มาต่อกันที่ Ep 2 ของการเที่ยวคิวชูนะคะ

Day 2 (06 Feb 2023)

วันนี้จะมารีวิวการเที่ยว Nagasaki แบบ 1 Day Trip จาก Hakata นะคะ สำหรับคนที่ลังเลอยู่ว่าจะแวะเที่ยวนางาซากิดีไหม นางาซากิมีอะไรให้เที่ยวบ้าง เที่ยวแบบเช้าเย็นกลับพอไหม ลองอ่านรีวิวนี้ประกอบการตัดสินใจได้เลยค่า

จาก Ep ที่แล้ว เราได้จองเที่ยวรถไฟจาก Hakata ไป Nagasaki และจาก Nagasaki กลับ Hakata ตามนี้เลยค่ะ

จาก 10:31 ถึง 20:20 เรามีเวลาเที่ยวนางาซากิประมาณ 10 ชั่วโมงค่ะ มาดูกันเลยค่า ว่า 10 ชั่วโมงเราไปไหนกันได้บ้าง


เริ่มต้นเช้านี้ที่ Hakata Station ะคะ เราแวะหาซื้อเสบียงเป็นข้าวกล่องเบนโตะ สำหรับเป็นอาหารเช้าไปทานบนรถไฟ พยากรณ์อากาศเช้านี้บอกว่าฟ้าครึ้มช่วงเช้า และจะมีฝนตกช่วงบ่ายๆเย็นๆ ดังนั้นจึงพกร่มออกมาด้วยค่ะ

สำหรับพยากรณ์อากาศ สามารถเช็คได้จากเว็บ JMA กรมอุตุนิยมวิทยา ประเทศญี่ปุ่นได้โดยตรงค่ะ พยากรณ์อากาศญี่ปุ่นแม่นมากค่ะ ยิ่งใกล้วันก็ยิ่งแม่น เชื่อถือได้แน่นอน แบบแม่นเปฺ็นรายชั่วโมงเลย

https://www.jma.go.jp/jma/inde...

จะเห็นป้ายขบวน Relay Kamome13 ที่จะออกจากสถานี Hakata เวลา 08:54 ค่ะ

ขึ้นรถกันเลยค่า

สักพักจะถึงสถานี Takeo Onsen จังหวัดซากะ สำหรับใครมีเวลาว่าง สถานีนี้ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจเป็นโรงอาบน้ำร้อนเก่าแก่ ซุ้มประตู และหอสมุดประจำเมือง ส่วนเราไม่ได้แวะค่า

พอถึงสถานี Takeo Onsen เราเปลี่ยนรถไฟจาก Limited Express ที่จอดชานชาลาที่ 10 เป็นรถไฟ Shinkansen Kamome 13 ชานชาลาที่ 11 ค่ะ ซึ่งทั้ง 2 ชานชาลาอยู่ตรงข้ามกันค่ะ แม้จะมีเวลาเปลี่ยนรถแค่ 3 นาที ก็ทันเหลือๆค่ะ

รถไฟหัวกระสุน สุดเท่ 

เห็นเมืองนางาซากิแล้วค่า

ไม่นานรถไฟก็จอดที่สถานีนางาซากิค่ะ

สถานีรถไฟ JR Nagasaki เป็นสถานีไม่ใหญ่มากค่ะ ชั้นล่างจะมีร้านขายของฝากและร้านอาหาร โดยของฝากที่เด่นของเมืองนี้จะเป็นเค้ก Castella นุ่มฟูค่ะ จะเห็นได้ทั่วเมืองเลย

เชื่อว่าทุกคนน่าจะเคยได้ยินชื่อเมืองนางาซากิมาบ้างแล้ว เมืองนางาซากิเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่งของเกาะคิวชู เคยเป็นเมืองที่มีการติดต่อค้าขายกับชาวตะวันตกและจีน ในสมัยก่อนเคยมีชาวตะวันตกย้ายมาอาศัยอยู่จำนวนมาก และเป็นสถานที่ต้นกำเนิดของละครเวทีเรื่อง Madame Butterfly ที่เล่าถึงความรักที่ไม่สมหวังระหว่างหญิงสาวชาวญี่ปุ่นกับนายทหารเรือชาวอเมริกัน ซึ่งคนไทยอาจรู้จักดีในชื่อ โจโจ้ซัง

นอกจากเรื่องการค้าขายกับชาวตะวันตกแล้ว ก็ยังเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่งในสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อระเบิดนิวเคลียร์ Fat man ถูกปล่อยลงมาทำลายเมืองนางาซากิ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1945


การเดินทางท่องเที่ยวในเมืองนางาซากิ สามารถเดินทางได้ 2 วิธี

1. เดินทางโดยรถบัส
2. เดินทางโดยรถรางหรือ Tram

ซึ่งเราเลือกเดินทางด้วยวิธีที่ 2 คือ รถรางค่ะ รถรางในนางาซากิคิดราคาเที่ยวละ 140 เยน ไม่ขึ้นกับระยะทาง โดยจะมีทางเลือกเป็น 
- Nagasaki Electric Tramway ONE-DAY PASS ราคา 600 เยน สามารถเดินทางได้ไม่จำกัดเที่ยวในวันเดียว (จะคุ้ม หากมีแพลนใช้ Tram 4 เที่ยวเป็นต้นไป)
- Nagasaki Electric Tramway 24-HOUR PASS ราคา 700 เยน สามารถเดินทางได้ไม่จำกัดเที่ยวภายใน 24 ชั่วโมงนับจากเวลาเริ่มใช้ (จะเหมาะกับคนที่มีแพลนค้างคืนที่เมืองนางาซากิ)

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Tram สามารถเว็บไซต์ของ Nagasaki Electric Tramway ตาม link ด้านล่างได้เลยค่ะ

https://www.naga-den.com/pages...

รถ Tram ที่นางาซากิจะมี 3 สายได้แก่ สายสีเขียว สายสีฟ้า และสายสีแดง

เราตัดสินใจซื้อเป็น Nagasaki Electric Tramway ONE

-DAY PASS ราคา 600 เยนต่อคนค่ะ สามารถซื้อได้ที่ Tourist Information ตรงชั้นล่างของสถานี JR Nagasaki ได้เลยค่ะ

เดินจาก Nagasaki JR Station ออกมา จะเจอป้ายรถ Tram ค่ะ โดย Tram ที่ผ่าน Nagasaki Station จะมีแค่ Tram สายสีฟ้าและสายสีแดง

สถานที่แรกของเช้านี้ที่เราแพลนจะไปคือจุดชมวิว Mount Nabekanmuri Park โดยป้าย Tram ที่ใกล้ที่สุดคือป้าย Ishibashi (สายสีเขียว)

เส้นทางที่ใกล้ที่สุด เราสามารถนั่ง Tram สายสีฟ้าจาก Nagasaki Station ไปลงที่ Shinchi Chinatown เพื่อเปลี่ยนสายต่อเป็น Tram สายสีเขียวเพื่อไปป้าย Ishibashi

ซึ่งเราขึ้นรถผิดคันเป็นคันสีแดงค่ะ จึงนั่งอ้อมไปลงที่ Hotarujaya เพื่อเปลี่ยนสายเป็นสายสีเขียวอีกที

เมืองนางาซากิน่ารักมาก

มาลองทายกันค่ะว่าจากรูปข้างล่าง Tram nั้ง 2 คัน เป็นสายสีอะไร

คำตอบคือสายสีเขียวทั้งคู่ค่า ให้ดูสีของป้ายหน้ารถเป็นหลักค่ะ อย่าดูสีคันรถ เพราะจะงงได้

พอถึงปลายทางที่ป้าย Ishibashi เนื่องจาก Nagasaki เป็นเมืองที่มีการสร้างบ้านบนไหล่เขา การที่จะเดินทางขึ้นเขา นอกเหนือจากการเดินตามทางถนนแล้ว จะมีทางเลือกเป็นลิฟต์สำหรับขึ้นเขาค่ะ โดยจะมีจุดจอดหลายชั้น ตามสถานที่ที่ต้องการไป

เพื่อที่จะไปจุดชมวิว Mount Nabekanmuri Park ให้ขึ้นลิฟต์ที่ Glover Skyroad ค่ะ (ขึ้นฟรี) ไปชั้นบนสุดเลยค่ะ

Glover Road ที่เป็นจุดขึ้นลิฟต์ ตามรูปข้างล่างเลยนะคะ

แผนที่สถานที่ท่องเที่ยวแถวนี้

ขึ้นลิฟต์ขึ้นมาจะเป็นวิวเมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาแบบนี้เลยค่า มีบ้านคนอยู่อาศัยมากมาย

มีแมว

วิวอีกด้านของเมืองจะเห็นเป็นท่าเรือ Nagasaki ค่ะ วิวสวยมากกกก เสียดายวันนี้ฟ้าครึ้มไปหน่อย

หลังจากขึ้นลิฟต์มาชั้นบนสุด จะมาถึงตรงนี้ค่ะ

ลิฟต์ขึ้นมาสุดจะเจอ Glover Garden ซึ่งจะเป็นสวนและบ้านพักสไตล์ตะวันตกของพ่อค้าชาวอังกฤษค่ะ แต่เราไม่ได้แวะนะคะ จะเดินต่อไปที่จุดชมวิว Mount Nabekanmuri Park เลย จะมีป้ายบอกทางไป Mount Nabekanmuri อยู่ ให้เดินตามป้ายไปได้เลยค่ะ ทางจะลึกลับนิดนึง จะเข้าซอยบ้านคน เหมือนมาผิดทาง แต่ถ้าเดินตามป้าย ไม่ต้องกลัวหลงค่า จาก Glover Garden ไป Mount Nabekanmuri จะเดินประมาณ 1 km ค่ะ


เดินมาสักพักก็จะเจอทางเป็นบันไดเข้าไปในสวน เดินขึ้นบันไดเหนื่อยนิดนึงนะคะ แต่เราว่าวิวสวยคุ้มค่าแน่นอนค่ะ


เดินหอบมาสักพักก็ถึงค่ะ เป็นจุดชมวิวที่ unseen สุดๆ ไม่มีรถสักคัน

จากสวนสาธารณะจะเห็นวิวเมืองนางาซากิจากมุมสูงแบบนี้เลยค่ะ ซึ่งจุดชมวิวดังกล่าวจะอยู่ตรงข้ามภูเขาอินาสะ (Mount Inasa) จุดชมวิวอีกจุดนึง ที่เราจะไปในช่วงเย็นวันนี้ค่ะ

เจอเหยี่ยวบินด้วย

จากจุดชมวิวนี้ ถ้าวันไหนอากาศดีๆ ฟ้าปรอดโปร่ง ถ้ามองออกไปทางทะเล จะสามารถมองเห็นเกาะฮาชิมะ (Hashima Island) ที่เป็นเกาะที่ล่ำลือกันว่าเป็นเกาะผีสิงค่ะ โดยเกาะฮาชิมะอยู่ในเขตจังหวัดนางาซากิค่ะ อยู่ไกลจากฝั่งประมาณ 15 กิโลเมตรค่ะ โดยเกาะนี้สมัยโบราณมีการทำเหมืองแร่ถ่านหิน ทำให้มีคนย้ายเข้ามาอาศัยจำนวนมาก แต่พอมีอุตสาหกรรมที่ใหม่กว่าเข้ามา ทำให้ความต้องการทำเหมืองถ่านหินมีความนิยมลดลง และถูกทิ้งร้างในที่สุด ซึ่งพอเกาะถูกทิ้งล้าง ก็มีเรื่องเล่าว่าคนที่เดินเรือผ่านไปมา พบเจออะไรแปลกๆบนเกาะ จึงทำให้ได้ชื่อว่าเป็นเกาะผีดุค่ะ

ซึ่งมีภาพยนตร์ไทยเคยไปถ่ายทำหนังผีบนเกาะมาแล้ว ในชื่อ ฮาชิมะ โปรเจกต์ คาดว่าหลายๆคนอาจจะเคยได้ยินชื่อมาบ้าง เกาะดังกล่าวอยู่ไม่ไกลจากนางาซากิเลยค่ะ ปัจจุบันมีบริษัททัวร์พาไปเที่ยวชมแบบเช้าเย็นกลับอยู่นะคะ เผื่อใครสนใจสามารถลองหาข้อมูลเพิ่มเติมดูได้ค่ะ

สำหรับจุดชมวิวสวนสาธารณะ Mount Nabekanmuri Park เราค่อนข้างชอบมากๆเลยค่ะ เป็นจุดชมวิวที่สวยมาก สงบ ยังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยว สามารถใช้เวลา take time ยาวๆได้ ไม่เสียค่าใช้จ่าย อาจจะเดินขึ้นมาเหนื่อยหน่อย แต่วิวสวยคุ้มมากค่ะ

หลังจากชมวิวจนพอใจแล้ว เราเดินย้อนลงเขากลับไปเพื่อไปชมอาสนวิหารโออูระ (Oura Cathedral) ซึ่งเป็นโบสถ์ที่มีความสำคัญของนางาซากิค่ะ

อย่างที่เราเล่าให้ฟังว่านางาซากิเป็นเมืองท่าที่มีการติดต่อค้าขายกับชาวตะวันตกและชาวจีน โบสถ์โออูระถูกสร้างโดยมิชชันนารี่ชาวฝรั่งเศสตั้งแต่ยุคเอโดะ ในปี ค.ศ. 1864 โดยถือว่าเป็นโบสถ์คริสต์ นิกายคาทอลิก ที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น โดยตกแต่งแบบโกธิค มียอดเสาแหลม และมีการใช้กระจกสีมาประดับ

โบสถ์ดังกล่าว ได้รับความเสียหายจากระเบิดปรมาณูที่ถูกปล่อยลงสู่เมืองนางาซากิในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนจะได้รับการซ่อมแซมบูรณะอีกครั้ง

โบสถ์ดังกล่าวได้ถูกยกย่องเป็น UNESCO World Heritage Site ในปี 2018 เนื่องจากมีความสำคัญต่อชุมชนชาวคริสต์ในประเทศญี่ปุ่น ใครสนใจเข้าชมด้านในโบสถ์เพิ่มเติม จะมีค่าเข้าชม 1000 เยนค่ะ

หลังจากนั้น เรานั่งรถ tram สายสีเขียว ย้อนกลับไปลงป้าย Shinchi Chinatown ค่ะ

ช่วงกลางคืน ใกล้ๆตรุษจีน ประมาณปลายเดือนมกราคมถึงต้นกุมภาพันธ์ของทุกปี จะมีการจัดงาน Nagasaki Lantern Festival สำหรับปี 2023 ที่ผ่านมา งานจัดตั้งแต่วันที่ 22 Jan 2023 – 05 Feb 2023 ซึ่งเราไปวันที่ 06 Feb 2023 ค่ะ พลาดงานไปแค่วันเดียวเอง เราเลยมาแวะเดิน Chinatown ในช่วงกลางวันแทน แต่ก็ยังเห็นการโคม ที่ยังเหลืออยู่จากงานเมื่อคืนค่ะ

โคมปลาทองสวยมากค่า ถ้าเปิดไฟน่าจะอลังการสุดๆ

ในซอย Shinchi Chinatown มีร้านอาหารจีน ขายอยู่ประมาณนึง มีร้านเสี่ยวหลงเปา ซาลาเปาขาย อร่อยดีค่า เป็นรสชาติจีนๆที่มีรสญี่ปุ่นฟีลๆโชยุติดมานิดนึง

แต่เมนูที่ขาดไม่ได้เลยถ้าแวะมานางาซากิ ก็คือ

.

.

.

จัมปง ค่า

จัมปงเป็นอาหารประเภทเส้นที่มีต้นกำเนิดจากจังหวัดนางาซากิ โดยเป็นบะหมี่สไตล์จีนราดด้วยน้ำกระดูกหมู โดยมีต้นกำเนิดมาจากชาวจีน ที่ย้ายถิ่นฐานมาตั้งรกรากที่นางาซากิ ก่อนที่เมนูนี้จะโด่งดังไปทั่วญี่ปุ่น ใครแวะมาจังหวัดนางาซากิ ต้องลองนะคะ
รสชาติจะเป็นหมี่แบบจีน กับน้ำซุปรสชาติอ่อนๆทานง่าย เราสั่งเป็นหน้าทะเลมาค่ะ ก็จะมีซีฟู้ดจัดเต็มเลย
และสำหรับใคร ที่อยู่ไทย ยังไม่มีแพลนมาประเทศญี่ปุ่น สามารถไปลองเมนูนี้ได้ที่ร้าน Ringer Hut ตรงแถวๆตึกธนิยะค่ะ เป็นร้าน chain ที่มีต้นกำเนิดมาจากนางาซากิเช่นกัน

สำหรับอีกเมนูนึงที่มาจังหวัดนางาซากิแล้วพลาดไม่ได้คือ Sara Udon ค่ะ จะคล้ายๆโกยซีหมี่บ้านเรา ที่เอาเส้นหมี่ไปทอดก่ิอน แล้วราดด้วยน้ำราดหน้า topping ด้วยผักและซีฟู้ดค่า

สำหรับใครที่อยากมาลองตามทาน เราทานร้านตามรูปข้างล่างเลยนะคะ อยู่บนถนน Shinchi Chinatown เลย จริงๆมีขายเมนูนี้หลายๆร้าน สามารถลองเลือกชิมได้ค่ะ

หลังจากอิ่มท้องแล้ว เรานั่งรถ tram สีฟ้าเดินทางต่อไปที่ป้าย Atomic Bomb Museum ค่ะ เดินไม่ไกลจากสถานี ก็จะมาถึง Nagasaki Atomic Bomb Museum ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์ระเบิดนิวเคลียร์ Fat man ถูกปล่อยลงมาทำลายเมืองนางาซากิในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเมืองนางาซากินั้นเป็นสถานที่ล่าสุดบนโลกที่ถูกระเบิดนิวเคลียร์จากสงคราม และหวังว่าจะเป็นสถานที่สุดท้ายที่ถูกระเบิดนิวเคลียร์ ไม่ควรมีสถานที่ไหนบนโลก เจอเหตุการณ์แบบนี้อีก

ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ถูกมากค่ะ แค่คนละ 200 เยน เท่านั้น ที่ราคาถูกขนาดนี้ คิดว่าเพื่อให้คนส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงพิพิธภัณฑ์นี้ได้ การเรียนรู้จากอดีตเป็นเรื่องสำคัญ การเข้าชมจะช่วยสร้างความตระหนักรู้แกผู้คน

ตอนเรามาถึงฝนก็เริ่มตกแล้วค่า ตามพยากรณ์อากาศสุดๆ โชคดีที่พกร่มมาด้วย

ข้างในพิพิธภัณฑ์ค่อนข้างกว้างทีเดียวค่ะ มีแบ่งเป็นหลายโซนและมีคำอธิบายภาษาอังกฤษ เกี่ยวกับสิ่งของที่จัดแสดง

เข็มนาฬิกาหยุดที่เวลา 11:02 เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1945 ซึ่งเป็นเวลาที่ระเบิดนิวเคลียร์ขนาด 21 kiloton ถูกปล่อยลงมา ทำลายเมืองนางาซากิ เกิดควันรูปเห็ดซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของระเบิดนิวเคลียร์ที่มีความร้อนที่จุดศูนย์กลางสูงถึง 4,000 องศาเซลเซียส ซึ่งคร่าชีวิตประชากรทันทีกว่า 40,000 คน และมีผู้บาดเจ็บเสียชีวิตเพิ่มตามหลังอีกประมาณ 40,000 คน

พื้นที่ 6.7 ตารางกิโลเมตรจากจุดศูนย์กลางระเบิด ถูกเผาราบเป็นฝุ่น

แบบจำลองระเบิด fat man ซึ่งจริงๆแล้วระเบิด fat man ที่ถูกปล่อยลงสู่เมืองนางาซากิ มีความแรง 21 kilotons ซึ่งแรงกว่าระเบิด little boy ที่ถูกปล่อยที่เมืองฮิโรชิม่า 3 วันก่อนหน้า (ระเบิดถูกปล่อยลงที่เมืองฮิโรชิม่า ในวันที่ 06 สิงหาคม ค.ศ. 1945)

แต่อย่างไรก็ตาม แม้จะมีแรงระเบิดที่มากกว่า แต่ด้วยความที่ภูมิศาสตร์ของเมืองนางาซากิเป็นหุบเขา ทำให้ระเบิดที่ตกลงมาถูกกักความเสียหาย กระจายไปในวงแคบกว่า ระเบิดที่ถูกปล่อยที่ฮิโรชิม่าซึ่งมีภูมิศาสตร์เป็นที่ราบลุ่ม ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า รวมถึงระเบิดที่เมืองฮิโรชิม่าเกิดเป็นพายุเพลิงขึ้นด้วย

หลังจากระเบิดนิวเคลียร์ถูกปล่อยลงที่เมืองฮิโรชิม่า เป้าหมายต่อไปทางสหรัฐอเมริกา เลือกที่จะปล่อยระเบิด fat man ลงที่เมืองโคคุระ (Kokura) ซึ่งเป็นนิคมอุตสาหกรรม เพื่อทำลายฐานผลิตอาวุธของญี่ปุ่น แต่ตอนที่เครื่องบินบรรทุกระเบิด บินเหนือเมืองโคคุระ ปรากฎว่ามีหมอกหนา ทำให้หาพิกัด ทิ้งระเบิดไม่ได้ จึงเปลี่ยนเป้าหมายมาทิ้งระเบิดที่แหล่งอุตสาหกรรมของเมืองนางาซากิ ซึ่งเป็นเป้าหมายสำรองแทน ซึ่งวันนั้นนางาซากิก็มีเมฆหนาเช่นกัน แต่มีจุดที่พอเห็นพื้นล่างได้ เครื่องบินจึงทิ้งระเบิดลง ดังนั้นจึงเกิดสำนวน Kokura's luck หรือโชคดีของเมืองโคคุระขึ้น ซึ่งรอดจากการทิ้งระเบิดในครั้งนี้

ซากโบสถ์อุราคามิ Urakami ซึ่งเสียหายจากระเบิดนิวเคลียร์ก็ถูกยกนำมาจัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์ค่ะ จะเห็นร่องรอยเขม่าควันที่เกิดจากการเผาไหม้ของระเบิด

ความร้อนสูงจนเหล็กแท้งค์เก็บน้ำหลอม

ความร้อนและแสงจากรังสีนิวเคลียร์ที่กระทบแผ่นไม้ ผ่านกิ่งไม้และใบไม้ ทำให้เกิดเงาลวดลายของใบไม้ ขึ้นบนไม้กระดาน

เงารอยพาดของราวตากผ้าที่บังแผ่นไม้

นอกจากนี้พิพิธภัณฑ์ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่ผู้ประสบภัยเจอ ไม่ว่าจะเป็นบาดแผล ความทรมาน การพลัดพรากจากครอบครัว รวมถึงได้บอกเล่าถึงจำนวนระเบิดนิวเคลียร์ที่ประเทศต่างๆถือครอบครองอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งหวังว่าระเบิดนิวเคลียร์จะไม่ถูกนำออกมาใช้อีก หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เมืองนางาซากิ สงครามเกิดขึ้นจากกลุ่มผู้นำ แต่เป็นประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม

เราว่าพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีการนำเสนอที่ดีมาก เล่าเรื่องราวให้สามารถเข้าใจผลกระทบต่อสงครามเพื่อที่จะสร้างความตระหนักรู้ และช่วยกันรักษาสันติภาพบนโลกนี้ไว้ นอกจากนี้พิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงนกกระเรียนกระดาษ เพื่อแสดงถึงสันติภาพที่หวังไว้

หลังจากชมพิพิธพัณฑ์ทั่วแล้ว เดินออกมาข้างหลังพิพิธภัณฑ์ จะมาถึง Peace Park หรือสวนสันติภาพ ประจำเมืองนางาซากิ ไม่มีค่าเข้าชมค่ะ ที่เห็นวิวภูเขาด้านหลังจะเป็นภูเขา Inasayama ซึ่งเราจะไปชมวิวกลางคืนกันต่อ ในเย็นวันนี้ค่า ที่ Peace Park จะมีจัดแสงประติมากรรม ที่สะท้อนถึงสันติภาพไว้รอบๆสวนค่ะ

น้ำตกตามภาพข้างล่างเป็น Fountain of Peace ค่ะ ซึ่งจัดแสดงเพื่อรำลึกถึงดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ระเบิด โดยมีการสลักบทกลอนของเด็กหญิงวัย 9 ขวบ ชื่อซาจิโกะ ยามากุจิ ซึ่งเป็นเหยื่อในระเบิดครั้งนั้นไว้บนแผ่นหินหน้าน้ำพุ ความว่า "ฉันกระหายน้ำจนเกินจะทน บนผิวน้ำมีคราบน้ำมันลอยอยู่ แต่ฉันโหยหาน้ำมาก จนต้องดื่มน้ำ"

ตอนเราไป Peace Park ค่อนข้างเงียบสงบ จนรู้สึกวังเวงหน่อยๆ อาจจะเพราะว่าฝนตก คนเลยออกมาน้อย ประกอบกับฟ้าครึ้มๆ บรรยากาศค่อนข้างอึมครึมจนแปลก

ซากกำแพงตามภาพ เป็นซากฐานโบสถ์อุราคามิที่ถูกทำลายจากระเบิดนิวเคลียร์ ส่วนตัวโบสถ์ถูกยกไว้จัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์

เมื่อเดินจนสุดสวน จะพบรูปปั้น Peace Statue ซึ่งเป็นรูปปั้นสูง 10 เมตร ทำจากทองแดง ซึ่งเป็นรูปปั้นที่โด่งดังของเมืองนางาซากิ มือขวาของรูปปั้น ชี้ขึ้นบนท้องฟ้า แสดงถึงภัยคุกคามจากระเบิดนิวเคลียร์ ในขณะที่มือซ้ายของรูปปั้นเหยียดออกด้านข้าง แสดงถึงสันติภาพ ใบหน้าของรูปปั้นดูนิ่งเฉย และหลับตาลง เพื่อภาวนาถึงดวงวิญญาณผู้เสียชีวิต ขาขวาของรูปปั้นนั่งขัดสมาธิ ในขณะเดียวกันขาซ้ายก็อยู่ในท่าทางที่พร้อมลุกขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้คน

วันที่เราไปมีคนมาวางดอกไม้ เพื่อเคารพถึงผู้เสียชีวิตหน้ารูปปั้น ผู้ที่จากไปจากสงครามยังคงถูกระลึกถึงจนปัจจุบัน

หลังจากใช้เวลาสักพัก เรานั่ง tram จากสถานี Peace Park ย้อนกลับไปป้าย Takaramachi เพื่อเดินทางไปสถานที่สุดท้ายที่เราจะไปกันในวันนี้ นั่นคือภูเขาอินาสะ หรือ Inasayama ค่า ซึ่งใครแวะมานางาซากิพลาดไม่ได้เลย

ที่ประเทศญี่ปุ่น มีการจัด 3 จุดชมวิวกลางคืนที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งได้แก่
1. จุดชมวิวเมืองฮาโกดาเตะ บนภูเขา Mount Hakodate ในจังหวัดฮอกไกโด
2. จุดชมวิวเมืองโกเบและอ่าวโอซาก้า บนภูเขา Mount Maya ในจังหวัดเฮียวโงะ
3. จุดชมวิวเมืองนางาซากิ บนภูเขา Mount Inasa ในจังหวัดนางาซากิ

นอกจากนี้ในเดือนตุลาคม ปี 2012 นางาซากิยังถูกจัดเป็น New World's Top 3 Night Views ร่วมกับเกาะฮ่องกงและประเทศโมนาโก

ได้รางวัลขนาดนี้ ใครผ่านมาเมืองนางาซากิ ต้องแวะมาชมวิวกลางคืนแล้ว พลาดไม่ได้เลย ซึ่งจุดชมวิวก็ไปง่ายมาก ขึ้นกระเช้าไปถึงเลย ไม่ต้องเดินให้เหนื่อยค่ะ ค่ากระเช้าราคา 730 yen (one way) และ 1250 yen (round trip) ดังนั้นไหนๆขึ้นไปแล้ว ก็ต้องลงมา ให้ซื้อแบบ round trip ไปเลยค่า จะถูกกว่าเยอะเลย หรือใครมีรถ สามารถขับไปจนถึงจุดชมวิวด้านบนได้เลย

จากป้าย tram Takaramachi ห่างจากสถานี ropeway 1.1 km สามารถเดินตาม map มาที่จุดขึ้น ropeway ได้เลยค่ะ โดยสถานี ropeway ใน google map จะมีชื่อว่า Fuchi Shrine Station สามารถเสริชหาได้เลย

ซึ่งตอนเราไปฝนตกหนักพอควร อากาศก็หนาว เป็นการเดิน 1.1 km ที่ทรมานมาก5555

เดินประมาณ 20 นาที จะมาถึงสถานี ropeway Fuchi Shrine Station ซื้อตั๋วเรียบร้อยรอขึ้นกระเช้ากันเลยค่า แต่สถานีกระเช้าตอนเราไป ก็ค่อนข้างเงียบ กระเช้าจะออกเป็นรอบๆตามเวลาค่ะ ต้องเช็ครอบกระเช้าขาลงด้วย และควรจะสอบถามรอบรถบัสจากหน้า ropeway กลับ Nagasaki Station (สำหรับใครที่ไม่อยากเดินอีก 1.1 km กลับ tram Station เพราะจริงๆหน้าสถานีกระเช้า Fuchi Shrine Station จะมีป้ายรถบัสค่า แต่จะไม่รวมใน Tram Pass ต้องจ่ายเงินเพิ่ม) เพื่อที่จะกลับ Nagasaki Station ได้ทัน เพราะจองรถไฟกลับ Hakata ไว้ เพื่อกลับโรงแรมในคืนนี้

ได้ตั๋วมาแล้ว พร้อม พร้อม

พอถึงเวลาก็ขึ้นกระเช้ากันค่ะ

ขึ้นมาถึงจุดชมวิว จะเป็นอาคารที่สามารถชมวิวเมืองนางาซากิได้ 360 องศาเลย โดยถ้าขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนจะสามารถเดินออกไปชมวิวนอกตัวอาคารได้ค่ะ

แต่วันที่เราไปฝนตกหนักและหนาวมาก เลยได้แค่ถ่ายรูปจากในอาคารแทน

สำหรับวันฝนตกได้วิวเท่านี้มาก็ดีใจแล้ว เมืองนางาซากิตอนกลางคืนสวยมากๆจริงๆค่ะ แสงไฟที่สะท้อนกับน้ำทะเลในอ่าว สวยมากกกกก ถ้าวันที่ไม่มีฝน ไม่มีหมอก น่าจะได้รูปที่สวยกว่านี้อีก แต่แค่นี้ก็ประทับใจมากๆแล้ว

หลังจากชมวิวเสร็จ เราก็นั่งกระเช้ากลับลงมา และขึ้นรถบัสจากหน้า Fuchi Shrine Station กลับ Nagasaki Station เพื่อกลับ Hakata ค่ะ (ตอนเราไปฝนหนักมาก และเหนื่อยกว่าจะเดิน 1.1km กลับ Tram Station แล้ว ยอมแพ้แล้วค่า วันนี้)

ที่สถานี Nagasaki จะมีจุด Shopping ของฝากนะคะ จะมีเค้ก Castella ที่เป็นเค้กไข่ นุ่มๆ ของดีประจำเมือง สามารถซื้อกลับเป็นของฝาก หรือซื้อไปลองทานบนชิงคันเซ็น ขากลับได้ค่ะ

นอกจากนี้ผลไม้ดังของเมืองนางาซากิคือ Zabon Biwa ที่มีชื่ออังกฤษคือ Loquat หรือ ปี่แป้ ในภาษาไทย ใครสนใจสามารถลองซื้อชิมได้ที่สถานี Nagasaki Station เลย

ขึ้นรถไฟรอบ 20:20 กลับ Hakata กันเลย

เรากลับมาถึงสถานี Hakata Station เวลา 21:56 แบบหิวโหย เลยหาข้าวเย็นทานต่อที่ Hakata Station

เราฝากท้องมื้อเย็น(?) วันนี้ที่ร้าน Motsunabe Ooyama อยู่ในห้างด้านล่าง Hakata Station เลยค่า ราคาไม่แรงมาก เปิดขายดึก มีขายอาหารเป็นเซ็ทสำหรับมากันหลายคนค่ะ

มตสึนาเบะ (Motsunabe) เป็นอาหารหม้อไฟประจำเมืองฮากาตะ ซึ่งใครผ่านมา Hakata ควรจะแวะลองทานค่า เป็นน้ำซุปกระดูกใส่มิโสะสีขาว ใส่ไส้วัวตุ๋นมันๆ มีเต้าหู้ กระหล่ำปี top หน้าหม้อไฟด้วยต้นหอมตัดยาวๆค่ะ

ไส้วัวจะมันๆหนึบๆ กินกับซุปร้อนๆ เหมาะกับฤดูหนาวสุดๆ

อีกหนึ่งเมนูดังของภูมิภาคคิวชู อาหารดังประจำจังหวัดคุมาโมโต้ คือ บาซาชิ Basashi หรือ ซาชิมิเนื้อม้าดิบค่า

เนื้อม้าดิบอร่อยมาก หวานฉ่ำ ไม่มีกลิ่นคาว หรือกลิ่นเฉพาะตัวเลย ปกติถ้าเราทานเนื้อวัว จะได้กลิ่นเนื้อวัวบ้าง แต่เนื้อม้าคือไม่มีกลิ่นเลยสักนิด ควรลองมากๆค่ะ เราติดใจจนกิน Basashi เกือบทุกวันที่มาเที่ยวคิวชูเลย

เนื้อม้าดิบที่ญี่ปุ่น จะกินกับ Lemon และขิงค่ะ รสชาติเนื้อเข้ากับขิงดีมากกกก

ในเซ็ตที่เราสั่ง จะมีเนื้อวัวย่าง สลัดไก่ฉีก สลัดกึ๋นไก่ ด้วยค่ะ

อร่อยมากๆค่ะ ใครแวะมา Hakata Station ลองทานกันได้นะคะ

สำหรับรีวิว North Kyushu วันที่ 2 ขอจบวันเพียงเท่านี้ สำหรับการเที่ยว Nagasaki 1 วัน เรารู้สึกว่าเมืองนางาซากิ เป็นเมืองที่มีสเน่ห์มากๆ สามารถเที่ยวได้ทั้งคนชอบประวัติศาสตร์ ชอบวิว ชอบถ่ายรูป มีจุดท่องเที่ยวหลากหลาย ครบเลย มีอ่าวที่สวย เมืองริมภูเขา ได้ทั้งวิวทะเลกับภูเขา รวมถึงรถ Tram ที่วิ่งในเมืองน่ารักมาก มีกลิ่นอายของยุคโชวะ ถึงวันนี้จะฝนตก แต่เราก็ชอบมากๆ เดินทางไม่ไกลจาก Fukuoka ใครมีแพลนเที่ยวคิวชู อย่าลืมเก็บเมืองนางาซากิเข้าในแพลนนะคะ

หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์กับคนที่มีแพลนท่องเที่ยวที่เมืองนางาซากินะคะ

สำหรับ 10 ชั่วโมงในนางาซากิ ปกติเราเป็นพวกเที่ยวเรื่อยเปื่อยค่ะ ชอบอยู่ที่นึงนานๆ ไปถึงคนแรกกลับคนสุดท้ายตลอด สำหรับใครที่ชอบอยู่เที่ยวแต่ละที่สั้นๆ อาจจะเก็บที่ท่องเที่ยวในเมืองได้เยอะกว่านี้นะคะ ฝากแวะสะพานแว่นตา (Megane Bridge) หรือ Glover Garden แทนเราด้วยค่า5555 เราเที่ยวไม่ทัน

รีวิวถัดไป เราจะไปเที่ยวต่อกันที่เมือง Amagase และ Yufuin ฝากติดตามด้วยนะคะ

First Jobber Traveller

 วันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2566 เวลา 13.48 น.

ความคิดเห็น