ปลดล็อกความกลัว เที่ยวใต้สุดปลายด้ามขวาน
นั่งรถไฟไปใต้สุดประเทศไทย สุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส
มีหลายคนเคยถามว่า ที่อยากไปเที่ยวมากที่สุดในประเทศไทย คือที่ไหน 3 จังหวัดชายแดนใต้ นี่แหละ คือสถานที่ที่เราอยากมาเที่ยวมากที่สุด ครั้งแรกกับการเดินทางมาเที่ยวใต้สุดปลายด้ามขวาน กับ 3 จังหวัดชายแดนใต้ เปิดประสบการณ์ใหม่ตั้งแต่การนั่งรถไฟลงมาคนเดียวครั้งแรก
และคิดว่าคงเป็นจุดมุ่งหมายปลายทางของใครหลายๆคน ที่อยากจะมาเที่ยว 3 จังหวัดภาคใต้สักครั้ง ซึ่งเราก็เป็นหนึ่งในนั้น และวันนี้เราจะพาทุกคนปลดล็อกความกลัว เที่ยวใต้สุดปลายด้ามขวาน กับ 3 จังหวัดชายแดนใต้ การเที่ยวครั้งนี้ ไม่ได้วางแผนอะไรมากมาย แค่สักครั้งอยากมานอน นราธิวาส ปัตตานีดูสักคืน และต่อด้วยยะลา เบตง ปิดท้ายด้วยหาดใหญ่ ทริปนี้คือตะเวนเที่ยวไปเรื่อยๆ ไม่มีแผน งบครั้งนี้บอกได้เลยหลักพันปลายๆ เอาล่ะ ทริปนี้จะสนุกและมันส์ขนาดไหน ไปกัน
จุดเริ่มต้นการเดินทางจากสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ กับจุดหมายปลางทางคือใต้สุดปลายด้ามขวาน สถานีสุไหงโกลก ระยะเวลา 23 ชั่วโมง เรามาถึงสถานีประมาณเที่ยงครึ่ง นั่งรอเวลาเจ้าหน้าที่ก็เรียกขึ้นรถ เราจองออนไลน์มาสามารถใช้ QR Code ยื่นให้เจ้าหน้าที่ดูได้เลย ของเราอยู่ที่ชานชาลา 7-8 สำหรับเดินทางไปภาคใต้โดยเฉพาะ
รถไฟขบวน 171 รถเร็ว กรุงเทพฯ – สุไหงโก-ลก เป็นสายที่ไปยากที่สุด เพราะไกลที่สุดจากกรุงเทพฯ ด้วยระยะทางกว่าพันกิโลเมตร ขบวนรถไฟสายสุไหงโก-ลก เป็นหนึ่งในขบวนยอดนิยม มีผู้โดยสารจำนวนไม่น้อยเลยที่เดินทางในทุก ๆ วัน และตั๋วเต็มเร็วมาก คงเพราะรถไฟเป็นการเดินทางที่สะดวกที่สุดสำหรับระยะไกลขนาดนี้ และที่สำคัญไม่ต้องต่อรถและผ่านเข้าเมืองแบบตรงๆ ไม่อ้อมไปอ้อมมา จึงทำให้คนใต้นิยมนั่งรถไฟมาก ไม่แปลกใจเลยถ้าตู้นอนจะเต็มเร็วขนาดนี้
เราจองมาเป็นตู้นอนชั้นสอง แอร์ เตียงล่าง หลังจากได้เวลาก็ขึ้นมาบนรถ เดินหาที่นั่ง เอากระเป๋าสัมภาระเก็บ ก็นั่งชิวๆ รอเวลารถออก ตามเวลารถจะออก 13.10 น. ครั้งนี้รถไฟออกตรงเวลาด้วยแหละ
อยู่บนรถไม่ต้องกลัวอดเลย จะได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของแม่ค้าพ่อค้าที่ขึ้นมาขายของบนขบวนรถไฟเมื่อจอดเทียบชานชาลาดังโขมงโฉงเฉงเหมือนเคย ก๋วยเตี๋ยว 10 บาทจ้า 10 บาท สิ่งที่แทบจะพลาดไม่ได้ก็ก๋วยเตี๋ยวบนรถไฟราคา 10 บาทแม้จะน้อยนิดตามราคา แต่ถ้าได้ลิ้มลองรสชาติแล้วก็ไม่น้อยตามปริมาณเลย
จะว่าไปทุกครั้งที่มีโอกาสได้เดินทางโดยรถไฟ ไม่ว่าจะเป็นสายไหน วิถีชีวิตของพ่อค้าแม่ค้าไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมยังคงทำให้เรารู้สึกว่าน่ารักทุกครั้งที่ได้พบเจอ
ผ่านมาเกือบสถานีหัวหิน พี่เจ้าหน้าที่ก็เริ่มจะปูที่นอนให้แล้ว ใช้เวลาปูไม่นาน บนรถจะมีหมอน ผ้าห่มให้ด้วย นอนสบายเลยแหละ
เราว่าการนั่งรถไฟมีข้อดีเยอะเลยนะ
1. ได้ความอดทน อดกลั้น ทนมาได้ตั้ง 23 ชม.
2. ได้นั่งเกาะขอบหน้าต่าง ดูวิวชิลๆไปตลอดทาง (พร้อมหลับตลอดทางด้วย😪)
3. ได้วางโทรศัพท์มือถือลงบ้าง นั่งอยู่กับตัวเองและความคิดต่างๆในหัวว่า "ฉันมาทำอะไรที่นี่..."
4. ได้ซื้อของกินตลอดทุกสถานี ขายของกันบันเทิงมาก เราชอบรถไฟตรงนี้แหละ5555
5. ได้เข้าห้องน้ำบนรถไฟ แบบคลาสสิคพร้อมกลิ่นและสิ่งต่างๆ
6. ได้รู้ว่าสถานีนี้เป็นสถานีสุดท้ายที่มีของขาย สถานีหน้าไม่มีแล้ว ไม่มีอยู่จริง มีขายทั้งคืน
7. และได้รู้ว่า เวลาถึงตามตาราง(21 ชม.) ไม่มีอยู่จริงง😭 5555
6:00 น. จากสถานีกรุงเทพด้วยระยะทาง 945 กิโลเมตรมาถึง ‘สถานีชุมทางหาดใหญ่’ สถานีที่ได้ชื่อว่ามีคนขึ้นลงมากที่สุดในเส้นทางรถไฟสายใต้ สถานีที่ทำหน้าที่แยกรถไฟออกเป็น 2 ส่วน สายหนึ่งไปเจอกับทางรถไฟของมาเลเซียที่ปาดังเบซาร์ เพื่อมุ่งหน้าไปบัตเตอร์เวอร์ธ (ปีนัง) กัวลาลัมเปอร์ และสิงคโปร์และอีกสายหนึ่งมุ่งหน้าผ่านปัตตานี ยะลา นราธิวาส เส้นทางที่เรากำลังจะเดินทางไป รถจอดอยู่นานพอสมควรเพื่อหลบทางให้รถไฟอีกขบวนผ่านไปก่อน
ตื่นมาล้างหน้าแปรงฟัน ปะแป้งเสร็จเรียบร้อยเราก็เดินลงไปเที่ยวเล่นในชานชาลา พร้อมซื้อ ข้าวเหนียวไก่ทอดสีส้มโรยหอมเจียว คืออาหารประจำสถานีชุมทางหาดใหญ่ แต่ก็เตือนไว้ก่อนว่าอย่าเพิ่งซื้อเยอะ เพราะมีอีกหลายสถานีข้างหน้าที่ของกินอร่อย ๆ รอให้เราลองลิ้มชิมรสไปกับการเดินทางความสนุกของการเดินทางด้วยรถไฟไทย ที่สำคัญ มันทำให้เราได้รู้จักอาหารท้องถิ่นมากขึ้น
เป็นอาหารเช้าที่อร่อยสุดๆ ออกมาจากชุมทางหาดใหญ่ยังไม่ทันจะเข้าสถานีจะนะ นาทีตื่นเต้นก็เกิดขึ้น พี่ทหารในชุดเครื่องแบบลายพรางปรากฏกายพร้อมปืน M16 อยู่กลางขบวนรถไฟ ประกาศขอตรวจตั๋วอีกครั้ง ในสถานการณ์ที่รู้สึกตึงเครียดใบหน้าของพี่ทหารยังพอมีรอยยิ้มที่เป็นมิตรทำให้รู้สึกผ่อนคลาย เมื่อรู้ว่านี่เป็นเพียงการตรวจตามปกติเพื่อความปลอดภัยก็โล่งใจ... ตอนแรกก็คิดว่า “นั่งไง เอาแล้ว” เกือบได้ตื่นเต้นแล้ว 5555พอพี่ทหารตรวทุกอย่างเสร็จ เดินพ้นออกไป ก็ได้เวลาเราไปสำรวจรถไฟกันแล้ว มีทั้งตู้นอนพัดลม นั่งพัดลม ชั้นสอง และชั้นสาม แต่จะแบบไหนก็เดินทางถึงเวลาเดียวกัน
ที่นั่งพัดลมชั้น 2 ก็ไม่ได้แย่นะ ฟิลเหมือนนั่งรถทัวร์เลย เบาะสามารถปรับได้ มีที่วางของกินเหมือนเป๊ะ
พี่เจ้าหน้าที่มาแนะนำว่า ถ้ามาใต้กินไก่ทอดหาดใหญ่แล้ว ต้องลองกินไก่ทอดเทพาด้วย แต่พ่อค้าแม่ค้าจะไม่ได้ขึ้นมาขายบนขบวนรถนะ เพราะรถจะจอดที่สถานีเทพาแค่ 1-2 นาทีเท่านั้น ถ้าอยากจะทานต้องไปรอที่นั่งชั้น 3 แล้วยื่นหน้าออกไปซื้อ เราก็ไม่รอช้า เดินไปที่นั่งชั้น 3 ทันทีเลย พอรถไฟจอดเราต้องชะเง้อตัวคอยเรียกแม่ค้าที่หอบหิ้วกระเช้ามารอขายที่ริมหน้าต่าง
สำหรับสถานีเทพา แกงเขียวหวานไก่ใส่ฟัก พร้อมไก่ทอดสีส้มรสเค็มราดบนข้าวสวยร้อน ๆ หอมกรุ่น คืออาหารห้ามพลาด ความคล่องแคล่วของแม่ค้าที่วิ่งหิ้วของมาเสนอขายตรงหน้าต่าง แข่งกับเวลาที่รถไฟจอดเพียงน้อยนิดแค่ 1 นาที เพียงแค่คุณเอ่ยปากไปว่าจะเอากี่กระทง เจ้าอาหารเช้าซิกเนเจอร์แห่งเทพาก็พร้อมเสิร์ฟเป็นชุด รสชาติหวาน ๆ เผ็ด ๆ ของฟักนั้นเข้าเนื้อมาก กัดไปแล้วไม่จืดเลย ส่วนไก่ก็เค็มกำลังดี กินเพลิน ๆ พร้อมเลียนิ้วมือ ถือได้ว่าเป็นอาหารสวรรค์ของคนนั่งรถไฟแบบเราเลย
เวลา 11:18 น. รถไฟเข้าจอดเทียบชานชาลาสุไหงโกลก หรือสถานีรถไฟนราธิวาส สถานีสุดท้ายในเส้นทางสายใต้ จุดหมายปลายทางของทริปนี้ เป็นสถานีที่อยู่ไกลจากกรุงเทพฯ ที่สุด ด้วยระยะทางกว่า 1,159 กิโลเมตร
ที่นี่สินะจังหวัดนราธิวาส ใต้สุดปลายด้ามขวาน ขณะที่เรายังยืนเงอะงะหาหนทางอยู่ ลุงคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาสอบถามถึงวัตถุประสงค์ของการมาอาจจะเพราะเห็นได้ชัดว่าเป็นคนต่างถิ่น พร้อมทั้งหยิบยื่นข้อเสนอที่จะพาเราไปยังที่หมายด้วยการตีเป็นมูลค่าในราคา 600 บาท เราเองก็ไม่เคยมาที่นี่แถมยังแบ็คแพ็คมาด้วย เงินติดตัวมาก็มีไม่เยอะเลยปฏิเสธไปก่อน
ทริปนี้เราตั้งใจจะเดินทางไปยัง สุคิริน #ซึ่งการเดินทางสู่สุคิริน เราสามารถเดินทางโดยรถสองแถว ที่หน้าสถานีได้เลย ราคาเหมาคัน 500 บาท / ราคาต่อคน คนละ 100 บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง หรือจะเช่ามอเตอร์ไซค์ก็ได้ ส่วนเรานัดกับทางที่พักให้มารับ
ใช้เวลาเดินทางมา 1 ชั่วโมง ก็เข้าเขตสุคิริน สถานที่ที่เราตัดสินใจเดินทางมา เพื่อลบภาพความน่ากลัวจากข่าวที่เคยได้ยินได้เห็นมานานหลายปี สถานที่ท่องเที่ยวที่ซ่อนอยู่ภายใต้ภาพความไม่สงบในจินตนาการเดิมๆ และนำไปสู่จินตนาการใหม่ๆ ที่ไม่เคยนึกถึงมาก่อน
ภาพข่าวต่างๆ มันคอยบ่มจิตใจเรามานาน ทำให้คิดไปว่า คนที่นี่จะอยู่ยังไง ? พวกเค้าจะมีความสุขมั้ย ? บ้านเมืองจะน่ากลัวหรือเปล่า ? แล้ววันนี้เราก็ได้คำตอบเหล่านั้นแล้ว...
สุคิริน :: ดินแดนแห่งความชิล! [นราธิวาส]
เที่ยวปลายด้ามขวานทอง จ.นราธิวาส แค่ครั้งแรกก็ติดใจแล้ว.. ที่นี่ “สุคิริน”
อำเภอสุคิริน เป็นอำเภอ ที่ตั้งอยู่ใต้สุดของ จังหวัดนราธิวาส อยู่ติดกับชายแดน ไทย – มาเลเซีย
มาถึงก็มาแวะกันที่ร้านยายโพธิ์ มีเมนูให้เลือกหลากหลายเลย จะเป็นก๋วยเตี๋ยว ส้มตำ คอหมูย่าง มีหมด
จากตัวอำเภอสุคิริน ใช้เวลาเดินทางอีกประมาณ 20 นาที ก็มาถึงที่พักของเราในคืนนี้ เราพักกันที่ #วังหินงาม รีสอร์ท อำเภอสุคิริน ราคาคืนละ 500 บาทเท่านั้นเอง ตามมาดูห้องพักกันเลย ห้องกว้างขวาง สะดวกสบายมากๆ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ! คืนแรกเราจะนอนในห้องแบบนี้ แต่วันต่อๆไป รสชาติของการผจญภัย และหน้าตาที่นอนของเราจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง 5555+
เอาของเก็บเข้าที่พักเสร็จเรียบร้อย พี่เค้าก็พาเดินลงไปดูลำธารที่อยู่ด้านล่างที่พัก
ความพิเศษของที่พักนี้ ก็คือสิ่งนี้เลย #แม่น้ำสายบุรี อยู่ติดกับที่พักมากกก เดินแค่ไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว ก็ถึงเลย แม่น้ำสายนี้มีประวัติและที่มาที่น่าสนใจที่เกี่ยวกับในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเราด้วย ไปหาอ่านเอาน้า
ไหนๆก็มาถึงที่แล้ว เราลงไปเดินเล่นกันดีกว่า ลำธารที่นี่เค้าเปิดให้เข้าฟรี แค่เช่าห่วงยางเสื้อชูชีพกับทางที่พัก มากันเป็นครอบครัว เอาอาหาร ขนม มานั่งปิคนิคกันเลยทีเดียว
ว้าววว มาถึงก็เจอเด็กๆ กำลังเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนานเลย ทุกคนดูมีความสุข และมีรอยยิ้มที่น่ารักมาก มันทำให้เราสึกได้เลยว่า...ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็ไม่มีทางพรากความสุขไปจากเด็กๆที่นี่ได้ ทุกคนยังคงเล่น และใช้ชีวิตกันอย่างปกติ มันคือภาพที่แม้แต่เราเองก็ยังไม่เคยคิดว่าจะเป็นแบบนี้
เดินทางมาทั้งวันมันก็จะร้อนๆ เหงื่อๆ หน่อย ช่วงเวลาที่รอคอยก็มาถึงครับ ได้ล่องแก่งกันแล้ววว จากที่พักนั่งรถไปยังจุดเริ่มประมาณ 5 กิโล
เป็นการล่องแก่งที่ #แม่น้ำสายบุรี พร้อมแค่ไหนไม่ต้องบอก มีความตื่นเต้นอยากเล่นมากกกก บรรยากาศมันคือดีมากกกก มีความชอุ่มสุด ความเขียวนี้ท่านได้แต่ใดมา มันร่มรื่นดีจริงๆ ต้องลองมา สนุกจริงอะไรจริงๆ น้ำไม่แรงจนดูอันตรายด้วย เล่นได้สบายๆ
โชคดีมากๆ ระหว่างที่เราล่องแก่งอยู่ มีคุณลุงคุณป้ามาร่อนทองกันอยู่ เข้าไปสอบถาม และให้คุณลุงสาธิตวิธีการทำให้ดู คือมันอะเมซซิ่งมากๆ เราไม่คิดว่าที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ จะมีอะไรแบบนี้อยู่จริง คุณลุงบอกว่าอยู่บ้านมันร้อนเลยออกมาร่อนทอง แป๊บๆ ก็ได้แหละ
แต่การมาร่อนทองนี่ ถ้าอยากทำต้องไปที่บ้านภูเขาทอง เค้าจะมีกิจกรรมให้ทำคนละ 100 บาท ส่วนเราแค่ดูก็พอ เพราะมันยากเลยแหละกว่าจะร่อนให้ได้ทองมา หลายกระบวนการมากๆ และเค้าให้เฉพาะคนพื้นที่เท่านั้นนะ
ล่องแก่งกลับมาเราก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากันก่อน แล้วเดี๋ยวเราจะแว๊นมอเตอร์ไซค์ไปชมพระอาทิตย์ตกดินกันใกล้ที่พัก วิวสวยมาก
กลับเข้าที่พัก ทานอาหารจานเดียวง่ายๆ ข้าวผัดหมู อร่อยอย่าบอกใครเลย แล้วก็ไปเข้าห้องนอน หยิบอุปกรณ์มาชาร์จแบตให้พร้อม เพราะวันพรุ่งนี้เราต้องตื่นแต่เช้า พี่เค้าจะพาเราไปสัมผัสอีกหนึ่งเสน่ห์ของสุคิรินที่เรียกว่า #ต้องห้ามพลาด
ตื่นเช้ามาวันที่สอง เราก็รีบล้างหน้าแปรงฟัน เช้านี้มาหมอกฟุ้งมากๆ พูดถึงทะเลหมอก หลายคนอาจจะงงๆ และนึกไม่ถึงว่า ภาคใต้เนี่ย...มีทะเลหมอกด้วยเหรอ ? มีสิ ที่เราจะไปชมทะเลหมอกกันก็คือ ภูจันผา อยู่ไม่ไกลจากที่พักของเราเลย ค่าเข้าคนละ 30 บาทเองน้า คุ้มมากๆ
พี่เค้าพาแว๊นซ์มอเตอร์ไซค์ทะลุหมอกกันไปเลย ความสุขสายเเว๊นมันอยู่ตรงนี้แหละ หน้าตานี่ตื่นเต้นอย่าบอกใคร เหมือนอยากรู้อยากเห็นไปหมด 5555+
เพราะปกติแล้วพูดถึงทะเลหมอกก็ต้องภาคเหนือสิครับบบ...จะมีสักกี่คนที่จะคิดว่าภาคใต้อย่างจังหวัดในเขตใต้สุดแดนสยามเนี่ยแหละ ก็มีทะเลหมอกนะเทออออ ขึ้นเหนือให้สุดแล้ว เราก็จะลงใต้ให้สุด ตามมาดูทะเลหมอกที่ต้องบอกว่า #อลังการงานสร้าง ไม่แพ้ใครเลย
สถานที่นี้ต้องบอกว่า.. มีความเป็นธรรมชาติสูงมาก มีพื้นที่ที่เป็นภูเขา และป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ ที่นี่จึง.. อากาศดีมากครับ เย็นสดชื่น สบายๆ จนเผลอคิดว่า.. กำลังเที่ยวอยู่บนดอยสูงๆ แถวเชียงใหม่เลยที่เดียว 55+
สีสันของทะเลหมอก ที่เปลี่ยนไปตามแสงอาทิตย์ และแสงไฟ และเวลาที่ค่อยๆล่วงเลยมาจนเช้าขึ้นเรื่อยๆ มันก็ให้อารมณ์ที่แตกต่างกันออกไป
เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นมา และกลายเป็นเวลาเช้าอย่างเต็มที่แล้ว ภาพที่เห็นเบื้องหน้าก็เห็นได้ชัดด้วยตาเปล่ามากขึ้นเรื่อยๆ ...และมันทำให้เรา มีความสุขกับสิ่งที่เห็น มองไปทางไหนก็เหมือนกับสวรรค์บนดิน
และเช้านี้ สุคิรินก็กลายเป็นเมืองในสายหมอกไป อิ่มใจไปกับบรรยากาศ ธรรมชาติแบบนี้ ทะเลหมอกสุดสายตาแบบนี้ ยืนดูได้ทั้งชีวิตแบบไม่มีวันเบื่อเลยจริงๆ
ความสวยงามแบบนี้ ต้องลองพาตัวพาใจมาสัมผัสดูนะครับ ไม่จำเป็นต้องไปดูทะเลหมอกสวยๆ แต่ที่ภาคเหนือเท่านั้น ภาคใต้ของเราก็งามไม่แพ้ใครเลย
ออกจากภูจันผาก็กลับเข้าที่พัก เช้านี้ทางที่พักมีน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ ข้าวเหนียวไก่ทอดไว้ให้เราเป็นมื้อเช้า อร่อยสุดๆ เลยแกรร๊ มันเข้ากันมากๆ นั่งทานไปฟังเสียงน้ำไหลไป
อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมตัวเก็บสัมภาระ ก่อนกลับเราลงไปลำธารน้ำด้านล่างของที่พัก บรรยากาศยามเช้าที่ยังไม่มีผู้คนมาเงียบสงบ ได้ยินแต่เสียงน้ำไหล มันเป็นอะไรที่ฮีลใจเราสุดๆเลยแกรร๊
หลังจากที่เราเที่ยวกันมาตลอด 2 วัน 1 คืน ก็ได้เวลาที่เราจะต้องเดินทางกลับกันแล้ว บ้ายบายสุคิริน ทางที่พักก็ขับรถไปส่งเราที่สถานีรถไฟ เพื่อที่จะเดินทางไปยังปัตตานี เป้าหมายการเดินทางต่อไปของเรา
ทุกความสุข ทุกความประทับใจ และมิตรภาพดีๆ ที่เราได้เจอในทริปนี้ มันทำให้เราเปลี่ยนมุมมองที่เคยมีต่อนราธิวาสเสียใหม่ ถ้าเราไม่ได้มาที่นี่ก็คงไม่รู้ว่า เมืองเล็กๆแห่งนี้ กลับซ่อนอะไรที่น่าค้นหา และรอให้เราทุกคนได้มาพิสูจน์ อย่าให้เพราะข่าวสารที่ได้รับ ทำให้เรารู้สึกกลัวจนไม่กล้าออกเดินทาง...แต่จงออกเดินทาง เพื่อลองมารู้สึกได้ด้วยตัวเราเอง... #สุคิรินแลนด์ เพราะนี่คือดินแดนเเห่งความสุข ที่นี่ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด
สำหรับทริปนราธิวาสในครั้งนี้ ต้องขอบคุณวังหินงาม รีสอร์ท ที่ให้คำแนะนำในการเดินทางแล้วยังส่งต่อความสุข กับการทำกิจกรรมหลายๆ อย่าง รวมถึงความน่ารักของชาวสุคิรินที่เราได้พบเจอได้สัมผัส ไม่ว่ายังไง...สักวัน เราจะหาโอกาสกลับมาที่นี่อีกอย่างแน่นอน
เพราะการเที่ยวเยอะๆ มันช่วยทำให้เราลืมเรื่องไม่สบายใจได้ระยะหนึ่ง ถ้าไม่เชื่อลองไปเที่ยวดู
ช่องทางการติดต่อ :-
อย่าลืมกด Like กด Share และ Subscribe ด้วยครับ
Facebook https://www.facebook.com/EnvyJ... : https://envyjourney.com/
Tiktok : @envyjourney
Instagram : https://instagram.com/king_jou... : เที่ยวให้คนอิจฉา
#รีวิวรถไฟ #นั่งรถไฟเที่ยว #นั่งรถไฟไปยะลา #รถไฟชั้นสาม#จะไปก็ตามมา #ยะลา #thailand #packabag #คิดถึงธรรมชาติ #รอวันออกเดินทาง #พิกัดลับ
เ ที่ ย ว ใ ห้ ค น อิ จ ฉ า
วันพฤหัสที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 เวลา 16.51 น.