanpage : Nina’s Khaoyai ครับ

หลังจากอิ่มท้องแล้ว ถึงเวลาหาเครื่องดื่มเย็นๆ จิบคลายร้อนยามบ่าย เลือกปักหมุดที่ Trot Cafe Khaoyai คาเฟ่สไตล์คันทรี ที่มีดีทั้งเครื่องดื่มและบรรยากาศ มีมุมให้ถ่ายภาพเพียบเลยครับ (พิกัด : https://goo.gl/maps/oAuBAfifYkGmtbur7 )

ช่วงที่ผมไป บรรยากาศภายใน Trot Cafe Khaoyai โรแมนติกมากเลยครับ เพราะด้านข้างของคาเฟ่มีต้นคูณต้นใหญ่อยู่หลายต้น กำลังออกดอกบานสะพรั่ง คือทั้งต้นมีแต่ดอก ไม่มีใบเลย แล้วมีสายลมพัดโชยเอื่อย ทำให้กลีบดอกทิ้งตัวค่อยๆ ปลิวลงพื้น มันเป็นฟิวถ่าย MV จริงๆ ครับ 555

มีลูกค้ามาใช้บริการเยอะมาก ผมว่าการบริหารจัดการดีเลยทีเดียว เครื่องดื่มออกเร็วดีครับ ที่นั่งส่วนใหญ่เป็นแบบ Open air และแบบห้องปรับอากาศครับ

เมนูอาหารมีทั้งอาหารคาว/หวาน เครื่องดื่มร้อน/เย็น ครับ

เสียดายที่วันนั้น นั่งได้แป๊บเดียว ฝนดันตกหนักมาก เลยไม่ทันได้เดินถ่ายภาพเก็บบรรยากาศรอบๆ คาเฟ่เลย ทำได้แค่เพียงนั่งถ่ายภาพบรรยากาศจากด้านในคาเฟ่เท่านั้น

ด้านข้างของคาเฟ่ มีคอกม้าแคระ ให้แขกได้มาถ่ายภาพ และให้อาหารม้าแคระด้วย ผมว่าม้าแคระที่นี่ค่อนข้างเชื่อง เพราะที่ผมเคยเห็นมา ส่วนใหญ่จะเลี้ยงม้าแคระไว้ในคอก และป้องกันอย่างแน่นหนากันม้าแคระดีดนักท่องเที่ยว แต่ม้าแคระที่นี่ เขาปล่อยให้เดินนวยนาด แทะเล็มหญ้าอวดโฉมนักท่องเที่ยวอย่างใกล้ชิดเลยครับ สำหรับผู้ปกครองท่านใดอยากให้ลูกหลานได้ลองขี่ม้าแคระก็สามารถนะครับ จะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด โดยมีค่าบริการ 500 บาท/20 นาทีครับ

สำหรับใครที่ชอบขับรถชิลล์ๆ ที่นี่ก็มีกิจกรรมขับรถคลาสสิกคาร์ โดยมีค่าบริการ 600 บาท/30 นาทีครับ

Trot Cafe Khaoyai เป็นอีกหนึ่งสถานที่พักผ่อนในเขาใหญ่ที่ไม่ควรพลาดครับ รับรองว่าสาย Social มาเที่ยวที่นี่ จะได้ภาพสวยๆ กลับไปอวดเพื่อนๆ อย่างแน่นอนครับ

จุดหมายต่อไปเราไปกันต่อที่ ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ.ลำตะคอง (พิกัด : https://goo.gl/maps/sxzFbGsX5i... )เพื่อไปเรียนรู้ด้านพลังงานไฟฟ้า การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานประเภทต่างๆ ทั้งจากเชื้อเพลิงฟอสซิลและพลังงานหมุนเวียน รวมถึงนวัตกรรมการผลิตไฟฟ้าที่ทันสมัยด้วยระบบ Wind Hydrogen Hybrid ครับ

โดยภายในศูนย์การเรียนรู้ จะแบ่งเป็น 7 โซน ดังนี้ครับ

  • โซน 1 : ลานผู้กล้า จุดลงทะเบียนรับ RFID ของเหล่าผู้กล้า เพื่อเตรียมพร้อมผจญภัยในดินแดนพลังงาน และชมการแสดงจาก H-bot
  • โซน 2 : ภารกิจพิชิตดินแดนพลังงาน ชมภาพยนตร์ 7 มิติ และพบกับ “น้องแทน” ตัวแทนเด็กจากชุมชน ลำตะคอง ที่จะพาเหล่าผู้กล้าไปผจญภัยในดินแดนพลังงาน และตามหาพลังงานแห่งอนาคต
  • โซน 3 : ดินแดนพลังงาน น้องสายชล น้องวายุ และน้องตะวัน ชวนผจญภัยในดินแดนพลังงานน้ำ (Water Frontier) พลังงานลม (Wind Frontier) และพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Frontier) พร้อมชมทิวทัศน์แสนงดงามของพื้นที่ลำตะคองที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าบนหอคอยดินแดนแห่งพลังงาน (The Tower of Energy)
  • โซน 4 : ดินแดนพลังงานแห่งอนาคต ร่วมผจญภัยค้นหาพลังงานใหม่แห่งอนาคต กับนวัตกรรมพลังงานสุดล้ำอย่าง “Wind Hydrogen Hybrid” เมื่อพลังงานลมและไฮโดรเจนผนึกกำลังร่วมกันสร้างความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้า
  • โซน 5 : ภารกิจผลิตไฟฟ้าเพื่อความสุขของคนไทย อุโมงค์กาลเวลา…พาเหล่าผู้กล้าร่วมผจญภัยกับภารกิจสุดท้าทายของ กฟผ. ในการผลิตไฟฟ้าเพื่อความสุขของคนไทย
  • โซน 6 : ฐานบัญชาการสมดุลพลังงาน ฐานบัญชาการที่เหล่าผู้กล้าจะได้ร่วมภารกิจ “สร้างสมดุลพลังงานไฟฟ้า” โดยสวมบทบาทเป็นผู้ควบคุมและปรับสัดส่วนเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าได้ด้วยตนเอง
  • โซน 7 : ม่วนซื่นลำตะคอง เพลิดเพลินไปในดินแดนแห่งรอยยิ้มและความสุข ที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติและความมีชีวิตชีวาของชุมชนลำตะคอง

เมื่อเข้ามาด้านในศูนย์การเรียนรู้ จะมีเจ้าหน้าที่มาแนะนำโซนต่างๆ ที่เราจะได้ไปเรียนรู้กัน พร้อมกับแจกบัตร RFID ซึ่งจะเป็นบัตรประจำตัวของเรา เอาไว้ใช้ลงทะเบียนเป็นผู้กล้าในการผจญภัยครับ

สารภาพเลยว่าผมตื่นตาตื่นใจมาก ทั้งแสง สี เสียง มันดูทันสมัยมากๆ ยิ่งโรงภาพยนตร์ 7 มิติ มีเหตุการณ์ให้ตื่นเต้นตลอด นับเป็นศูนย์การเรียนรู้ที่ดูไม่เบื่อเลยครับ เพราะทุกคนที่เข้ามาเยี่ยมชมจะได้ร่วมสนุก และมีอารมณ์ร่วมในทุกๆ โซนอย่างแน่นอน ไม่กระทั่งเด็กๆ ที่สนุก ลุงๆ อย่างผมยังสนุกตามไปด้วยเลยครับ

ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ.ลำตะคอง เปิดให้เข้าชมฟรี โดยเปิดให้เข้าชมทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่เวลา 09.00-16.00 น. รอบการเข้าชมนิทรรศการรอบสุดท้ายเวลา 15.00 น. สามารถโทรสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 044-984007 ครับ

แดดร่มลมตก เราไปปั่นจักรยานชมวิวบนสันอ่างเก็บน้ำบริเวณกังหันลมเขายายเที่ยงครับ ช่วงเย็นๆ เหมาะอย่างยิ่ง เพราะแดดไม่ร้อนเกินไป จึงทำให้เราสามารถซึมซับกับบรรยากาศของทุ่งกังหันลม รวมถึงชมวิวมุมสูงของอ่างเก็บน้ำลำตะคองได้แบบชิลล์ๆ

ค่าเช่ารถจักรยาน มี 2 แบบนะครับ แบบปั่นคนเดียว ค่าเช่าคันละ 40 บาท ถ้าปั่นแบบคู่ ค่าเช่าคันละ 80 บาทครับ

คืนนี้เราเข้าพักที่ Lala Mukha Tented Khao Yai (พิกัด : https://goo.gl/maps/kdoBoQuJjyGSXTng7 ) ที่พักสไตล์แคมป์ปิ้งแบบไฮโซครับ

คำว่า Lala Mukha เป็นภาษาชนเผ่าในแอฟริกาใต้ แปลว่า Relax หรือ ผ่อนคลาย บรรยากาศภายในรีสอร์ทออกแบบสไตล์ซาฟารี เน้นความกลมกลืนกับธรรมชาติทั้งสีสันและวัสดุที่นำมาใช้ ถึงแม้ว่าที่พักที่นี่จะเน้นการพักผ่อนแบบเต็นท์ แต่อย่าเพิ่งกังวลว่าจะลำบากนะครับ เพราะเต็นท์ที่นี่เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เทียบเท่ากับโรงแรมดีๆ เลยครับ

ที่พักใน Lala Mukha จะมี 3 แบบ คือ Eco Safari Tents, Deluxe Savanna Tent และ Loft Tree House สำหรับผมในคืนนี้เข้าพักแบบ Eco Safari Tents ครับ

ไม่ต้องกังวลนะครับ ว่าถ้าเข้าพักแบบเต็นท์แล้วจะไม่ปลอดภัย เพราะการจะเข้าไปในโซนที่พัก จะต้องมี Key card สำหรับเปิดปิดรั้ว จากนั้นในแต่ละเต็นท์ จะมีกุญแจสำหรับคล้องและล็อคที่ซิป เพื่อป้องกันคนอื่นเข้าไปในเต็นท์ของเราครับ

พื้นที่ภายในเต็นท์กว้างขวางพอสมควร แบ่งพื้นที่ออกเป็นสองส่วน ในส่วนหน้า ด้านซ้ายจะเป็นโซฟาขนาดใหญ่ ด้านขวาจะมีทั้งทีวี ตู้เย็น ตู้นิรภัย

พื้นที่ด้านในสุดจะเป็นส่วนของที่นอน มีเครื่องปรับอากาศให้พร้อมเลย แถมยังมีพัดลมตัวเล็กๆ ไว้เสริมให้ด้วย ภายในเต็นท์จะมีไฟส่องสว่างให้ 2 จุด คือ บริเวณหัวเตียง 1 จุด และบริเวณทางเข้าตรงโซฟาอีก 1 จุดครับ

Minibar ที่เห็นอยู่นี่ กินฟรีทุกอย่างครับ มีน้ำเปล่าให้ถึง 4 ขวด

เต็นท์แบบ Eco Safari Tents จะไม่มีห้องน้ำในตัวเหมือน Deluxe Savanna Tent นะครับ แต่จะมีห้องน้ำส่วนกลาง ซึ่งอยู่ห่างจากเต็นท์ที่พักไม่ไกล ห้องน้ำแยกชายหญิง และแยกส่วนที่ทำกิจกรรมอย่างชัดเจน

ก่อนจะเข้าไปใช้ห้องน้ำ ต้องเปลี่ยนรองเท้าแตะที่วางอยู่ตรงชั้นด้านหน้าห้องน้ำก่อนนะครับ

โซนนี้จะเป็นส่วนของโถปัสสาวะและอ่างล้างมือ

โซนนี้จะเป็นโซนแต่งตัว มีอ่างล้างหน้า ไดร์เป่าผม ล็อคเกอร์สำหรับใส่สิ่งของมีค่า ที่สำคัญ โซนนี้เป็นโซนเดียวในห้องน้ำที่ติดแอร์ครับ

ที่เห็นด้านหลังกระจก จะเป็นโซนห้องส้วม มีทั้งหมด 5 ห้อง

โซนนี้จะเป็นโซนห้องอาบน้ำ มีทั้งหมด 6 ห้อง ภายในห้องอาบน้ำแต่ละห้องก็จะแบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วน คือส่วนเปียกและส่วนแห้ง ในส่วนเปียกจะเป็นพื้นที่อาบน้ำ มีแชมพู ครีมอาบน้ำให้พร้อม สำหรับส่วนแห้งจะเป็นพื้นที่แต่งตัว มีที่แขวนผ้าและมีที่นั่งให้ด้วย

มื้อค่ำนี้ ผมฝากท้องไว้ที่ห้องอาหารของทางรีสอร์ท เพื่อให้ได้บรรยากาศแบบซาฟารี ค่ำนี้เราจะปิ้ง BBQ พร้อมกับอาหารของทางรีสอร์ทอีกนิดหน่อยครับ

ค่ำนี้สนุกสนานกันใหญ่ จนเกินเวลาที่ห้องอาหารปิด น้องพนักงานอนุญาตให้นั่งต่อในระหว่างที่กำลังเก็บจานชาม พอน้องๆ เคลียร์พื้นที่เสร็จสมาชิกทุกคนก็แยกย้ายสลายตัวครับ

เมื่อคืนมาถึงที่พักก็มืดซะแล้ว จนมองไม่เห็นบรรยากาศอะไรเลย เช้านี้เลยขอเดินสำรวจพื้นที่รีสอร์ทกันสักหน่อย เริ่มจากด้านหน้ารีสอร์ทเลยครับ

พื้นที่ที่ให้แขกได้นั่งพักผ่อนครับ

สระว่ายน้ำส่วนกลาง เปิดให้บริการตั้งแต่ 07.30-19.00 น. ครับ

ห้องพักแบบ Loft Tree House

เต็นท์แบบ Eco Safari Tents ด้านหน้าจะมีชุดเก้าอี้สนามให้ทุกหลังครับ

ห้องอาหารครับ

อาหารเช้าแบบ Buffet มีให้เลือกพอสมควรครับ

กองทัพเดินด้วยท้อง ผมขอตักตวงความอร่อยให้เต็มที่ ก่อนจะออกเดินทางกันต่อไปครับ

ไหนๆ ก็เป็นวันสุดท้ายของทริปแล้ว ช่วงเช้าขอตะเวนหาซื้อของฝากกลับบ้านซะหน่อย จุดหมายแรกปักหมุดที่ The Birder’s Lodge Farmers market (พิกัด : https://goo.gl/maps/e1L3hk8iBJNUhPZq9 ) ตลาดที่ขายพืชผัก ผลไม้ออร์แกนิกครับ

จุดเด่นของตลาดแห่งนี้คือตั้งอยู่ในโรงนาขนาดใหญ่ที่ถูกปกคลุมด้วยสีเขียวของต้นเหลืองชัชวาลครับ

สินค้าส่วนใหญ่เป็นสินค้าปลอดสารพิษที่นำมาจากชุมชน นอกจากนี้ยังมีของฝากของกินเล่นอื่นๆ อย่างเช่นเห็ดทอด ข้าวเกรียบเห็ดหอม และสินค้าอื่นๆ อีกพอสมควร โดยตลาดแห่งนี้จะเปิดเฉพาะวันศุกร์-อาทิตย์เท่านั้นครับ

จากนั้นไปต่อกันที่บ้านหมากม่วง (พิกัด : https://goo.gl/maps/pxTBRtykLH5vgNmBA ) คาเฟ่ที่อยู่ในอ้อมกอดของขุนเขาและสวนมะม่วงครับ

บ้านหมากม่วงเป็นทั้งคาเฟ่และสวนมะม่วง มีเมนูของหวานที่นำมะม่วงเป็นตัวชูโรง นอกจากของหวานแล้วยังมีมะม่วงสุกและผลิตภัณฑ์มะม่วงแปรรูปหลากหลายให้ได้เลือกชิมเลือกช้อปกลับไปฝากคนที่บ้านครับ

เมนูที่ต้องสั่งเมื่อมาที่บ้านหมากม่วง ต้องนี่เลยครับ ข้าวเหนียวมะม่วง ตัวข้าวเหนียวนุ่ม หอมมัน หวานกะทิ ทานคู่กับมะม่วงน้ำดอกไม้สุก ที่หวานแบบธรรมชาติ มันชื่นใจมากๆ ยิ่งทานคู่กับน้ำมะม่วง จะทำให้สดชื่นขึ้นไปอีก

อีกหนึ่งเมนูที่ต้องลองคือมะม่วงย่างเนยน้ำผึ้งหน้ากรอบ ที่ต้องสั่งเพราะทนกลิ่นที่หอมหวนของเนยเบิร์นไม่ไหว ก้าวแรกที่เข้ามาในคาเฟ่ กลิ่นของเนยคาราเมลมันเตะจมูกอย่างจัง เมนูนี้เสิร์ฟคู่ไอศกรีมวนิลลาครับ

คาเฟ่จะมี 2 ชั้นนะครับ ชั้นบนอาจต้องเดินขึ้นบันไดชันสักหน่อย แต่บรรยากาศดีมากๆ นั่งทานของหวานไป ชมวิวสวนมะม่วงท่ามกลางหุบเขาไป บอกได้คำเดียว ฟิน!!

กินกันอีกแว๊วววว มื้อเช้ายังไม่ทันจะย่อยเลย อะไรกันเนี่ย!!! เที่ยงอีกแล้ว เที่ยงนี้เรามีนัดกับป้าติ๋ม เจ้าของ Rosemary House บ้านสวนโรสแมรี่ (พิกัด : https://goo.gl/maps/igio5BjH7Ud6yt338 ) ป้าติ๋มจะมาทำอาหารให้เรากินกันแบบส่วนตัว ตามสไตล์ Chef’s Table ครับ

บ้านสวนโรสแมรี่ เป็นทั้งโฮมสเตย์และร้านอาหารแบบโฮมเมต ที่มีป้าติ๋ม เป็นทั้งเจ้าของและแม่ครัว เป็นคนลงมือจัดเตรียมวัตถุดิบทำอาหารด้วยตัวเอง

ป้าติ๋ม ธนพร ไฮนซ์ สาวใหญ่ที่เพิ่งผ่านวัยเกษียณมาไม่กี่ปี ได้หนีความวุ่นวายจากเมืองกรุงมาใช้ชีวิตอยู่ที่ปากช่อง ด้วยความที่เป็นคนหลงใหลในต้นโรสแมรี่เป็นชีวิตจิตใจ จึงได้นำต้นโรสแมรี่จากออสเตรเลีย และอิตาลี ที่มีทั้งแบบไม้เลื้อยและไม้พุ่ม มาปลูกภายในพื้นที่ส่วนต่างๆ ของบ้าน ดูแลพืชพรรณที่ปลูกให้ผลิดอกบานสะพรั่ง กระทั่งเกิดไอเดียเปิดบ้านเป็นโฮมสเตย์เล็กๆ มีบ้านพักสไตล์คอทเทจ ที่ห้อมล้อมไปด้วยสวนโรสแมรีสไตล์สวนอังกฤษครับ

เดินชมรอบบ้านแล้ว เราไปเข้าครัวดูป้าติ๋มทำอาหารกันดีกว่าครับ อาหารส่วนใหญ่จะเป็นอาหารฝรั่งตามที่ป้าติ๋มถนัดครับ

มาดูกันครับว่าวันนี้ป้าติ๋มทำเมนูอะไรให้พวกเราทานบ้าง เริ่มที่ พลาสต้าซอสเห็ดทรัฟเฟิลหอยเชลล์ เมนูนี้เด็ดจริง ซอสเห็ดทรัฟเฟิลกลิ่นขึ้นจมูกอย่างมาก หอยเชลล์ตัวใหญ่ๆ เด็ดจนต้องขอเบิ้ลครับ

สลัดผักสดๆ ผักกรอบๆ ทานแล้วสดชื่นครับ

Pork chop ซอสเห็ด เมนูนี้หมูนุ่ม หอมกลิ่นซอสเห็ดมากๆ ครับ

BBQ Pork ribs ซี่โครงหมูย่างเนื้อนุ่มมาก ซอสบาร์บีคิวเข้มข้น เสิร์ฟพร้อมผักดองที่หลากหลาย ช่วยทำให้เพิ่มรสชาติได้ดีครับ

สเต็กแซลมอนซอสมัสตาด เสิร์ฟพร้อมบรอกโคลี มะเขือเทศผัดเนย

ไส้กรอกไก่ใส่ใบโรสแมรี่ ไส้กรอกโฮมเมดที่ผสมใบโรสแมรี่ย่างหอมๆ ทานคู่กับมันบด ตัดเลี่ยนด้วยกะหล่ำปลีดอง

Penne เนื้อ ซอสมะเขือเทศเข้มข้นผสมกับเนื้อบดครับ

ต้องบอกเลยว่า ฝีมือป้าติ๋ม อร่อยทุกอย่างเลยครับ

ผมชอบมุมนี้ของบ้านป้าติ๋มมาก มันเหมือนกรอบรูปธรรมชาติบานใหญ่ ที่มีสีเขียวของต้นโรสแมรี ตัดกับสีแดงของดอกหางนกยูงที่กำลังบานสะพรั่ง ดูสดใสมากๆ ครับ

เมื่ออิ่มหนำสำราญกันแล้ว ป้าติ๋มก็ออกมาพูดคุยกับพวกเราครับ ป้าติ๋มเล่าให้ฟังว่า เริ่มมาทำอาหารจริงๆ จังๆ หลังจากเปิดโฮมสเตย์มาได้สักพัก ตอนที่เปิดโฮมสเตย์ครั้งแรกก็ยังไม่มีร้านอาหาร พอแขกมาพักเริ่มถามกันว่ามีอะไรให้กินบ้าง ป้าติ๋มเลยเริ่มฝึกทำอาหารด้วยตัวเองตั้งแต่นั้นมา ลองผิดลองถูกมาจนรสชาติเป็นที่ถูกใจของลูกค้าที่มาพัก จึงตัดสินใจเปิดเป็นร้านอาหารเพิ่มขึ้นมาครับ จากการพูดคุย ป้าติ๋มเป็นคนคิดบวก อารมณ์ดีมาก พูดไปหัวเราะไปตลอด

ในส่วนของโฮมสเตย์ ที่นี่มีทั้งหมด 5 หลังครับ

ใครที่สนใจเข้าพักที่โฮมสเตย์หรือต้องการไปชิมฝีมือป้าติ๋ม ต้องแจ้งป้าติ๋มล่วงหน้า ที่ 082-1642859 หรือที่ Facebook fanpage : rosemary house โฮมสเตย์ เพื่อที่ป้าติ๋มจะได้จัดเตรียมวัตถุดิบล่วงหน้าครับ

ออกจากบ้านป้าติ๋ม ไปต่อที่บาร์ไอติม เขาใหญ่ (พิกัด : https://goo.gl/maps/bbC8TMxzcjCjLVFD7 ) ร้านไอศกรีมที่มีรสให้เลือกมากกว่า 50 รส บางรสชาติหาทานที่ไหนไม่ได้ นอกจากที่นี่ที่เดียวครับ

ไอศกรีมที่นี่มีให้เลือกหลายรสชาติจริงๆ มีทั้งแบบเบๆ ที่หาทานได้จากร้านทั่วๆ ไป อย่างรสสตรอว์เบอร์รี มะพร้าว ทุเรียน รัมเรซิน ฯลฯ แปลกขึ้นมาหน่อยก็จะมี ตะลิงปิง มะเฟือง กระท้อน กระบก กล้วยบวชชี ไข่ผำ เฉาก๊วยชาจีน น้อยหน่าปากช่อง ฯลฯ และที่แปลกสุดๆ เห็นจะเป็นไอศกรีมรสลาบ สะเดาน้ำปลาหวาน ผัดหมี่โคราช และส้มตำต่างๆ ทั้งตำไท ตำไทไข่เค็ม ตำปูปลาร้า แต่เอ๊ะ! ยังไม่เห็นตำหอยดองนะครับ

ก่อนที่จะเลือกสั่งเมนู เราสามารถขอชิมรสชาติของไอศกรีมก่อนได้นะครับ ผมนี่ไปยืนชิมจนรู้สึกกระดากใจเลย รสนั้นก็ดี รสนี้ก็อร่อย ตัดสินใจยากจริงๆ

ไปดูหน้าตาของไอศกรีมกันครับ ไปแอบถ่ายของเพื่อนร่วมทริปมา จำชื่อได้บ้าง จำไม่ได้บ้าง

เมนู 3 แซ่บ ไอศกรีมประกอบด้วยรสมะยม โรยหน้าด้วยพริกเกลือ รสมะม่วงน้ำปลาหวาน และกระท้อนทรงเครื่อง

ไอศกรีมรสส้มตำไทย

ไอศกรีมรสส้มตำไทยไข่เค็ม

ไอศกรีมรสส้มตำปูปลาร้า

ไอศกรีมรสลาบ

ไอศกรีมรสหมี่โคราช

หากถามว่ารสชาติไอศกรีมรสชาติแปลกๆ เป็นอย่างไรบ้าง เท่าที่ชิมมาคือใช่เลย ปลาร้าเป็นปลาร้า ลาบเป็นลาบ แถมรสชาติจัดจ้านด้วย แต่ละเมนูจะเสิร์ฟมาพร้อมกับเครื่องแนม ที่ทานเข้ากับไอศกรีมรสชาตินั้นๆ ด้วย ใครที่ชอบลองของแปลก ต้องมาแล้วครับ เพราะไม่อย่างนั้น ระวังจะคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง

เป็นอันจบทริปด้วยความสนุกและประทับใจมากๆ ทริปนี้ได้ตะลุยกินอาหารอร่อยๆ หลายร้าน ได้เข้าพักในบรรยากาศ 2 สไตล์ เที่ยวไปได้ความรู้ไป แถมยังได้ทำกิจกรรมดีๆ อย่างการทำโป่งเทียมให้กับสัตว์ป่า ที่สำคัญ ได้มิตรภาพดีๆ กลับมาด้วย เพื่อนๆ คนไหนที่กำลังมองหาเส้นทางท่องเที่ยวในจังหวัดนครราชสีมา สามารถตามรอยทริปนี้ได้เลยนะครับ รับรองว่า ได้เที่ยว ชิม ชิลล์ ครบทุกรสชาติอย่างแน่นอน

ท้ายสุดนี้ต้องขอขอบคุณ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ที่คัดสรรแต่ของเด็ดของดีมารวมไว้ในในทริปนี้ รวมถึงขอบคุณทีมงานพันทิป ที่เปิดโอกาสและมอบประสบการณ์ดีๆ ให้กับผมในครั้งนี้ด้วยครับ

ลุงเสื้อเขียว

 วันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 เวลา 03.26 น.

ความคิดเห็น