สำหรับเนื้อหาใน Part 3 นั้น จะเป็นเรื่องราวของการเดินทางไปสู่ "อ่างขาง" น๊ะครับ

หมายเหตุ: เนื้อหาในบทความนี้ จะเล่าแต่ละสถานที่แบบคร่าวๆน๊ะครับ ส่วนรีวิว แบบละเอียดของแต่ละที่ จะแยกไปเป็นบทความของแต่ละที่อีกทีครับ

หลังจากที่ออกเดินทางจาก กทม. ในวันที่ 4 มกราคม และได้แว่ะตามจุดต่างๆ ตามนี้

"อุทยานแห่งชาติภูแลนคา" - > "มอหินขาว"
->
"อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า" -> "บ้านร่องกล้า"
->
"อุทยานแห่งชาติน้ำตกชาติตระการ"
->
"อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว" (ไม่ได้เดินขึ้นเขาน๊ะ)
->
"อุทยานแห่งชาติศรีน่าน" -> "ผาชู้" -> "ดอยเสมอดาว"
->
"ถนนหมายเลข 3"  ->  "สปัน"  ->  "ลานกางเต้นท์ โอเวอร์วิว @น่าน"
->
"ภูลังกา"  ->  "ลานกางเต้นท์ ภูซัน"
->
"อุทยานแห่งชาติภูชี้ฟ้า"  ->  "ลานกางเต้นท์ GOODVIEW @ภูชี้ฟ้า"

และสามารถเก็บสะสมแสตมป์ของอุทยาน ได้ 6 แห่ง

แนะนำ: เนื่องจากว่าเส้นทางที่ใช้ในคราวนี้ มีการใช้เส้นทางผ่าน "เชียงใหม่" ไปสู่ "อำเภอฝาง" ก็จะขอบอกว่า "ส้มฝาง" อร่อยมากๆๆๆ มันอร่อยกว่าที่ซื้อตามตลาดนัดใน กทม. แย่ะ ครับ เห็นร้านขายตรงไหน แว่ะซื้อติดรถเอาไว้เลยครับ

11 มกราคม 2567

และในขณะที่ล้อกำลังจะหมุนไปข้างหน้า
"อืมมม แต่นี่เราอยู่เชียงราย และก็กำลังจะขับผ่านเชียงรายเลยน๊าๆๆๆ"
เมื่อคิดได้ดังนั้น ก็รีบเปิดดูหมุด ที่เคยปักเอาไว้ใน Google Map แอปพลิเคชั่น สุดอัจฉริยะทันที
"ไรชาฉุยฟง" เคยไปแล้ว
"สิงห์ปาร์ค" เคยไปแล้ว
"วัดร่องขุน" เคยไปแล้ว
"อาข่า ฟาร์มวิลล์" เฮ้ยๆๆๆ สวยๆ ข้าเคยดูรีวิวมาแล้ว มีแกะคอยเดินขอของกิน อยู่ที่ทุ่งหญ้าสีเขียวบนเนินเขา

Writer: ปักหมุด แล้วก็ออกเดินทางกันเล้ยๆๆๆ เย้ๆๆๆ
Reader: หึหึ แล้วอ่างขาง จะถึงวันไหนเนี่ยๆๆๆ เฮ้อๆๆๆ
.
.
.
ในขณะที่ขับรถและเปิดเพลงฟัง และร้องตามแบบแหกปากอยู่คนเดียวในรถ
และมาถึงทางแยกที่สามารถเลือกไปได้ทั้งซ้ายและขวา ที่ชื่อว่า "จุดสกัดบ้านแผ่นดินทอง"
"อืมมม ทำไมเจ้าหน้าที่ถึงเอากรวยมาตั้ง แบบไม่อยากให้เราเลี้ยวขวาหว่าๆๆๆ"
"แต่ Google Map แอปพลิเคชั่น สุดอัจฉริยะ ของเรา มันบอกให้เลี้ยวขวาน๊ะ"
และหลังจากที่ขับรถซิกแซก เพื่อหลบกรวย ที่เจ้าหน้าที่เอามาตั้งขวางไว้
"เอ๊ะๆๆๆ ขึ้นเขาอีกแล้ว" แล้วผมก็ขับต่อไปแบบไม่คิดอะไรมาก
"เอ๊ะๆๆๆ ทำไมทางขึ้นเขาตรงนี้มันชันจัง" แต่ถนนมันยังเป็นลาดยางอยู่ ก็ขับไปเรื่อยๆ และสิ่งหนึ่งที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนมาก คือ 2 ข้างทางมันค่อนข้างสวย เพราะมันเป็นทางขึ้นเขา

"เอ๊ะ !!!" "เอ๊ๆๆๆ"
"อี GooGle เล่นกรูอีกแล้วๆๆๆ ถึงว่า ทำไมทางมันโหด และก็ชันจัง"
"คือมันชันแบบว่า 70 องศาเลยมั้ง บางช่วงอ่ะ"

ตรงนี้เป็นจุดชมวิว แต่ว่าน่าเสียดายอย่างมาก ที่วันนี้อากาศปิด ก็เลยไม่สวยเลยๆๆๆ (แต่ระหว่างทาง 2 ข้างทางที่ผ่านมาค่อนข้างสวยเลยน๊ะ คิดว่าถ้าอากาศมันเปิดก็คงจะสวยมาก)

สภาพของสระมังกร ที่ดูทรุดโทรมอย่างมาก

ลองแวะเข้าไปในอุทยานหน่อย เผื่อมีแสตมป์ อิอิ
อืมมม ไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่เลย

Note: และหลังจากที่ผม ลอง Search ข้อมูลดูว่า เค้าพูดถึง "ภูหลงถัง" กันอย่างรัยบ้าง ก็พบสิ่งที่น่าตกใจหลายอย่าง จนต้องตัดสินใจเขียน รีวิว เพิ่ม ในส่วนของการขับรถขึ้นเขา

"เฮ้อๆๆๆ จะมีดราม่าหรือเปล่าก็ไม่รู้ เอาเป็นว่า จะอธิบายแบบประสบการณ์จริงก็แล้วกันน๊ะครับ ฮ่าฮ่าฮ่า"
คือหลายๆท่าน ก็น่าจะเคยได้ยินคำถามที่ว่า รถเครื่องยนต์ 1.2 ขับขึ้นเขาได้หรือเปล่า อยู่บ่อยๆ ใช่หรือเปล่าครับ
คือผมพยายามหลีกเลี่ยง ที่จะไม่ตอบคำถามนี้มาโดยตลอด เพราะมันเสี่ยงในเรื่องดราม่า มากๆ
ดังนั้น สิ่งที่ผมอยากจะให้ คนที่ตั้งคำถามนี้ เพิ่มข้อมูลที่สำคัญลงไปในคำถามด้วยครับ เช่น
"รถยนต์ เครื่องยนต์ 1.2 คนนั่งไป 4 คน สัมภาระ เต็มรถ ขับขึ้นภูทับเบิกได้หรือเปล่า" อะไรอย่างนี้น่ะครับ
คือจริงๆแล้ว รถเครื่องยนต์ 1.2 น่ะ มันขับขึ้นเขาได้ทุกที่ เหลอะครับ มันไม่มีปัญหาหรอก ถ้าคุณขับไปคนเดียว หรือมีคนนั่ง 1 คน และสัมภาระ นิดหน่อยน่ะครับ
เอาล่ะ พอผมพูดอย่างนี้ น่าจะเริ่มมีคนหงุดหงิด ไม่เห็นด้วยแล้ว เช่น
"เฮ้ยๆๆๆ ข้าเคยไปมาแล้วทุกเขาเลยน๊ะโว๊ยๆๆๆ"
"ใช่ครับ หลายๆคนเคยไปมาแล้ว แต่ประเด็นของคนที่มาถาม เค้าคือ กลุ่มคนมือใหม่อย่างงัยครับ"
ดังนั้น สิ่งที่ ผู้ขับรถขึ้นเขามือใหม่ ควรระวังก็คือ
1. โดยปกติแล้ว ถ้าคุณมักจะขับรถคนเดียว แต่เมื่อเวลาไปเที่ยว แล้วมีคนนั่งไปแย่ะๆ ระยะเบรค มันจะต้องใช้แย่ะขึ้นครับ (อันนี้ผมเคยกะระยะเบรคพลาดมาแล้ว จนไปจิ้มตูดรถชาวบ้านมาแล้วครับ เพราะว่าวันนั้น มีเพื่อนนั่งมา 4 คน พร้อมของเต็มหลังรถครับ ฮ่าฮ่าฮ่า)
2. ถ้ารถคุณมีกำลังไม่พอ และขนคน และสำภาระ มาเต็มรถ และคุณกำลังจะทำตามคำแนะนำ ในรีวิว ที่ผมอ่านมาแล้ว ตกใจมาก ว่า ให้ใช้แรงส่งจากเนินตอนขาลง "อย่าทำ" ครับ อันตรายมาก ยิ่งบริเวณที่มีโค้งด้วยแล้ว และมีรถสวน ที่ทำตามรีวิว แบบขับตัดเลนแบบรถแข่งสวนมานี่ อันตรายมากๆครับ
3. ขาขึ้นน่ะ ขับไม่ยากหรอก แต่ขาลงเนี่ยๆ ต้องระวังครับ เกียร์ 1 เกียร์ 2 นี่ ต้องคอยสลับใช้เลยน๊ะครับ ใช้เบรถอย่างเดียวไม่ได้น๊ะครับ และก็ต้องคอยมองกระจกหลังให้ดี ว่าที่ล้อของคุณ มีควันขาวๆ จากเบรคไหม้อยู่หรือเปล่า

สรุป: รถเครื่องยนต์ 1.2 ไปได้ทุกที่ครับ แต่ถ้า มีคนนั่งเต็มรถ พร้อมสัมภาระ เท่าที่นึกออก คือ ไม่น่าจะไปได้อยู่ 2 ที่ครับ คือ ที่นี่ "ภูหลงถัง" และ "อ่างขาง" ในเส้นที่ขึ้นจากอำเภอฝางครับ
ส่วนสถานที่ยอดนิยม ที่ผมได้ยินบ่อยมาก เช่น "ภูทับเบิก" ผมว่าขึ้นได้ครับ เพราะว่า มันไม่ได้ชันขนาด "ภูหลงถัง" และ "อ่างขาง" ครับ (แต่ว่ายังงัย ก็ลองถามๆคนที่เคยไปมาแล้วดูดีๆน๊ะครับ)
ปล.  แต่สำหรับอ่างขาง ถ้าคุณไปโดยใช้เส้นทางสายเก่า ที่ขึ้นจากเชียงดาว คุณจะไปได้อย่างสบายๆน๊ะครับ แค่มันไกลกว่า ก็เท่านั้นเองครับ
ย้ำ: สำหรับคนที่มีประสบการณ์ในการขับรถสูง อย่าแนะนำมือใหม่ ให้ขับโดยใช้แรงส่งจากเนินครับ ยิ่งเป็นเนินที่มีโค้งเนี่ย อันตรายมากครับ (เปลืองน้ำมันกว่า แต่ปลอดภัยกว่าครับ)
ลองคิดดูน๊ะครับ รถที่มีโมเมนตัมเพิ่มจากน้ำหนักบรรทุกจำนวนมาก วิ่งขึ้น หรือลงเนินด้วยความเร็ว และตัวคนขับเผลอ และกะระยะ เหมือนกับตอนขับคนเดียว รถมันจะควบคุมไม่อยู่ครับ

อันนี้คือรถที่ผมใช้น๊ะครับ มันเป็นรถ C-HR Hybrid
และรถคันนี้ไม่มีเกียร์ 1 เกียร์ 2 ครับ แต่มันมีเกียร์ B ที่ช่วยได้นิดหน่อยครับ (แต่ตลอดทั้งทริปของผม ก็ไม่เกิดอาการเบรคไหม้เลยน๊ะครับ ก็ถือว่า ใช้งานได้ดีอยู่ครับ)
ผมคิดว่าถ้าคนนั่งมาเต็มรถพร้อมสัมภาระ ก็น่าจะคลานขึ้นเป็นเต่าเหมือนกัน แต่พอดีวันนี้ขับมาคนเดียว ก็เลยสบายๆครับ

ผ่าน "จุดชมวิวเขื่อนแม่สรวย" ตรงจุดนี้ จะอยู่ก่อนถึง "อาข่า ฟาร์มวิลล์" ที่เป็นจุดหมายของเราครับ
แต่ที่ผมสนใจจริงๆ ไม่ได้เป็นตรงจุดชมวิวตรงนี้ครับ เพราะว่าตรงนี้มันเป็นอ่างเก็บน้ำ ดังนั้น ตอนเช้าก็ต้องมีโอกาศเกิดทะเลหมอกได้ครับ

และลานกางเต้นท์ ที่อยู่ในที่เหมาะที่สุด ที่อยู่ใกล้ๆกันก็คือลานนี้ครับ "ไร่ปู่แสนเจรืญ" (แต่ผมไม่นอนที่นี่น๊ะครับ และรูปที่นี่ เป็นรูปที่ผมถ่ายตอนขากลับด้วย และที่นี่อยู่ห่างจาก "อาข่า ฟาร์มวิลล์" ประมาณ 5 นาทีครับ)

หญ้าลานนี้สวยมากครับ (ยังนึกเสียดายเลย ที่ไม่ได้นอนที่นี่)

มีเต็นท์โดมให้พักด้วย

เป็นลานกางเต้นท์ ที่มีพื้นที่กว้างขวางมากครับ ถ้าคราวหน้ามาเที่ยวแถวนี้อีก ก็จะลองมานอนดูครับ

และหลังจากใช้เวลาตะเวนหาลานกางเต้นท์อยู่พักใหญ่ๆ ผมก็เลือกกางเต้นท์นอนที่นี่ครับ "ชมตะวัน"
หมายเหตุ: ที่นี่มีลานกางเต้นท์ อยู่น้อยมากๆน๊ะครับ ส่วนใหญ่จะเป็นรีสอร์ทไปเลย ส่วนลานกางเต้นท์อื่นๆ เท่าที่เห็น มันก็ดูเหมือนร้างๆน่ะครับ แล้วบางที่ก็อยู่แบบ บนยอดเขาเลย ผมมองดูทางแล้ว มันชันมาก ก็เลยไม่ได้ลองขับขึ้นไปน่ะครับ

และเหตุผล ที่ผมเลือกกางที่นี่ ก็เพราะว่า มันใกล้ "อาข่า ฟาร์มวิลล์" มากๆ รูปนี้ผมใช้เลนส์ ระยะ 200mm ถ่ายซูมเอาจากลานกางเต้นท์เลยครับ
และเนื่องจากว่า บัตรเข้าของที่นี่ มันราคา 100 บาท และเป็นบัตรแบบครั้งต่อครั้ง คือถ้าเข้าไปแล้ว ออกไปที่อื่น จะต้องซื้อบัตรใหม่น่ะครับ (แต่ถ้าลืมของที่รถ อะไรอย่างนี้ ก็พอคุยกับเจ้าหน้าที่ได้ครับ)
ผมก็เลยจำเป็นที่จะต้องเลือก ว่าจะถ่ายรูปที่นี่ ตอนแสงเย็น หรือแสงเช้า (ผมไม่ค่อยชอบถ่ายรูปวิว ตอนเที่ยงๆ แดดจัดๆ น่ะครับ)
และผมก็เลือกที่จะถ่ายแสงเช้า

"เฮ้อๆๆๆ"
หมายเหตุ: จากการพูดคุยกับชาวบ้าน เค้าบอกว่า ในเดือนกุมภา มันจะมีกฏหมายห้ามเผาไร่นาครับ ดังนั้น ถ้าจะทำอะไรกัน ก็ต้องทำกันในช่วงมกรา นี่เหลอะ
ปล. ผมไม่ได้กล่าวหา ว่าเค้าตั้งใจเผาน๊ะครับ รอดตัวไป ฮ่าฮ่าฮ่า

รถขับเคลื่อน 2 ล้ออย่างเรา คงไม่มีวาสนาได้ขึ้นไป T_T

ตรงนั้นก็กางเต้นท์ได้เหรอ สุดยอด วิวน่าจะสวยมาก

แต่จะไปยังงัย ฮ่าฮ่าฮ่า

พระอาทิตย์จะตกอีกแล้ว

ฺบ๊ายบาย กันอีกแล้ว

"แสงสุดท้าย ก่อนที่จะพบกันใหม่"

อากาศหนาวๆแบบนี้ เรามาผิงไฟกันเถอะ

12 มกราคม 2567

วันนี้ พระอาทิตย์ขี้อาย

อัยย่ะ เหมือนลูกตาเลยๆๆๆ

วิชานินจา "เนตรอัคคี" "ดวงตาสวรรค์"

บรรยากาศ ยามเช้า สบายๆ

"ทำงานๆ"
หลังจากที่ในวันนี้ผมได้เป็นลูกค้าคนแรกของที่นี่ เมื่อผมตีตั๋วเข้ามาแล้ว ก็พบว่า เจ้าหน้าที่ ก็ได้ปล่อยแกะ ออกมาพอดี เหล่าบรรดาแกะ ก็รีบวิ่งออกมา และตรงมายังบริเวณที่ขายอาหารอย่างรวดเร็ว
Writer: วันนี้ ข้ามาถ่ายรูปเฉยๆโว๊ยๆๆๆ ไม่ได้ซื้ออาหารมาเลี้ยงพวกเอ็งหรอก ฮ่าฮ่าฮ่า
แกะ: แบร่ๆๆๆ (แล้วเหล่าบรรดา แกะแสนรู้ ก็ไม่สนใจผมเลย ฮ่าฮ่าฮ่า)

อ่าๆๆๆ ไม่ผิดหวัง ที่เลือกแสงเช้า แดดยังไม่แรงเกินไป (แต่ยังงัย ก็อยากลองถ่ายแสงเย็นอยู่ดี คราวหลังๆ)

หมาต้อนแกะ

อาหารของข้า อยู่ที่ไหน

ข้าง่วงเหลือเกิน

อ้วนจ้ำมั่มมากๆ

"หากินเองก็ได้"
"ใช่ๆ ไอ้คนแบกกล้องตัวใหญ่ๆ มาตั้ง 2 อันน่ะ มันขี้งก"

บรรยากาศ ยามเช้าของที่นี่ครับ

เนินเขาสวยๆ ครับ
ปล. อยากจะฝากบอกเจ้าหน้าที่ของที่นี่หน่อยครับ ว่าให้จ้างเด็กซักคนเพิ่ม เพื่อมาคอยเดินเก็บกะทะ ให้อาหารแกะจากนักท่องเที่ยวหน่อยก็ดีครับ เพราะว่าหลังจากที่พวกเค้าซื้ออาหารแกะแล้ว เค้าก็อยาก ออกมาให้อาหารแกะ ในมุมสวยๆ เพื่อถ่ายรูป ซึ่งมันไกลจากจุดขายมาก และเมื่อให้อาหารจนหมดแล้ว การต้องถือกะทะนั้น ไปมา มันไม่สะดวกในการเดินถ่ายรูปเลยครับ
.
.
.
หลังจากที่ค่อยๆไต่ถนนอันสูงชันของ "อ่างขาง" ในเส้นทางที่มาจาก อำเภอฝาง แบบไม่ยากเย็นนัก
เวลาประมาณ 14:00

จากรูปนี้ คือผมขึ้นมาจากทางซ้ายน่ะครับ แต่ขาลงผมจะไปทางขวา ที่เป็นเส้นเรียบชายแดน (หรือเส้นไปเชียงดาว) เพราะว่าทางนี้มันไม่ชันมากครับ
และหลังจากสอบถามเจ้าหน้าที่แล้ว เค้าบอกว่า ถนนยังโอเคดีอยู่ครับ

และหลังจากที่ผมเดินเขามาใน "ลานกางเต้นท์ม่อนสน" ไม่น่าเชื่อว่า สิ่งแรกที่ผมสังเกตเห็น และถ่ายรูปมา ก็คือ "เธอ"
"ดอยหลวงเชียงดาว" ที่คิดถึง
ปล. ใช่ป่ะ ผมว่าใช่น๊ะ ผมตรวจสอบจากทิศทางใน GooGle Map สุดยอดแอปพลิเคชั่น อัจฉริยะแล้วน๊ะ ถ้าไม่ใช่นี่ หน้าแตกเลยน๊ะ ฮ่าฮ่าฮ่า
และหลังจากที่ "เธอ" นั้น ทำให้ผู้คนนั้นหลงรัก มามากมาย นั่นจึงทำให้ ใครก็ตาม ที่ต้องการจะพิชิต "เธอ" ก็จะต้องทำการจองล่วงหน้า และก่อนการเดินขึ้นยอดเขา ก็จะต้องทำการเข้าอบรม แบบจริงจัง (ใช่ แบบจริงจังจริงๆ) จึงจะได้เดินขึ้นในวันต่อมา
"เฮ้อๆๆๆ"

และหลังจากที่ผมนั้น ถอนหายใจ เสร็จ ก็หันหลังกลับมามองอีกด้าน ก็พบกับสิ่งที่น่าสนใจ "เอ๊ะ" !!!

Writer: อันนั้นมันคืออะไรเหรอครับ (ผมหันไปถามแม่ค้าแถวนั้นทันที)
แม่ค้า: อ๋อๆๆๆ "ยอดดอยอ่างขาง" น่ะ
"วริ้งๆๆๆ" สายตาผมนั้น เปล่งประกาย ทันที
Writer: เค้าให้เดินขึ้นได้หรือเปล่าครับ
แม่ค้า: ได้ๆ เค้าเดินขึ้นกันแย่ะอยู่

วิญญาณนักเดินป่านั้น เข้าสิงร่างทันที "ฮ่าฮ่าฮ่า"
และหลังจากนั้น ผมก็รอเวลา เพื่อเดินขึ้นไปในช่วง พระอาทิตย์ตกดิน

และหลังจากกางเต้นท์เสร็จ ก็เดินถ่ายรูป และเดินพูดคุยกับเหล่าบรรดา ผู้ที่มากางเต้นท์ด้วยกัน
พร้อมทั้งเดินดู เต้นท์ ต่างๆที่เคยอยากได้ แบบของจริง และก็พบว่า สมัยนี้ มันมีสิ่งที่เรียกว่า เต้นท์กางออโต้ ที่กางง่าย เก็บง่าย อยู่หลายตัวเลย
และบางรุ่น ก็เป็นแบบเป่าลม ที่แค่ใช้เครื่องเป่าลม มันก็พองออกเป็นเต้นท์ได้แบบง่ายๆ
บางรุ่นก็เป็นฟลายชีท พร้อมทาร์ป ในตัว
Writer: โอ้ยๆๆๆ อยากได้โว๊ยๆๆๆ
"โบ๊อะๆๆๆ" เทวดาประจำตัวตบหัวทันที พร้อมทั้งโดนด่าว่า "ในรถเอ็ง มีเต้นท์อยู่ 3 ตัวไม่ใช่เหรอ?"
"ฮ่าฮ่าฮ่า" ใช่แล้ว ใครเป็นสายสะสมของและอุปกรณ์กางเต้น มากองรวมกันตรงนี้ครับ
ปล. แต่จริงๆ อุปกรณ์ของผมก็ไม่แย่ะมากน๊ะ แต่มันเต็มรถไปหมดเลย ก็เลยยังไม่ซื้อเพิ่ม ฮ่าฮ่าฮ่า

ภาพถ่ายต้นสนสวยๆ ครับ

แน่นอนว่าที่นี่ มีแสตมป์ ครับ และ "ดอยอ่างขาง" ก็อยู่ในเขต "อุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก"

เวลาประมาณ 17:11

ใกล้เวลาพระอาทิตย์ตกดินแล้วครับ
ผมที่เตรียมพร้อมอย่างมาก สะพายกระเป๋าที่มี Body กล้องอยู่ 2 ตัว เลนส์ 3 ตัว ขาตั้งกล้อง และน้ำดื่ม
พร้อมทั้งลากรองเท้าแตะแบบหูหนีบ ที่พึ่งซื้อจากเซเว่น ราคาไม่ถึงร้อย เพราะรองเท้าแตะ ที่ใส่มานานนับ 10 ปีนั้น พึ่งพังไปแบบจริงจัง 
ใช่ครับ รองเท้าคู่นี้ ผมน่าจะใส่มาเป็น 10 ปีจริงๆ เพราะพื้นรองเท้ามันดีมาก ผมจึงใช้วิธีซ่อมมาโดยตลอด

"ฮึ๊บๆ" (ยังไม่ถึงยอดน๊ะครับ)
และหลังจากที่ผมเดินขึ้นมาก็พบว่า มีน้อง 2 คนเดินสวนกลับลงไป นั่นก็หมายความว่า ในวันนี้ตอนพระอาทิตย์ตก จะมีผมเดินขึ้นไปคนเดียว T_T

ถนนทางขึ้น ที่มาจาก "อำเภอฝาง" ครับ

หมู่บ้านแห่งหนึ่ง

และในขณะที่ผมนั้น กำลังนั่งพักเหนื่อยอยู่อย่างเดียวดาย บนยอดเขา และคิดอยู่ในใจว่า
"พอแล้วล่ะ สำหรับวันนี้"

ทันใดนั้นเอง ผมก็เห็นป้าย "ผู้พิชิต"
นั่นจึงทำให้ผมนั้น เค้นพลัง เฮือกสุดท้าย และตัดสินใจ "เดินต่อ"

แน่นอนว่า ผมนั้นต้องแข่งกับเวลา เพราะพระอาทิตย์นั้น ก็กำลังตล้อยต่ำลงเรื่อยๆ

"และแล้ว ความสำเร็จนั้น ก็เป็นรางวัลให้กับ ผู้ที่ไม่เลิกพยายาม เสมอ"

"หึหึ ข้านี่เหลอะ คือผู้พิ... หืมมม"
"ดะๆๆๆ เด๋วน๊ะๆๆๆ" "อะไรว๊าๆๆๆ" "ป้ายผู้พิชิตของข้าๆๆๆ"
"คุณเจ้าหน้าที่ จับไอ้พวกมือบอน พวกนี้ ไปอบรมให้หมดเลยๆๆๆ

"หึหึ แล้วทีนี้ รู้หรือยังล่ะ ว่าทำไมเค้าถึงต้องจับพวกที่จะเดินขึ้น ดอยหลวงเชียงดาว มานั่งอบรม แบบจริงจังน่ะ" เสียงของเทวดา ในหัวผมนั้น ได้ที ก็พูดออกมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข

แต่ถึงอย่างนั้น มันก็มีสิ่งหนึ่ง ที่ "ไอ้พวกมือบอน" นั้น ไม่สามารถขึ้นไปขีดเขียนได้

และคนที่ไม่เลิกความพยายามนั้น ก็จะมีรางวัลให้เสมอ

つづく

"ยังๆ ยังไม่จบครับ ฮ่าฮ่าฮ่า"

ภาพ "ดอยหลวงเชียงดาว" ที่ถ่ายจาก "ยอดดอยอ่างขาง" ครับ

13 มกราคม 2567

บรรยากาศตอนพระอาทิตย์ขึ้นที่ "ลานกางเต้นท์ม่อนสน" ครับ
.
.
.

เวลาประมาณ 08:37

เปิดวาร์ปมาที่ "ไร่ชา 2000" ครับ
หมายเหตุ: จริงๆแล้ว ที่นี่ไม่ได้ชื่อ "ไร่ชา 2000" น๊ะครับ
Search ใน GooGle Map มันก็ไม่ได้ใช้ชื่อนี้ด้วยครับ เพราะมันจะชื่อว่า "โรงงานผลิตชาอินทรีย์ โครงการหลวง"
และเมื่อขับรถมาตาม GooGle Map มันก็จะไม่ได้ใช้ชื่อนี้ด้วย เพราะมันจะมีป้ายเล็กๆ บอกตรงทางเข้าเล็กๆว่า "แปลง 2000" ครับ ตอนขับรถมา ก็สังเกตดีๆน๊ะครับ

ในวันนี้ดอกซากูระพอมีบ้างครับ ส่วนหมอก ก็มีเล็กน้อย และมันเป็นชั้นๆ สวยพอสมควรครับ

.
.
.
เวลาประมาณ 10:05

วาร์ปมาด้วยความเร็วแสงที่ "ไร่สตรอว์เบอร์รีบ้านนอแล" ที่อยู่ติดชายแดน แบบมีแค่สันเขากั้น

ไร่ของเค้าใหญ่พอสมควรครับ

Writer: ที่สำคัญ ไส้กรอกสมุนไพร ของที่นี่ เนื้อสัมผัส เมื่อกัดลงไปนี่ ฉ่ำมากๆครับ หอมเครื่องสมุนไพรจริงๆ อร่อยมากๆ แนะนำเลยครับ 3 ไม้ เพียง 20 บาท เท่านั้น
Reader: เฮ้ยๆๆๆ เอ็ง มาไร่สตรอว์เบอร์รี ทำไมไม่รีวิว สตรอว์เบอร์รี ว๊าๆๆๆ
Writer: อ้าวๆๆๆ ก็ข้าไม่ชอบกินสตรอว์เบอร์รี นี่หว่า ผลไม้อะไรก็ไม่รู้ มีเมล็ดอยู่ที่ผิว บรื้อๆๆๆ ไม่เอาอ่ะ ไม่กล้ากิน ฮ่าฮ่าฮ่า
หมายเหตุ: ใช่ครับ ทั้งชีวิต ผมไม่เคยกิน สตรอว์เบอร์รี มาก่อนเลย (แต่ก็ไม่ได้กลัวเหมือนกับพวก แก๊งค์ 3 ช่า น๊ะครับ ฮ่าฮ่าฮ่า)

.
.
.
เวลาประมาณ 09:00

วาร์ปมา "สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง" ทันที

จริงๆแล้ว มุมสวยๆ แย่ะมาก แต่ถ่ายวิว แบบไม่มีแบบ ถ่ายยากมาก

ถ่ายรถไปก่อนแล้วกัน

แอบถ่ายรถชาวบ้าน

อ๊ะๆๆๆ สาวเดินมา
แอบถ่ายเธอแบบ เบลอๆ แต่ความตั้งใจนั้นชัดเจน
หมายเหตุ: รูปนี้มันเบลอจริงๆน๊ะ อย่ามาฟ้องกันน๊าๆๆๆ
"ได้รูปสวยล่ะ กลับไปเก็บเต้นท์ แล้วไปต่อได้ อิอิ"

และอย่างที่บอกในตอนแรก ว่าผมจะเลือกกลับทางเชียงดาว ที่เป็นเส้นทางเรียบชายแดน เพราะถนนมันไม่ได้ชันมาก เหมือนทางอำเภอฝาง
และแน่นอนว่า จุดหมายต่อไปของผมก็คือ "เชียงดาว" นั่นเอง (แน่นอนว่า ไม่ได้เดินขึ้นยอดเชียงดาวหรอก)
และจุดหมายที่ผมเคยปักหมุด เอาไว้นานแล้วว่าอยากไปก็คือ "สันป่าเกี๊ยะ" นั่นเอง "เย้ๆ"

แต่ในทางผ่านของถนนเส้นนี้นั้น มันจะมีลานกางเต้นท์ของทางอุทยาน ที่พึ่งสร้างขึ้นมา เพื่อช่วยลดความหนาแน่นของ "ลานกางเต้นท์ม่อนสน" นั่นก็คือ "ลานกางเต้นท์ซุยถัง" ซึ่งมันอยู่ห่างกันแค่ประมาณ 8.8 กิโลเมตร และใช้เวลาเดินแค่ประมาณ 13 นาทีเท่านั้น

อยู่ติดถนนเลยครับ สังเกตได้ง่ายมาก

บรรยากาศของลานกางเต้นท์ครับ

ห้องน้ำอยู่ทางซ้ายมือครับ

จุดชมวิว ที่อยู่อีกฝากของถนนครับ

ข้อควรรู้: สำหรับจุดชมวิวแห่งนี้นั้น เนื่องจากจุดนี้มันเป็นจุดที่อยู่ติดชายแดนจริงๆ อีกฝั่งนั้น จึงเป็นชายแดนพม่า
และจากการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ ก็ได้ข้อมูลมาว่า ถ้านักท่องเที่ยวคนไหน ชอบบินโดรน ในลักษณะผาดโผน ท่านก็สามารถมาบินที่นี่ได้ เพราะเมื่อท่านบินข้ามแนวเทือกเขาที่เห็นนี้ไป โดรนของท่าน ก็จะโดนกองกำลังทหารว้า ที่อยู่อีกฝั่งของภูเขานั้น ระดมยิงด้วยปืน M16 และท่านก็จะต้องใช้ความสามารถในการบังคับโดรนของท่าน เพื่อหลบหลีกการโจมตี

มันเป็นมุกน๊ะครับ เจ้าหน้าที่ เค้าไม่ได้เล่าอย่างนี้หรอก ฮ่าฮ่าฮ่า แต่เรื่องโดรนโดนยิงน่ะเรื่องจริงครับ เพราะเจ้าหน้าที่เค้าเล่าว่า มีนักท่องเที่ยวที่ไม่รู้เค้ามาบินโดรน ตอนที่เจ้าหน้าที่เค้าไม่เห็น เค้าก็เลยมาเตือนไม่ทัน และพอโดรนบินข้ามเขาไป ก็โดนยิงเลยครับ
ดังนั้น จุดนี้ห้ามบินโดรนน๊ะครับ เด๋วจะกลายเป็นปัญหาระดับชาติ เพราะพวกว้ายิงปืนมา แล้วกระสุนมาตกที่ฝั่งไทย แล้วโดนคน หรือบ้านเรือนเข้านี่ เรื่องใหญ่เลยน๊ะครับ


แบกกล้อง

 วันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 เวลา 23.15 น.

ความคิดเห็น