ในที่สุดการเดินทางสู่ประเทศฝรั่งเศสของเราก็มาถึงสนามบินนานาชาติหลักในที่สุด สนามบินนานาชาติชาร์ลส์เดอโกล (Aéroport international Charles de Gaulle รหัส CDG) เป็นสนามบินนานาชาติหลักของประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่ที่รัวส์ซี (Roissy) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของปารีสตั้งชื่อโดยนายพลชาร์ลส์เดอโกล ซึ่งเป็นอดีตประธานาธิบดีของฝรั่งเศส (1890 - 1970) เมื่อเดินทางไปถึงเราสามารถเดินทางเชื่อมต่อกับทางรถไฟภูมิภาค RER และรถไฟความเร็วสูง TGV เดินทางไปยังปารีสและอีกหลายเมืองในฝรั่งเศส รวมไปถึงเมืองอื่นๆ ของต่างประเทศโดยตรง
จากสนามบินก่อนจะเดินทางเข้าเมือง หนูเล็กมีภารกิจที่จะต้องทำไปดูภารกิจแรกกันก่อน หนูเล็กจะต้องหาซื้อตั๋วเดินทางสำหรับใช้สำหรับการเดินทางในเมือง ตั๋วที่เราต้องการ คือ ตั๋วเที่ยวเดียวที่เรียกว่า "t+" หลังจากพิจารณาจากแผนเที่ยวปารีสของเราแล้ว คงใช้บริการรถสาธารณะไม่มากนัก เน้นเดินเที่ยวเป็นหลัก จึงเลือกซื้อตั๋วแบบนี้
"t+" ลักษณะเป็นตั๋วกระดาษ เหมาะสำหรับคนที่มีเวลาท่องเที่ยวภายในกรุงปารีสเป็นเวลาสั้นๆ ไม่กี่วัน ตั๋วนี้ใช้ได้กับทั้งรถไฟฟ้าใต้ดิน Metro รถไฟ RER (ภายในโซน 1-2) และรถบัส รวมไปถึงรถบริการอีกหลายๆ จุด เช่น รถรางขึ้นไปสู่เนินเขา Montmartre หากต้องการเดินทางออกไปนอกเหนือโซน 1-2 แล้วก็ต้องซื้อตั๋วเพิ่มสำหรับโซนนั้นๆ ตั๋วหนึ่งใบสามารถต่อรถระหว่าง Metro และ RER ได้ไม่จำกัดครั้งภายใน 90 นาที ถ้าใช้บริการรถบัสก็ต่อได้ 1 ครั้ง (รถบัส-รถบัส หรือรถบัส-รถTram) แต่จะไม่สามารถใช้ต่อสายรถบัสระหว่างรถไฟฟ้าใต้ดิน Metro หรือรถไฟ RER ได้
และเพื่อความสะดวกและประหยัดทั้งเงินและเวลาต่อคิว เขามีขายตั๋ว t+ เป็นชุด10 ใบ ซึ่งเรียกว่า carnet (คาร์-เน่ต์) แต่มักจะมีตามสถานีใหญ่ๆ มากกว่าและราคาก็จะถูกกว่าด้วย ดังนั้น พี่ใหญ่และหนูเล็กจึงพากันเดินทางเชื่อมจากสนามบินไปยังสถานีรถไฟไปติดต่อที่ห้องขายตั๋วจัดการซื้อ carnet เตรียมไว้สำหรับการเที่ยวเล่นในปารีสเป็นเวลา 2 วัน จัดไปทั้งสิ้น 40 ใบ สำหรับคน 5 คน จากนี้ก็จะมีบัตรเบ่งแล้ว ได้เวลาทำความรู้จักปารีสกันแล้วค่ะ
ทางเชื่อมจากสนามบินสู่สถานีรถไฟ
ไปถึงก็เดินลงไปยังชั้นล่างค่ะ
บรรยากาศภายในสนามบินและสถานีรถไฟยังเต็มไปด้วยบรรยากาศของการรักษาความปลอดภัย มีทหารเดินตรวจตราตามจุดต่างๆ เป็นระยะๆ ให้ความรู้สึกอุ่นใจมากกว่าจะรู้สึกเป็นอย่างอื่น ยังพาลนึกไปว่าเหมือนกำลังเดินอยู่ในประเทศบ้านเกิดเมืองนอนเสียด้วยซ้ำ คนในเครื่องแบบสีเขียวทำให้เราอุ่นใจดี อิอิ
บรรยากาศการรักษาความปลอดภัยยังเข้มงวด อบอุ่นใจดีค่ะ
เราเข้าไปซื้อ carnet กันในห้องนี้ค่ะ
ภารกิจถัดไปก็คือการหาทางเข้าเมืองด้วยขนส่งสาธารณะ หนูเล็กและพี่ใหญ่ตัดสินใจเลือกใช้บริการรถ Roissy Bus (รัวส์ซี บุส) เป็นรถบัสที่วิ่งระหว่างสนามบินชาร์ลส์เดอโกลส์ (CDG) กับ โอเปรา (Palais Garnier) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 75 นาที ค่าโดยสารคนละ 11 ยูโร สาเหตุที่เราเลือกใช้บริการ Roissy Bus ก็เพราะมีที่วางสัมภาระค่อนข้างสะดวก และเราสามารถนั่งไปลงสุดสายเพื่อไปต่อรถไฟใต้ดินไปยังสถานที่ที่ต้องการต่อได้ง่าย การซื้อตั๋วเดินทางสามารถซื้อผ่านตู้ได้เลย ต้องการซื้อกี่ใบใส่เงินไปให้พอหรือหากเกินเครื่องก็จะทอนมาให้
ซื้อตั๋วรัวส์ซี บุส ได้ที่เครื่องนี้เลยค่ะ ง่ายมาก
หลังจากซื้อเสร็จก็ไปนั่งรอยังจุดที่เขาจัดไว้มีหน้าจอคอมพิวเตอร์บอกเวลาให้รู้ว่ารถบัสจะมาในอีกกี่นาทีข้างหน้ามันจะสะดวกอะไรไปหมดขนาดนั้น
สังเกตที่จอคอมพิวเตอร์ค่ะว่ารถจะมาถึงในอีกกี่นาที
จากนั้นก็มานั่งคอยให้สบายใจ ไม่ต้องไปยืนให้เมื่อย
นี่คือบัตรที่ซื้อจากเครื่องมาค่ะ
เมื่อได้เวลารถจะมาจอดเทียบที่ด้านหน้าอาคาร นำบัตรไปสอดเข้าเครื่องตรงคนขับรถเพื่อ validate การใช้งาน จากนั้นนำสัมภาระไปไว้ในพื้่นที่ที่เขากำหนด แล้วก็ไปหาที่นั่งตามใจชอบ ไม่ต้องกังวลกับสัมภาระอีกต่อไป
รถมาจอดที่หน้าอาคารแล้ว ขึ้นรถกันเลยดีกว่า
แม้ว่ารถบัสนี้จะมีสองตอนแต่คนขับสามารถขับเหวี่ยงซ้าย-ขวาพองามให้เรารู้สึกพลิ้วได้ไม่น้อยไปกว่านั่งรถเก๋ง มีบริการไวไฟฟรีให้บนรถ ทำให้สามารถเช็คอินรายงานตัวกลับไปยังคนทางบ้านได้ว่า เหยียบแผ่นดินฝรั่งเศสเป็นที่เรียบร้อยแล้วขณะที่กำลังเดินทางสู่ใจกลางกรุงปารีส
หลังจากเรานั่ง Roissy Bus มาลงยัง Opera ซึ่งเป็นป้ายสุดท้ายกันแล้ว ก็พากันทั้งลากทั้งแบกกระเป๋าเดินทางลงใช้บริการรถไฟใต้ดินที่สถานี Opera เพื่อเดินทางสู่ที่พักที่จองไว้ในย่าน des Gobelins
นิวาสถานคืนแรกของเราใจกลางเมืองน้ำหอมแห่งนี้พี่ใหญ่และหนูเล็กเลือก ที่พักเล็กๆ แคบๆ ที่เหมาะกับฐานานุรูปของพวกเราซึ่งเป็น backpacker จากเมืองไทย ออกมาไกลจากใจกลางเมืองสักนิด ซึ่งจะทำให้ราคาที่พักย่อมเยาลงมาหน่อย
Oops Hostel เป็น Hostel ที่เดินทางไปมาสะดวกเพราะอยู่ใกล้สถานีรถไฟใต้ดินสองสถานีคือ des Gobelins กับ place d'italie อยู่ที่ว่าชอบแบบเดินขึ้นเนินหรือลงเนิน มีห้องน้ำในตัว ซึ่งก็เป็นธรรมดาของที่พักในเมืองขนาดใหญ่ ที่พักจะมีขนาดเล็กแค่พอให้ได้นอนพักผ่อน มีสิ่งอำนวยความสะดวกตามสมควร ที่นี่มีบริการอาหารเช้ารวมไว้ในราคาที่พักแล้ว เป็นย่านที่ปลอดภัย ไม่มีอะไรน่ากลัว ที่นี่เข้า-ออกห้องด้วยระบบคีย์การ์ด มีไวไฟให้ใช้ฟรี สัญญาณแรงดีไม่มีตก และหากประสงค์จะปรุงอาหารรับประทานเขาจะมีพื้นที่เฉพาะให้อีกห้องหนึ่งสามารถติดต่อขอกุญแจจากพนักงานได้ บรรยากาศโดยรวมถือว่าดี แม้จะแคบไปนิด แต่เวลาส่วนใหญ่ของพวกเราคือการออกไปเที่ยว ความกว้างหรือสะดวกสบายของห้องพักจึงไม่ได้มีความหมายอะไรกับพวกเรามากนัก
นี่ค่ะ ที่พักของเราในปารีส
มีข้อมูลท่องเที่ยววางไว้บริการด้วยค่ะ
ห้องพักเล็กๆ ของพวกเราค่ะ
มีห้องน้ำในตัวค่ะ
เวลาและวารีไม่เคยคอยท่า เมื่อหาอะไรใส่ท้อง พักผ่อนกายาหลังการเดินทางข้ามกาลเวลามาเป็นสิบชั่วโมงกันสักพัก พวกเราทุกคนก็มีเรี่ยวแรงออกเดินทางท่องราตรีที่ยังสว่างไสวของปารีสกันได้แล้ว การมาเที่ยวเมืองนอกในช่วงเดือนนี้นับว่าได้กำไรมาก เพราะฟ้าจะสว่างไปจนกระทั่งสามทุ่มกว่า ถ้ามีเรี่ยวมีแรงก็เดินเที่ยวไปเถิด เดินไปให้พอ บางทีร้านรวงปิดแล้ว ฟ้ายังไม่มืดเอาเลย และที่หมายวันนี้จะเป็นอะไรเสียไม่ได้ ต้องรีบไปสักการะโครงเหล็กอย่างหอไอเฟลที่เขาว่ากันว่าถ้ามาถึงปารีสแล้วไม่มาชมหอไอเฟลนั่นคือคุณยังมาไม่ถึง ดังนั้น จัดไปอย่าให้เสีย ไปชมเสียเลยเพราะยามค่ำเขาก็ว่างดงาม
จากที่พักเราเลือกเดินขึ้นเนินไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน Place d' Italie เพราะมีรถไฟใต้ดินสาย 6 ไปถึงที่หมายที่เราต้องการได้เลยนั่นคือสถานี Trocade'ro สาเหตุที่ต้องไปที่สถานีนี้นั่นก็เพราะเมื่อโผล่ขึ้นมาจากสถานี ที่นี่จะมีลานกว้าง เป็นจุดชมวิวหอไอเฟลที่ดีที่สุดเพราะไม่มีอะไรมาบดบัง
ภายในสถานีรถไฟใต้ดิน
นอกจากนี้ระหว่างการเดินทางด้วย Metro สาย 6 ระหว่างสถานี Passy และสถานี Berhakeim จะวิ่งบนสะพานข้ามแม่น้ำแซน (Seine) เป็นจุดที่นักถ่ายรูปหลายคนนิยมมากเพราะจะได้ภาพหอไอเฟลที่มีแม่น้ำแซนพาดผ่าน แต่นักถ่ายภาพไร้ฝีมือแบบหนูเล็กได้ภาพถ่ายมาแบบเบลอๆ เป็นที่ระทึกสามภาพ นำมาอวดได้เพียง 1 ภาพตามที่เห็น
วิวระหว่างสถานี Passy และสถานี Berhakeim บนสะพานข้ามแม่น้ำแซน (Seine) แบบสั่นๆ
ถึงสถานี Trocade'ro แล้วค่ะ ขึ้นไปด้านบนกันดีกว่า
สังเกตป้าย Tour Eiffel ค่ะ
เมื่อโผล่จากสถานีขึ้นไปก็เป็นตามที่เขาว่าไว้ โครงเหล็กขนาดใหญ่ที่เรารู้จักกันดีในชื่อ หอไอเฟล ตั้งตระหง่านรอต้อนรับอยู่แล้ว ในภาษาฝรั่งเศสจะเรียกว่า ลา ตูค์ อิฟเฟล (La Tour Eiffel) ถือเป็นสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศส เป็นหอคอยสร้างด้วยโครงเหล็ก สูงถึง 300 เมตร ตั้งอยู่บนถนน ชองป์ เดอ มาร์ส (Champ de Mars) บริเวณแม่น้ำแซน (Seine)ในกรุงปารีส ตั้งชื่อตามสถาปนิกผู้ออกแบบ คือ"กุสตาฟ ไอเฟล" (Gustaf Eiffel) วิศวกรและสถาปนิกชาวฝรั่งเศส ถูกออกแบบมาเพื่อใช้เป็นงานศิลปะชิ้นเอกในงานมหกรรมแสดงสินค้านานาชาติที่ประเทศฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพในปี ค.ศ.1890 เพื่อเฉลิมฉลองวันครบรอบ 100 ปี แห่งการปฏิวัติประเทศฝรั่งเศส ทั้งนี้ เพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ ความร่ำรวย และความสำเร็จในยุคอุตสาหกรรมของประเทศ
ในวันที่ไปถึงน่าเสียดายที่ฟ้าปารีสไม่ค่อยเป็นใจ มีเมฆหนาๆ ฟ้าเป็นปื้นๆ จึงทำให้ฟ้าไม่ใส ไม่สวย หอไอเฟลจึงมีฉากหลังดำทะมึนดังที่เห็น แม้จะเพิ่มแสง ปรับตั้งกล้องอย่างไรก็ได้เท่านั้น เพราะฝีมือก็มีเพียงน้อยนิด แต่ความงามและเอกลักษณ์ที่ปรากฏตรงหน้าก็ทำให้เข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดใครๆ ก็อยากมาเห็นสักครั้งในชีวิต
ในทุกวันช่วงสี่ทุ่มที่หอไอเฟลเขาจะมีการเล่นไฟกระพริบวิบวับให้ได้ตื่นเต้นเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก็เร้าใจดีเหมือนกันค่ะ หนูเล็กถ่ายวีดีโอไว้แต่ไม่ชัดเสียนี่ น่าเสียดายจริงๆ นักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ก็พากันเก็บภาพกันใหญ่ เป็นราตรีที่คึกคักดีจริงๆ
เรียกเสียงฮือฮาจากนักท่องเที่ยวได้มากมาย
เปิดไฟกระพริบวิบๆ วับๆ สวยดีค่ะ
เมื่อชมเสร็จ เพื่อให้ได้ความรู้สึกฟินๆ ก็ต้องไปชมหอไอเฟลกันแบบใกล้ชิดกันเสียหน่อยค่ะ ว่าแล้วก็พากันเดินไปชมกันแบบใกล้ๆ บรรยากาศไม่น่ากลัวค่ะ คนเยอะ คึกคักดี
บรรยากาศยังคงคึกคัก คนเยอะเลย
เจอประติมากรรมระหว่างทาง โป๊เชียว
มีแม่น้ำแซนมาเข้าฉากด้วยค่ะ
ทิวทัศน์แม่น้ำแซนยามค่ำ
ชมกันแบบใกล้ชิดแบบนี้เลยค่ะ
อีกมุมหนึ่ง
หลังจากเดินชมกันจนพอใจ เต็มอิ่มแล้ว ก็พากันเดินทางกลับที่พัก นับเป็นการเติมเต็มความสุขของพวกเราในปารีสไปได้แล้วส่วนหนึ่ง เพราะในวันแรกที่มาถึงก็ได้เห็นสัญลักษณ์ของปารีสเป็นที่เรียบร้อย Mission นี้สำเร็จแล้วค่ะ คืนนี้ได้หลับฝันดีเป็นแน่เลย
ใช้บริการรถไฟใต้ดินที่สถานี Trocade'ro กลับที่พักค่ะ
ขอบคุณที่แวะมาชมค่ะ
แวะทักทายและชมภาพถ่ายเรื่องเที่ยวของคนคอเดียวกันได้ค่ะ
https://www.facebook.com/TravelWithPiyaiAndNoolek/
Piyai&Noolek
วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 เวลา 10.47 น.